นานมาแล้ว ในยุคสมัยที่เทพเจ้ายังปกครองเหนือทุกสิ่ง ท้องทะเลทั้งหมดเป็นอาณาเขตของสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์ผู้หนึ่ง มันเป็นทั้งผู้พิทักษ์และผู้พิพากษาแห่งผืนน้ำ ชื่อของมันถูกจารึกลงในแผ่นหินโบราณ และเล่าขานด้วยความหวาดกลัว “ลีเวียธาน”
ลีเวียธานคือร่างมหึมาแห่งเกลียวคลื่น ลำตัวยาวไร้ที่สิ้นสุดปกคลุมด้วยเกล็ดสีดำสนิทเหมือนค่ำคืนไร้ดวงจันทร์ ดวงตาสีทองของมันส่องประกายราวกับเพลิงแห่งเทพเจ้าที่ไม่มีวันดับ ลมหายใจของมันสร้างพายุ ลำตัวของมันสร้างคลื่นยักษ์ที่สามารถกลืนกินทั้งทวีป ไม่มีสิ่งใดหนีพ้นจากเงื้อมมือของมัน
ตามคำสั่งของเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ลีเวียธานมีหน้าที่รักษาสมดุลของทะเล กำจัดสิ่งใดก็ตามที่อาจคุกคามความบริสุทธิ์แห่งผืนน้ำ มันเป็นทั้งผู้ปกป้องและผู้ทำลาย ท้องทะเลคืออาณาเขตของมัน และไม่มีผู้ใดกล้าล่วงล้ำ
แต่แล้วมนุษย์ก็สร้างเรือ ล่องเรือข้ามน่านน้ำด้วยความหยิ่งผยอง ลีเวียธานมองเห็นเรือใบเหล่านั้นเป็นดั่งสิ่งแปลกปลอมที่บุกรุกเขตแดนของมัน มันพิโรธ พายุร้ายเกิดขึ้นจากหางที่สะบัดของมัน คลื่นยักษ์พัดเรือให้แตกเป็นเสี่ยงๆ นักเดินเรือมากมายจมหายสู่ก้นสมุทรพร้อมเสียงกรีดร้องที่ไม่มีผู้ใดได้ยิน
เทพเจ้าทั้งหลายพยายามไกล่เกลี่ย แต่ความโกรธของลีเวียธานนั้นเกินจะระงับได้ มันมองมนุษย์เป็นเพียงฝุ่นผง และยังคงอาละวาดด้วยความเกรี้ยวกราด
ในที่สุด เหล่าเทพจึงตัดสินใจส่งวีรบุรุษผู้กล้าหาญลงมาต่อกรกับมัน การต่อสู้ครั้งนั้นสะเทือนฟ้าดิน เล่ากันว่าเสียงคำรามของลีเวียธานทำให้คลื่นทะเลสูงเสียดฟ้า และลมหายใจของมันทำให้ฟ้าผ่าอย่างบ้าคลั่ง แม้กระทั่งเหล่าเทพผู้สร้างมันขึ้นมาก็ไม่อาจควบคุมได้อีก
แต่ในท้ายที่สุด วีรบุรุษในตำนานเอาชนะมันได้ด้วยหอกศักดิ์สิทธิ์ที่เจาะทะลุหัวใจของมัน ทว่าพวกเขามิอาจสังหารมันได้ ด้วยความที่มันเคยเป็นผู้ปกป้องทะเลตามคำสั่งของเหล่าเทพ มันจึงถูกลดโทษจากความตายให้เป็นการจองจำแทน
เทพเจ้าสร้างพันธนาการแห่งความมืดลึกล้อมรอบตัวมัน และกักขังมันไว้ใต้มหาสมุทรในส่วนที่ลึกที่สุด มันหลับใหลอยู่ในนั้น นานจนกระทั่งเทพเจ้าทั้งหลายก็ล่มสลายหายไปตามกาลเวลา
ตำนานของลีเวียธานยังคงถูกเล่าขานผ่านกาลเวลาในหมู่ชนรุ่นต่อรุ่น แต่น้อยคนที่เชื่อว่ามันเป็นความจริง จนกระทั่งบัดนี้...
