Share

อยากเนียนเป็นปลาเค็ม แต่ฮ่องเต้ดันจับโป๊ะจากในใจ
อยากเนียนเป็นปลาเค็ม แต่ฮ่องเต้ดันจับโป๊ะจากในใจ
Author: กวนเหอว่านหลี่

บทที่ 1

Author: กวนเหอว่านหลี่
ณ ราชวงศ์ต้าหมิง เมืองอิ้งเทียน ตำหนักเหวินหัว

เหล่าพระราชนัดดากำลังเปล่งเสียงอ่านตำราอย่างกึกก้องภายใต้การนำของฟางเสี้ยวหรู

จักรพรรดิหงอู่ จูหยวนจาง ยืนฟังอยู่นอกตำหนักครู่หนึ่ง ก่อนจะก้าวเข้าไปข้างใน

เสียงอ่านตำราพลันเงียบลง

“เสด็จปู่!”

“เสด็จปู่!”

เหล่าพระราชนัดดาต่างประสานเสียงเอ่ยทักทาย ฟางเสี้ยวหรูรีบก้าวไปข้างหน้า สะบัดชายเสื้อคลุมแล้วคุกเข่าลง

“ไม่ทราบว่าฝ่าบาทเสด็จมา มิได้ออกไปต้อนรับแต่ไกล โปรดอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

จูหยวนจางโบกมือ “เราฟังอยู่ข้างนอกแล้ว เจ้าสอนได้ดีมาก!”

ฟางเสี้ยวหรู “มิใช่กระหม่อมสอนดี แต่เป็นเพราะเหล่าองค์ชายฉลาดหลักแหลมอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะ”

จูหยวนจางหัวเราะอย่างสดใสพลางเอ่ยขึ้น “ในบรรดาหลานของเรา...”

ทันใดนั้น มีเสียงกรนดังสนั่นราวกับฟ้าร้อง ขัดจังหวะความสำราญของจูหยวนจางดังขึ้นมา

เมื่อมองตามเสียงไป ก็เห็นคนผู้หนึ่งกำลังพิงเสาอยู่ที่มุมห้อง เอนตัวอยู่บนเบาะรองนั่ง

น้ำลายไหลยืดจากมุมปาก

เป็นภาพลักษณ์ที่ดูไม่น่ามองอย่างยิ่ง

ใบหน้าของจูหยวนจางพลันมืดมน แต่เหล่าพระราชนัดดากลับตื่นเต้นอย่างยิ่ง

ผู้ที่กำลังหลับสนิทอยู่นั้นคือหลานชายในชายาเอกของจูหยวนจาง และบุตรชายคนรองในชายาเอกขององค์รัชทายาทจูเปียว

แม้จะมีสายเลือดสูงส่ง แต่เขากลับเป็นคนที่ไร้ความสามารถ

สูญเสียมารดาไปตั้งแต่ยังเยาว์วัย นิสัยอ่อนแอ ว่านอนสอนง่าย ไม่กล้าขัดขืน

เวลาตื่นเต้นก็จะพูดจาไม่รู้เรื่อง

แตกต่างจากจูอวิ่นเหวิน บุตรชายที่เกิดจากอนุภรรยาของรัชทายาทจูเปียวราวฟ้ากับเหว

หนึ่งปีก่อน จูหยวนจางสังเกตเห็นแล้วว่าสุขภาพของจูเปียวทรุดโทรมลงทุกวัน ไม่แน่ว่าอาจจะอายุสั้นกว่าตนเอง

จึงจำเป็นต้องเตรียมการล่วงหน้า กำหนดตัวรัชทายาทแห่งราชวงศ์ต้าหมิงไว้แต่เนิ่นๆ

วันนี้จึงถือโอกาสแวะมาที่นี่ เพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์การเล่าเรียนของเหล่าพระราชนัดดา

แต่ใครจะไปรู้ จูอวิ่นเทิงจะย่ำแย่ถึงเพียงนี้ ถึงกับมานอนหลับในห้องเรียน!

