หลังจากแบกจอบกลับมาถึงเรือนท้าย
อันไป๋เล่อก็วางมันพิงไว้ข้างกำแพงหิน ก่อนจะหมุนตัวกลับเข้าไปในเรือน กลับออกมาอีกครั้ง พร้อมชุดขี่ม้าสีเรียบที่เคยใช้ตอนเดินทาง
ผ้าคาดเอวถูกมัดแน่นเพื่อให้เคลื่อนไหวคล่องตัว บ่าวไพร่ที่มาแอบดูต่างไม่เชื่อสายตา พวกเขามองดูอยู่ครู่หนึ่ง
นางคว้าจอบขึ้นอีกครั้ง แล้วเริ่มลงมือถางหญ้าที่รกอยู่รอบเรือน
จอบในมือถูกเหวี่ยงดูค่อนข้างเชี่ยวชาญ
ท่วงท่าราบเรียบ แต่กลับเต็มไปด้วยความตั้งใจ
เสียง "ฉับ ฉับ" ของจอบดังเป็นจังหวะ
คลุกเคล้ากับกลิ่นหญ้าและดินชื้น
ที่พุ่มไม้ห่างออกไปเล็กน้อย
บ่าวไพร่สามคนแอบมองด้วยสายตาเบิกกว้าง
“นั่น...อี้เหนียงสี่กำลังถางหญ้าเองจริง ๆ?”
พวกเขาต่างไม่เชื่อสายตาตนเอง
ยิ่งดู...ก็ยิ่งตะลึง
แต่ยังไม่ทันได้กระซิบกันต่อ เสียงเรียบนิ่งแฝงน้ำเสียงดุเล็ก ๆ ดังขึ้นอยู่ด้านหลัง “พวกเจ้ากำลังทำอะไร!!”
ทั้งสามสะดุ้งเฮือก รีบหันขวับกลับไป
ทันใดนั้นก็ถอนหายใจโล่งอกแทบพร้อมกัน
“คุณชายสี่...บ่าวตกใจหมดขอรับ...”
ซ่งเหยาคุณชายสี่ของจวนเผย ยืนกอดอกอยู่ด้านหลัง แววตาจริงจังเกินวัยแม้อายุเพียงไม่กี่ขวบ แต่ท่าทางกลับดูน่าเกรงขามในสายตาบ่าวไพร่
“นี่พวกเจ้ากำลังแอบดูอี้เหนียงสี่อยู่หรือ?”
“ถึงนางจะถูกขับออกจากตระกูล แต่ก็ไม่ได้แปลว่าพวกเจ้าจะหมิ่นเกียรตินางได้นะ...”
“ข้าจะไปฟ้องท่านพ่อ!”
เสียงของเด็กน้อยเด็ดขาดเกินวัย
บ่าวทั้งสามหน้าถอดสี รีบยกมือไหว้ลนลาน
“คุณชายสี่... พวกข้าเปล่าคิดเช่นนั้นนะขอรับ!”
“ได้โปรดฟังพวกข้าก่อนขอรับ!”
อันไป๋เล่อ ขุดดินได้ไม่นาน เหงื่อก็ซึมที่ข้างขมับเป็นจำนวนมาก นางวางจอบลงเอ่ย “สตรีผู้นี้คงไม่เคยออกแรงทำอะไร เหนื่อยเป็นบ้าเลย”
มีพูดคุยกันดังขึ้น ดวงตาเรียวสวยหรี่มองไปยังกลุ่มเสียงด้านหลังพลางเลิกคิ้วน้อย ๆ อย่างสงสัย
นางจึงเดินออกไปดูแล้วหยุดยืนตรงหน้าทุกคน ก่อนเอ่ยขึ้น
“นี่พวกเจ้ามาทำอะไรกันที่นี่”
น้ำเสียงไม่ได้ดุ หากแต่แฝงความหนักแน่นพอให้ทุกคนสะดุ้ง
บ่าวไพร่ทั้งสามคนหน้าซีดเผือด รีบก้มตัวโค้งจนแทบติดพื้น
“อี้เหนียงสี่! บ่าว…บ่าวไม่ได้ตั้งใจจะลบหลู่นะขอรับ!”