เสียงของทูตหนุ่มสะท้อนก้องในความเงียบงัน ดวงตาแดงก่ำจากการเดินทางฝ่าคลื่นพายุสบเข้ากับสายพระเนตรของกษัตริย์ผู้ประทับบนบัลลังก์ ทูตหนุ่มสั่นเล็กน้อยด้วยความกดดัน เสื้อผ้าเปียกชื้นและเปรอะเปื้อนยังคงเกาะตัวเขา เสมือนเครื่องเตือนใจถึงสิ่งที่เขาพบเจอ
“ฝ่าบาท...” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นที่ปนเปื้อนความกลัวลึกๆ
“ตำนานนี้เล่าขานในทวีปของข้ามาหลายหมื่นปี นับตั้งแต่ยุคที่เทพเจ้ามีตัวตนบนโลก จนถึงปัจจุบันที่เราเหลือเพียงเงาแห่งความทรงจำของพวกเขา...”
เขาเว้นวรรคเพื่อสูดลมหายใจ ราวกับต้องการรวบรวมความกล้าเพื่อเอ่ยประโยคถัดไป
“ข้าเคยคิดว่า มันเป็นเพียงเรื่องเล่า... เพียงนิทานสำหรับเด็ก... แต่ข้าผิด” เสียงของเขาเริ่มสั่นพร่า
“ข้าเห็นมันกับตา ลีเวียธาน หลุดพ้นจากพันธนาการของมัน มันไม่ได้เป็นเพียงตำนานอีกต่อไป...”
คำพูดนั้นทำให้ท้องพระโรงที่เงียบงันกลับรู้สึกหนักอึ้งขึ้น คลื่นความกดดันที่มองไม่เห็นทำให้ทุกคนที่ได้ยินรู้สึกราวกับลมหายใจถูกบีบรัด
มันทำลายทุกสิ่งที่มันสัมผัสได้... เรือของข้า ลูกเรือทุกคน... ข้าคือผู้รอดคนเดียว” ทูตหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ก่อนจะเงยหน้ามองกษัตริย์อีกครั้ง ดวงตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและหวาดกลัว
เขานิ่งไปชั่วอึดใจ ก่อนจะกล่าวเสริมด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“แต่... สิ่งที่ทำให้ข้ายังมีชีวิตอยู่จนมาถึงที่นี่ได้...” เขาค่อยๆ ดึงม้วนคัมภีร์เก่าโทรมออกจากกระเป๋าหนังที่ห้อยข้างตัว “คือสิ่งนี้”
ทุกสายตาในท้องพระโรงจับจ้องไปยังคัมภีร์ในมือของเขา มันดูเก่าแก่จนแทบจะหลุดสลายเพียงสัมผัส อักษรบนแผ่นหนังสัตว์เป็นภาษาที่แทบไม่มีผู้ใดในห้องรู้จัก
“มันคืออะไร?” องค์รัชทายาทคนโตถามขึ้น เสียงหนักแน่นและตรงประเด็น
“ข้าไม่อาจตอบได้พะยะค่ะ” ทูตหนุ่มกล่าวด้วยความสับสน
“หากมิใช่เพราะมัน ข้าก็คงไม่มีทางรอดจากสิ่งที่เกิดขึ้น... ไม่มีทางเลย แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ใช้งานได้เพียงครั้งเดียว หลังจากนั้นไม่ว่าข้าจะพยายามอย่างไร มันก็ไร้การตอบสนอง”
คำพูดของเขาทำให้ความเงียบปกคลุมทั่วทั้งท้องพระโรง สายตาทุกคู่จดจ้องไปยังคัมภีร์เวทมนตร์ด้วยทั้งความหวังและความกังวล
องค์รัชทายาทคนที่สอง ผู้มีสีหน้าเรียบเฉยเสมอเอ่ยขึ้น น้ำเสียงหนักแน่นและแฝงความเยือกเย็น
