หลังจากแบกจอบกลับมาถึงเรือนท้าย
อันไป๋เล่อก็วางมันพิงไว้ข้างกำแพงหิน ก่อนจะหมุนตัวกลับเข้าไปในเรือน กลับออกมาอีกครั้ง พร้อมชุดขี่ม้าสีเรียบที่เคยใช้ตอนเดินทาง
ผ้าคาดเอวถูกมัดแน่นเพื่อให้เคลื่อนไหวคล่องตัว บ่าวไพร่ที่มาแอบดูต่างไม่เชื่อสายตา พวกเขามองดูอยู่ครู่หนึ่ง
นางคว้าจอบขึ้นอีกครั้ง แล้วเริ่มลงมือถางหญ้าที่รกอยู่รอบเรือน
จอบในมือถูกเหวี่ยงดูค่อนข้างเชี่ยวชาญ
ท่วงท่าราบเรียบ แต่กลับเต็มไปด้วยความตั้งใจ
เสียง "ฉับ ฉับ" ของจอบดังเป็นจังหวะ
คลุกเคล้ากับกลิ่นหญ้าและดินชื้น
ที่พุ่มไม้ห่างออกไปเล็กน้อย
บ่าวไพร่สามคนแอบมองด้วยสายตาเบิกกว้าง
“นั่น...อี้เหนียงสี่กำลังถางหญ้าเองจริง ๆ?”
พวกเขาต่างไม่เชื่อสายตาตนเอง
ยิ่งดู...ก็ยิ่งตะลึง
แต่ยังไม่ทันได้กระซิบกันต่อ เสียงเรียบนิ่งแฝงน้ำเสียงดุเล็ก ๆ ดังขึ้นอยู่ด้านหลัง “พวกเจ้ากำลังทำอะไร!!”
ทั้งสามสะดุ้งเฮือก รีบหันขวับกลับไป
ทันใดนั้นก็ถอนหายใจโล่งอกแทบพร้อมกัน
“คุณชายสี่...บ่าวตกใจหมดขอรับ...”
ซ่งเหยาคุณชายสี่ของจวนเผย ยืนกอดอกอยู่ด้านหลัง แววตาจริงจังเกินวัยแม้อายุเพียงไม่กี่ขวบ แต่ท่าทางกลับดูน่าเกรงขามในสายตาบ่าวไพร่
“นี่พวกเจ้ากำลังแอบดูอี้เหนียงสี่อยู่หรือ?”
“ถึงนางจะถูกขับออกจากตระกูล แต่ก็ไม่ได้แปลว่าพวกเจ้าจะหมิ่นเกียรตินางได้นะ...”
“ข้าจะไปฟ้องท่านพ่อ!”
เสียงของเด็กน้อยเด็ดขาดเกินวัย
บ่าวทั้งสามหน้าถอดสี รีบยกมือไหว้ลนลาน
“คุณชายสี่... พวกข้าเปล่าคิดเช่นนั้นนะขอรับ!”
“ได้โปรดฟังพวกข้าก่อนขอรับ!”
อันไป๋เล่อ ขุดดินได้ไม่นาน เหงื่อก็ซึมที่ข้างขมับเป็นจำนวนมาก นางวางจอบลงเอ่ย “สตรีผู้นี้คงไม่เคยออกแรงทำอะไร เหนื่อยเป็นบ้าเลย”
มีพูดคุยกันดังขึ้น ดวงตาเรียวสวยหรี่มองไปยังกลุ่มเสียงด้านหลังพลางเลิกคิ้วน้อย ๆ อย่างสงสัย
นางจึงเดินออกไปดูแล้วหยุดยืนตรงหน้าทุกคน ก่อนเอ่ยขึ้น
“นี่พวกเจ้ามาทำอะไรกันที่นี่”
น้ำเสียงไม่ได้ดุ หากแต่แฝงความหนักแน่นพอให้ทุกคนสะดุ้ง
บ่าวไพร่ทั้งสามคนหน้าซีดเผือด รีบก้มตัวโค้งจนแทบติดพื้น
“อี้เหนียงสี่! บ่าว…บ่าวไม่ได้ตั้งใจจะลบหลู่นะขอรับ!”