เผยซ่งเหยา เด็กชายวัยหกขวบที่ยืนกอดอกอยู่ข้าง ๆ เม้มริมฝีปากแน่น พอเห็นมารดามาถึง ก็ดูจะลังเลว่าจะพูดอะไรดี
ในที่สุดก็กระซิบเบา ๆ “ข้า...แค่ไม่อยากให้ใครดูถูกท่านแม่…”
อันไป๋เล่อเหลือบมองลูกชายตัวน้อย ดวงตาที่เคยเย็นชาอ่อนลงเล็กน้อย นางหันกลับมามองบ่าวไพร่แล้วกล่าวเรียบ ๆ
“ทีหลังอยากรู้อะไร...ก็ถามตรง ๆ”
“ไม่ต้องแอบ ไม่ต้องกระซิบ...ข้าไม่ได้เป็นผี”
คำพูดนั้นทำเอาบ่าวทั้งสามแทบเกือบจะหยุดหายใจ
อันไป๋เล่อกวาดตามองบ่าวไพร่ทั้งสามที่ยังยืนก้มหน้าไม่กล้าหายใจแรง นางนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบแต่เด็ดขาด
“เรื่องที่พวกเจ้าแอบดูข้า...ข้าไม่เอาผิด”
บ่าวทั้งสามเงยหน้าขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อหู
ที่อี้เหนียงสี่จะปล่อยพวกเขาไปง่าย
ทว่า...ยังไม่ทันจะโล่งใจเต็มที่ เสียงของนางก็ต่อขึ้นทันที
“แต่พวกเจ้าต้องช่วยข้าถางหญ้าเสียให้หมด” พอเห็นแววตาต่อต้านพวกเขานางก็เอ่ยถามต่อ
“หรือจะไม่ทำ”
“ทำขอรับ!”
เสียงรับคำดังลั่นแทบพร้อมกัน จากนั้นบ่าวทั้งสามคนก็พากันเร่งทำความสะอาดสวน อันไป๋เล่อจึงหันมาหาซ่งเหยา
“แล้วเจ้าเล่ามาทำอะไรที่นี่”
เด็กน้อยกลัวมารดาจะจับได้ว่าตัวเองก็แอบมาดูเช่นกัน จึงเอ่ยกลบเกลือน “เห็นพวกเขาแอบตามท่านมา ข้าก็เลยแอบตามพวกเขามาอีกที”
ไป๋เล่อพยักหน้าทำที่เข้าใจ อาเหมยกลับมานางไม่เห็นไป๋เล่ออยู่ในเรือนจึงเดินออกมาตาม
“คุณหนู...เหตุใดมาอยู่ที่นี่เจ้าคะ ..อ่ะ คุณชายสี่ แล้วๆ พวกเขามาทำอะไรเจ้าคะ”
“มาช่วยข้าถางหญ้าน่ะ”
อาเหมยขมวดคิ้ว หากเป็นเมื่อก่อนอี้เหนียงสี่เรียกใช้บ่าวในตระกูลเผยย่อมไม่ใช่เรื่องผิดแปลก ทว่าตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไป อี้เหนียงสี่เป็นเพียงผู้อยู่อาศัยทำนั้น ย่อมไม่ควรเรียกใช้ใครและถึงเรียกใช้พวกเขาก็ไม่มาทำให้
ไป๋เล่อเห็นสายตาสงสัยของอาเหมยนางไม่อธิบายเอ่ยสั้น ๆ “เจ้ายกน้ำชามาที่นี่ให้ข้า”
“เจ้าค่ะ”
เผยซ่งเหยาเห็นมารดาไม่ได้เอ่ยไล่ตนให้กลับเรือน ไม่มีทีท่าน่ารำคาญ ก็ดีใจเงียบ ๆ
เด็กน้อยแอบเนียนเดินไปนั่งลงตรงโต๊ะใต้ศาลา
สายตาใสแจ๋วเฝ้ามองจับจ้องมารดาอย่างไม่คลาดสายตา
ด้านบ่าวชายทั้งสาม แม้จะบ่นในใจอยู่บ้าง แต่เมื่อเริ่มลงมือก็กลับจริงจังมากกว่าที่คิด
พวกเขาแบ่งหน้าที่กันอย่างคล่องแคล่ว ทั้งถอนหญ้า กวาดเศษใบไม้ ตัดกิ่งไม้แห้ง และเก็บก้อนหินที่กระจัดกระจายตามทาง
ไม่นานนัก...
