Share

บทที่ 2

Author: กวนเหอว่านหลี่
จูอวิ่นเทิงตกใจอย่างยิ่ง เป็นไปไม่ได้กระมัง จูหยวนจางนี่เกิดนึกอะไรพิเรนทร์ขึ้นมา?

“เสด็จปู่ การเข้าร่วมประชุมราชสำนัก เรื่องใหญ่เช่นนี้จะให้หลานเข้าร่วมได้อย่างไรเล่า? ให้พี่รองไปจะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ?”

[ตาเฒ่าเอ๊ย เรื่องเหนื่อยยากอย่างการเข้าประชุมเช้า ท่านจะให้ข้าทำได้อย่างไรกัน? กลางคืนข้ายังดื่มเหล้าเคล้านารีอยู่ข้างนอก แล้วตอนเช้าจะให้ตื่นขึ้นมาได้อย่างไรกัน? นี่มันช่างโหดร้ายไร้มนุษยธรรมจริงๆ !]

จูหยวนจางทรงรู้สึกขุ่นเคืองในใจ การประชุมราชสำนัก นั่นไม่ว่าใครก็เข้าร่วมได้หรือ?

ให้เจ้าเข้าร่วมประชุม ถือเป็นพระมหากรุณาธิคุณและเกียรติยศอันยิ่งใหญ่เพียงใด? เจ้ากลับบอกว่าโหดร้ายไร้มนุษยธรรม?

อะไรนะ? เจ้าเด็กนี่อยู่ข้างนอก กลางคืนดื่มเหล้าเคล้านารีอย่างนั้นหรือ?

ช่างเหลวไหลสิ้นดี!

ต้องไปสืบสวนให้ดีๆ !

จูหยวนจางเดินห่างออกไปเรื่อยๆ เสียงในใจของจูอวิ่นเทิงก็ค่อยๆ เบาลง จนในที่สุดก็หายไป

ดูท่าแล้ว การที่จะได้ยินเสียงในใจของหลานคนนี้ คงต้องอยู่ใกล้ๆ เขาหน่อย!

จูอวิ่นเหวินมองน้องสามที่ไม่ได้เรื่องคนนี้แล้ว ก็นึกไม่ออกว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่!

เมื่อครู่เสด็จปู่เสด็จมาทดสอบทุกคน เห็นได้ชัดว่าเป็นตนที่ทำได้ยอดเยี่ยมมิใช่หรือ?

แล้วเหตุใดเสด็จปู่ถึงได้พูดคุยแต่กับจูอวิ่นเทิง?

เสด็จปู่เอ่ยถาม แต่จูอวิ่นเทิงก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาเป็นชิ้นเป็นอัน

แถมยังเอาแต่บ่ายเบี่ยง ทั้งๆ ที่ให้เขาเข้าร่วมประชุมราชสำนัก!

ราวกับว่าวันนี้เสด็จปู่มองตนเป็นอากาศธาตุไปเสียแล้ว!

ความสนใจทั้งหมดอยู่ที่จูอวิ่นเทิง!

นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน!

ชั่วขณะหนึ่ง ในใจของจูอวิ่นเหวินก็สับสนวุ่นวาย

ได้ยินมาว่าช่วงนี้ เสด็จปู่กำลังจะเลือกรัชทายาท

หากเลือกจากบรรดาท่านอา คนที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดคือท่านอาสี่จูตี้

แต่ก็ได้ยินมาว่าเสด็จปู่เปลี่ยนใจแล้ว จะเลือกจากในหมู่พระราชนัดดาแทน

หากเลือกจากพระราชนัดดา ผู้ที่มีคุณสมบัติก็มีเพียงสองคน ตนเองกับน้องสามจูอวิ่นเทิง

หากว่ากันตามสายเลือด จูอวิ่นเทิงเป็นโอรสที่เกิดจากชายาเอก ส่วนตนเกิดจากอนุภรรยา

หากว่ากันตามเส้นสาย จูอวิ่นเทิงได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มขุนศึกแห่งหวยซีเท่านั้น แต่ตนได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มขุนนางฝ่ายบุ๋นทั้งหมด

หากว่ากันตามความสามารถ จูอวิ่นเทิงเทียบกับตนไม่ได้เลย

และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ทั้งเสด็จปู่และเสด็จพ่อต่างก็โปรดปรานตน

เจ้าโง่จูอวิ่นเทิงนั่น วันๆ เอาแต่ก้มหน้าก้มตา ไม่เคยปรากฏตัวต่อหน้าเสด็จปู่และเสด็จพ่อ

