เมืองอี้โจวอยู่ห่างจากเมืองหลวงหลายร้อยลี้ แต่ก็ยังนับว่าเป็นเมืองใหญ่ ถนนสายหลักปูด้วยหินสีหม่นทอดยาว ผู้คนสัญจรไปมาอย่างไม่ขาดสาย เสียงเรียกขายสินค้าดังคลอเคล้าไปกับกลิ่นอาหารหอมกรุ่นที่ลอยอบอวลอยู่ทั่ว
ในยามที่เดินผ่านแถวร้านรวง อันไป๋เล่อหันไปถามอาเหมยเสียงเรียบ “พวกเราเหลือเงินอยู่เท่าไร”
อาเหมยรีบตอบ “คุณหนู...มีอยู่เพียงสิบกว่าตำลึงเจ้าค่ะ”
นางเว้นไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงระมัดระวัง “เช่นนั้น...คงต้องนำเครื่องประดับออกไปขายอีก...ไม่เช่นนั้นคงไม่พอใช้จ่าย”
“เช่นนั้นก็ไปขายกันเถอะ”
อันไป๋เล่อเอ่ยเสียงราบ พลางยกข้อมือขึ้น ดึงกำไลหยกสีเขียวอ่อนที่สวมอยู่ออกมา แสงแดดสะท้อนบนผิวหยกใส หญิงสาวยิ้มพอใจ ดูแล้วน่าจะได้ราคาดี
นางเหลือบไปยังป้ายเขียนด้วยอักษรสีทองว่า “หอหงส์ชิง” แล้วก็ก้าวเดินออกไป อาเหมยที่เดินเคียงอยู่ข้าง ๆ รีบเอ่ยขึ้นอย่างร้อนรน
“คุณหนู...ให้ข้าไปจัดการเถอะเจ้าค่ะ ท่านไม่จำเป็นต้อง...”
อันไป๋เล่อส่ายหน้าเล็กน้อย ก่อนก้าวเท้าไปข้างหน้า
“ไม่เป็นไร...ไปด้วยกันเถอะ”
ภายในร้ายมีลูกค้าพูดคุยกันหลายกลุ่ม เมื่ออันไป๋เล่อก้าวเข้าสู่หอหงส์ชิง ใบหน้าอันโดดเด่นของนางพลันดึงสายตาหลายคู่แอบเหลือบตามมาอย่างอยากรู้อยากเห็น
เจ้าของร้าน ชายร่างท้วมในชุดผ้าไหมสีน้ำตาลหม่นเดินออกมารับตัวตนเอง “ฮูหยินท่านนี้มีสิ่งใดให้ หอหงส์ชิง รับใช้หรือขอรับ”
อันไป๋เล่อวางกำไลลงบนผ้ากำมะหยี่ที่พนักงานปูรองแล้วพูด “ท่านให้ราคาได้เท่าไร”
เขาหยิบกำไลขึ้นอย่างระมัดระวัง พลิกดูทีละมุม จนแสงจากช่องหน้าต่างกระทบผิวหยกเกิดประกายเย็นตา
เมื่อเห็นตราประทับในวังหลวง เขาก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบตามองนางอีกครั้ง แต่ก็ไม่เอ่ยถาม
“ของดี...ชั้นเลิศ หายากนัก...แต่ข้าให้ท่านได้แค่ร้อยตำลึงเท่านั้น”
อาเหมยที่ยืนอยู่ด้านหลังถึงกับชะงัก กำไลหยกวงนี้มิใช่ของธรรมดาเป็นของพระราชทานจากฮ่องเต้เมื่อครั้งตระกูลเผยรุ่งโรจน์
ต่อมา นายท่านรองเผยถึงได้นำมามอบให้อี้เหนียงสี่
...อนุคนโปรดในวันวาน
ความอัดอั้นพุ่งขึ้นทันที อาเหมยจึงเอ่ยเสียงขุ่น “จะร้อยตำลึงได้อย่างไร! เถ้าแก่เองก็เห็นว่ามันเป็นของจากช่างในวัง ราคาอย่างน้อยก็น่าจะห้าร้อยตำลึงเป็นอย่างต่ำ!”