เผยซ่งเหยา เด็กชายวัยหกขวบที่ยืนกอดอกอยู่ข้าง ๆ เม้มริมฝีปากแน่น พอเห็นมารดามาถึง ก็ดูจะลังเลว่าจะพูดอะไรดี
ในที่สุดก็กระซิบเบา ๆ “ข้า...แค่ไม่อยากให้ใครดูถูกท่านแม่…”
อันไป๋เล่อเหลือบมองลูกชายตัวน้อย ดวงตาที่เคยเย็นชาอ่อนลงเล็กน้อย นางหันกลับมามองบ่าวไพร่แล้วกล่าวเรียบ ๆ
“ทีหลังอยากรู้อะไร...ก็ถามตรง ๆ”
“ไม่ต้องแอบ ไม่ต้องกระซิบ...ข้าไม่ได้เป็นผี”
คำพูดนั้นทำเอาบ่าวทั้งสามแทบเกือบจะหยุดหายใจ
อันไป๋เล่อกวาดตามองบ่าวไพร่ทั้งสามที่ยังยืนก้มหน้าไม่กล้าหายใจแรง นางนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบแต่เด็ดขาด
“เรื่องที่พวกเจ้าแอบดูข้า...ข้าไม่เอาผิด”
บ่าวทั้งสามเงยหน้าขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อหู
ที่อี้เหนียงสี่จะปล่อยพวกเขาไปง่าย
ทว่า...ยังไม่ทันจะโล่งใจเต็มที่ เสียงของนางก็ต่อขึ้นทันที
“แต่พวกเจ้าต้องช่วยข้าถางหญ้าเสียให้หมด” พอเห็นแววตาต่อต้านพวกเขานางก็เอ่ยถามต่อ
“หรือจะไม่ทำ”
“ทำขอรับ!”
เสียงรับคำดังลั่นแทบพร้อมกัน จากนั้นบ่าวทั้งสามคนก็พากันเร่งทำความสะอาดสวน อันไป๋เล่อจึงหันมาหาซ่งเหยา
“แล้วเจ้าเล่ามาทำอะไรที่นี่”
เด็กน้อยกลัวมารดาจะจับได้ว่าตัวเองก็แอบมาดูเช่นกัน จึงเอ่ยกลบเกลือน “เห็นพวกเขาแอบตามท่านมา ข้าก็เลยแอบตามพวกเขามาอีกที”
ไป๋เล่อพยักหน้าทำที่เข้าใจ อาเหมยกลับมานางไม่เห็นไป๋เล่ออยู่ในเรือนจึงเดินออกมาตาม
“คุณหนู...เหตุใดมาอยู่ที่นี่เจ้าคะ ..อ่ะ คุณชายสี่ แล้วๆ พวกเขามาทำอะไรเจ้าคะ”
“มาช่วยข้าถางหญ้าน่ะ”
อาเหมยขมวดคิ้ว หากเป็นเมื่อก่อนอี้เหนียงสี่เรียกใช้บ่าวในตระกูลเผยย่อมไม่ใช่เรื่องผิดแปลก ทว่าตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไป อี้เหนียงสี่เป็นเพียงผู้อยู่อาศัยทำนั้น ย่อมไม่ควรเรียกใช้ใครและถึงเรียกใช้พวกเขาก็ไม่มาทำให้
ไป๋เล่อเห็นสายตาสงสัยของอาเหมยนางไม่อธิบายเอ่ยสั้น ๆ “เจ้ายกน้ำชามาที่นี่ให้ข้า”
“เจ้าค่ะ”
เผยซ่งเหยาเห็นมารดาไม่ได้เอ่ยไล่ตนให้กลับเรือน ไม่มีทีท่าน่ารำคาญ ก็ดีใจเงียบ ๆ
เด็กน้อยแอบเนียนเดินไปนั่งลงตรงโต๊ะใต้ศาลา
สายตาใสแจ๋วเฝ้ามองจับจ้องมารดาอย่างไม่คลาดสายตา
ด้านบ่าวชายทั้งสาม แม้จะบ่นในใจอยู่บ้าง แต่เมื่อเริ่มลงมือก็กลับจริงจังมากกว่าที่คิด
พวกเขาแบ่งหน้าที่กันอย่างคล่องแคล่ว ทั้งถอนหญ้า กวาดเศษใบไม้ ตัดกิ่งไม้แห้ง และเก็บก้อนหินที่กระจัดกระจายตามทาง
ไม่นานนัก...