นี่คือข้อได้เปรียบที่ใหญ่ที่สุดของเขา

ทว่า วันนี้ ดูเหมือนท่าทีของเสด็จปู่ที่มีต่อน้องสามปัญญาอ่อนคนนี้จะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

จูอวิ่นเหวินรีบไปยังวังหลังเพื่อไปหามารดาแม่นางหลี่ว์

หลังจากที่นางหลี่ว์ได้ฟัง ก็ครุ่นคิดอยู่นานแต่ก็ยังไม่เข้าใจ ได้แต่ปลอบโยนว่า “ลูกแม่วางใจเถิด เจ้าโง่จูอวิ่นเทิงนั่นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของลูกหรอก!”

“บางที จุดประสงค์ที่ฝ่าบาทให้เขาเข้าร่วมประชุมราชสำนัก อาจจะเป็นการทำให้เขาขายหน้าต่อหน้าธารกำนัล เพื่อให้พวกขุนศึกที่สนับสนุนเขาหมดคำจะกล่าว!”

เมื่อจูอวิ่นเหวินได้ฟัง ก็รู้สึกว่าท่านแม่เฉียบแหลมยิ่งนัก วิเคราะห์ได้ตรงประเด็นในทันที!

ที่พักของจูอวิ่นเทิงไม่ได้อยู่ในวังหลวง

แต่อยู่นอกวัง

นั่นคือเรือนที่ท่านลุงฉางเซิงหาไว้ให้เขา

มารดาของเขาเป็นบุตรสาวของฉางอวี้ชุน ส่วนลุงรองฉางเซิงคือไคกั๋วกง

หลังจากที่มารดาของเขาสิ้นไป นางหลี่ว์มารดาของจูอวิ่นเหวินก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นพระชายารัชทายาท

ทุกวันที่อยู่ในวัง จูอวิ่นเทิงจำต้องเรียกนางหลี่ว์ว่าท่านแม่

แต่เมื่อไม่มีใครอยู่ นางหลี่ว์ก็ไม่เคยแสดงสีหน้าดีๆ ต่อจูอวิ่นเทิงเลย

ลุงรองฉางเซิงทนดูไม่ไหวจึงได้จัดหาบ้านพักหลังหนึ่งให้เขาอยู่นอกวัง

ด้วยเรื่องนี้ รัชทายาทจูเปียวผู้มีนิสัยอ่อนโยนถึงกับทะเลาะกับฉางเซิง

แต่สุดท้ายก็เป็นฉางเซิงผู้มีอารมณ์ร้อนเป็นฝ่ายเหนือกว่า

จูเปียวจึงได้เข้าใจถึงความลำบากของบุตรชายผู้ธรรมดาคนนี้ ยอมให้เขาไปอาศัยอยู่นอกวังโดยปริยาย แต่มีข้อแม้หนึ่งข้อคือ ห้ามขาดเรียนที่ตำหนักเหวินหัว

สี่ปีก่อน ฉางเซิงไปทำศึกที่เหลียวตง และได้เก็บเด็กสาวชาวเกาลี่มาสองสามคน

เด็กสาวเหล่านั้นอายุน้อยเกินไป เมื่อนึกขึ้นได้ว่าหลานนอกจูอวิ่นเทิงไม่มีเพื่อนเล่น จึงยัดเด็กสาวเหล่านั้นไปเป็นสาวใช้ที่จวนของจูอวิ่นเทิงโดยตรง

จูอวิ่นเทิงเดินกลับมาที่เรือน เหมยเอ๋อร์ หลานเอ๋อร์ ข้ากลับมาแล้ว!”

เหมยเอ๋อร์ หลานเอ๋อร์รีบวิ่งออกมา “คุณชายกลับมาแล้ว หม้อไฟเตรียมพร้อมแล้วเจ้าค่ะ”

จูอวิ่นเทิงหยิกแก้มของทั้งสองคนเบาๆ “เหมยเอ๋อร์กับหลานเอ๋อร์ยิ่งโตยิ่งสวย แถมยังทำงานเก่งขึ้นเรื่อยๆ ด้วย!”