อันที่จริงร่างของจูอวิ่นเทิงในยามนี้ถูกคนจากยุคปัจจุบันเข้ายึดครองมาตั้งแต่สี่ปีก่อนแล้ว

นับตั้งแต่นั้นมา จูอวิ่นเทิงก็ได้รับระบบปลาเค็ม[1] ซึ่งสามารถใช้แต้มปลาเค็มแลกเปลี่ยนเป็นสิ่งของและทักษะต่างๆ ได้

ระบบได้เน้นย้ำเป็นพิเศษว่า หากเขาสามารถพัฒนาตนเองอย่างเงียบๆ ไม่เป็นที่สังเกตเป็นเวลาสิบปี หลังจากสิบปีก็จะได้รับทรัพยากรมหาศาลและจะช่วยให้เขาขึ้นสู่จุดสูงสุดของราชวงศ์ต้าหมิง

ต่อให้ระบบไม่เน้นย้ำ จูอวิ่นเทิงก็ไม่กล้าทำตัวโดดเด่นอยู่แล้ว

ในรัชสมัยของจูหยวนจาง การเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองในราชวงศ์ต้าหมิง ไม่มีประโยชน์อันใดเลย!

เป็นขุนนางก็เหมือนทำงานโดยเอาหัวเป็นเดิมพัน!

ในฐานะหลานชายสายตรงของจูหยวนจาง คงไม่ถึงกับโดนตัดหัว แต่การต้องตื่นมาเข้าประชุมตอนตีสามกว่าทุกวัน มันทรมานแทบตาย!

สี่ปีผ่านไป จูอวิ่นเทิงเชี่ยวชาญทั้งประวัติศาสตร์ มนุษยศาสตร์ ภูมิศาสตร์ กลยุทธ์ทางการทหารและอื่นๆ อีกมากมาย

อักษรโบราณที่เหล่าพระราชนัดดาต้องใช้เวลาหลายวันกว่าจะท่องจำได้ จูอวิ่นเทิงมองปราดเดียวก็เข้าใจแล้ว

จูอวิ่นเทิงที่กำลังหลับสนิทรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง พอเขาลืมตาขึ้น อ้อ ตาเฒ่าจูมาแล้ว

จูอวิ่นเทิงรีบคุกเข่าลงทันที พร้อมกับแสร้งทำท่าทีหวาดกลัว

“เสด็จปู่ หลานร่างกายอ่อนแอ พอฟังท่านอาจารย์สอนก็รู้สึกง่วงนอน ท่านอาจารย์สอนอะไร หลานไม่เข้าใจเลยพ่ะย่ะค่ะ”

จูหยวนจางกำลังจะพิโรธ แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นในหัวของเขา

[เหอะๆ อันที่จริงแล้ว เรื่องที่ฟางเสี้ยวหรูสอน ข้ารู้หมดแล้ว ส่วนสิ่งที่ข้ารู้ ฟางเสี้ยวหรูไม่รู้แน่นอน]

ใครกัน?

จูหยวนจางสะดุ้งตกใจ กวาดสายตามองไปรอบๆ

ในตำหนักนี้ไม่มีคนอื่นอยู่!

บางทีอาจเป็นเพราะอายุมากแล้ว หูก็เลยเริ่มมีปัญหา

จูหยวนจางส่ายหน้า ตัดสินใจว่าอีกสักครู่จะให้หมอหลวงมาตรวจชีพจรเสียหน่อย

“วันนี้เรามาก็เพื่อจะทดสอบการเรียนของพวกหลานๆ เราจะลองแต่งกลอนคู่สักสองสามบทก็แล้วกัน”

ก่อนที่จะขึ้นเป็นฮ่องเต้ แม้จูหยวนจางจะไม่ได้มีการศึกษาสูงนัก แต่เขาก็รักการเรียนรู้เป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเรื่องกลอนคู่

หลังจากขึ้นเป็นฮ่องเต้ ก็มักจะประลองแต่งกลอนคู่กับเหล่าขุนนางอยู่เสมอ จนถูกขนานนามว่าเป็นโอรสสวรรค์แห่งกลอนคู่

หลังจากออกกลอนคู่ไปหลายบท เหล่าองค์ชายก็แสดงความสามารถได้ไม่เลว โดยเฉพาะพระราชนัดดาองค์รองจูอวิ่นเหวินที่แสดงฝีมือได้อย่างโดดเด่น

พอหันกลับมามองจูอวิ่นเทิง ทำอะไรไม่เป็นเลยสักอย่าง ช่างไร้ความสามารถจริงๆ

จูหยวนจางเป็นคนตั้งชื่อให้ด้วยตนเอง เขาเปิดตำราค้นหาจนเจออักษรตัวนี้

ตอนแรกนึกว่าตัวอักษร “เทิง” จะมีความหมายว่ารู้แจ้งฟ้าดิน แต่ใครจะไปรู้ว่าความหมายที่แท้จริงของมันคือการอุ่นอาหารที่สุกแล้วให้ร้อน

แต่ในฐานะโอรสสวรรค์ มีหรือจะยอมรับว่าตนเองผิด?