บริเวณสวนท้ายเรือนที่เคยรกร้างก็กลับดูโล่งสะอาด ร่มรื่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
อันไป๋เล่อมองภาพตรงหน้าด้วยรอยยิ้มพึงพอใจ
ถึงแม้นางจะอยากลงแรงเองได้ แต่การมีแรงงานสามคนช่วย ก็ย่อมดีกว่าต้องใช้จอบอยู่คนเดียวเป็นแน่
“ดีกว่าข้าขุดเองมากทีเดียว”
นางเอ่ยเสียงเรียบ ริมฝีปากยังคงมีรอยยิ้มบาง
จากนั้น นางจึงหันไปหาทั้งสามคน พลางกล่าวอย่างไม่เร่งร้อน
“พวกเจ้า...หากว่างจากงานในเรือนใหญ่ มาช่วยข้าทำสวนที่นี่ได้หรือไม่?”
ทั้งสามคนชะงัก ไป๋เล่อจึงเอ่ยต่อ “แน่นอนว่า ข้าไม่ใช้แรงเปล่า...ย่อมมีค่าตอบแทน...แล้วข้าอยากจะทำโรงครัวสักหน่อยพวกเจ้าพอหาช่างมาทำให้ได้หรือไม่”
บ่าวทั้งสามหันหน้ามองกันแล้วเอ่ย
“พวกข้าทำได้ขอรับ”
“งั้นดี...รอตรงนี้ ข้าไปหยิบเงินบางส่วนให้พวกเจ้าไปซื้อข้าวของก่อน” พอให้เงินเสร็จไป๋เล่อพูดคุยกับพวกเขาสักพักหลังจากนั้น ทั้งสามโค้งตัวให้ก่อนจะแยกย้ายกลับเรือน
เผยซ่งเหยานั่งมองอยู่ที่ศาลาอย่างตั้งใจ ไม่พูดไม่จา จนกระทั่งอันไป๋เล่อหันมาถามเสียงเรียบ
“เจ้าไม่ต้องเรียนหรือ?”
เด็กชายสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะรีบตอบอย่างคล่องแคล่ว
“วันนี้อาจารย์มีธุระอื่นต้องไปทำขอรับ”
อันไป๋เล่อพยักหน้าเบา ๆ พลางครุ่นคิด นางตั้งใจจะออกไปตลาดซื้อของเล็กน้อย เผื่อเริ่มวางแผนปรับครัวและสวน
จึงหันไปหาอี้ชิงที่ยืนอยู่ด้านหลัง
“ข้าจะไปตลาด...สามารถพาคุณชายสี่ไปด้วยได้หรือไม่?”
อี้ชิงเบิกตากว้างเล็กน้อยอย่างตกตะลึง เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา อี้เหนียงสี่ไม่เคยพาคุณชายออกไปข้างนอกด้วยตนเองเลยสักครั้ง
“เอ่อ...ข้า...ข้าคงต้องเรียนถามนายท่านรองก่อนเจ้าค่ะ”
อันไป๋เล่อฟังแล้ว เอ่ยเสียงราบ “เช่นนั้นก็วันหลังเถอะ...ข้าจะออกไปข้างนอกแล้ว เจ้าก็กลับไปเสีย”
เผยซ่งเหยาไม่แสดงความงอแงแม้แต่น้อย
เขาลุกขึ้น ค้อมกายอย่างนอบน้อม “ขอรับ...อี้เหนียง”
อันไป๋เล่อมองตามหลังเขาเล็กน้อย ก่อนจะหันไปบอกอาเหมย
“ไปข้างนอกกันเถอะ”
