“ศิษย์พี่เจ้าคะ ไม่ทราบว่าเตาหลอมนี้ราคาเท่าไหร่” เจิ้งหลินลงมาจากชั้นสอง
“อ้อ เตานี้ราคา 100 ตำลึง มันเก่าแล้วราคาจึงไม่แพงนัก”
“นี่ตั๋วแลกเงินเจ้าค่ะ ขอบคุณท่านที่ช่วยขายให้ข้า” เจิ้งหลินยื่นตั๋วแลกเงินส่งให้ศิษย์พี่ผู้ขายสินค้าในร้านค้าพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะนำเตาหลอมใส่ไว้ในแหวนเก็บของ
“นี่เป็นหน้าที่ของข้า ขอบใจเจ้ามากที่มาอุดหนุน” ศิษย์พี่ยิ้มตอบ
เจิ้งหลินพาเสี่ยวจู้เดินกลับไปยังที่พักเพื่อร่วมทานมื้อค่ำกับเพื่อน ๆ ที่น่าจะเตรียมอาหารเอาไว้ให้นางแล้ว นางไม่คิดว่าเตาหลอมเก่า ๆ นี่ยังมีราคาถึง 100 ตำลึง ตอนนี้เงินติดตัวที่นางเก็บไว้เหลือเพียง 100 ตำลึงเท่านั้นคืนนั้นหลังจากได้เตาหลอมยามา เสี่ยวจู้นำสมุนไพรออกมาให้เจิ้งหลินหัดหลอมยาเพิ่มปราณขั้นปฐพี โดยเสี่ยวจู้ค่อย ๆ สอนวิธีเตรียมสมุนไพรและขั้นตอนการนำสมุนไพรใส่เตาหลอมอย่างช้า ๆ เพื่อให้เจิ้งหลินจดจำได้ ด้วยพรสวรรค์ของเจิ้งหลิน ทำให้นางสามารถหลอมยาออกมาได้ทีเดียวถึง 10 เม็ด และคุณภาพยายังดีมากอีกด้วย“เจ้าเก่งมากเจิ้งหลิน หายากนักที่ผู้หลอมจะสามารถหลอมได้ตั้งแต่ครั้งแรก หากเจ้าใช้พลังปราณควบคุมความร้อนของเตาหลอมให้ดีกว่านี้ ข้าคิดว่าคุณภาพยาของเจ้าจะยิ่งบริสุทธิ์มากขึ้นอีกเท่าตัวเลยทีเดียว แต่ได้ยาคุณภาพ 7 ส่วนก็นับว่าเก่งแล้ว”
“ขอบใจเจ้ามากเสี่ยวจู้ที่คอยสอนข้า คืนนี้ดึกมากแล้ว เรานอนก่อนเถอะ พรุ่งนี้ข้าจะมอบยาที่ได้ให้เพื่อน ๆ จะได้ช่วยเพิ่มพลังปราณให้พวกนางได้สักเล็กน้อย”
“อื้อ นอนกันเถอะ” เสี่ยวจู้ยิ้มอย่างน่ารักก่อนจะเข้าไปซุกในอ้อมแขนของเจิ้งหลิน
กลางดึกหลังจากเจิ้งหลินนอนหลับสนิท เสี่ยวจู้แอบออกจากห้องพักไปมอบยาเพิ่มปราณให้สัตว์อสูรที่ช่วยนางสั่งสอนกลุ่มเด็กตระกูลเฟิน ก่อนที่นางจะกลับเข้าไปนอนกับเจิ้งหลินต่อในเวลาไม่นานเช้าวันต่อมา เจิ้งหลินส่งยาให้เพื่อนคนละสองเม็ดโดยไม่บอกว่าได้มาอย่างไร พวกนางกลืนยาเข้าไปแล้วนั่งปรับพลังปราณไม่นานนัก จากนั้นจึงชวนกันไปกินข้าวที่โรงอาหารของสำนัก เจิ้งหลินถึงแม้จะมีพลังปราณถึงขั้นฟ้ากระจ่างแล้ว แต่นางก็ยังพบว่ายาที่กินเข้าไปช่วยเพิ่มปราณให้นางได้เล็กน้อยครึ่งปีต่อมา