บริเวณสวนท้ายเรือนที่เคยรกร้างก็กลับดูโล่งสะอาด ร่มรื่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
อันไป๋เล่อมองภาพตรงหน้าด้วยรอยยิ้มพึงพอใจ
ถึงแม้นางจะอยากลงแรงเองได้ แต่การมีแรงงานสามคนช่วย ก็ย่อมดีกว่าต้องใช้จอบอยู่คนเดียวเป็นแน่
“ดีกว่าข้าขุดเองมากทีเดียว”
นางเอ่ยเสียงเรียบ ริมฝีปากยังคงมีรอยยิ้มบาง
จากนั้น นางจึงหันไปหาทั้งสามคน พลางกล่าวอย่างไม่เร่งร้อน
“พวกเจ้า...หากว่างจากงานในเรือนใหญ่ มาช่วยข้าทำสวนที่นี่ได้หรือไม่?”
ทั้งสามคนชะงัก ไป๋เล่อจึงเอ่ยต่อ “แน่นอนว่า ข้าไม่ใช้แรงเปล่า...ย่อมมีค่าตอบแทน...แล้วข้าอยากจะทำโรงครัวสักหน่อยพวกเจ้าพอหาช่างมาทำให้ได้หรือไม่”
บ่าวทั้งสามหันหน้ามองกันแล้วเอ่ย
“พวกข้าทำได้ขอรับ”
“งั้นดี...รอตรงนี้ ข้าไปหยิบเงินบางส่วนให้พวกเจ้าไปซื้อข้าวของก่อน” พอให้เงินเสร็จไป๋เล่อพูดคุยกับพวกเขาสักพักหลังจากนั้น ทั้งสามโค้งตัวให้ก่อนจะแยกย้ายกลับเรือน
เผยซ่งเหยานั่งมองอยู่ที่ศาลาอย่างตั้งใจ ไม่พูดไม่จา จนกระทั่งอันไป๋เล่อหันมาถามเสียงเรียบ
“เจ้าไม่ต้องเรียนหรือ?”
เด็กชายสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะรีบตอบอย่างคล่องแคล่ว
“วันนี้อาจารย์มีธุระอื่นต้องไปทำขอรับ”
อันไป๋เล่อพยักหน้าเบา ๆ พลางครุ่นคิด นางตั้งใจจะออกไปตลาดซื้อของเล็กน้อย เผื่อเริ่มวางแผนปรับครัวและสวน
จึงหันไปหาอี้ชิงที่ยืนอยู่ด้านหลัง
“ข้าจะไปตลาด...สามารถพาคุณชายสี่ไปด้วยได้หรือไม่?”
อี้ชิงเบิกตากว้างเล็กน้อยอย่างตกตะลึง เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา อี้เหนียงสี่ไม่เคยพาคุณชายออกไปข้างนอกด้วยตนเองเลยสักครั้ง
“เอ่อ...ข้า...ข้าคงต้องเรียนถามนายท่านรองก่อนเจ้าค่ะ”
อันไป๋เล่อฟังแล้ว เอ่ยเสียงราบ “เช่นนั้นก็วันหลังเถอะ...ข้าจะออกไปข้างนอกแล้ว เจ้าก็กลับไปเสีย”
เผยซ่งเหยาไม่แสดงความงอแงแม้แต่น้อย
เขาลุกขึ้น ค้อมกายอย่างนอบน้อม “ขอรับ...อี้เหนียง”
อันไป๋เล่อมองตามหลังเขาเล็กน้อย ก่อนจะหันไปบอกอาเหมย
“ไปข้างนอกกันเถอะ”
