LOGINหลังจากแบกจอบกลับมาถึงเรือนท้าย
อันไป๋เล่อก็วางมันพิงไว้ข้างกำแพงหิน ก่อนจะหมุนตัวกลับเข้าไปในเรือน กลับออกมาอีกครั้ง พร้อมชุดขี่ม้าสีเรียบที่เคยใช้ตอนเดินทาง
ผ้าคาดเอวถูกมัดแน่นเพื่อให้เคลื่อนไหวคล่องตัว บ่าวไพร่ที่มาแอบดูต่างไม่เชื่อสายตา พวกเขามองดูอยู่ครู่หนึ่ง
นางคว้าจอบขึ้นอีกครั้ง แล้วเริ่มลงมือถางหญ้าที่รกอยู่รอบเรือน
จอบในมือถูกเหวี่ยงดูค่อนข้างเชี่ยวชาญ
ท่วงท่าราบเรียบ แต่กลับเต็มไปด้วยความตั้งใจ
เสียง "ฉับ ฉับ" ของจอบดังเป็นจังหวะ
คลุกเคล้ากับกลิ่นหญ้าและดินชื้น
ที่พุ่มไม้ห่างออกไปเล็กน้อย
บ่าวไพร่สามคนแอบมองด้วยสายตาเบิกกว้าง
“นั่น...อี้เหนียงสี่กำลังถางหญ้าเองจริง ๆ?”
พวกเขาต่างไม่เชื่อสายตาตนเอง
ยิ่งดู...ก็ยิ่งตะลึง
แต่ยังไม่ทันได้กระซิบกันต่อ เสียงเรียบนิ่งแฝงน้ำเสียงดุเล็ก ๆ ดังขึ้นอยู่ด้านหลัง “พวกเจ้ากำลังทำอะไร!!”
ทั้งสามสะดุ้งเฮือก รีบหันขวับกลับไป
ทันใดนั้นก็ถอนหายใจโล่งอกแทบพร้อมกัน
“คุณชายสี่...บ่าวตกใจหมดขอรับ...”
ซ่งเหยาคุณชายสี่ของจวนเผย ยืนกอดอกอยู่ด้านหลัง แววตาจริงจังเกินวัยแม้อายุเพียงไม่กี่ขวบ แต่ท่าทางกลับดูน่าเกรงขามในสายตาบ่าวไพร่
“นี่พวกเจ้ากำลังแอบดูอี้เหนียงสี่อยู่หรือ?”
“ถึงนางจะถูกขับออกจากตระกูล แต่ก็ไม่ได้แปลว่าพวกเจ้าจะหมิ่นเกียรตินางได้นะ...”
“ข้าจะไปฟ้องท่านพ่อ!”
เสียงของเด็กน้อยเด็ดขาดเกินวัย
บ่าวทั้งสามหน้าถอดสี รีบยกมือไหว้ลนลาน
“คุณชายสี่... พวกข้าเปล่าคิดเช่นนั้นนะขอรับ!”
“ได้โปรดฟังพวกข้าก่อนขอรับ!”
อันไป๋เล่อ ขุดดินได้ไม่นาน เหงื่อก็ซึมที่ข้างขมับเป็นจำนวนมาก นางวางจอบลงเอ่ย “สตรีผู้นี้คงไม่เคยออกแรงทำอะไร เหนื่อยเป็นบ้าเลย”
มีพูดคุยกันดังขึ้น ดวงตาเรียวสวยหรี่มองไปยังกลุ่มเสียงด้านหลังพลางเลิกคิ้วน้อย ๆ อย่างสงสัย
นางจึงเดินออกไปดูแล้วหยุดยืนตรงหน้าทุกคน ก่อนเอ่ยขึ้น
“นี่พวกเจ้ามาทำอะไรกันที่นี่”
น้ำเสียงไม่ได้ดุ หากแต่แฝงความหนักแน่นพอให้ทุกคนสะดุ้ง
บ่าวไพร่ทั้งสามคนหน้าซีดเผือด รีบก้มตัวโค้งจนแทบติดพื้น
“อี้เหนียงสี่! บ่าว…บ่าวไม่ได้ตั้งใจจะลบหลู่นะขอรับ!”
