วันนี้เป็นวันเริ่มการแข่งขันภายในสำนักพรตหนานหนิง การจับคู่แข่งขันมีเหล่าอาจารย์จับคู่เอาไว้ก่อนแล้ว ศิษย์หลายคนต่างไปตรวจดูรายชื่อของตนเองและคู่แข่งว่าจะต้องแข่งในคู่ไหน ด้วยจำนวนศิษย์ที่สมัครครั้งนี้มีทั้งหมด 120 คน จึงได้มีรอบการต่อสู้รอบแรกแยกออกเป็นสองวัน วันละ 60 คู่ ก่อนที่ผู้ผ่านเข้ารอบต่อไปทั้ง 60 คู่จะแข่งขันในวันถัดไปจนกว่าจะได้ตัวแทนสำนักครบ 10 คน
เจิ้งหลินกับเพื่อน ๆ มีการแข่งในวันถัดไป พวกนางจึงนั่งดูคู่อื่นในวันแรกไปพลาง ๆ พร้อมกับกินขนมไปด้วยอย่างสบาย ๆ ศิษย์ในตำหนักอื่นก็เช่นเดียวกัน พวกเขาอยากดูว่าคู่ต่อสู้รอบต่อไปจะเป็นใครหากพวกเขาผ่านรอบแรกการต่อสู้ 10 คู่แรกเป็นไปตามการคาดเดาของทุกคน เมื่อศิษย์ตำหนักกระบี่ใช้วิชากระบี่ต่อสู้ร่วมกับสัตว์อสูรและเอาชนะไปอย่างง่ายดาย จนกระทั่งมาถึงคู่ของเฟินเสี่ยวหยางต่อสู้กับเหยาเยว่ ซึ่งเฟินเสี่ยวหยางเป็นต่ออยู่ไม่น้อย เขาใช้พลังปราณที่สูงกว่าและเพลงกระบี่ที่ฝึกฝนมาอย่างดีทำร้ายเหยาเยว่จนเขาบาดเจ็บหนัก ทำให้เหล่าศิษย์ที่นั่งดูต่างพากันโห่ร้องด่าว่าเฟินเสี่ยวหยางกันเสียงขรม“เฟินเสี่ยวหยางเจ้าสารเลว! ไม่เห็นหรือว่าเหยาเยว่กำลังจะยอมแพ้แล้วน่ะ”
“ใช่ ๆ เจ้าตั้งใจจะฆ่าคนหรือ?”
“มีฝีมือแต่รังแกคนอ่อนแอกว่าจนเป็นเช่นนี้ น่ารังเกียจชะมัด”
“เฟินเสี่ยวหยางไม่รู้สึกอับอายบ้างหรือที่ทำกับศิษย์ร่วมสำนักเช่นนี้”
“หุบปาก!!! หากพวกเจ้ามีฝีมือก็ลงมาสู้กับข้าสิ เจ้าพวกอ่อนแอ” เฟินเสี่ยวหยางอดโต้กลับไม่ได้ที่ถูกทุกคนต่อว่า
อาจารย์ที่ควบคุมการประลองก็ไม่พอใจเฟินเสี่ยวหยางเช่นกัน เขารีบนำยาใส่ปากเหยาเยว่เพื่อฟื้นฟูร่างกายจากอาการบาดเจ็บ ส่วนอาจารย์อีกท่านก็นำยาไปใส่ปากสัตว์อสูรของเหยาเยว่ที่ร่อแร่พอกัน ก่อนจะช่วยกันย้ายร่างทั้งสองไปให้หน่วยพยาบาลประจำเวทีประลองดูแลต่อ“เฟินเสี่ยวหยางชนะ! ศิษย์ทุกคนจงดูเป็นตัวอย่าง อย่าได้ทำร้ายเพื่อนร่วมสำนักเช่นนี้ ไม่เช่นนั้นข้าจะตัดสิทธิ์ไม่ให้ประลองต่อในรอบถัดไป ครั้งนี้เฟินเสี่ยวหยางถูกเตือนแล้ว หากรอบต่อไปเขายังทำเช่นนี้อีกจะถูกตัดสิทธิ์ทันที” อาจารย์กล่าวเสียงดัง