ถ่านไฟถูกจุดขึ้น ขับไล่ความหนาวเย็นของต้นฤดูใบไม้ผลิออกไป

หม้อไฟสองน้ำซุปที่สวยงาม น้ำซุปหม้อไฟเนื้อวัวรสเผ็ด เนื้อแกะฝานบางๆ ผ้าขี้ริ้ว และผักต่างๆ เหล่านี้ ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่มีในยุคนี้

เพื่อป้องกันไม่ให้กลิ่นเล็ดลอดออกไป จึงเลือกรับประทานอาหารในห้องที่ปิดมิดชิดที่สุด

อุปกรณ์และวัตถุดิบเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่จูอวิ่นเทิงใช้แต้มปลาเค็มแลกมา และเก็บไว้ในพื้นที่เก็บของระบบ

ทุกวันเวลาจะกิน ก็จะนำออกมาจากพื้นที่เก็บในระบบเล็กน้อยไปวางไว้ที่หลังเรือน

เหมยเอ๋อร์และหลันเอ๋อร์ก็จะไปนำออกมาจากด้านหลังได้เลย

เด็กสาวทั้งสองเป็นชาวเกาลี่ จึงคิดว่านี่เป็นวิถีชีวิตปกติของชาวต้าหมิง

ต่อมาเมื่อทั้งสองได้ออกไปเดินเล่นข้างนอกจึงได้รู้ว่า จวนของคุณชายนั้นร่ำรวยที่สุด แม้แต่ภัตตาคารที่หรูหราที่สุดบนท้องถนน ก็ยังเทียบอาหารที่คุณชายทำไม่ติด

คุณชายบอกว่า ทั้งหมดนี้เป็นความลับของเขา

การเก็บความลับให้คุณชาย คือหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์ของพวกนาง

“กินหม้อไฟ แล้วก็ดื่มเหล้าสักหน่อย ไล่ความหนาว” จูอวิ่นเทิงหยิบเหล้าเหมาไถชั้นเลิศออกมาจากพื้นที่เก็บในระบบอย่างสบายๆ

หลังจากดื่มลงท้องไปหลายจอก เหมยเอ๋อร์และหลานเอ๋อร์ก็เมามาย จากนั้นก็ค่อยๆ ถอดเสื้อผ้าด้วยตนเอง เพื่ออุ่นเตียงให้จูอวิ่นเทิง

การได้ดื่มเหล้าเหมาไถชั้นยอดในยุคนี้ ช่างเป็นความสุขท่วมท้นเสียจริง

แต่พอคิดถึงจูหยวนจางในวันนี้ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหนาวสั่นขึ้นมา

ดวงตาที่ลึกล้ำคู่นั้นราวกับสามารถมองทะลุได้ทุกสิ่ง หยั่งรู้ถึงจิตใจของผู้คนในโลกหล้า

จากจุดเริ่มต้นที่เป็นเพียงพระสงฆ์รูปหนึ่ง สู่การครอบครองใต้หล้า จูหยวนจางช่างเป็นบุคคลที่ไม่ธรรมดาจริงๆ

ต่อไปนี้คงต้องซ่อนตัวเองให้ดี ระวังอย่าได้เปิดเผยความสามารถของตนเองเป็นอันขาด!

การที่จะให้จูหยวนจางแต่งตั้งตนเป็นพระนัดดารัชทายาทนั้น เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้!

อย่าได้คิดฝันเลย!

หากพยายามแสดงความสามารถของตนออกมา ก็จะยิ่งทำให้จูหยวนจางรังเกียจมากขึ้น

ยังมีเหตุผลที่ลึกซึ้งที่สุดอีกข้อหนึ่ง เบื้องหลังของตนเองมีกลุ่มขุนศึกแห่งหวยซีสนับสนุน!

หากตนได้เป็นพระนัดดารัชทายาท และสืบทอดราชบัลลังก์ในท้ายที่สุด จูหยวนจางย่อมกังวลว่าขุนศึกเหล่านั้นจะยิ่งเหิมเกริมมากขึ้น

บทเรียนเรื่องญาติฝ่ายนอกกุมอำนาจและชิงอำนาจนั้นฝังรากลึกเกินไป!

ดังนั้น จูหยวนจางจึงยอมเลือกจูอวิ่นเหวินที่เกิดจากอนุภรรยา!

เช่นนี้ก็จะไม่มีปัญหาเรื่องญาติฝ่ายนอกกุมอำนาจและชิงอำนาจ

ดังนั้นไม่ว่าตนจะแสดงความสามารถอย่างไร ก็ไม่มีทางได้เป็นพระนัดดารัชทายาท

แน่นอนว่าจุดจบของจูอวิ่นเทิงในประวัติศาสตร์นั้นน่าเวทนา

หากต้องการเปลี่ยนแปลงชะตากรรมนี้ ก็ทำได้เพียงแค่เป็นปลาเค็มที่ใช้ชีวิตไปวันๆ อย่างสงบเสงี่ยม สะสมแต้มปลาเค็มไปเรื่อยๆ

เมื่อครบกำหนดสิบปี ทรัพยากรลึกลับนั้นปรากฏขึ้น เขาก็จะสามารถขึ้นสู่จุดสูงสุดแห่งต้าหมิงได้!