อีกอย่าง ชะตากำหนดไว้แล้วว่าบุตรคนที่สามไม่อาจขึ้นครองบัลลังก์ได้ เช่นนั้นก็แค่กินอิ่มนอนหลับ เป็นท่านอ๋องที่สุขสบาย ไม่ต้องยุ่งเรื่องใดๆ ก็พอแล้ว

จูอวิ่นเหวินสามารถต่อกลอนได้ติดต่อกันหลายบท ทำให้เขาตื่นเต้นจนหน้าแดงก่ำ

[เฮ้อ กลอนคู่มีประโยชน์อะไรกัน? ใช้ขับไล่ศัตรูได้ หรือว่าใช้ปกครองบ้านเมืองได้? นึกว่าจูหยวนจางจะเป็นคนที่เน้นการปฏิบัติจริงเสียอีก ไม่นึกเลยว่าจะเหมือนกับพวกบัณฑิตหัวโบราณคร่ำครึอย่างฟางเสี้ยวหรู ชอบเล่นอะไรที่ไร้สาระ!]

มีประโยคหนึ่งดังเข้ามาในหัวของจูหยวนจางอีกแล้ว

มาอีกแล้ว หูมีปัญหาอีกแล้วหรือ?

[ดูพี่รองตื่นเต้นขนาดนั้น ตาเฒ่าจูยังจะกล้ามอบแผ่นดินให้เขาอีก? ไม่น่าแปลกใจเลยว่าจูอวิ่นเหวินได้เป็นฮ่องเต้แค่สี่ปีก็ถูกจูตี้ไล่ลงจากบัลลังก์แล้ว]

หา?!

ในที่สุดจูหยวนจางก็หาที่มาของเสียงเจอจนได้... พระราชนัดดาองค์ที่สาม จูอวิ่นเทิง

แต่ เห็นได้ชัดว่าจูอวิ่นเทิงไม่ได้อ้าปาก ไม่ได้ส่งเสียงใดๆ ออกมาเลย!

หรือว่า ตนจะสามารถได้ยินความคิดในใจของจูอวิ่นเทิง?

หืม?

เจ้าเด็กนี่ถึงกับเรียกชื่อเราตรงๆ ช่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเอาเสียเลย!

แต่ช่างเรื่องนั้นไปก่อน

จูหยวนจางตัดสินใจทดสอบอีกครั้ง “อวิ่นเทิง กลอนคู่แม้จะใช้ปกครองบ้านเมืองไม่ได้ แต่ก็ช่วยขัดเกลาจิตใจได้ จะดูแคลนได้อย่างไร?”

จูอวิ่นเทิงรีบพยักหน้า “เสด็จปู่ตรัสได้ถูกต้องยิ่งนัก! ต่อไปหลานจะตั้งใจศึกษาเล่าเรียน พัฒนาตนเองทุกวันพ่ะย่ะค่ะ!”

[แปลกจริง ตาเฒ่านี่รู้ได้อย่างไรว่าข้าคิดอะไรอยู่? หรือว่าเมื่อครู่ข้าแสดงได้ไม่ดีพอ? เผลอแสดงสีหน้าไม่พอใจออกไปอย่างนั้นหรือ? ดูท่าแล้ว คงไม่มีอะไรปิดบังตาเฒ่าคนนี้ได้เลย!]

[สายตาของตาเฒ่าคงจะฝึกฝนมาจากในสนามรบเป็นแน่! ไม่น่าแปลกใจเลยที่องครักษ์เสื้อแพรที่เขาก่อตั้งขึ้น จะไร้เทียมทานทั้งในอดีตและอนาคต ถือเป็นจุดสูงสุดแห่งวงการสายลับโดยแท้!]

จูหยวนจางตกตะลึงในใจ ไม่คาดคิดว่าตนเองจะสามารถได้ยินเสียงในใจของหลานคนนี้ได้จริงๆ!

เจ้าเด็กนี่ถึงกับแสดงละครตบตาต่อหน้าเราอย่างนั้นหรือ?