เฟินเสี่ยวหยางได้แต่ฮึดฮัดขัดใจที่แม้แต่อาจารย์ยังไม่เข้าข้างเขา รอบหน้าที่จะถึงในอีกสองวันข้างหน้า เขาคงไม่สามารถทำร้ายคู่ต่อสู้เช่นนี้ได้อีกแล้ว ไม่เช่นนั้นโอกาสที่จะได้เป็นตัวแทนสำนักเพื่อเป็นหน้าเป็นตาให้ตระกูลคงสูญสิ้นแน่คู่ถัด ๆ ไปที่ขึ้นมาบนเวทีต่อสู้กันอย่างสูสี พวกเขาไม่ได้ทำร้ายกันหนักเหมือนที่เฟินเสี่ยวหยางทำ เพียงแต่ต่อสู้กันอย่างสุดกำลังเพื่อให้ผ่านเข้ารอบเท่านั้น“เจิ้งหลิน ดูเจ้าแซ่เฟินนั่นสิ น่าหมั่นไส้ชะมัด หากข้าได้สู้กับเขานะ ข้าจะทำให้เขาจำไปจนวันตายเลยคอยดูสิ” อู๋อิงกล่าวอย่างโมโห
“เจ้าอย่าได้สนใจเขา เขาก็แค่อยากอวดโอ่ตัวเองเท่านั้น”
“เจ้าก็ใจดีเกินไปเจิ้งหลิน กี่ครั้งแล้วที่พวกแซ่เฟินนั่นมาหาเรื่องเจ้าน่ะ” หานชิงกล่าว
“ใช่ ๆ เจิ้งหลินใจดีเกินไปแล้ว หากเป็นข้าคงทำให้เขาขาหักไปแล้ว” เซียวเหมยกล่าว
“เอาน่า ๆ พวกเราคงไม่ซวยเข้ารอบไปเจอพวกเขาหรอก” เจิ้งหลินกล่าวอย่างสบายๆ
เพื่อนทั้งสามได้แต่ทอดถอนหายใจกับความคิดของเจิ้งหลิน พวกนางอยากจัดการเจ้าแซ่เฟินนั่นให้เลือดกลบปากนัก และยังหวังว่าจะมีพวกนางสักคนหนึ่งที่จับคู่เจอกับเฟินเสี่ยวหยางเพื่อสั่งสอนเขาสักหน่อยการแข่งขันวันแรกนั้นมีผู้ผ่านเข้ารอบ 30 คน ซึ่งรายชื่อผู้ที่เข้ารอบก็ไม่ต่างจากที่เหล่าอาจารย์คาดเดากันเอาไว้ ศิษย์ที่เข้าร่วมชมการแข่งขันในวันแรกแยกย้ายกันไปพักผ่อนเพื่อรอแข่งขันในวันพรุ่งนี้นานแล้ว ทั้งสำนักหนานหนิงทุกคนรู้ดีว่าศิษย์ในตำหนักปรุงยามีพลังต่อสู้อ่อนด้อยที่สุด จึงเป็นไปได้ยากที่พวกเขาจะผ่านเข้ารอบ เพียงแต่พวกเขาอยากทดสอบความสามารถตนเองจึงได้ลงชื่อเข้าร่วมประลองเท่านั้นเอง ส่วนตำหนักกระบี่กับตำหนักสัตว์อสูรนั้นฝีมือพอ ๆ กัน การแข่งขันของทั้งสองตำหนักจึงเป็นที่จับตามองมากกว่าการแข่งขันในวันที่สองเริ่มต้นในเวลาเดิม วันนี้มีศิษย์จากตำหนักสัตว์อสูรลงต่อสู้เป็นส่วนใหญ่ หลังจากที่เมื่อวานนี้มีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และศิษย์จากตำหนักสัตว์อสูรยังสามารถเอาชนะศิษย์จากอีกสองตำหนักได้อย่างไม่ยากเย็น คู่แรก ๆ ของวันนี้จบลงอย่างรวดเร็ว เมื่อศิษย์จากตำหนักสัตว์อสูรต้องต่อสู้กับศิษย์ตำหนักปรุงยา พวกเขาสามารถทำให้คู่ต่อสู้ตกลงไปจากเวทีประลองได้อย่างง่ายดายและผ่านเข้ารอบต่อไปหานชิง อู๋อิงและเซียวเหมยเองก็ต่อสู้กับตำหนักกระบี่ได้อย่างสบาย ๆ ด้วยพลังปราณและสัตว์อสูรที่พวกนางเป็นต่ออยู่แล้ว ทำให้ทั้งสามคนไม่มีใครบาดเจ็บเลยแม้แต่คนเดียว กระทั่งมาถึงรอบของเจิ้งหลินที่ต้องสู้กับตำหนักกระบี่เช่นกันคู่ต่อสู้ของเจิ้งหลินคือเฝิงจิ้น เขาเป็นหนึ่งในความหวังของตำหนักกระบี่ซึ่งมีพลังปราณระดับนภาขั้นสูง ทำให้เขามั่นใจมากว่าตนเองจะต้องชนะเจิ้งหลินได้“ฮึ พลังปราณแค่นภาขั้นกลาง กลับกล้าลงประลอง ข้าจะทำให้เจ้าเห็นว่าตำหนักกระบี่แข็งแกร่งกว่าตำหนักของเจ้า” เฝิงจิ้นกล่าวอย่างถือดี
“เจ้าจะพูดมากไปทำไมกัน เก่งนักก็เข้ามา” เจิ้งหลินกล่าวอย่างรำคาญ
“เริ่มการประลอง!!!” อาจารย์รีบเริ่มการประลองทันที
เจิ้งหลินใช้วิชาตัวเบาเคลื่อนตัวไปด้านหลังของเฝิงจิ้นในพริบตา ทำเอาศิษย์ที่กำลังชมการประลองต่างฮือฮาขึ้นมาทันที พวกเขาไม่เคยเห็นวิชาตัวเบาที่รวดเร็วขนาดนี้มาก่อน ส่วนเสี่ยวจู้ก็ทำเพียงเดินช้า ๆ ไปยังด้านหน้าสัตว์อสูรเต่าดำแล้วเตะมันลงไปจากเวทีเท่านั้น ทำเอาเฝิงจิ้นถึงกับขายหน้าที่หมูน้อยตัวหนึ่งกลับเตะเต่าตัวใหญ่ของเขาตกเวทีได้ง่าย ๆ เช่นนี้เจิ้งหลินฟาดพลังฝ่ามือไปยังร่างของเฝิงจิ้นที่วาดกระบี่มาด้านหลังเพื่อป้องกันพลังปราณที่กำลังพุ่งเข้าในอย่างเต็มกำลัง แต่ผลกลับปรากฏว่าเฝิงจิ้นถึงกับลอยละลิ่วออกไปไกลและไม่สามารถลุกขึ้นมาเพื่อต่อสู้ได้อีก“เจิ้งหลินชนะ!!!” อาจารย์รีบประกาศผล
เฝิงจิ้นที่ถึงแม้จะไม่ได้บาดเจ็บมากมายนักแต่ก็เสียหน้าจนแทบจะมุดเวทีลงไปอยู่มะรอมมะร่อได้แต่กัดฟันใช้กระบี่ประคองร่างที่สั่นเทาให้ลุกขึ้นมา ตอนนี้เขาไม่กล้าเย่อหยิ่งอีกต่อไปแล้วหลังจากที่ถูกเจิ้งหลินฟาดฝ่ามือใส่เพียงครั้งเดียวเฮ!!! เจิ้งหลิน ๆ!!!