เถ้าแก่หัวเราะแห้ง ๆ พลางส่ายหน้า “แม่นางน้อย...ข้าทำการค้า ของซื้อมาก็ต้องขายไป ของชิ้นนี้ แม้จะเป็นของจากช่างในวัง แต่ที่ห่างไกลเมืองหลวงเช่นนี้ จะขายออกนับว่ายากยิ่ง”
อันไป๋เล่อเอ่ย น้ำเสียงใจเย็น “อาเหมย...อย่าเสียมารยาท”
จากนั้นจึงหันไปหาเถ้าแก่ “ท่านเพิ่มได้หรือไม่?”
เถ้าแก่ขมวดคิ้วครู่หนึ่ง ก่อนตอบ“ร้อยห้าสิบตำลึง...ข้าให้ได้เท่านี้”
อันไป๋เล่อเพียงยิ้มบาง ๆ พยักหน้า “เช่นนั้น ข้าไปร้านอื่นก็ได้”
นางเอื้อมมือเก็บกำไลหยกกลับใส่มือ ราวกับไม่เดือดร้อน
เถ้าแก่ที่ได้ยินเช่นนั้นรีบโพล่งขึ้นทันที
“สองร้อย! สองร้อยตำลึง!”
อันไป๋เล่อเลิกคิ้วน้อย ๆ แล้วยิ้มอ่อน “เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้”
หลังจากรับถุงเงินจากเถ้าแก่เรียบร้อย อันไป๋เล่อก็หมุนตัวก้าวออกจากหอหงส์ชิงทันที เสียงพูดคุยเจื้อยแจ้วและกลิ่นขนมอบจากร้านข้างทางต้อนรับนางกลับสู่ความคึกคักของตลาดอีกครั้ง
นางหันไปหาอาเหมย “พาข้าไปร้านเครื่องครัว”
ไม่นาน ทั้งสองก็เดินมาถึงร้านใหญ่ที่ตั้งอยู่ริมถนนสายหลัก
แผงวางเรียงรายด้วยหม้อดินสีเข้ม กระทะเหล็กเงามัน เขียงไม้หนา และตะกร้าสานหลากขนาด มีเสียงตีฆ้อนและขัดเหล็กดังมาจากด้านใน เป็นสัญญาณว่ามีช่างกำลังทำของอยู่
อันไป๋เล่อกวาดตามองอย่างพิจารณา
เธอเลือกหม้อดินขนาดกลางสองใบ กระทะเหล็กก้นลึกหนึ่งใบ เขียงไม้เนื้อแข็ง ตะหลิวไม้ และตะกร้าไม้ไผ่สำหรับล้างผัก
รวมทั้งถ้วยชามดินเผาเรียบ ๆ หลายชุด
แม่ค้าสาวเจ้าของร้านยกยิ้ม พูดเสียงใส
“แม่นางเลือกของดีทั้งนั้น รับรองทนทาน ใช้นานหลายปีเจ้าค่ะ”
อันไป๋เล่อเพียงพยักหน้า ก่อนควักถุงเงินส่งให้
“ห่อให้เรียบร้อย แล้วให้คนของเจ้าส่งตรงไปที่ตระกูลเผยตั้งอยู่ทิศตะวันออก” แม่ค้ารับคำด้วยสีหน้ายินดี รีบสั่งให้เด็กชายในร้านไปเตรียมเกวียนเล็กสำหรับขนของ
อาเหมยมองภาพนั้นแล้วอดรู้สึกแปลกใจไม่ได้
แม้จะเพิ่งขายกำไลหยกที่มีคุณค่าสูง แต่ผู้เป็นนายของนางกลับใช้เงินอย่างมีแบบแผนและไม่ฟุ่มเฟือย ปกตินางจะเลือกไปนั่งดื่มกินอาหารที่ร้านใหญ่ ๆ