นับตั้งแต่จูหยวนจางขึ้นเป็นฮ่องเต้ อยู่ในตำแหน่งสูงส่ง ได้ยินแต่คำประจบสอพลอมาโดยตลอด

ครั้งนี้พอได้ยินความคิดที่แท้จริงของหลานชาย ก็รู้สึกแปลกใหม่เป็นอย่างยิ่ง

ช่างน่าสนใจจริงๆ!

ไม่สิ เหตุใดเด็กคนนี้ถึงได้บอกว่าเรามอบแผ่นดินให้อวิ่นเหวิน?

อืม การที่เขามองเรื่องนี้ออกก็ไม่น่าแปลกใจนัก เพราะอวิ่นเหวินฉลาดและเชื่อฟังมาโดยตลอด ตัวเราเองก็ให้ความสนใจเขามากที่สุด

แต่เขาบอกว่า จูอวิ่นเหวินเป็นฮ่องเต้ได้แค่สี่ปีก็ถูกเจ้าสี่จูตี้ไล่ลงจากบัลลังก์?

เป็นไปได้อย่างไร? ไร้สาระสิ้นดี!

แต่จูหยวนจางก็ไม่สามารถถามออกไปตรงๆ เขาจะให้ใครรู้ไม่ได้เด็ดขาดว่าเขาสามารถได้ยินเสียงในใจของพระราชนัดดาคนหนึ่งได้

[ผมของตาเฒ่าขาวขึ้นอีกแล้ว งานฮ่องเต้นี่มันไม่ใช่งานที่คนจะทำได้จริงๆ ทางเหนือก็ยังรบกันอยู่ ทางใต้ก็ไม่สงบสุข รบกันสองด้าน งบการทหารไม่พอ ตาเฒ่าคงปวดเศียรเวียนเกล้าจริงๆ!]

จูหยวนจางตกตะลึง เด็กคนนี้ถึงกับพูดว่า “รบกันสองด้าน”!

จูหยวนจางเพิ่งได้รับรายงานลับมาว่า ซือหลุนฟาแห่งลู่ชวนได้นำทัพมารุกราน อ้างว่ามีกำลังพลสามแสน ตั้งค่ายอยู่ที่ค่ายหมัวซาเลย ทำให้ซีผิงโหวมู่อิงที่ประจำการอยู่อวิ๋นหนานต้องเตรียมรับมืออย่างเข้มงวด

ข่าวนี้นับเป็นความลับสุดยอด ยังไม่ได้ประกาศให้ใครทราบ แล้วเด็กคนนี้รู้ได้อย่างไร?

จูอวิ่นเทิงนั้นไม่เอาไหนมาโดยตลอด ไม่น่าจะมีใครทั้งในและนอกวังมาเข้าหาเขา ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะได้รับข่าวลับสุดยอดเช่นนี้

หรือว่าเด็กคนนี้จะล่วงรู้อดีต หยั่งรู้อนาคตได้?

ช่างเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!

แต่ความจริงก็ทำให้เขาจำต้องเชื่อ

[ที่จริงแล้ว เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องกังวลเลย ไม่ต้องรวบรวมงบการทหารเพิ่มแล้วด้วยซ้ำ แต่แน่นอนว่าข้าไม่มีทางบอกเรื่องนี้กับใครเด็ดขาด]

หืม? เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องกังวล?

ตอนนี้หลานอวี้กำลังไล่ล่ากองกำลังหยวนที่เหลืออยู่ หากไม่มีงบการทหารและเสบียงอาหารจะสู้ต่อไปได้อย่างไร?

หรือว่าเขารู้ผลลัพธ์ของเรื่องนี้?

จูหยวนจางไม่สะดวกที่จะเอ่ยถึงสงครามทางตะวันตกเฉียงใต้ จึงใช้เรื่องสงครามทางเหนือมาหยั่งเชิงเขา

“อวิ่นเทิง เจ้ามีความเห็นอย่างไรต่อสงครามทางเหนือ?”

เมื่อคำพูดนี้หลุดออกมา ทำเอาเหล่าพระราชนัดดาต่างประหลาดใจอย่างยิ่ง

เรื่องสงครามทางเหนือเป็นปัญหาใหญ่ระดับชาติที่ทุกคนให้ความสนใจ เสด็จปู่ไม่ถามขุนนางใหญ่ ไม่ถามฟ้า กลับมาถามพระราชนัดดาปัญญาอ่อนคนหนึ่ง!