เผยซ่งเหยา เด็กชายวัยหกขวบที่ยืนกอดอกอยู่ข้าง ๆ เม้มริมฝีปากแน่น พอเห็นมารดามาถึง ก็ดูจะลังเลว่าจะพูดอะไรดี
ในที่สุดก็กระซิบเบา ๆ “ข้า...แค่ไม่อยากให้ใครดูถูกท่านแม่…”
อันไป๋เล่อเหลือบมองลูกชายตัวน้อย ดวงตาที่เคยเย็นชาอ่อนลงเล็กน้อย นางหันกลับมามองบ่าวไพร่แล้วกล่าวเรียบ ๆ
“ทีหลังอยากรู้อะไร...ก็ถามตรง ๆ”
“ไม่ต้องแอบ ไม่ต้องกระซิบ...ข้าไม่ได้เป็นผี”
คำพูดนั้นทำเอาบ่าวทั้งสามแทบเกือบจะหยุดหายใจ
อันไป๋เล่อกวาดตามองบ่าวไพร่ทั้งสามที่ยังยืนก้มหน้าไม่กล้าหายใจแรง นางนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบแต่เด็ดขาด
“เรื่องที่พวกเจ้าแอบดูข้า...ข้าไม่เอาผิด”
บ่าวทั้งสามเงยหน้าขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อหู
ที่อี้เหนียงสี่จะปล่อยพวกเขาไปง่าย
ทว่า...ยังไม่ทันจะโล่งใจเต็มที่ เสียงของนางก็ต่อขึ้นทันที
“แต่พวกเจ้าต้องช่วยข้าถางหญ้าเสียให้หมด” พอเห็นแววตาต่อต้านพวกเขานางก็เอ่ยถามต่อ
“หรือจะไม่ทำ”
“ทำขอรับ!”
เสียงรับคำดังลั่นแทบพร้อมกัน จากนั้นบ่าวทั้งสามคนก็พากันเร่งทำความสะอาดสวน อันไป๋เล่อจึงหันมาหาซ่งเหยา
“แล้วเจ้าเล่ามาทำอะไรที่นี่”
เด็กน้อยกลัวมารดาจะจับได้ว่าตัวเองก็แอบมาดูเช่นกัน จึงเอ่ยกลบเกลือน “เห็นพวกเขาแอบตามท่านมา ข้าก็เลยแอบตามพวกเขามาอีกที”
ไป๋เล่อพยักหน้าทำที่เข้าใจ อาเหมยกลับมานางไม่เห็นไป๋เล่ออยู่ในเรือนจึงเดินออกมาตาม
“คุณหนู...เหตุใดมาอยู่ที่นี่เจ้าคะ ..อ่ะ คุณชายสี่ แล้วๆ พวกเขามาทำอะไรเจ้าคะ”
“มาช่วยข้าถางหญ้าน่ะ”
อาเหมยขมวดคิ้ว หากเป็นเมื่อก่อนอี้เหนียงสี่เรียกใช้บ่าวในตระกูลเผยย่อมไม่ใช่เรื่องผิดแปลก ทว่าตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไป อี้เหนียงสี่เป็นเพียงผู้อยู่อาศัยทำนั้น ย่อมไม่ควรเรียกใช้ใครและถึงเรียกใช้พวกเขาก็ไม่มาทำให้
ไป๋เล่อเห็นสายตาสงสัยของอาเหมยนางไม่อธิบายเอ่ยสั้น ๆ “เจ้ายกน้ำชามาที่นี่ให้ข้า”
“เจ้าค่ะ”
เผยซ่งเหยาเห็นมารดาไม่ได้เอ่ยไล่ตนให้กลับเรือน ไม่มีทีท่าน่ารำคาญ ก็ดีใจเงียบ ๆ
เด็กน้อยแอบเนียนเดินไปนั่งลงตรงโต๊ะใต้ศาลา
สายตาใสแจ๋วเฝ้ามองจับจ้องมารดาอย่างไม่คลาดสายตา
ด้านบ่าวชายทั้งสาม แม้จะบ่นในใจอยู่บ้าง แต่เมื่อเริ่มลงมือก็กลับจริงจังมากกว่าที่คิด
พวกเขาแบ่งหน้าที่กันอย่างคล่องแคล่ว ทั้งถอนหญ้า กวาดเศษใบไม้ ตัดกิ่งไม้แห้ง และเก็บก้อนหินที่กระจัดกระจายตามทาง
ไม่นานนัก...