ตอนที่ 61 ช่างฝีมือหลังจากเจียงจิงกลับไปแล้ว ความเงียบสงบก็คืนสู่เรือนอวิ๋นสุ่ยอีกครั้ง ไป๋เล่อหันกลับหยิบพู่กันขึ้นมาอีกครั้ง นางนั่งลงหน้ากระดาษขาว พลันเสียงพึมพำดังแผ่ว“มันต้องได้สิ...หากลองปรับตรงนี้อีกนิด”นางตั้งใจวาดให้ชัดเจนกว่านี้สักหน่อย ถึงจะให้โจวชิงไปหาช่างมาปลายพู่กันลากเส้นโค้งต่อเนื่อง บนกระดาษเริ่มปรากฏโครงร่างของสิ่งประหลาดตา วงล้อสองข้าง แกนกลาง และไม้ยาวเชื่อมกันขณะที่หญิงสาวกำลังจดจ่อ เสียงทุ้มต่ำก็ดังขึ้นใกล้หู“นี่คือสิ่งใด?”ไป๋เล่อสะดุ้ง พู่กันในมือแทบหล่น นางหันขวับไปก็เห็นเผยกู้หยางยืนอยู่ด้านหลัง แววตาคมฉายประกายขบขัน“นายท่าน! ท่านมาโดยไม่บอกกล่าว ข้าตกใจหมด”ชายหนุ่มหลุบตาลงมองกระดาษบนโต๊ะก่อนหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ“ข้านึกว่าเจ้าจะไร้ความรู้สึกเสียอีก วันนี้ทั้งวันเห็นวุ่นวายไม่หยุด”ไป๋เล่อขมวดคิ้วเล็กน้อย ยกคางขึ้นตอบ “ผู้คนล้วนมีสิ่งที่ต้องทำ หากไม่ลงมือจัดการเสียบ้างจะมีวันก้าวหน้าได้อย่างไรเล่า”เผยกู้หยางยกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “เจ้าช่างปากกล้านัก...แต่ช้าชอบยิ่งตอนร้องขอให้ข้าผ่อนแรงยิ่งชอบ”คำพูดแฝงเช่นนี้ช่างกล้าเอ่ยออกมา ไป๋เล่อมองอีกฝ่ายเล็กน้
ตอนที่ 60 คิดแล้วทำเมื่อคิดแล้วก็ต้องลองทำ ตอนนี้ไป๋เล่อคิดว่านางก็ควรจะลองทำดูเสียก่อน ชิ้นแรกก็จะง่ายหน่อย เห็ดหมักเกลือ เห็ดดองสมุนไพรเมื่อคิดได้เช่นนั้น ไป๋เล่อก็ลงมือทันที เพราะในความคิดของนาง “เรื่องอื่นที่จะเกิดขึ้นนางคงควบคุมไม่ได้ ปล่อยวางเสียก่อน”นางสั่งให้อาเหมยเตรียมเห็ดสดจากเรือนเพาะเห็ดมาหลายชนิด ทั้งเห็ดสน เห็ดหอม และเห็ดขาวก้านยาววางเรียงอยู่บนโต๊ะไม้ไผ่กลางลานหลังเรือน กลิ่นดินชื้นผสมกลิ่นเห็ดสดหอมละมุนอบอวลในอากาศอาเหมยกับอาหลิงช่วยกันล้างเห็ดให้สะอาดในกะละมังทองเหลือง“อย่าล้างแรงนัก เบา ๆ เดี๋ยวเนื้อเห็ดจะช้ำ”ไป๋เล่อกล่าวเสียงนุ่ม พลางใช้มีดเล็กปลายแหลมตัดก้านเห็ดออกทีละดอกอย่างประณีตเมื่อทุกอย่างพร้อม นางนำเห็ดไปลวกในน้ำเดือดที่ใส่เกลือหยิบมือหนึ่ง จากนั้นยกขึ้นพักให้สะเด็ดน้ำบนโต๊ะมีเครื่องสมุนไพรหลายอย่างวางเรียงอยู่ กระเทียมซอย พริกแห้งฉีก เสี้ยวขิงแห้ง เมล็ดพริกไทยดำ และผักชีลาวแห้งที่อาหมิงไปเด็ดมา“กลิ่นพวกนี้จะช่วยกันดับกลิ่นดินของเห็ด แล้วเพิ่มความหอม”นางอธิบายขณะจัดเรียงส่วนผสมลงในไหดินเผาไป๋เล่อหยิบเกลือใส่ตามชั้นของเห็ด ทีละชั้นทีละชั้น ปิดท