จูอวิ่นเทิงไม่คิดว่าจูหยวนจางจะเรียกชื่อเขาตรงๆ

แม้จะรู้เรื่องราวและผลลัพธ์ของสงครามทางเหนือ แต่ถ้าพูดออกไป ใครจะเชื่อ?

ยิ่งไปกว่านั้น กฎการเอาชีวิตรอดในสิบปีนี้คือ อยู่อย่างสงบเสงี่ยม อย่าให้เป็นจุดสนใจ

“สะ เสด็จปู่ เรื่องใหญ่ เรื่องใหญ่โตขนาดนี้ หลานจะไปรู้ได้อย่างไร? พี่รองเก่ง เก่งกาจฉลาดเฉลียว เขาต้องรู้แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ” จูอวิ่นเทิงเริ่มพูดติดๆ ขัดๆ

แต่ในหัวของจูหยวนจางกลับมีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาทันที

[อืม ข้ารู้ผลของสงครามทางเหนือ แต่ข้าไม่บอกท่านหรอก! ตาเฒ่าถามแบบนี้ หรือว่าการควบคุมสีหน้าของข้ามีปัญหา? อืม สายตาของตาเฒ่าไหนเลยจะหลอกได้ง่ายๆ ? เช่นนั้นก็ทำใจให้สงบดุจน้ำนิ่ง ไม่หวั่นไหว ดุจพระเข้าฌาน!]

หัวใจของจูหยวนจางในตอนนี้ราวกับถูกแมวข่วน

หลานคนนี้ มันหลานตัวแสบจริงๆ !

ในช่วงเวลาสำคัญ เขากลับหยุดไปดื้อๆ ไม่มีแม้แต่จะบอกว่าโปรดติดตามตอนต่อไป!

เขาลองฟังอีกครั้ง แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงในใจของหลานคนนี้อีกเลย!

ดูท่า เจ้าเด็กนี่คงจะระวังตัวแล้ว!

เรื่องนี้ก็ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน ค่อยๆ หลอกถามเขาไปเรื่อยๆ ก็ได้

อีกอย่าง เรื่องในวันนี้มันเกินกว่าความเข้าใจของเข้าไปมาก

น่าตกตะลึงเกินไป! ต้องกลับไปที่ตำหนักหย่างซินเพื่อทำความเข้าใจเรื่องนี้ให้ดีเสียก่อน

จูหยวนจางเดินไปถึงประตู แล้วก็หันกลับมาอีกครั้ง “การประชุมเช้าพรุ่งนี้ ให้อวิ่นเทิงเข้าร่วมประชุมด้วย”

______________________________

[1] ปลาเค็ม เป็นศัพท์สแลงในภาษาจีน หมายถึง คนที่ไม่มีความทะเยอทะยาน ใช้ชีวิตไปวันๆ ดังนั้นในเรื่องนี้ ระบบปลาเค็ม เป็นระบบที่ให้รางวัลตัวเอกเมื่อทำตัวสบายๆ ใช้ชีวิตไปวันๆ
Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • อยากเนียนเป็นปลาเค็ม แต่ฮ่องเต้ดันจับโป๊ะจากในใจ   บทที่ 83

    “ท่านอย่าทำอะไรบ้า ๆ นะ!”ยิ่งมูเหยาขัดขืน จูอวิ่นเทิงก็ยิ่งเข้ามาแนบชิด“หม่อมฉันพูดแล้ว หม่อมฉันมีกายเป็นหญิง” มู่เหยาพูดจบ จูอวิ่นเทิงก็ปล่อยนางมู่เหยาไม่คิดว่าจูอวิ่นเทิงจะปล่อยมือในตอนนี้อดรู้สึกผิดหวังเล็ก ๆ ไม่ได้“เจ้ามีกายเป็นหญิง เป็นคนที่ฝ่าบาทส่งมา ฟังดูเหลวไหลมาก บอกมาดีกว่า อย่ามาหลอกข้า”เสี้ยวอำมหิตฉายวาบในดวงตาของจูอวิ่นเทิงมู่เหยาแสร้งทำท่าทางน่าสงสาร “อู๋อ๋อง หม่อมฉันเป็นคนอวิ๋นหนาน เมื่อราชวงศ์ต้าหมิงเริ่มก่อตั้ง จำนวนขันทีขาดแคลนมาก ทางการจึงยัดเยียดรายชื่อหนึ่งให้กับครอบครัวของหม่อมฉัน”“หม่อมฉันมีน้องชายเพียงคนเดียว พ่อแม่หม่อมฉันตัดใจไม่ลง”“ครอบครัวของหม่อมฉันในท้องถิ่นถือว่ามั่งคั่ง จึงใช้เงินเพื่อติดสินบนขุนนางทุกระดับ สุดท้ายก็ให้หม่อมฉันเข้าวังมา”“หม่อมฉันเป็นหญิง ฝ่าบาทก็ไม่รู้เช่นกัน”จูอวิ่นเทิงเดินวนรอบกายมู่เหยา เกรงว่าสิ่งที่นางพูดจะเป็นความจริงประการแรก ฝ่าบาทเป็นคนส่งมู่เหยามาจริง ๆ เรื่องนี้เจิ้งเหอสามารถเป็นพยานได้สุขภาพของตนเองอ่อนแอ เรื่องนี้ฝ่าบาทรู้ฝ่าบาทส่งขันทีคนหนึ่งมาเพื่อไม่ปล่อยให้วัน ๆ เขาเอาแต่จมดิ่งอยู่ในความเย้าย