บริเวณสวนท้ายเรือนที่เคยรกร้างก็กลับดูโล่งสะอาด ร่มรื่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
อันไป๋เล่อมองภาพตรงหน้าด้วยรอยยิ้มพึงพอใจ
ถึงแม้นางจะอยากลงแรงเองได้ แต่การมีแรงงานสามคนช่วย ก็ย่อมดีกว่าต้องใช้จอบอยู่คนเดียวเป็นแน่
“ดีกว่าข้าขุดเองมากทีเดียว”
นางเอ่ยเสียงเรียบ ริมฝีปากยังคงมีรอยยิ้มบาง
จากนั้น นางจึงหันไปหาทั้งสามคน พลางกล่าวอย่างไม่เร่งร้อน
“พวกเจ้า...หากว่างจากงานในเรือนใหญ่ มาช่วยข้าทำสวนที่นี่ได้หรือไม่?”
ทั้งสามคนชะงัก ไป๋เล่อจึงเอ่ยต่อ “แน่นอนว่า ข้าไม่ใช้แรงเปล่า...ย่อมมีค่าตอบแทน...แล้วข้าอยากจะทำโรงครัวสักหน่อยพวกเจ้าพอหาช่างมาทำให้ได้หรือไม่”
บ่าวทั้งสามหันหน้ามองกันแล้วเอ่ย
“พวกข้าทำได้ขอรับ”
“งั้นดี...รอตรงนี้ ข้าไปหยิบเงินบางส่วนให้พวกเจ้าไปซื้อข้าวของก่อน” พอให้เงินเสร็จไป๋เล่อพูดคุยกับพวกเขาสักพักหลังจากนั้น ทั้งสามโค้งตัวให้ก่อนจะแยกย้ายกลับเรือน
เผยซ่งเหยานั่งมองอยู่ที่ศาลาอย่างตั้งใจ ไม่พูดไม่จา จนกระทั่งอันไป๋เล่อหันมาถามเสียงเรียบ
“เจ้าไม่ต้องเรียนหรือ?”
เด็กชายสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะรีบตอบอย่างคล่องแคล่ว
“วันนี้อาจารย์มีธุระอื่นต้องไปทำขอรับ”
อันไป๋เล่อพยักหน้าเบา ๆ พลางครุ่นคิด นางตั้งใจจะออกไปตลาดซื้อของเล็กน้อย เผื่อเริ่มวางแผนปรับครัวและสวน
จึงหันไปหาอี้ชิงที่ยืนอยู่ด้านหลัง
“ข้าจะไปตลาด...สามารถพาคุณชายสี่ไปด้วยได้หรือไม่?”
อี้ชิงเบิกตากว้างเล็กน้อยอย่างตกตะลึง เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา อี้เหนียงสี่ไม่เคยพาคุณชายออกไปข้างนอกด้วยตนเองเลยสักครั้ง
“เอ่อ...ข้า...ข้าคงต้องเรียนถามนายท่านรองก่อนเจ้าค่ะ”
อันไป๋เล่อฟังแล้ว เอ่ยเสียงราบ “เช่นนั้นก็วันหลังเถอะ...ข้าจะออกไปข้างนอกแล้ว เจ้าก็กลับไปเสีย”
เผยซ่งเหยาไม่แสดงความงอแงแม้แต่น้อย
เขาลุกขึ้น ค้อมกายอย่างนอบน้อม “ขอรับ...อี้เหนียง”
อันไป๋เล่อมองตามหลังเขาเล็กน้อย ก่อนจะหันไปบอกอาเหมย
“ไปข้างนอกกันเถอะ”