“หากมันไร้พลังแล้ว เราไม่อาจหวังพึ่งมันได้อีก เราจำเป็นต้องหาหนทางอื่นเพื่อรับมือกับภัยร้ายนี้”
“ไม่ใช่แค่ภัยจากลีเวียธาน” องค์รัชทายาทคนสุดท้องกล่าว น้ำเสียงจริงจัง
“ฝ่าบาท โปรดพิจารณา หากการค้าทางทะเลยังคงถูกตัดขาดต่อไป อาณาจักรของเราจะต้องเผชิญกับแรงกดดันจากทุกทิศทาง”
ขุนนางอาวุโสโค้งคำนับก่อนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“อาณาจักรของเรามีเสบียงเพียงพอต่อความต้องการของประชาชน แต่ที่ผ่านมาด้วยสนธิสัญญา เราต้องส่งออกอาหารไปยังประเทศโดยรอบเพื่อรักษาความสัมพันธ์ทางการค้า และพึ่งพาการนำเข้าสินค้าสำคัญจากต่างทวีป... ตอนนี้ ลีเวียธานตัดเส้นทางเดินเรือไปหมดแล้ว การค้าขายเหล่านี้จึงหยุดชะงัก เราจะไม่สามารถส่งออกได้อีก และประเทศรอบข้างจะต้องดิ้นรนเพื่อหาเสบียง”
“แล้วเมื่อพวกเขาไม่สามารถหาเสบียงได้?” องค์รัชทายาทคนโตเอ่ยขึ้น น้ำเสียงกดดัน
“พวกเขาจะหันมามองเราด้วยความหวัง หรือไม่ก็ความโลภ เราจะกลายเป็นเป้าหมายของความไม่พอใจ... และอาจนำไปสู่สงคราม”
คำพูดนั้นทำให้บรรยากาศในท้องพระโรงยิ่งหนักอึ้ง ความกังวลแผ่ขยายราวกับแรงคลื่นที่ไม่มีที่สิ้นสุด
แม่ทัพใหญ่ผู้หนึ่งก้าวออกมาอย่างลังเล ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ฝ่าบาท หากเราต้องรับมือกับสงครามจริงๆ... กำลังรบของเราในปัจจุบันไม่เพียงพอที่จะต่อกรกับทุกประเทศรอบข้าง เราไม่มีทางรอดได้หากต้องต่อสู้ในหลายแนวรบพร้อมกัน”
กษัตริย์นิ่งเงียบไปชั่วครู่ ดวงเนตรเฉียบคมมองไปยังขุนนางและราชวงศ์ที่ยืนล้อมรอบ ท่ามกลางความเงียบงันนั้น น้ำเสียงเยือกเย็นของพระองค์ดังก้องไปทั่ว
“ในยามที่เราต้องเผชิญกับภัยร้ายจากมหาสมุทรและแรงกดดันจากประเทศโดยรอบ เราจำเป็นต้องพึ่งพาทุกกำลังที่เรามี” กษัตริย์กล่าวช้าๆ ก่อนจะเอ่ยประโยคที่ทำให้ทั้งท้องพระโรงสะท้าน
“ข้าจะพระราชทานอภัยโทษชั่วคราวให้ตระกูลไรอันเดอร์ เพื่อให้พวกเขาทำหน้าที่ผู้พิทักษ์อีกครั้ง”
ทันทีที่คำประกาศนั้นจบลง เสียงกระซิบกระซาบดังก้องไปทั่วท้องพระโรง หลายคนมีสีหน้าไม่เห็นด้วยอย่างชัดเจน และเสียงหนึ่งที่ดังแทรกขึ้นมาคือเสียงขององค์รัชทายาทคนที่สาม
“ฝ่าบาท ข้าไม่เห็นด้วย” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและดุดัน ดวงตาสบกับพระบิดาโดยไม่ลดละ
“ตระกูลไรอันเดอร์คือผู้ทรยศที่ทำให้อาณาจักรของเราต้องเสื่อมเสีย! ความผิดของพวกมันชัดเจนตั้งแต่ลี้ภัยไปยังประเทศพันธมิตร! การอภัยโทษให้พวกมันไม่ต่างอะไรกับการเปิดประตูให้ศัตรูเหยียบย่ำเราอีกครั้ง!”