เมืองอี้โจวอยู่ห่างจากเมืองหลวงหลายร้อยลี้ แต่ก็ยังนับว่าเป็นเมืองใหญ่ ถนนสายหลักปูด้วยหินสีหม่นทอดยาว ผู้คนสัญจรไปมาอย่างไม่ขาดสาย เสียงเรียกขายสินค้าดังคลอเคล้าไปกับกลิ่นอาหารหอมกรุ่นที่ลอยอบอวลอยู่ทั่วในยามที่เดินผ่านแถวร้านรวง อันไป๋เล่อหันไปถามอาเหมยเสียงเรียบ “พวกเราเหลือเงินอยู่เท่าไร”อาเหมยรีบตอบ “คุณหนู...มีอยู่เพียงสิบกว่าตำลึงเจ้าค่ะ”นางเว้นไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงระมัดระวัง “เช่นนั้น...คงต้องนำเครื่องประดับออกไปขายอีก...ไม่เช่นนั้นคงไม่พอใช้จ่าย”“เช่นนั้นก็ไปขายกันเถอะ”อันไป๋เล่อเอ่ยเสียงราบ พลางยกข้อมือขึ้น ดึงกำไลหยกสีเขียวอ่อนที่สวมอยู่ออกมา แสงแดดสะท้อนบนผิวหยกใส หญิงสาวยิ้มพอใจ ดูแล้วน่าจะได้ราคาดี นางเหลือบไปยังป้ายเขียนด้วยอักษรสีทองว่า “หอหงส์ชิง” แล้วก็ก้าวเดินออกไป อาเหมยที่เดินเคียงอยู่ข้าง ๆ รีบเอ่ยขึ้นอย่างร้อนรน“คุณหนู...ให้ข้าไปจัดการเถอะเจ้าค่ะ ท่านไม่จำเป็นต้อง...”อันไป๋เล่อส่ายหน้าเล็กน้อย ก่อนก้าวเท้าไปข้างหน้า“ไม่เป็นไร...ไปด้วยกันเถอะ”ภายในร้ายมีลูกค้าพูดคุยกันหลายกลุ่ม เมื่ออันไป๋เล่อก้าวเข้าสู่หอหงส์ชิง ใบหน้าอันโดดเด่นของนา
หลังจากแบกจอบกลับมาถึงเรือนท้ายอันไป๋เล่อก็วางมันพิงไว้ข้างกำแพงหิน ก่อนจะหมุนตัวกลับเข้าไปในเรือน กลับออกมาอีกครั้ง พร้อมชุดขี่ม้าสีเรียบที่เคยใช้ตอนเดินทางผ้าคาดเอวถูกมัดแน่นเพื่อให้เคลื่อนไหวคล่องตัว บ่าวไพร่ที่มาแอบดูต่างไม่เชื่อสายตา พวกเขามองดูอยู่ครู่หนึ่งนางคว้าจอบขึ้นอีกครั้ง แล้วเริ่มลงมือถางหญ้าที่รกอยู่รอบเรือนจอบในมือถูกเหวี่ยงดูค่อนข้างเชี่ยวชาญท่วงท่าราบเรียบ แต่กลับเต็มไปด้วยความตั้งใจเสียง "ฉับ ฉับ" ของจอบดังเป็นจังหวะคลุกเคล้ากับกลิ่นหญ้าและดินชื้นที่พุ่มไม้ห่างออกไปเล็กน้อยบ่าวไพร่สามคนแอบมองด้วยสายตาเบิกกว้าง“นั่น...อี้เหนียงสี่กำลังถางหญ้าเองจริง ๆ?”พวกเขาต่างไม่เชื่อสายตาตนเองยิ่งดู...ก็ยิ่งตะลึงแต่ยังไม่ทันได้กระซิบกันต่อ เสียงเรียบนิ่งแฝงน้ำเสียงดุเล็ก ๆ ดังขึ้นอยู่ด้านหลัง “พวกเจ้ากำลังทำอะไร!!” ทั้งสามสะดุ้งเฮือก รีบหันขวับกลับไปทันใดนั้นก็ถอนหายใจโล่งอกแทบพร้อมกัน“คุณชายสี่...บ่าวตกใจหมดขอรับ...”ซ่งเหยาคุณชายสี่ของจวนเผย ยืนกอดอกอยู่ด้านหลัง แววตาจริงจังเกินวัยแม้อายุเพียงไม่กี่ขวบ แต่ท่าทางกลับดูน่าเกรงขามในสายตาบ่าวไพร่“นี่พวกเจ้ากำลัง