  • อยากเนียนเป็นปลาเค็ม แต่ฮ่องเต้ดันจับโป๊ะจากในใจ   บทที่ 82

    จูอวิ่นเทิงกลับมาถึงเรือน เจิ้งเหอ เหมยเอ๋อร์ และหลานเอ๋อร์ถูกแก้มัดเชือกกันหมดแล้ว“มู่เหยาไปไหนหรือ?”“มู่เหยาบอกว่า เขาจะเข้าวังเพคะ” เหมยเอ๋อร์กล่าวเอ๊ะ ฮ่า ๆ!มู่เหยาไม่อยู่!อย่างนั้นก็เข้าไปในห้องกับเหมยเอ๋อร์และหลานเอ๋อร์ ถ่ายทอดความรู้ทางร่างกายแก่พวกนางได้น่ะสิ?เจิ้งเหอรู้ว่าหัวใจวสันต์ของคุณชายเริ่มหวั่นไหวอีกแล้ว แอบอิจฉาเล็กน้อย ก่อนกลับไปยังห้องของตัวเอง“เหมยเอ๋อร์ หลานเอ๋อร์ ข้าเข้าไปแล้วนะ”จูอวิ่นเทิงเพิ่งจะเข้ามาในห้อง ก็ได้ยินเสียงของมู่เหยา “เหมยเอ๋อร์ หลานเอ๋อร์ ข้ากลับมาแล้ว!”ร่างของจูอวิ่นเทิงพลันชะงัก ขันทีน้อยผู้นี้กลับมาได้จังหวะพอดีจริง ๆ!ไม่ใช่สิ กลับมาได้ไม่ถูกจังหวะเลยต่างหาก!เหมยเอ๋อร์และหลานเอ๋อร์เห็นดังนั้น ก็เหมือนหนูเห็นแมว รีบถอยไปยังหลังเรือนมู่เหยาเข้ามาในเรือน จูอวิ่นเทิงได้โผเข้าหาทันทีสวมกอดมู่เหยาไว้ว้าย! มู่เหยาไม่ทันตั้งตัว จึงร้องออกมาเสียงดัง“อย่าร้อง ร้องไปก็เปล่าประโยชน์!”จูอวิ่นเทิงดันมู่เหยาไปชิดผนังอย่างดุดันมู่เหยาคิดขัดขืน แต่จูอวิ่นเทิงพลันยันผนังคร่อมไว้“ท่าน ท่านคิดจะทำอะไรน่ะ?” มู่เหยาหน้าแดงก่ำ“ข