ตอนที่ 109 อิสระที่ห่างไปเรือนพักของอันไป๋เล่ออบอวลด้วยกลิ่นน้ำหอมที่นางกลั่นเมื่อคืน สายแดดยามสายลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาแตะปลายผมของนางที่ยังยุ่งเล็กน้อยเพราะเพิ่งตื่นหลังจากดื่มจนเมามายเมื่อคืนอาเหมยบิดผ้าชุบน้ำอุ่นแล้วช่วยเช็ดใบหน้าให้นาง พลางเอ่ยอย่างระมัดระวัง “เมื่อเช้า…มีราชโองการไปถึงจวนตระกูลเผยแล้วนะเจ้าค่ะ ตอนนี้ท่าน…คือพระชายาเอกแห่งจวนซินอ๋องอย่างเป็นทางการแล้ว”ไป๋เล่อชะงักเงยหน้า ดวงตาที่ยังพร่าเพราะง่วงวูบเบิกกว้างขึ้นทันที“มีราชโองการแล้วหรือ? เหตุใดถึงรีบเร่งถึงเพียงนี้…อิสระของข้า…กำลังจะหายไปแล้วจริง ๆ”ไป๋เล่อพึมพำแผ่วเบา ดวงหน้านวลสะท้อนความเวทนาปนเสียดายเพราะนางรู้ดี นับจากวันนี้เป็นต้นไป แม้เผยกู้หยางจะไม่เอ่ยห้าม ไม่เคยตำหนิในสิ่งที่นางทำแต่ความเป็น “ซินอ๋อง” ที่ประทับตราบนตัวเขา…ย่อมหมายถึงพันธนาการที่พัวพันมาถึงนางด้วยนางยกมือแตะแก้มที่เย็นชืดเบา ๆแววตาเจือความขื่นขมและยอมรับในชะตา“ต่อจากนี้…ข้าคงจะทำตามใจเช่นเดิมไม่ได้แล้วจริง ๆ”อาเหมยลอบถอนหายใจเบา ๆ ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงระมัดระวัง แต่ก็แฝงความเป็นห่วงอย่างจริงใจ“วันนี้…หากท่านพอมีแรง ข้
ตอนที่ 108 การยอมรับช้าวันถัดมาแสงแรกยังไม่ทันส่องเต็มลานหิน ข่าวใหญ่ก็แพร่สะพัดราวไฟลามป่าไปทั่วเมืองหลวงอย่างรวดเร็วข่าวลือที่ว่ากลายเป็นความจริงผู้คนไม่จำเป็นต้องคาดเดาอีกต่อไปเพราะราชสำนักส่งราชทูตถือผืนแพรแดงปักลายมังกรทองมาถึงหน้าจวนแม่ทัพเผย ตั้งแต่รุ่งสางเสียงประกาศราชโองการดังขึ้นชัดถ้อยชัดคำสะท้อนก้องไปทั่วตรอกซอกซอยที่ยังไม่ทันตื่นเต็มที่ราชทูตยกผืนแพรขึ้นเหนือศีรษะ อ่านด้วยน้ำเสียงดังกังวาน“โดยพระราชประสงค์แห่งฮ่องเต้ กู้เสียนหรง ทรงมีพระราชดำริให้โอรสผู้กำเนิดจากสายเลือดแท้ ผู้ถูกเลี้ยงดูนอกวังด้วยเหตุแห่งความจำเป็นในอดีต คือ เผยกู้หยาง ได้รับการแต่งตั้งเป็น ‘ซินอ๋อง’“ด้วยตำแหน่งอ๋องที่ตั้งขึ้นใหม่ทรงแต่งตั้งอันไป๋เล่อ ให้ดำรงตำแหน่งพระชายาเอกแห่งซินอ๋องและแต่งตั้งหวังเจียงจิงให้ดำรงตำแหน่งชายารองแห่งซินอ๋องให้ทั้งสองดูแลกิจการในตำหนักซินอ๋องตามระเบียบราชสำนักและเป็นเกียรติแก่ตระกูลของทั้งสองสืบไป”ขันทีหลวงเอ่ยราชโองการจนสิ้นทุกถ้อยคำ ก่อนจะยื่นม้วนผ้าไหมสีทองให้เผยกู้หยางก็ก้าวออกมารับด้วยท่วงท่าสงบนิ่งเมื่อเขาประคองราชโองการไว้ในมือ ขันทีก็ผ่อนลมหายใจเบา ๆ