ขุดหลุมฝั่งคน ซ่งเหยานั่งกินอย่างระมัดระวัง เขาไม่เอ่ยวาจาเพียงแต่คอยลอบมองมารดาอยู่เงียบ ๆ พอทานเสร็จก็รีบขอตัวไม่กล้ารบกวนอีกฝ่าย ไป๋เล่อมองตามหลังแล้วถอนหายใจ น่ารักขนาดนี้ไม่รู้ว่าไป๋เล่อคนเดิมใจคอทำร้ายได้อย่างไร นางตกใจมากหลายวันแล้ว ควรได้เริ่มต้นทำอะไรสักทีพอกินเสร็จนางหันไปสั่งสาวใช้อาเหมย “ข้าจะเขียนจดหมายสักหน่อยเจ้าไปฝนหมึกเถอะ”สิ่งแรกที่ต้องทำ...คือบอก “บิดา” ของนางบอกเขาว่านางจะ ไม่แต่งงานใหม่ไม่ไปเป็นเครื่องมือของตระกูลอีกต่อไปนางจะอยู่ที่นี่ในจวนนายท่านรอง แม้จะไร้ที่พึ่งพิงและไม่เป็นที่รักคิดถึงนายท่านรองแล้วนางได้แต่ถอนหายใจ เสียดายหล่อขนาดนั้นกลายเป็นสามีเก่าไปแล้วตอนนี้คงต้องใช้ชีวิตเพื่อตัวเองและเลี้ยงดูบุตรชายผู้น่ารักคนนั้น...อย่างดีที่สุดมือเรียวหยิบพู่กันขึ้นเริ่มเขียนอาเหมยที่ยืนอยู่ด้านข้าง มองผู้เป็นนายด้วยสีหน้าลังเล ก่อนจะกลั้นใจเอ่ยขึ้นเบา ๆ “อี้เหนียงจะไม่ออกเรือนใหม่หรือเจ้าคะ” ไป๋เล่อหยักหน้า “อืม...ไม่แต่งแล้ว”อาเหมยนิ่งงัน เอ่ยเสียงเบาราวกับกลัวจะขัดใจอีกฝ่าย“แต่อี้เหนียง...ข้าวของเครื่องประดับเราขายเก
ณ สวนท้ายเรือนอันสงบงามใต้ร่มเงาไม้ผลัดใบหญิงสาวผู้หนึ่งนั่งทอดสายตาเหม่อลอย ดวงหน้าขาวเนียนราวหยกพิสุทธิ์ แก้มแต้มสีระเรื่อดั่งกลีบพีชในยามเช้า นัยน์ตาดำขลับทอดมองไร้จุดหมาย แต่กลับงดงามจนยากละสายตาเส้นผมดำขลับถูกรวบไว้หลวม ๆ ริ้วผ้าโปร่งบางสะบัดไหวต้องลม ราวภาพวาดในร่างของ “อันไป๋เล่อ” อนุตัวร้ายของคุณชายรองเผย ผู้ไม่มีใครกล้ามายุ่ง เวลานี้มีหญิงสาวจากอีกภพหนึ่งสถิตอยู่นาง...ผู้เกิดใหม่“ไม่น่าเชื่อเลยว่าเกิดใหม่ครั้งนี้ จะได้มาอยู่ในยุคโบราณเช่นนี้”นางทอดถอนใจเบา ๆชีวิตก่อน... คาเฟ่เล็ก ๆ ที่ลงมือสร้างขึ้นจากศูนย์ ต้นไม้ทุกต้นในนั้นล้วนเป็นความตั้งใจกุหลาบใหญ่ข้างทางที่เคยผลิดอกบานสะพรั่งทุกฤดู ใบไม้ของมันในยามสุดท้ายกลับเปลี่ยนสีและร่วงหล่นเพราะน้ำท่วมนางได้แต่เฝ้ามองด้วยความรู้สึกปวดใจ เดิมทีก็มีปัญหาด้านสุขภาพปัญหารุ่มเร้าทำให้โรคหัวใจกำเริบ นางถึงได้มาเกิดใหม่ที่นี่เฮ้อ!! สวรรค์คงลืมลบความทรงจำ“อย่างน้อยสวรรค์ก็ให้โอกาสเริ่มต้นใหม่” นางมองรอบสวน หญ้านุ่มล้อสายลม มุมแสงดี เงาไม้พอเหมาะ... หากได้ตั้งซุ้มชาเล็ก ๆ สักมุม ปลูกไม้หอมริมรั้วอีกสักหน่อย คงไม่เลว“ที่นี่.