เสียงศิษย์ในตำหนักสัตว์อสูรต่างร้องเสียงดังในชัยชนะของเจิ้งหลินที่มีฝีมือเป็นอันดับหนึ่งของตำหนักพวกเขา แถมยังสามารถเอาชนะคนจากตำหนักกระบี่ภายในกระบวนท่าเดียวอีกด้วย ส่วนหมูน้อยสีชมพูของนางอย่างเสี่ยวจู้ก็ได้รับคำชมมากมายไม่ต่างกัน ใครจะไปคิดเล่าว่าหมูตัวน้อย ๆ ที่เหมือนเพิ่งคลอดอย่างเสี่ยวจู้จะมีพลังการต่อสู้มากมายถึงเพียงนี้หลังจบการแข่งขันในวันที่สอง อาจารย์จับสลากจับคู่เพื่อหาคู่ประลองในวันพรุ่งนี้ทันที กว่าที่รายชื่อจะออกก็เป็นช่วงค่ำของวันแล้ว เจิ้งหลินที่ไม่สนใจว่าคู่ต่อสู้ของนางจะเป็นใครไม่คิดจะออกไปดู อย่างไรพรุ่งนี้เช้าพวกนางก็ต้องไปที่สนามประลองกันอยู่แล้ว กลุ่มของเจิ้งหลินจึงอยู่พักผ่อนที่กระท่อมของตนเฟินเสี่ยวหยางที่มีฝีมือสูสีกับเฝิงจิ้นรีบเข้าไปถามเพื่อนทันทีว่าเขาพ่ายแพ้ได้อย่างไรกัน เฝิงจิ้นได้แต่กล่าวไปว่าเจิ้งหลินน่าจะโกงเสียอย่างนั้น ทั้งที่ทุกคนต่างเห็นกันชัดเจนว่าเจิ้งหลินต่อสู้อย่างยุติธรรมแล้วเฟินเสี่ยวหยางได้แต่เบะปากอย่างดูถูกเฝิงจิ้นที่อ้างว่าอีกฝ่ายโกง เขากำชับสัตว์อสูรจิ้งจอกเงินของตนให้มันตั้งใจต่อสู้ในวันพรุ่งนี้ ไม่เช่นนั้นเขาจะลงโทษมันให้หนักจนลุกไม่ขึ้น ภายในใจของจิ้งจอกเงินได้แต่ภาวนาให้เสี่ยวจู้รีบฝึกฝนพลังเพื่อจะได้ปลดปล่อยพวกมันจากนายเลว ๆ อย่างเฟินเสี่ยวหยางเสียทีรอบ 60 คน ในวันต่อมา การแข่งขันเป็นไปอย่างรวดเร็วเช่นเคย อาจเพราะการจับสลากเลือกคู่นั้นมีแต่คู่ของคนแข็งแกร่งกว่าต่อสู้กับคนอ่อนแอกว่าเท่านั้น พวกของเจิ้งหลินที่ไม่ถูกสุ่มจับคู่เจอเฟินเสี่ยวหยางเองก็ผ่านเข้ารอบเช่นกันรอบ 30 คน เริ่มต้นขึ้นตามเวลาเดิม เหล่าศิษย์ที่ผ่านเข้ารอบนี้ล้วนแต่มีฝีมือพอ ๆ กัน ทำให้กว่าที่จะจบการแข่งขันก็ใช้เวลาไปเกือบหมดวันแล้ว เฟินเสี่ยวหยางที่ยังคงผ่านเข้ารอบได้แต่ยิ้มอย่างทะนงตน ส่วนกลุ่มของเจิ้งหลินไม่ได้อวดโอ่อะไรเหมือนเขา พวกนางรู้ดีว่าอย่างไรสัตว์อสูรของพวกนางก็แข็งแกร่งกว่าอยู่แล้วรอบ 15 คนสุดท้ายนั้นอาจารย์ได้จับสลากเรียบร้อยแล้ว มีหนึ่งคนที่ต้องรอต่อสู้กับคนที่แพ้จาก 7 คนที่เหลือจึงจะผ่านเข้าเป็น 1 ใน 10 ตัวแทนของสำนัก ซึ่งผู้ที่จับสลากได้นั้นดันเป็นเฟินเสี่ยวหยาง ทำให้เขายิ่งอวดว่าตนเองได้รับพรจากสวรรค์ทำให้ไม่ต้องเหนื่อยแรงก็สามารถเป็นตัวแทนของสำนักได้“เฮอะ ได้รับพรจากสวรรค์อันใด แค่ดวงดีนิดหน่อยทำเป็นโม้”