ตอนที่ 107 จบลงเช่นนั้นเผยกู้หยางยกมือเรียกเปาอันเสียงต่ำ“ไปนำพิณของข้ามา”ไม่นาน พิณไม้แกะลายงามก็ถูกนำมาวางลงเบื้องหน้า เขาลูบคันพิณเบา ๆ ก่อนจะนั่งลงยืดหลังสง่างามสายพิณถูกรั้ง รัวแผ่วเป็นท่วงทำนองแรกเสียงพิณใสราวหยาดน้ำแข็งละลายแตะลงบนอากาศเงียบงันอย่างนุ่มนวลไป๋เล่อที่กำลังผสมสุราอยู่ถึงกับหยุดชั่วครู่ราวกับทุกหยดเสียงกำลังแตะลงกลางห้วงใจนางนางสูดลมหายใจแผ่ว ๆ “ท่านเล่นได้งดงามยิ่งนัก”เผยกู้หยางปรายตามองนางคล้ายจะยิ้ม แต่ยังไม่เอื้อนเอ่ยท่วงทำนองยังคงไหลพลิ้ว ไม่รีบร้อน ไม่ช้าเกินไปไป๋เล่อลงมือชงสุราต่อเนื่องมือเรียวขาวขยับคล่องแคล่ว บดดอกเหมยในถ้วยรินสุรา หยดน้ำผึ้งเพียงปลายช้อนแล้วใช้ข้อมือหมุนถ้วยเบา ๆ ให้ของเหลวผสมเข้ากันเสียงสายพิณพลันเปลี่ยนจังหวะดึงยาว ลึก และกังวานคล้ายจะตอบรับจังหวะการเคลื่อนไหวของนางโดยไม่ได้นัดหมายไป๋เล่อหัวเราะแผ่ว มุ่นคิ้วในท่าทีหยอกล้อความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมผุดวาบขึ้นมาเหมือนม่านบางที่ถูกเปิดออก เพลงพิณของเขาผสานกับฤทธิ์สุรายิ่งพาให้ร่างกายเบาไร้น้ำหนักนางลุกขึ้นยืน เดินเข้าไปกลางลานเรือนที่ถูกแสงตะเกียงแตะวาบชายกระโปรงพลิ
ตอนที่ 106 รักษาแผลใจไป๋เล่อเห็นชายหนุ่มเงียบงัน ดวงตานิ่งลึกจนยากจะอ่านความคิดนางจึงลดน้ำเสียงลงให้อ่อนโยน ราวกับจะปลอบประโลมบางสิ่งที่เขาไม่เอ่ยออกมา “เหยาเอ๋อร์เป็นเด็กดี…ทำสิ่งใดก็มักคำนึงถึงผู้อื่นก่อนเสมอ เมื่อเติบโตขึ้น เขาจะเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด”นางเอ่ยเบา ๆ คล้ายลมพัดผ่านปลายผม “ทั้งความลำบากใจของท่าน และของนางผู้นั้นที่จากไป...ข้าเชื่อ..เขาจะไม่กล่าวโทษใครทั้งนั้น”เผยกู้หยางเงยหน้าขึ้นช้า ๆ ขยับปลายนิ้วเล็กน้อย เดินตรงไปยังโต๊ะเตี้ยด้านข้าง แล้วนั่งลงอย่างเงียบสงบ เปาอันรีบก้าวเข้ามา วางไหสุราขนาดใหญ่สองสามไหไว้ตรงหน้าเจ้านาย ก่อนค้อมศีรษะถอยไป เผยกู้หยางยกไหหนึ่งขึ้น แค่ยกก็ได้กลิ่นแรงทะลุฝาเขาเอ่ยเสียงต่ำทุ้ม กลิ่นเย็นของความนิ่งสงบแฝงอยู่ในน้ำเสียงนั้น“เห็นว่าเจ้าต้องการสุราแรง ๆ… ถึงแม้ข้าจะไม่รู้ว่าเจ้าจะเอาไปทำสิ่งใด แต่ข้าก็ให้คนไปหาไว้ไม่น้อย”ไป๋เล่อหลุบตาลงเล็กน้อยเหลือบมองไหสุราหลายใบที่วางเรียงอยู่ตรงมุมโต๊ะ การเปลี่ยนเรื่องอย่างกะทันหันของเขาทำให้นางอดหัวเราะเบา ๆ ไม่ได้เสียงหัวเราะนั้นอ่อนนุ่มดุจสายลมเฉียดผ่านกลีบดอกไม้ ทำให้บรรยากาศภายในเรือนอ