เมืองอี้โจวอยู่ห่างจากเมืองหลวงหลายร้อยลี้ แต่ก็ยังนับว่าเป็นเมืองใหญ่ ถนนสายหลักปูด้วยหินสีหม่นทอดยาว ผู้คนสัญจรไปมาอย่างไม่ขาดสาย เสียงเรียกขายสินค้าดังคลอเคล้าไปกับกลิ่นอาหารหอมกรุ่นที่ลอยอบอวลอยู่ทั่วในยามที่เดินผ่านแถวร้านรวง อันไป๋เล่อหันไปถามอาเหมยเสียงเรียบ “พวกเราเหลือเงินอยู่เท่าไร”อาเหมยรีบตอบ “คุณหนู...มีอยู่เพียงสิบกว่าตำลึงเจ้าค่ะ”นางเว้นไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงระมัดระวัง “เช่นนั้น...คงต้องนำเครื่องประดับออกไปขายอีก...ไม่เช่นนั้นคงไม่พอใช้จ่าย”“เช่นนั้นก็ไปขายกันเถอะ”อันไป๋เล่อเอ่ยเสียงราบ พลางยกข้อมือขึ้น ดึงกำไลหยกสีเขียวอ่อนที่สวมอยู่ออกมา แสงแดดสะท้อนบนผิวหยกใส หญิงสาวยิ้มพอใจ ดูแล้วน่าจะได้ราคาดี นางเหลือบไปยังป้ายเขียนด้วยอักษรสีทองว่า “หอหงส์ชิง” แล้วก็ก้าวเดินออกไป อาเหมยที่เดินเคียงอยู่ข้าง ๆ รีบเอ่ยขึ้นอย่างร้อนรน“คุณหนู...ให้ข้าไปจัดการเถอะเจ้าค่ะ ท่านไม่จำเป็นต้อง...”อันไป๋เล่อส่ายหน้าเล็กน้อย ก่อนก้าวเท้าไปข้างหน้า“ไม่เป็นไร...ไปด้วยกันเถอะ”ภายในร้ายมีลูกค้าพูดคุยกันหลายกลุ่ม เมื่ออันไป๋เล่อก้าวเข้าสู่หอหงส์ชิง ใบหน้าอันโดดเด่นของนา
หลังจากแบกจอบกลับมาถึงเรือนท้ายอันไป๋เล่อก็วางมันพิงไว้ข้างกำแพงหิน ก่อนจะหมุนตัวกลับเข้าไปในเรือน กลับออกมาอีกครั้ง พร้อมชุดขี่ม้าสีเรียบที่เคยใช้ตอนเดินทางผ้าคาดเอวถูกมัดแน่นเพื่อให้เคลื่อนไหวคล่องตัว บ่าวไพร่ที่มาแอบดูต่างไม่เชื่อสายตา พวกเขามองดูอยู่ครู่หนึ่งนางคว้าจอบขึ้นอีกครั้ง แล้วเริ่มลงมือถางหญ้าที่รกอยู่รอบเรือนจอบในมือถูกเหวี่ยงดูค่อนข้างเชี่ยวชาญท่วงท่าราบเรียบ แต่กลับเต็มไปด้วยความตั้งใจเสียง "ฉับ ฉับ" ของจอบดังเป็นจังหวะคลุกเคล้ากับกลิ่นหญ้าและดินชื้นที่พุ่มไม้ห่างออกไปเล็กน้อยบ่าวไพร่สามคนแอบมองด้วยสายตาเบิกกว้าง“นั่น...อี้เหนียงสี่กำลังถางหญ้าเองจริง ๆ?”พวกเขาต่างไม่เชื่อสายตาตนเองยิ่งดู...ก็ยิ่งตะลึงแต่ยังไม่ทันได้กระซิบกันต่อ เสียงเรียบนิ่งแฝงน้ำเสียงดุเล็ก ๆ ดังขึ้นอยู่ด้านหลัง “พวกเจ้ากำลังทำอะไร!!” ทั้งสามสะดุ้งเฮือก รีบหันขวับกลับไปทันใดนั้นก็ถอนหายใจโล่งอกแทบพร้อมกัน“คุณชายสี่...บ่าวตกใจหมดขอรับ...”ซ่งเหยาคุณชายสี่ของจวนเผย ยืนกอดอกอยู่ด้านหลัง แววตาจริงจังเกินวัยแม้อายุเพียงไม่กี่ขวบ แต่ท่าทางกลับดูน่าเกรงขามในสายตาบ่าวไพร่“นี่พวกเจ้ากำลัง