“นั่นน่ะสิ ไม่รู้จะอวดดีไปถึงไหน น่ารำคาญชะมัด”
ศิษย์ที่ผ่านเข้ารอบหลายคนอดที่จะบ่นไม่ได้กับความถือดีของเฟินเสี่ยวหยางในวันนี้ พวกเขาถึงแม้จะต้องต่อสู้ก่อนก็ไม่ได้คิดมากอันใด เพียงแค่ตั้งใจต่อสู้ให้เต็มที่เท่านั้น ส่วนผลจะเป็นอย่างไรก็ต้องมาดูกันอีกทีกลุ่มของเจิ้งหลินโชคดีที่ไม่เจอเพื่อนตนเองในรอบนี้ แต่ละคนต่างจับคู่ได้กับศิษย์จากตำหนักกระบี่ทั้งนั้น พวกนางเองก็มีความมั่นใจไม่น้อยว่าตนเองจะชนะได้ไม่ยากเหมือนเมื่อวานนี้การต่อสู้เริ่มต้นขึ้นในเวลาไม่นานหลังอธิบายกฎการประลองจบ คู่แรกที่เป็นผู้ชนะคือต้วนหยงจากตำหนักกระบี่ คู่ที่สองเป็นขุยอันจากตำหนักกระบี่เช่นกัน ส่วนคู่ที่สามเป็นหานชิงเอาชนะไปได้ คู่ที่สี่อู๋อิงก็ไม่ทำให้ผิดหวัง นางชนะไปได้อย่างไม่ยากเย็นเช่นกัน คู่ที่ห้าเหยียนหลงจากตำหนักกระบี่เอาชนะศิษย์จากตำหนักสัตว์อสูรไปได้อย่างฉิวเฉียด คู่ที่หกเป็นเจิ้งหลินที่เอาชนะไปอย่างสบาย ๆ ไม่ต่างจากเพื่อนของนาง คู่สุดท้ายเป็นเซียวเหมยจากตำหนักสัตว์อสูรที่ชนะเช่นกันผู้ที่พ่ายแพ้ทั้งหมดยังต้องจับสลากจับคู่ใหม่เพื่อคัดเลือกตัวแทนอีก 3 คนเข้าไปเป็นตัวแทนของสำนัก หลังจากได้ตัวแทนก่อนหน้านี้มา 7 คนแล้ว โดยทั้ง 4 คู่ที่จับสลากจะต่อสู้รอบแรกก่อน เมื่อได้ 4 คนที่เหลือมาแล้วจึงจะแข่งแบบพบกันหมดในคราวเดียว ใครที่ตกเวทีก่อนจะหมดสิทธิ์เป็นตัวแทนสำนักทันทีพรึ่บ!!! พระสนมทั้งหมดรีบลงไปคุกเข่าเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษทันที พวกนางรู้ดีว่าเวลาที่ฮ่องเต้กริ้วนั้นเป็นอย่างไร ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่พวกนางจะถือดี เพราะตระกูลพวกนางยังไม่มีความสามารถพอเทียบเท่าตระกูลขอ