“และท่านแน่ใจได้อย่างไรว่าพวกเขาผิดจริง?” ขุนนางอาวุโสผู้หนึ่งลุกขึ้นแย้ง “ท่านได้เปิดโอกาสให้พวกเขาชี้แจงแล้วหรือยัง? หรือท่านแค่กลัวว่าเรื่องที่ท่านกล่าวหานั้นจะไม่จริง?”
“พวกมันหนีไป!” องค์รัชทายาทคนที่สามพูดสวนทันที น้ำเสียงเต็มไปด้วยความโกรธ
“คนบริสุทธิ์ไม่จำเป็นต้องหนี! การลี้ภัยของพวกมันคือหลักฐานที่ชัดเจนที่สุด!”
“หลักฐานที่ชัดเจนหรือ?” อีกฝ่ายหัวเราะเยาะ “ข้ากลับเห็นเพียงอคติและความอาฆาตในใจของท่าน! หรือท่านกลัวว่าตระกูลของพวกเขาจะกลับมารุ่งโรจน์อีกครั้ง?”
เสียงโต้เถียงดังกระหึ่มไปทั่วท้องพระโรง ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมลดราวาศอก บรรยากาศในท้องพระโรงร้อนระอุราวกับเปลวเพลิง ไม่มีใครยอมใคร ขุนนางบางคนถึงกับชี้นิ้วใส่กันด้วยความโกรธ เสียงถกเถียงกลบความเงียบที่เคยมี
ทันใดนั้น เสียงหนึ่งที่ทรงพลังและหนักแน่นดังก้องไปทั่วห้อง
“พอได้แล้ว!”
ทุกเสียงเงียบลงทันที ดวงเนตรที่เต็มไปด้วยอำนาจของกษัตริย์กวาดมองรอบห้อง บรรยากาศเคร่งเครียดแผ่กระจายออกไปทั่ว
“ข้าตัดสินใจแล้ว!” กษัตริย์พูดเสียงเด็ดขาดและไม่เปิดโอกาสให้ใครคัดค้าน
“ในฐานะกษัตริย์ คำสั่งของข้าคือกฎหมาย การตัดสินใจของข้าคือสิ่งที่ถูกต้องที่สุด!”
กษัตริย์ยืนขึ้นจากบัลลังก์ น้ำเสียงที่เปี่ยมด้วยอำนาจสะกดทุกคนในท้องพระโรง
“อาณาจักรของเรากำลังตกอยู่ในความสุ่มเสี่ยง และข้าจะใช้ทุกสิ่งที่ข้ามี ไม่ว่าท่านจะเห็นด้วยหรือไม่ นี่ไม่ใช่การอภัยโทษอย่างแท้จริง แต่เป็นโอกาสที่จะพิสูจน์ความภักดีของพวกเขา หากพวกเขาล้มเหลว พวกเขาจะไม่ได้รับโอกาสครั้งที่สอง”
กษัตริย์หันไปหาขุนนางที่ใกล้ที่สุด “ให้ทำการเรียกตัวบุตรชายของตระกูลไรอันเดอร์มาเข้าเฝ้าทันที คำสั่งของข้าไม่อาจโต้แย้งได้!”