เมื่อคิดได้ว่าช่วงนี้หากจะปลูกข้าวก็คงไม่ทันฤดูอีกต่อไป ไป๋เล่อจึงลุกขึ้นจากที่นั่ง พลางเอ่ยเสียงเรียบแต่เปี่ยมพลัง“อาเหมย พวกเราไปดูเรือนเพาะเห็ดกันเถอะ” ระยะทางจากเรือนอวิ๋นสุ่ยไปถึงเรือนเพาะเห็ดนั้นนับว่าไม่น้อยอาหมิงที่ตามหลังมาด้วยรีบเอ่ยอย่างห่วงใย “แม่นาง หากจะไปถึงเรือนเพาะเห็ดให้ข้าน้อยไปเตรียมเสลี่ยงดีหรือไม่เจ้าคะ?”ไป๋เล่อส่ายหน้าพลางหัวเราะเบา ๆ “ไม่ต้องหรอก เดินไปก็ดีแล้วนับเป็นการออกกำลังกาย ยิ่งเดินเร็วก็ยิ่งได้เหงื่อดี...จะว่าไปแล้ว จวนเผยนี่กว้างไม่น้อยเลยนะ ถ้าทำถนนไว้รอบจวนได้ ข้าว่าคงเหมาะกับการวิ่งออกกำลังกาย...หรือไม่ก็ปั่นจักรยาน”พูดถึงตรงนี้นางหยุดคิด พลางหัวเราะคิกเบา ๆ “อ่า...จักรยานรึ? น่าสนใจไม่น้อย แต่เอาเถอะ ตอนนี้ไปดูเรือนเห็ดกันก่อนดีกว่า”อาหลิงที่เดินเคียงข้างอยู่รีบเอ่ยด้วยน้ำเสียงเอาใจ“แม่นางอัน ให้ข้าน้อยไปตามพ่อบ้านโจวด้วยหรือไม่เจ้าคะ? เผื่อแม่นางจะมีคำสั่งใด จะได้แจ้งเขาทันที”ไป๋เล่อหันไปพยักหน้ายิ้มอ่อน “ดี เจ้ารอบคอบมาก”แววตาของนางเปล่งประกายสดใสอย่างคนมีจุดหมาย ก่อนจะก้าวเดินต่อไปตามทางกรวดที่ทอดยาวไปยังด้านหลังจวน ลมหนาวยามสายพัดป
เมื่อไป๋เล่อกลับถึงเรือน อาหลิงกับอาหมิงสาวใช้ใหม่ทั้งสองเพียงก้มศีรษะทำความเคารพโดยมิกล้าเอ่ยสิ่งใด มีเพียงอาเหมยที่มองนายหญิงด้วยแววตาเต็มไปด้วยคำถาม ทว่าในที่สุดก็เลือกกลืนความสงสัยนั้นไว้ ไม่กล้าเปิดปากถามออกมาไป๋เล่อเองก็อ่อนล้ายิ่งนัก ร่างกายยังคงรู้สึกปวดเมื่อยราวกับแรงชีวิตถูกสูบไปครึ่งหนึ่ง นางเพียงเปลี่ยนอาภรณ์อย่างลวก ๆ แล้วเอนกายนอนลงบนเตียง ผืนผ้าเนื้อนุ่มรับเรือนกายอุ่นจัดไว้ในอ้อมโอบอย่างอ่อนโยน เพียงครู่เดียวลมหายใจก็แผ่วเบารุ่งเช้าวันถัดมา เรือนอวิ๋นสุ่ยดูจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป บ่าวไพร่ในเรือนเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทุกคนขะมักเขม้นทำงานราวกับได้รับคำสั่งใหม่ตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสางหวังเจียงจิงมาเยือนแต่เช้า พอเพียงก้าวเข้าสู่ลานเรือนก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไปในทันทีอาหลิงเมื่อเห็นนางก็รีบเข้ามาคารวะ “เรียนแม่นางหวังเจียงจิง ตอนนี้แม่นางอันไป๋เล่อยังคงพักผ่อนอยู่เจ้าค่ะ”เจียงจิงพยักหน้ารับ พลางยิ้มอ่อน “ข้าเสียมารยาทเอง...ไว้วันหลังข้าจะมาใหม่”นางกำลังจะหมุนกายกลับ ทว่าเสียงอาเหมยดังขึ้นจากด้านใน “แม่นางหวังเจียงจิง แม่นางอันไป๋เล่อตื่นแล้วเจ้