ครึ่งเซียนคนหนึ่งที่ถูกพลังของเสี่ยวจู้ทั้งตัวทับอยู่จนไม่สามารถต่อสู้ได้ ได้แต่ร้องอย่างเจ็บปวดเพราะตอนนี้กระดูกทั่วทั้งตัวของเขานั้นลั่นกรอบแกรบไปหมด ทั้งที่เขาเป็นถึงครึ่งเซียนแต่กลับพลาดท่าให้สัตว์อสูรระดับสวรรค์ตัวหนึ่ง โดยที่เขาไม่รู้เลยว่าเสี่ยวจู้ถึงแม้จะมีระดับต่ำแต่เมื่อรวมกับพลังสัตว์เทพแล้วก็สามารถต่อสู้กับครึ่งเซียนได้ไม่ลำบาก ยิ่งเมื่อเสี่ยวจู้ขยายร่างเต็มที่ ความสามารถในการปกป้องตนเองและพลังต่อสู้ก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วยจนไม่อาจคาดเดา“โอ้
เมื่อขบวนออกจากเมืองหลวงจนถึงที่พักสัตว์อสูรของแคว้นชิง เสี่ยวจู้ที่มากับเจิ้งกั๋วกงก็ขยายร่างกายให้ใหญ่โตเพื่อให้คนยกเกี้ยวของเจิ้งหลินขึ้นไป เจิ้งกั๋วกงเองก็เก็บม้าทมิฬเอาไว้ในมิติจิตของตนและขึ้นไปนั่งบนหลังเสี่ยวจู้เป็นเพื่อนหลานสาวเพื่อพูดคุยกันระหว่างทาง ชินอ๋องเองก็นั่งบนกิเลนไฟปากมากของพระองค์เพื่อป้องกันอันตรายระหว่างทาง ยังดีที่มันไม่ต่อล้อต่อเถียงกับเสี่ยวจู้เหมือนทุกครั้ง อาจเพราะในขบวนมีคนในแคว้นชิงจำนวนมาก กิเลนไฟจึงไม่อยากทำตัวเหลาะแหละเหมือนที่ผ่านมาเวลาอยู่กับชินอ๋องสองคน
สองสัปดาห์ต่อมา อู๋อิง หานชิงและเซียวเหมยต่างบอกลาเจิ้งหลิน เพราะถึงเวลาที่พวกนางจะต้องเดินทางกลับบ้านยังต่างเมืองเพื่อทำพิธีปักปิ่นในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้า เจิ้งกั๋วกงยังมอบของขวัญปักปิ่นให้ทุกคน เนื่องจากไม่สามารถไปร่วมงานด้วยตนเองได้ไม่น้อยเลยทีเดียว ทำเอาพวกนางต่างซาบซึ้งในความเมตตาของเจิ้งกั๋วกงที่มีให้มาตลอดเวลาที่มายังจวนกั๋วกง
ชินอ๋องดูแลเจิ้งหลินจนนางอาการดีขึ้นมากแล้ว พระองค์จึงหันไปคุยกับเจิ้งกั๋วกงถึงเรื่องฤกษ์แต่งงานที่เสด็จแม่หามาให้“ท่านตาเจิ้ง เสด็จแม่ของเราหาฤกษ์แต่งงานได้เป็นวันที่แปดเดือนหน้า ไม่ทราบท่านตาเจิ้งคิดอย่างไร”“หืม? ไม่เร็วเกินไปหรือพะย่ะค่ะ เจิ้งหลินเ
สามวันต่อมา ด้วยยาที่หมอหลวงจัดให้ ตอนนี้อู๋อิงหายดีแล้ว พวกนางจึงตั้งใจที่จะกลับสำนักในวันนี้ ชินอ๋องพอทราบจึงเลี้ยงส่งทุกคนเพื่ออำลา พระองค์ยังสัญญากับเจิ้งหลินด้วยว่าวันปักปิ่นจะไปถึงแคว้นหนานก่อนล่วงหน้าสามวัน“ขอบพระทัยชินอ๋องที่ให้เกียรติเพคะ เช่นนั้นพวกหม่อมฉันขอทูลลา” เจิ้งหลินค้อมกายคารวะชินอ๋องก่อนจะขึ้นหลังเสี่ยวจู้ตามสหายไป