เจิ้งกั๋วกงที่ได้รับจดหมายจากหลานสาวเมื่อหลายเดือนก่อน เขาส่งคนนำเตาหลอมขั้นสวรรค์มาให้กับเจิ้งหลินถึงสำนัก อีกทั้งยังฝากเงินมาให้นางมากถึงหนึ่งพันตำลึง และฝากบอกหลานสาวว่าเงินที่ให้มานั้นเอาไว้ซื้อสมุนไพรสำหรับหัดหลอมยาตามที่นางต้องการเสี่ยวจู้พอเห็นว่าท่านตาของเจิ้งหลินทุ่มทุนมากเพื่อให้หลานสาวหลอมยาก็ยิ้มอย่างยินดี นับว่านางเลือกเจ้านายไม่ผิด ขนาดผู้สนับสนุนของเจิ้งหลินอย่างท่านตาของนางยังไม่ถามไถ่สักคำว่าเจิ้งหลินเรียนหลอมยาได้อย่างไร แต่กลับมอบสิ่งของพร้อมทั้งเงินทองให้นางตั้งใจหลอมยาเสียอย่างนั้นน่าเสียดายที่พลังปราณของเจิ้งหลินยังต่ำอยู่ นางจึงสามารถใช้เตาหลอมที่ซื้อมาเองครั้งแรกได้เท่านั้น แต่การฝึกฝนหลอมยาของเจิ้งหลินในแต่ละวันที่ผ่านมากลับทำให้เสี่ยวจู้ถึงกับตกตะลึง เจิ้งหลินสามารถหลอมยาคุณภาพดีเต็ม 10 ส่วนได้ในเวลาเพียงหนึ่งเดือนหลังจากเริ่มเรียนเพื่อน ๆ ของเจิ้งหลินเองก็ได้รับยาเพิ่มปราณมากินเล่นดั่งขนมอยู่บ่อย ๆ จากการหลอมของเจิ้งหลินที่ฝึกฝนอยู่ทุกวัน ตอนนี้นางสามารถหลอมยาระดับนภาขั้นสูงได้แล้ว ทำให้พลังปราณของเจิ้งหลินใกล้จะผ่านระดับฟ้ากระจ่างขั้นสูงเช่นกันอาจารย์ที่สอนพวกนางแปลกใจไม่น้อยที่เห็นพลังปราณของพวกนางสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เพียงแต่ท่านคิดว่าพวกนางน่าจะซื้อยามากินเองมากกว่าการหลอมยาด้วยตัวเอง เพราะอย่างไรตำหนักสัตว์อสูรก็ไม่มีการสอนเรื่องปรุงยาแต่แรกเมื่อถึงเวลาเข้าเรียนในวันนี้ อาจารย์มีข่าวดีมาแจ้งให้ศิษย์ใหม่ทุกคนทราบว่าหลังจากนี้จะมีการแข่งขันหาตัวแทนสำนักเพื่อไปแข่งเป็นตัวแทนแคว้นอีกทีหนึ่ง“หากพวกเจ้ามีใครอยากประลองก็มาลงชื่อได้กับอาจารย์ภายในวันนี้ การประลองจะเริ่มในอีกสามวันข้างหน้า หลังจากคัดเลือกตัวแทนสำนักได้แล้ว จึงจะเริ่มเดินทางไปยังเมืองหลวงแคว้นหนานในวันถัดไป ส่วนคนที่ไม่ได้ผ่านเข้ารอบก็ใช้เวลาช่วงปิดเรียนฤดูหนาวกลับบ้านได้ หากใครอยากไปดูการแข่งขันในเมืองหลวงก็ไปได้เช่นเดียวกัน ถือว่าพวกเจ้าไปหาประสบการณ์”
“ทราบแล้วท่านอาจารย์” ศิษย์ในตำหนักสัตว์อสูรรับคำพร้อมกัน
หลังแจ้งเรื่องสำคัญให้ทุกคนทราบแล้ว อาจารย์ก็ตั้งโต๊ะรอจดรายชื่อศิษย์ที่ต้องการเข้าร่วมประลองในครั้งนี้“เจิ้งหลิน เจ้าว่าเราลองเข้าร่วมประลองกันดีหรือไม่?” เซียวเหมยเอ่ย