ตอนที่ 57 ข้าหิวคลื่นลูกใหญ่ที่สุดโถมซัดลงมา ทั้งสองร่างก็สะท้านสะเทือนในเวลาเดียวกัน ดุจสายฟ้าแลบกลางหาวมืด เสียงหวานครางสูงสุดประสานกับเสียงคำรามต่ำของบุรุษทุกสิ่งค่อย ๆ สงบลง ไอน้ำอุ่นยังลอยฟุ้งคลอเคลียอยู่รอบกาย แต่พายุแห่งความเร่าร้อนได้ลาลับไป เหลือเพียงเสียงหอบหายใจหนักสลับเบา ร่างบางทรุดพิงแนบอกกว้างอย่างหมดเรี่ยวแรง แก้มแดงเรื่อชุ่มเหงื่อราวกลีบดอกไม้เพิ่งผ่านสายฝนแรกเผยกู้หยางก้มลงมองนาง แววตาคมที่เมื่อครู่ยังดุดันบัดนี้กลับเต็มไปด้วยความอ่อนโยน เขายกมือลูบแก้มแดงซับเหงื่อให้อย่างทะนุถนอมก่อน ออกปากเรียกบ่าวไพร่ด้านนอกให้เข้ามา บ่าวทั้งหลายก้าวเข้ามาเงียบกริบด้วยท่าทีสำรวม ไม่มีผู้ใดกล้าเงยหน้ามอง เพียงจัดแจงน้ำอุ่นและผ้าสำหรับชำระกายอย่างรวดเร็ว ไป๋เล่อปล่อยกายให้บ่าวไพร่ชำระเนื้อตัวอย่างไร้เรี่ยวแรง แก้มแดงเรื่อราวดอกทับทิมบานเพราะทั้งความเหนื่อยและความเขิน กระทั่งอาภรณ์สะอาดถูกสวมให้อย่างเรียบร้อย บ่าวไพร่ก็ถอยออกไปอย่างสำรวมเผยกู้หยางที่คอยอยู่ไม่ห่างก้าวเข้ามาประคองร่างบางขึ้นสู่อ้อมแขน แรงกายแข็งแกร่ง เขาอุ้มนางไปวางลงบนตั่งนุ่มอย่างระมัดระวังไป๋เล่อซบใบหน้ากั
เสียงเตียงไหวโยกเป็นจังหวะ เนิ่นนานราวระลอกคลื่นมิรู้จบ ดังก้องแผ่วลอดออกไปนอกเรือน เปาอันผู้ยืนรออยู่ภายนอกมิได้มีสีหน้าใด เพียงเงยหน้ามองท้องฟ้าราวกับไร้ความรู้สึกจนเกือบครบหนึ่งชั่วยาม เสียงทุ้มจากด้านในจึงดังลอดออกมา“เปาอัน…เตรียมน้ำ”ไม่นานนักประตูก็แง้มเปิด บ่าวไพร่ยกถังน้ำเข้ามาต่างก้มหน้าต่ำจังหวะก้าวเดินต่างระลอกคลื่นเรียบร้อย ไม่มีผู้ใดกล้าเงยหน้ามองบุรุษและสตรีที่ยังคลอเคลียอยู่หลังม่านเตียง เมื่อวางน้ำเรียบร้อยแล้วจึงถอยออกไปเงียบเชียบภายในเรือน เสียงหวานแผ่วพร่าดังขึ้น“ท่านปล่อยข้า… ข้าจะไปอาบน้ำ”เผยกู้หยางโน้มกายลง จับร่างบางไว้แนบแน่น เอ่ยเสียงพร่าหนัก“รีบร้อนอาบไปไยเล่า… ข้ายังไม่อิ่มเลยสักนิด” “แต่ข้าหิวแล้ว...” ไป๋เล่อเอ่ยเสียงอ้อน “ได้...แต่ข้าจะเป็นผู้อาบน้ำให้ท่านเจ้าเอง” จากนั้นชายหนุ่มก็ลุกขึ้นอุ้มหญิงสาวขึ้นแนบอก ก่อนจะก้าวเดินไปยังฉากกั้นด้านข้าง ไอน้ำอุ่นลอยฟุ้งทั่วห้องเล็ก ร่างบางของไป๋เล่อถูกวางลงในถังไม้ กลีบแก้มแดงเรื่อราวทับทิมผลิบานเมื่อถูกไอร้อนโอบกาย น้ำใสสะท้อนผืนผ้าที่ลู่แนบเนื้อยิ่งเผยความงดงา