ความเงียบปกคลุมทั่วทั้งห้อง ไม่มีใครกล้าเอ่ยคำใดอีกต่อไป สายตาของทุกคนจับจ้องที่กษัตริย์ บ้างด้วยความกลัว บ้างด้วยความสงสัย แต่ไม่มีใครกล้าขัดคำสั่งของพระองค์
“เธอได้ยินข่าวรึยัง?”เสียงกระซิบดังขึ้นในร้านขนมปังซึ่งมักเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของแม่บ้าน แต่เช้านี้ กลับมีแต่ความเงียบงันตึงเครียดราวกับพายุจะมา หญิงสาวสองคนยืนต่อคิวอยู่ใกล้ตะกร้าขนมปังอบใหม่ แต่ไม่มีใครสนใจกลิ่นหอมกรุ่นเหล่านั้นอีกต่อไป“เรื่อง ไอ้คุณชายจากตระกูลทรยศ นั่นน่ะเหรอ?” อีกคนตอบทันทีด้วยน้ำเสียงเต็มไปด้วยรังเกียจ“นังคนใช้ที่บ้านฉันเล่าว่า เขาหายตัวไปจากคฤหาสน์กลางดึกเลยนะ ทั้งที่คุณหนูแคทลีนก็อุตส่าห์เลี้ยงไว้เป็นอย่างดี พยายามดึงขึ้นมาจากดินจากโคลน พอถึงเวลากลับตอบแทนด้วยการ หนีหาย อย่างกับคนขี้ขลาด!”“แย่ยิ่งกว่านั้นอีกเถอะ! ไอ้นี่สิ! อยู่กินกับตระกูลคู่หมั้นของตัวเอง พอมีโอกาสพิสูจน์ความจริง ก็ถอยหลังกลับลำ ทิ้งคุณหนูเขาไว้ให้เป็นขี้ปากชาวบ้าน!”หญิงอีกคนยกมือขึ้นกอดอกแน่น สีหน้าเต็มไปด้วยอารมณ์“เขาว่ากันว่า...คืนก่อนจะหายตัวไป มีคนเห็นเขาแอบคุยกับชายแปลกหน้าสองคนตรงท่ารถใต้ดินฝั่งตะวันตกของเมือง แล้วก็หายเงียบ! นี่มันไม่ใช่บังเอิญแล้ว! มันคือ การวางแผนหลบหนี ชัดๆ!”“ใช่! แล้วคนในตลาดตอนนี้ก็พูดกันว่า ไอ้คุณชายบ้านั่น อาจจะเป็นสายลับให้พวกประเทศอื่นก็ได้!”“สายลับเ
เสียงฝนโปรยปรายดังสะท้อนกระจกหน้าต่างรถม้าที่เร่งสปีดผ่านถนนกรวดกลับไปยังคฤหาสน์วาเรนไฮม์ หญิงสาวในชุดดำเรียบหรูเอนตัวมาข้างหน้า มือกำชายผ้าคลุมแน่น เธอไม่อาจซ่อนความกระวนกระวายใจได้ประตูรถยังไม่ทันเปิดสนิท ร่างนั้นก็ก้าวลงอย่างรวดเร็ว รองเท้าบูตกระแทกลานหินเสียงดัง เธอไม่เหลียวมองข้ารับใช้ที่วิ่งเข้ามาต้อนรับด้วยซ้ำ เอ่ยถามทันทีโดยไม่หยุดเดิน“เขาหายตัวไปตั้งแต่เมื่อไหร่?”หัวหน้าแม่บ้านที่รออยู่ใกล้บันไดขยับเข้ามาอย่างร้อนรน“เมื่อวานช่วงสายค่ะคุณหนู ข้ารับใช้เห็นว่าเขาไม่ได้ออกมาทำงาน เลยไปดูที่ห้องแต่ก็ไม่เจอ ไม่ทราบแน่ชัดว่าออกไปเมื่อใด”“แล้วได้สั่งให้คนที่เหลือไปตรวจสอบรอบๆ เมืองรึยัง?”“ค่ะ ดิฉันได้สั่งการไปแล้ว แต่ขณะนี้ก็ยังไม่เจอคุณชายเลยค่ะ…”เธอไม่รอฟังต่อ ก้าวฉับๆ ไปทางฝั่งตะวันตกของคฤหาสน์ เส้นทางเปียกชื้นจากฝนทำให้เสียงฝีเท้าดังขึ้นกว่าปกติ อาคารของข้ารับใช้เงียบผิดสังเกต แม้จะไม่ใช่เวลาพักแคทลีนมุ่งตรงไปยังห้องของเขา เธอแค่ต้องการดู—ว่าเขาทิ้งอะไรไว้หรือเปล่า บางอย่างที่อาจบอกได้ว่าเขาจากไปเพราะเหตุจำเป็น... หรือเพราะตั้งใจ“หรือว่า…เขาหายไปเพราะสภาพแวดล้อมไม่ดี?”ปร