“ใช่ ๆ ข้าอยากลองดูว่าตอนนี้พัฒนาการการต่อสู้ของข้ากับเสี่ยวเหวินเป็นอย่างไร”
“ข้าก็ด้วย เสี่ยวเฮยกับข้าหลังจากเรียนมาครึ่งปีก็ยิ่งเข้าขากัน”
“ถ้าพวกเจ้าสนใจก็ลองดูได้ ข้ากับเสี่ยวจู้ก็จะร่วมประลองเช่นกัน”
“เช่นนั้นเราไปลงชื่อกันเถอะ” หานชิงรีบจับมือเพื่อนเดินไปต่อแถวทันที
อาจารย์ที่เห็นศิษย์หลายคนกระตือรือร้นที่จะลงประลองก็ยิ้มบางออกมา เขาไม่คิดว่าศิษย์ที่เขาสอนจะมีความมุ่งมั่นกันไม่น้อย นับว่าเขาสอนได้ไม่เสียเปล่ากว่าหนึ่งชั่วยามที่อาจารย์จะจดรายชื่อศิษย์ทุกคนครบ ตำหนักสัตว์อสูรมีผู้เข้าร่วมการแข่งขันมากถึง 25คนเลยทีเดียว นอกจากศิษย์ที่ไม่มีสัตว์อสูรแล้ว ศิษย์คนอื่นต่างสมัครเข้าร่วมการแข่งขันทุกคน ทำให้อาจารย์ปลื้มใจไม่น้อย“จากนี้พวกเจ้าต้องฝึกฝนให้ดีและอย่าให้ตนเองรวมถึงสัตว์อสูรประจำตัวบาดเจ็บก่อนการแข่งขันเล่า อาจารย์จะปล่อยให้พวกเจ้าฝึกฝนก่อนถึงวันแข่งด้วยตัวเอง หากมีสิ่งใดไม่เข้าใจหรือต้องการคำแนะนำก็มาหาอาจารย์ได้ตลอด”
“พวกเราเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ/ขอรับ”
ศิษย์ทั้งหมดค้อมกายคารวะอาจารย์ก่อนแยกย้ายกันไปฝึกฝนในที่พักของตนเอง พวกเขาไม่อยากมาฝึกที่ลานเพื่อให้คนอื่นเห็นจึงทำเช่นนี้ ส่วนพวกเจิ้งหลินก็กลับไปยังที่พักเช่นเดียวกัน ต่างกันที่พวกเจิ้งหลินนั้นสบายกว่ามาก พวกนางนัดกันจะเข้าป่าหลังเขาไปหาสมุนไพรและฝึกฝนกับสัตว์อสูรที่อยู่ในป่าหลังเขาก่อนถึงวันประลอง“พวกเราไปซื้อเสบียงกันก่อนเถอะ บ่ายนี้จะได้ไปที่หลังเขากัน” อู๋อิงเสนอ
“ตกลง ๆ พวกเรารีบไปกัน ข้าว่าที่หลังเขาน่าจะมีคนไปฝึกอย่างพวกเราไม่น้อย”
“อย่างไรหลังเขาก็มีสัตว์อสูรไม่มากนัก เราก็ถือว่าไปพักผ่อนกันจะดีกว่านะ”
“พวกเจ้านี่นะ หากอยากพักผ่อนก็อยู่ที่สำนักไม่ดีกว่าหรือไร” เจิ้งหลินกล่าว
“เพ้ย! นั่นจะได้อย่างไรกันเล่า การเดินทางไปฝึกฝนที่หลังเขาดีกว่าเห็น ๆ” หานชิงเอ่ย
“ฮ่า ฮ่า ข้าแค่ล้อพวกเจ้าเล่นเท่านั้น พวกเรารีบเก็บสัมภาระก่อนค่อยไปซื้อเสบียง”
“ได้ ๆ งั้นอีกหนึ่งเค่อมาเจอกันที่นี่นะ” เซียวเหมยกล่าว