ขุดหลุมฝั่งคน ซ่งเหยานั่งกินอย่างระมัดระวัง เขาไม่เอ่ยวาจาเพียงแต่คอยลอบมองมารดาอยู่เงียบ ๆ พอทานเสร็จก็รีบขอตัวไม่กล้ารบกวนอีกฝ่าย ไป๋เล่อมองตามหลังแล้วถอนหายใจ น่ารักขนาดนี้ไม่รู้ว่าไป๋เล่อคนเดิมใจคอทำร้ายได้อย่างไร นางตกใจมากหลายวันแล้ว ควรได้เริ่มต้นทำอะไรสักทีพอกินเสร็จนางหันไปสั่งสาวใช้อาเหมย “ข้าจะเขียนจดหมายสักหน่อยเจ้าไปฝนหมึกเถอะ”สิ่งแรกที่ต้องทำ...คือบอก “บิดา” ของนางบอกเขาว่านางจะ ไม่แต่งงานใหม่ไม่ไปเป็นเครื่องมือของตระกูลอีกต่อไปนางจะอยู่ที่นี่ในจวนนายท่านรอง แม้จะไร้ที่พึ่งพิงและไม่เป็นที่รักคิดถึงนายท่านรองแล้วนางได้แต่ถอนหายใจ เสียดายหล่อขนาดนั้นกลายเป็นสามีเก่าไปแล้วตอนนี้คงต้องใช้ชีวิตเพื่อตัวเองและเลี้ยงดูบุตรชายผู้น่ารักคนนั้น...อย่างดีที่สุดมือเรียวหยิบพู่กันขึ้นเริ่มเขียนอาเหมยที่ยืนอยู่ด้านข้าง มองผู้เป็นนายด้วยสีหน้าลังเล ก่อนจะกลั้นใจเอ่ยขึ้นเบา ๆ “อี้เหนียงจะไม่ออกเรือนใหม่หรือเจ้าคะ” ไป๋เล่อหยักหน้า “อืม...ไม่แต่งแล้ว”อาเหมยนิ่งงัน เอ่ยเสียงเบาราวกับกลัวจะขัดใจอีกฝ่าย“แต่อี้เหนียง...ข้าวของเครื่องประดับเราขายเก
ณ สวนท้ายเรือนอันสงบงามใต้ร่มเงาไม้ผลัดใบหญิงสาวผู้หนึ่งนั่งทอดสายตาเหม่อลอย ดวงหน้าขาวเนียนราวหยกพิสุทธิ์ แก้มแต้มสีระเรื่อดั่งกลีบพีชในยามเช้า นัยน์ตาดำขลับทอดมองไร้จุดหมาย แต่กลับงดงามจนยากละสายตาเส้นผมดำขลับถูกรวบไว้หลวม ๆ ริ้วผ้าโปร่งบางสะบัดไหวต้องลม ราวภาพวาดในร่างของ “อันไป๋เล่อ” อนุตัวร้ายของคุณชายรองเผย ผู้ไม่มีใครกล้ามายุ่ง เวลานี้มีหญิงสาวจากอีกภพหนึ่งสถิตอยู่นาง...ผู้เกิดใหม่“ไม่น่าเชื่อเลยว่าเกิดใหม่ครั้งนี้ จะได้มาอยู่ในยุคโบราณเช่นนี้”นางทอดถอนใจเบา ๆชีวิตก่อน... คาเฟ่เล็ก ๆ ที่ลงมือสร้างขึ้นจากศูนย์ ต้นไม้ทุกต้นในนั้นล้วนเป็นความตั้งใจกุหลาบใหญ่ข้างทางที่เคยผลิดอกบานสะพรั่งทุกฤดู ใบไม้ของมันในยามสุดท้ายกลับเปลี่ยนสีและร่วงหล่นเพราะน้ำท่วมนางได้แต่เฝ้ามองด้วยความรู้สึกปวดใจ เดิมทีก็มีปัญหาด้านสุขภาพปัญหารุ่มเร้าทำให้โรคหัวใจกำเริบ นางถึงได้มาเกิดใหม่ที่นี่เฮ้อ!! สวรรค์คงลืมลบความทรงจำ“อย่างน้อยสวรรค์ก็ให้โอกาสเริ่มต้นใหม่” นางมองรอบสวน หญ้านุ่มล้อสายลม มุมแสงดี เงาไม้พอเหมาะ... หากได้ตั้งซุ้มชาเล็ก ๆ สักมุม ปลูกไม้หอมริมรั้วอีกสักหน่อย คงไม่เลว“ที่นี่.