  • อยากเนียนเป็นปลาเค็ม แต่ฮ่องเต้ดันจับโป๊ะจากในใจ   บทที่ 81

    [ตาเฒ่า ท่านจะเอาแต่ดื้อรั้นเช่นนี้ไม่ได้! อย่างไรก็ต้องมีเหตุผลบ้าง]การบ่นของจูอวิ่นเทิงทำให้จูหยวนจางหมดคำพูด เราสามารถพูดเสียงในใจของเจ้าออกมาได้ไหม?[เหตุผลก็เห็นอยู่ชัดเจนแล้วไม่ใช่หรือ?][เจ้าเมืองคนหนึ่ง เก็บภาษีเงินและเสบียงได้เกินเป้าทุกปี! นี่ไม่ถือว่าเป็นปัญหาหรอกหรือ?]จูหยวนจางคิดในใจว่า การเก็บภาษีได้เกินเป้ามันคือผลงาน เหตุใดถึงกลายเป็นปัญหาไปได้?ความคิดของหลานสามผู้นี้ มักจะพิลึกพิลั่นอยู่เสมอ![ตำแหน่งกำหนดความคิด เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม เป็นขุนนางสมัยหนึ่ง ก็ต้องสร้างคุณประโยชน์ให้ท้องถิ่นนั้น นี่คือจุดยืนและมุมมองอันเป็นพื้นฐานที่สุด!][ราชสำนักให้เจ้าเก็บเสบียงและภาษีเกินเป้าแล้วหรือ?][เมื่อไม่ได้ให้เจ้าเก็บภาษีเกินเป้า หวงจื่อซิ่น เจ้าหลอกลวงเบื้องบน!][ประชาชนคิดว่าราชสำนักให้เก็บเสบียงและภาษีเพิ่ม หวงจื่อซิ่น เจ้าปิดบังเบื้องล่าง!][เก็บเกินเป้าสองส่วน หนึ่งส่วนที่เพิ่มมามอบให้ราชสำนัก ได้รับชื่อเสียงในฐานะขุนนาง! อีกหนึ่งส่วนเก็บไว้กับตนเอง เบียดบังผลประโยชน์ใส่ตัว!][เพิ่มภาระให้กับชาวนา! ทวีความคับแค้นของชาวนาที่มีต่อราชสำนัก! อาศัยเรื่องน

  • อยากเนียนเป็นปลาเค็ม แต่ฮ่องเต้ดันจับโป๊ะจากในใจ   บทที่ 80

    ดวงพระเนตรของจูหยวนจางเบิกกว้างโดยพลัน มองไปทางจูอวิ่นเทิงการสิ้นพระชนม์ของรัชทายาท!!!เกี่ยวข้องกับหวงจื่อซิ่น?!จูอวิ่นเทิงรู้สึกได้ถึงสายตาที่ราวกับจะฆ่าคนของจูหยวนจาง มันทำให้เขาสะดุ้งตกใจ[ไม่ใช่กระมัง ตาเฒ่าจู ทำเอาข้าตกอกตกใจหมด!][ตอนแรกข้าก็ไม่ได้มีอะไรแอบแฝง แต่พอถูกเขามองแบบนี้กลับทำให้ดูมีเงื่อนงำขึ้นมาได้!][พระทัยของฮ่องเต้ คาดเดาได้ยากจริง ๆ ด้วย]จูหยวนจางรีบละสายตามองไปที่หวงจื่อเฉิงหวงจื่อเฉิงลังเลเล็กน้อยเช่นกัน พระเนตรของฝ่าบาทสามารถฆ่าคนได้เลย!หวงจื่อซิ่นเป็นญาติผู้น้องของเขา!ที่หวงจื่อซิ่นสามารถเป็นเจ้าเมืองหางโจว ก็เพราะจูอวิ่นเหวินเป็นคนแนะนำให้จูเปียวฝ่าบาทรู้ว่าเขากับฉีไท่สนิทกัน การที่ฉีไท่เป็นคนแนะนำหวงจื่อซิ่นแบบนี้ ไม่รู้ว่าฮ่องเต้จะคิดอย่างไร[ช่วงนี้ฝ่าบาทอารมณ์แปรปรวนไม่มั่นคง แต่ก็ไม่แปลก การตายของรัชทายาทคงทำให้ไม่อาจสงบพระทัย][หวงจื่อซิ่น นึกออกแล้ว! เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้!][ชาวอุทัยกลุ่มหนึ่งได้เข้ามาที่เมืองหางโจวภายใต้การนำของอันธพาลท้องถิ่น ทำการเผา สังหาร และปล้นสะดม จากนั้นเดินออกจากเมืองอย่างเปิดเผยไม่เกรงกล