ทั้งสี่แยกย้ายกันเข้าไปเก็บเสื้อผ้าใส่ในแหวนเก็บของและออกมาในเวลาไม่นานนัก ส่วนสัตว์อสูรทั้งสี่ก็นอนเล่นรอที่ลานหน้ากระท่อมที่พักของพวกนางอย่างสบายใจ“ท่านเสี่ยวจู้คิดว่าพวกเราทั้งสามน่าจะผ่านเข้ารอบหรือไม่ขอรับ” เสี่ยวเหิงถามขึ้น
“แน่นอนสิ ข้าสอนพวกเจ้าไปแล้วนี่ว่าต้องต่อสู้อย่างไร”
“พวกเราแค่ไม่มั่นใจในฝีมือตนเองขอรับ กลัวว่าจะมีสัตว์อสูรตัวอื่นที่มีพลังมากกว่าจนไม่สามารถผ่านเข้ารอบได้” เสี่ยวเฮยก้มหน้าเอ่ย
“พวกเจ้ามีพลังปราณมากกว่าสัตว์อสูรตัวอื่นแต่แรก ยังจะกลัวอันใดกัน”
“หากท่านเสี่ยวจู้กล่าวเช่นนี้ พวกเราก็จะตั้งใจต่อสู้ร่วมกับเจ้านายให้ดีขอรับ”
“คิดได้ก็ดีแล้ว อย่างไรการแข่งครั้งนี้ข้าจะต้องพาเจิ้งหลินเป็นตัวแทนให้ได้ หากพวกเจ้าได้ผ่านเข้ารอบไปแข่งที่เมืองหลวงด้วยกันก็ยิ่งดี ข้าไม่เคยเห็นเมืองหลวงมาก่อนจึงอยากรู้ว่ามันจะเป็นอย่างไร ฮิ ฮิ” เสี่ยวจู้เอ่ยอย่างอารมณ์ดี
สัตว์อสูรทั้งสี่พูดคุยเกี่ยวกับการไปเมืองหลวงอย่างสนุกสนาน พวกมันมั่นใจว่าจะต้องผ่านการแข่งขันครั้งนี้ได้แน่ ในเมื่อเสี่ยวจู้รับประกันเสียขนาดนี้ คุยกันอยู่เกือบสามเค่อ พวกเจิ้งหลินก็กลับมาถึงและพาพวกมันเดินทางไปยังหลังเขาทันทีเพื่อทำการฝึกฝนเมื่อไปถึงทางเข้าภูเขาด้านหลังสำนัก ทุกคนต่างเห็นศิษย์ในสำนักหลายคนพาสัตว์อสูรของตนเองเข้ามาด้วยเช่นเดียวกัน เจิ้งหลินชวนเพื่อน ๆ เดินไปยังบริเวณที่ไม่ค่อยมีคนไปนักแล้วเดินหน้าขึ้นเขาไปพร้อมสัตว์อสูรของพวกนาง“เจิ้งหลิน ไปทางตะวันตกกันเถอะ ที่นั่นไม่ค่อยมีคน และยังมีสัตว์อสูรให้พวกเราฝึกฝนด้วยหลายตัวเลยนะ” เสี่ยวจู้ที่แผ่พลังสำรวจโดยรอบภูเขากล่าวขึ้น
“จริงหรือเสี่ยวจู้ เช่นนั้นข้าจะไปตามทางที่เจ้าว่า เจ้านำหน้าไปดีหรือไม่”
“ตกลง ข้านำหน้าเอง ฮิ ฮิ” เสี่ยวจู้กระโดดโลดเต้นนำทางทุกคนไปอย่างร่าเริง
ระหว่างทางเสี่ยวจู้ยังให้เจิ้งหลินเก็บสมุนไพรเพื่อนำไปเป็นส่วนผสมยาในการหลอมหลังจากจบการแข่งขันคัดเลือกตัวแทนอีกด้วยเมื่อเดินลึกเข้าไปตามที่เสี่ยวจู้นำทางเกือบครึ่งชั่วยาม พวกเขาเห็นสัตว์อสูรเสือดาวนอนอยู่ใต้ต้นไม้ อู๋อิงจึงอาสาจัดการก่อนเป็นคนแรก“เสี่ยวเฮย ไปกัน” อู๋อิงเรียกเสือดำสัตว์อสูรของตนหลังจากเชื่อมจิตกันเสร็จ