ตอนที่ 105 ลำบากใจเผยซ่งเหยาเดินเข้ามาหาไป๋เล่ออย่างช้า ๆ ก่อนจะคุกเข่าลงตรงหน้าโดยไม่ลังเล ท่วงท่านั้นเต็มไปด้วยความหนักแน่นเกินกว่าวัย ดวงตากลมใสจ้องมองมารดาอย่างลึกซึ้งจนไป๋เล่อใจสั่นวูบเสียงของเขาแผ่วเบา แต่ชัดเจนดุจคมมีด“เมื่อก่อน…ข้าดีใจมากเหลือเกินที่มีท่านแม่อยู่กับข้า ความยินดีนั้นบดบังความผิดแปลกหลายอย่างที่ข้าควรสังเกต”เขาหยุดหายใจสั้น ๆ ราวกับกำลังข่มใจ “ข้าเฝ้ามองท่านแม่มาตั้งแต่ข้ายังเล็กที่สุด…การพูด การเดิน สีหน้าท่าทาง ทุกอย่างของท่าน ข้าล้วนจำได้ขึ้นใจ”แววตาของเด็กชายสั่นวูบหนึ่ง แต่ยังไม่ละไป“และนับวัน…ท่านก็ยิ่งไม่เหมือนเดิม”ไป๋เล่อสะอึก หัวใจเต้นแรงจนเจ็บหน้าอกซ่งเหยาเม้มปากก่อนเอ่ยต่อ“เดิมที ข้าคิดว่าข้าคิดมากเกินไป แต่ทุกครั้งที่ข้ามองท่านแม่ ข้า…กลับยิ่งแน่ใจว่าอะไรบางอย่างเปลี่ยนไป”สายลมเย็นพัดเข้ามาทางหน้าต่าง พาให้ม่านไหวเบา ๆ แต่ความเงียบภายในเรือนกลับหนักอึ้งจนอึดอัดจนกระทั่งซ่งเหยาเอ่ยประโยคสุดท้ายด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“ความสงสัยทั้งหมด…ถูกยืนยันในวันที่ข้าเห็นพวกนักพรตทำพิธีส่งวิญญาณที่เรือนไผ่แห่งนั้น”ไป๋เล่อหลับตาเพียงเสี้ยวอึดใจ ก่อนเอ่ยออ
ตอนที่ 104 ส่งวิญญาณเจียงจิงก้าวขึ้นรถม้าได้ไม่นาน อาเหลียนก็รีบตามขึ้นมานั่งเคียงข้าง ใบหน้าซีดเล็กน้อยด้วยความกังวล ก่อนเอ่ยถามเสียงเบาแต่สั่นเครือ“ฮูหยินรอง…เรื่องนี้เชื่อถือได้หรือเจ้าคะ?”คำถามนั้นทำให้บรรยากาศภายในรถม้าสะท้อนความตึงเครียดทันทีเจียงจิงหันไปมองสาวใช้อย่างจริงจัง ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงกึ่งตำหนิ“ที่ก่อนหน้านี้นางไม่พูด ก็เพราะยังไม่มั่นใจในข่าว หากข้าไม่ถามด้วยตนเอง นางก็คงไม่กล้าเอ่ยปากส่งเดช เจ้าอย่าได้แคลงใจไป๋เล่อเด็ดขาด”อาเหลียนสะดุ้ง รีบก้มศีรษะลงแทบจะชิดตักของตนเอง“บ่าวผิดไปแล้วเจ้าค่ะ! บ่าวมิได้ตั้งใจหมิ่นน้ำใจฮูหยินใหญ่ บ่าวเพียงแต่…กังวล เพราะเรื่องนี้มันช่างน่าเหลือเชื่อเกินไปจริง ๆ”เจียงจิงถอนหายใจเบา ๆ ราวกับเพิ่งระงับความสั่นไหวในอกได้เล็กน้อย นางรู้ดีว่าอาเหลียนหาได้คิดร้าย เพียงแต่ตกใจกับความจริงที่เหนือความคาดหมายไปไกล“ข้าเองก็ไม่คิดว่าจะเป็นเช่นนี้ แต่ไป๋เล่อ…ถึงแม้เรื่องนี้จะผิดพลาดขึ้นมาสักประการ นางก็ไม่มีวันคิดร้ายต่อข้าเด็ดขาด”นางหยุดไปชั่วครู่ ก่อนเอ่ยประโยคที่แฝงรอยยิ้มบางในน้ำเสียง“อีกอย่าง หากพูดถึงเรื่องเหลือเชื่อ…สำหรับไป๋เล่อแล