ภายในห้องประชุมของวัง บรรยากาศอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก ฝนที่สาดกระหน่ำนอกหน้าต่างส่งเสียงเคาะกระจกเป็นจังหวะไม่สม่ำเสมอ คล้ายกำลังนับถอยหลังสู่บางสิ่งที่ไม่มีใครอยากเผชิญกษัตริย์นั่งอยู่บนบัลลังก์ที่ตั้งอยู่สูงจากพื้น เบื้องหน้าคือเหล่าขุนนาง ขุนพล และรัชทายาททั้งสามคนที่ยืนเรียงแถว แววตาของกษัตริย์นั้นเย็นชาและเฉียบคม มองตรงไปโดยไม่พูดอะไร แต่ทุกคนรับรู้ได้ถึงความไม่พอใจที่แผ่ปกคลุมไปทั้งห้องทันใดนั้น ประตูเปิดออก ข้าหลวงคนหนึ่งรีบเข้ามา คุกเข่าทันที ก่อนจะรายงานด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด“ขออภัยพ่ะย่ะค่ะ... เรายังหาตัวท่าน เซลวิน ไม่เจอขอรับ”คำพูดนั้นเหมือนเสียงระเบิดในห้องเงียบๆ ทุกสายตาหันมามอง เสนาบดีบางคนเบิกตากว้าง รัชทายาทคนโตกับคนรองขมวดคิ้ว แต่มีเพียงองค์ชายคนเล็กที่แอบยิ้มมุมปาก ราวกับกำลังพอใจกับข่าวนี้เสียงทรงอำนาจดังขึ้น มันเปี่ยมไปด้วยพลังจนไม่มีใครกล้าขัด“เขาอยู่กับตระกูลวาเรนไฮม์ไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมถึงหายตัวไปได้? ไม่ใช่ว่าพวกเขารักกันดีงั้นรึ?”ข้าหลวงกลืนน้ำลายก่อนตอบ“ตอนนี้คุณหนูแคทลีน วาเรนไฮม์กำลังรีบกลับไปที่คฤหาสน์เพื่อตรวจสอบด้วยตัวเองอยู่พ่ะย่ะค่ะ... ไม่มีใคร
แสงแรกของวันสาดส่องลงบนชายหาดที่เงียบสงบ คลื่นทะเลซัดเอื่อย ๆ สัมผัสผืนทรายราวกับต้องการปลอบโยนผู้ที่ถูกพัดพามาเกยตื้น ลมยามเช้าพัดเอากลิ่นไอทะเลคละคลุ้งไปทั่ว เสียงนกนางนวลลอยล่องอยู่เบื้องบน ทว่าความเงียบสงบของเช้าวันนี้ถูกทำลายลงด้วยเสียงร้องของชายชรา“เฮ้ย! มีคนรอดชีวิตมาเกยตื้น!”ชาวประมงวัยกลางคนที่เดินเลาะชายหาดเพื่อเก็บหอยและเศษไม้รีบตะโกนเรียกผู้คนในหมู่บ้าน ไม่นานนัก ชาวบ้านหลายคนต่างพากันวิ่งมาตามเสียงเรียก ก่อนที่สายตาของพวกเขาจะจับจ้องไปยังร่างของผู้รอดชีวิตสามคนที่นอนแน่นิ่งอยู่บนผืนทรายร่างแรกเป็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ ผิวหนังเต็มไปด้วยบาดแผลเก่าใหม่ปะปนกัน ทว่าในมือของเขายังคงกำดาบเก่าคร่ำคร่าราวกับสัญชาตญาณสั่งให้ไม่ปล่อยมัน แม้ว่าเขาจะหมดสติไปแล้วก็ตาม ร่างที่สองคือชายวัยกลางคนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นของคนร่ำรวย แต่บัดนี้ฉีกขาดและเปรอะเปื้อนโคลนจนแทบจำสภาพเดิมไม่ได้ ใบหน้าของเขาซีดเซียว ดูเหมือนจะเป็นพ่อค้าหรือขุนนางจากที่ใดที่หนึ่ง ส่วนร่างสุดท้ายคือหญิงสาวในชุดกัปตันเรือ แม้เปียกโชกไปทั้งตัวและมีร่องรอยความเหนื่อยล้าบนใบหน้า แต่ท่าทางของเธอกลับดูสงบอย่