การต่อสู้เป็นไปอย่างสูสี เพราะเสือดาวตัวนั้นอยู่ในระดับฟ้ากระจ่างแล้ว มันจึงไม่กลัวเสือดำที่อยู่ในระดับเดียวกัน ส่วนอู๋อิงที่อยู่ระดับนภาก็เข้าร่วมต่อสู้อย่างไม่เกรงกลัวเช่นกัน กว่าที่เสือดาวจะหนีหัวซุกหัวซุนไปก็เป็นตอนที่มันบาดเจ็บหนักจนแทบจะเอาตัวไม่รอดแล้ว มันไม่คิดเลยว่าจะพ่ายแพ้ให้กับเสือดำอย่างเสี่ยวเฮยได้“แฮ่ก ๆ โอ้ย เหนื่อยชะมัดเลย เสือดาวตัวนั้นเก่งกาจจริง ๆ” อู๋อิงนั่งลงกับพื้นอย่างเหนื่อยล้าหลังจากเห็นเสือดาววิ่งหนีไปแล้ว
“เจ้าเอาชนะได้ก็ดีแล้ว เช่นนั้นพวกเรานั่งพักกันก่อนเถอะ” เจิ้งหลินเสนอ
“ตกลง ๆ มากินขนมกันดีกว่า” หานชิงนำขนมออกมาแจกทุกคน
ทั้งสี่คนสี่สัตว์อสูรนั่งพักกินขนมอยู่เกือบสองเค่อ ก่อนที่จะเดินหน้าต่อไปเพื่อฝึกฝนตนเองในป่าหลังเขาแห่งนี้ จนกระทั่งพวกเขาฝึกฝนจนครบสองวันจึงได้เดินทางกลับไปยังที่พักในสำนักพร้อมความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นไม่น้อยชินอ๋องเห็นท่าทางสงสัยของเจิ้งหลิน พระองค์จึงถามนางดู พอรู้ว่านางหากิเลนไฟอยู่ พระองค์จึงเล่าให้นางฟังว่ากิเลนไฟไปหาเสบียงอาหารในป่าให้กองทัพได้สองสามวันแล้ว เพราะในค่ายตอนนี้เหลือเพียงข้าวฟ่างเป็นเสบียงพอได้กินวันละมื้อเท่านั้น ทหารบางกลุ่มก็ออกไปล่าสัตว์มาเช่นกัน แต่พวกเขาไม่ได้ไปไกลจากค่ายนักด้วยกลัวว่าจะมีศัตรูซุ่มโจมตี“ลำบากเสด็จพี่แล้วนะเพคะ เสบียงที่หม่อมฉันนำมาครั้งนี้มีทั้งข้าว ข้าวฟ่าง แป้ง ผักและเนื้อสัตว์ที่กว้านซื้อมาจากชาวบ้าน รับรองว่าของที่เก็บไว้ในกำไลเก็บของจะไม่เสียหายแม้แต่น้อยเพคะ” เจิ้งหลินยิ้มตอบชินอ๋อง“ขอบคุณน้องหญิงมาก เจ้าอยากพักผ่อนสักหน่อยหรือไม่”
เจิ้งหลินส่งองครักษ์เข้าไปรายงานว่านางจะเดินทางไปส่งเสบียงให้ชินอ๋องที่ชายแดนแคว้นหยางด้วยตนเองเพื่อความปลอดภัย ไม่เช่นนั้นหากมีการยักยอกเสบียงหรือเดินทางไปถึงช้า อาจทำให้กองทัพที่กำลังต่อสู้อยู่แนวหน้าอดอยากจนไม่มีเรี่ยวแรงพอที่จะยึดคืนพื้นที่เมืองของแคว้นชิง“เจ้าบอกพระชายาชินอ๋องให้ระมัดระวังตัวด้วย เราขอบคุณแทนกองทัพที่นางช่วยเหลือในครั้งนี้ ส่วนเงินค่าเสบียงนั้น ให้นางส่งรายการบัญชีมาเบิกกับเราได้” ฮ่องเต้ตรัสบอกองครักษ์ของเจิ้งหลินที่แอบมาส่งข่าว“กระหม่อมรับบัญชาพะย่ะค่ะ ขอบพระทัยฝ่าบาทที่อนุญาตให้พระชายาไป”“