  • อยากเนียนเป็นปลาเค็ม แต่ฮ่องเต้ดันจับโป๊ะจากในใจ   บทที่ 79

    หวงจื่อเฉิงไม่ยอมแพ้!เพราะการกระทำของฮ่องเต้ครั้งนี้มันเหลวไหลมากจริง ๆ!สำนักโหรหลวง มันใช่ที่ที่ผู้ใดจะเข้าไปก็ได้หรือ?ต่อให้เจ้ามีความรู้มากมาย มีความสามารถเป็นเลิศ เข้าสำนักโหราศาสตร์ไปแล้วก็คงทำได้แค่มองตาปริบ ๆนอกจากนี้ คนด้านในก็หยิ่งผยองกันทั้งนั้น!อยู่ในถิ่นของพวกเขา อย่าหวังว่าจะเข้าไปยุ่งได้!หากส่งคนที่ไม่รู้เรื่องไปสั่งการ มันจะไม่วุ่นวายไปกันใหญ่หรือ?“ฝ่าบาท เรื่องสำคัญของบ้านเมืองมีสองประการ คือการบูชาและการสงคราม การบูชามีการแจกจ่ายเครื่องเซ่น การสงครามมีการแบ่งสรรอำนาจ ทั้งสองล้วนเป็นพิธีการสำคัญที่ใช้ติดต่อกับสวรรค์เบื้องบน”“แม้อู๋อ๋องจะมีความสามารถ แต่ในแง่ของการสังเกตดวงดาวและภูมิศาสตร์แล้ว เกรงว่าจะไม่ใช่ด้านที่ถนัด”“ฝ่าบาท กระหม่อมมองว่าการให้อู๋อ๋องดำรงตำแหน่งเจ้ากรมสำนักโหราศาสตร์หลวง ไม่เหมาะสมพ่ะย่ะค่ะ”จูอวิ่นเทิงโมโหมาก หวงจื่อเฉิงชอบขัดขาเขาอยู่เรื่อย!ข้าก็แค่สั่งสอนหวงเฉิงอิ้นลูกชายเจ้าไปเพียงเล็กน้อยที่สำคัญคือ คนผู้นี้รนหาที่เอง สมควรโดนดี!มาเชิญข้าไปร่วมงานเลี้ยงแต่กลับวางท่าโอ้อวด!แต่ว่า คำคัดค้านของหวงจื่อเฉิงก็สามารถใช้ให้เกิ

  • อยากเนียนเป็นปลาเค็ม แต่ฮ่องเต้ดันจับโป๊ะจากในใจ   บทที่ 78

    โหรหลวงคืออะไร หากเป็นคนปกติก็ไม่มีทางที่ผู้ใดจะอยากรับตำแหน่งนี้!โหรหลวงมีชื่อเดิมว่าผู้เฝ้ามองดวงดาว ทำหน้าที่สังเกตปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ คำนวณปฏิทิน สำนักโหรหลวงจะทำงานแค่เฉพาะเหตุการณ์สำคัญเท่านั้นหากมีภัยธรรมชาติ โหรหลวงจะต้องคำอธิบายที่สมเหตุสมผล มิเช่นนั้นฮ่องเต้จะพิโรธหากเกิดสงคราม โหรหลวงจะต้องทำนายสภาพอากาศ ถ้าทำนายผิดพลาด อาจมีภัยมาถึงตัว!ในยุคราชวงศ์ฮั่นตะวันออก หนึ่งในหน้าที่ของไท่สื่อลิ่งก็ดูปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์และประกอบพิธีบวงสรวง ซือหม่าเชียนที่ถูกตอนก็เคยดำรงตำแหน่งนี้[ครานี้ก็อยู่ที่ว่า ตาเฒ่าจูจะตอบตกลงหรือไม่!][โหลหลวงสบายจะตาย! ไม่ต้องทำงานตั้งแต่เก้าโมงถึงสามทุ่ม หกวันต่อสัปดาห์!][เวลาทำงานก็ยืดหยุ่น! ไม่ต้องตื่นเช้าทุกวัน!][หากมีคนถามว่ากำลังทำอะไรอยู่ ขออภัย ฝ่าบาท ข้ากำลังสังเกตการณ์ท้องฟ้า!][อะไรนะ เข้าประชุมงั้นหรือ? ประชุมอะไร ไม่เห็นหรือว่าข้ากำลังสังเกตการณ์ท้องฟ้า?][ประชุมหรือ? ชู่ว อย่าเสียงดัง! ข้ากำลังคุยกับเง็กเซียนฮ่องเต้!][ตาเฒ่าจู ท่านไม่ให้ข้าออกจากเมืองอิ้งเทียนใช่หรือไม่? ท่านไม่รู้หรือว่าดาวจื่อเวยปรากฏที่เมืองซงเจี

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status