นานมาแล้ว ในยุคสมัยที่เทพเจ้ายังปกครองเหนือทุกสิ่ง ท้องทะเลทั้งหมดเป็นอาณาเขตของสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์ผู้หนึ่ง มันเป็นทั้งผู้พิทักษ์และผู้พิพากษาแห่งผืนน้ำ ชื่อของมันถูกจารึกลงในแผ่นหินโบราณ และเล่าขานด้วยความหวาดกลัว “ลีเวียธาน”ลีเวียธานคือร่างมหึมาแห่งเกลียวคลื่น ลำตัวยาวไร้ที่สิ้นสุดปกคลุมด้วยเกล็ดสีดำสนิทเหมือนค่ำคืนไร้ดวงจันทร์ ดวงตาสีทองของมันส่องประกายราวกับเพลิงแห่งเทพเจ้าที่ไม่มีวันดับ ลมหายใจของมันสร้างพายุ ลำตัวของมันสร้างคลื่นยักษ์ที่สามารถกลืนกินทั้งทวีป ไม่มีสิ่งใดหนีพ้นจากเงื้อมมือของมันตามคำสั่งของเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ลีเวียธานมีหน้าที่รักษาสมดุลของทะเล กำจัดสิ่งใดก็ตามที่อาจคุกคามความบริสุทธิ์แห่งผืนน้ำ มันเป็นทั้งผู้ปกป้องและผู้ทำลาย ท้องทะเลคืออาณาเขตของมัน และไม่มีผู้ใดกล้าล่วงล้ำแต่แล้วมนุษย์ก็สร้างเรือ ล่องเรือข้ามน่านน้ำด้วยความหยิ่งผยอง ลีเวียธานมองเห็นเรือใบเหล่านั้นเป็นดั่งสิ่งแปลกปลอมที่บุกรุกเขตแดนของมัน มันพิโรธ พายุร้ายเกิดขึ้นจากหางที่สะบัดของมัน คลื่นยักษ์พัดเรือให้แตกเป็นเสี่ยงๆ นักเดินเรือมากมายจมหายสู่ก้นสมุทรพร้อมเสียงกรีดร้องที่ไม่มีผู้ใดได้ยินเทพ
เสียงคลื่นที่เคยไหลเอื่อยกลายเป็นเสียงคำรามก้องของทะเลที่บ้าคลั่ง ลมพายุพัดกระหน่ำจนใบเรือแทบขาดเป็นชิ้น เสากระโดงส่งเสียงลั่นประหนึ่งจะหักสะบั้นลงได้ทุกเมื่อ ลูกเรือบนดาดฟ้าวิ่งวุ่นพยายามยึดเชือกและควบคุมเรือไม่ให้พลิกคว่ำเม็ดฝนที่กระหน่ำลงมาเหมือนเข็มที่ทิ่มแทงผิวหนัง ท้องฟ้าสีดำทะมึนตัดกับแสงฟ้าผ่าที่วูบวาบ ทุกครั้งที่แสงปรากฏ มันเผยให้เห็นใบหน้าของลูกเรือที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและความสิ้นหวัง “เร็วเข้า! ดึงเชือกให้แน่น!” กัปตันหญิงตะโกนลั่น แข่งกับเสียงฟ้าผ่าที่ดังสนั่นเป็นระยะ เธอยืนอยู่กลางดาดฟ้าพร้อมกับมือที่ชี้นำทุกคนอย่างมั่นคงขณะที่ทุกอย่างกำลังตกอยู่ในสถานการณ์วุ่ยวาย ชายหนุ่มจับราวเรือแน่นจนมือซีด ดวงตาของเขากวาดมองไปรอบๆ เห็นคลื่นยักษ์ลูกแล้วลูกเล่าพุ่งเข้าหาเรือ ดาดฟ้าที่เปียกชุ่มทำให้ทุกย่างก้าวลื่นไถลจนแทบจะยืนไม่อยู่ หัวใจของเขาเต้นรัวด้วยความตื่นตระหนก ความกลัวและความหวังถูกบีบคั้นจนแทบจะขาดอากาศหายใจ ขณะที่เรือโคลงเคลงไปตามคลื่นยักษ์ แม้จะผ่านการเดินทางมาหลายวันแล้ว แต่เขาก็ไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อน ดวงตาของเขาสอดส่องไปยังลูกเรือคนอื่นที่พยายามอย่างสุดความสามารถ