สองปีต่อมา ด้วยความขยันหมั่นเพียรของชินอ๋องและเจิ้งหลิน ตอนนี้พวกเขาต่างมีระดับพลังปราณสูงถึงระดับผ่าสวรรค์ขั้นปลายแล้ว ส่วนการหลอมอาวุธและชุดเกราะของเสี่ยวจู้ก็เป็นไปด้วยดีมาตลอด ยิ่งเสี่ยวจู้ได้รับเงินจำนวนมากจากฮ่องเต้เพื่อให้มันช่วยหลอมอาวุธระดับสวรรค์ให้ด้วยแล้ว เสี่ยวจู้กับกิเลนไฟก็ช่วยกันหลอมอาวุธแทบจะทุกวัน ยกเว้นเวลาที่ชินอ๋องมีราชกิจ กิเลนไฟจะไม่ได้ช่วยเสี่ยวจู้หลอมอาวุธเพราะต้องติดตามชินอ๋องไป
กว่าที่ทุกคนจะแยกย้ายกันไปพักผ่อนก็เกือบรุ่งสาง กิเลนไฟยังไม่ได้คุยกับเสี่ยวจู้เรื่องทำชุดเกราะให้มัน แต่มันคิดว่าเสี่ยวจู้น่าจะช่วยมันสร้างขึ้นมาได้ อีกอย่างพลังไฟสวรรค์ของมันก็ใช้หลอมอาวุธได้ดีกว่าพลังจิตวิญญาณที่เสี่ยวจู้ใช้อยู่ หากมันร่วมมือกันกับเสี่ยวจู้ กิเลนไฟคาดว่าความเร็วและคุณภาพของการหลอมน่าจะดีขึ้นยิ่งกว่าที่เสี่ยวจู้หลอมด้วยตัวเอง ขุนนางและชาวเมืองเห็นประกาศจากราชสำนักถึงปรากฏการณ์บนท้องฟ้าเมื่อคืนนี้ก็ได้แต่ชื่นชมบุญวาสนาของชินอ๋อง พวกเขาไม่คิดว่าการสร้างอ
เมื่อกลับถึงจวนอ๋อง เสี่ยวจู้ขอแยกตัวออกไปหลอมอาวุธที่เรือนของเจิ้งหลิน ชินอ๋องกับเจิ้งหลินนั้นอยู่ฝึกฝนพลังปราณที่เรือนหลักด้วยกัน เพราะทั้งสองไม่อยากรบกวนเสี่ยวจู้หลอมอาวุธ ส่วนอาหารนั้นบ่าวในจวนจะนำไปให้เสี่ยวจู้ตามเวลาอาหารของจวนตามปกติ เจิ้งหลินมอบยาเพิ่มปราณระดับสวรรค์ให้ชินอ๋องสามเม็ด นางเองก็กินลงไปสามเม็ดเช่นเดียวกัน ก่อนที่ทั้งสองพระองค์จะหลับตาเข้าสู่สมาธิเพื่อดูดซับฤทธิ์ยาให้ได้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ด้วยพรสวรรค์ของทั้งคู่ เรื่องการกินยาหลายเม็ดพร้อมกันไม่น
ผู้คนภายในงานต่างวิพากษ์วิจารณ์ถึงการกระทำของเจิ้งหลินอย่างสนุกปาก เพียงแต่เรื่องนี้พวกนางไม่อาจทำสิ่งใดได้ หากเรื่องไปถึงหูของฝ่าบาทและฮองเฮา พวกนางก็กลัวว่าจะถูกตำหนิแทน อย่างไรพระชายาของชินอ๋องก็มีอำนาจมากกว่าพวกนางที่เป็นเพียงฮูหยินขุนนางเท่านั้น เรื่องในครั้งนี้จึงทำให้หลังจากนั้น เจิ้งหลินไม่เข้าร่วมงานเลี้ยงใด ๆ ที่ได้รับเทียบเชิญอีกเลย กระทั่งชินอ๋องกลับมาจากภารกิจในอีกหนึ่งสัปดาห์ต่อมา เจิ้งหลินจึงชวนชินอ๋องไปหาซื้อเตาหลอมอาวุธตามที่เสี่ยวจู้อยากได้&