ชะตากรรมก็จะเปลี่ยนไปโดยปริยาย

ท่านสามารถเชื่อมั่นในระบบได้เสมอ!

เมื่อมีระบบแล้ว ทุกสิ่งล้วนถูกจัดสรรมาอย่างดีที่สุด

เขาดื่มเหล้าเหมาไถอีกจอกเล็กๆ พลางขยับปากลิ้มรส แต่ในใจกลับคิดถึงเรื่องในวันพรุ่งนี้

ตาเฒ่าให้ตนเข้าร่วมประชุมราชสำนัก สรุปต้องการจะทำอะไรกันแน่?

การแสดงออกของตนในวันนี้ จะถือว่ายอดเยี่ยมได้อย่างไร?

หรืออาจเป็นเพราะจูอวิ่นเหวินทำอะไรผิดพลาด ตาเฒ่าจึงใช้ตนมาตบหน้าสั่งสอนจูอวิ่นเหวิน

วันรุ่งขึ้น ขณะที่จูอวิ่นเทิงกำลังหลับสบาย ประตูเรือนก็ถูกทุบเสียงดังสนั่นหวั่นไหว

พอได้ยินเสียงห้าวๆ ก็รู้ทันทีว่าเป็นลุงรองฉางเซิง

เกือบลืมไปเลยว่า ยังมีเรื่องเข้าประชุมเช้าอีก

ฉางเซิงเตรียมม้าไว้พร้อมแล้ว หลังจากขึ้นม้า ทั้งสองก็ขี่ม้าเคียงข้างกันไป

“หลานผู้แสนดีของลุงเอ๋ย ครั้งนี้เจ้าสร้างชื่อเสียงให้แก่ตระกูลฉางของเราแล้ว! จุ๊ ๆ ถึงกับได้เข้าประชุมเช้าแล้ว! เจ้าเด็กอวิ่นเหวินนั่นยังไม่เคยเข้าร่วมเลย!”

ฉางเซิงพูดเสียงดังเป็นพิเศษ ตั้งใจจะให้เหล่าขุนนางที่กำลังเดินทางไปประชุมเช้าทั้งข้างหน้าและข้างหลังได้ยิน

ในบรรดาขุนนาง มีทั้งขี่ม้า นั่งเกี้ยว และเดินเท้าวิ่งเหยาะๆ ก็มีไม่น้อย

ผู้ที่ขี่ม้าส่วนใหญ่เป็นขุนนางฝ่ายบู๊ พวกเขารีบเข้ามาหาจูอวิ่นเทิง แล้วกล่าวชื่นชมกันยกใหญ่

จนจูอวิ่นเทิงเองยังสงสัยขึ้นมา ข้าดีขนาดนั้นเชียวหรือ?

พวกที่นั่งเกี้ยวและเดินเท้า ส่วนใหญ่แสดงท่าทีดูแคลน เรื่องนี้จะดีหรือร้ายนั้น ยังบอกได้ยาก

พวกนักรบเหล่านี้ ช่างไร้มารยาท มองสถานการณ์ไม่ออก!

ขณะที่พูดคุยกัน ก็มาถึงประตูวัง

คนที่นั่งเกี้ยวก็ลงจากเกี้ยว คนที่ขี่ม้าก็ลงจากม้า

เมื่อเดินตามฉางเซิงเข้าไป สายตาหลายคู่ก็กวาดมองมา

ตอนแรกจูอวิ่นเทิงยังจิตใจสงบนิ่ง ท่าทีสุขุมเยือกเย็น ฉางเซิงยิ่งรู้สึกว่าตนเองมีหน้ามีตา

ทันใดนั้น สีหน้าของจูอวิ่นเทิงก็เริ่มกระสับกระส่าย การพูดจาก็กลับไปเป็นเหมือนเดิมคือ ติดอ่าง

เมื่อเข้าไปในท้องพระโรง จูอวิ่นเทิงก็หาที่ยืนตรงมุมสุดของแถวสุดท้าย ยืนก้มหน้าก้มตาหดคอ

ที่ตรงนี้ ทั้งไม่เป็นที่สังเกต และไม่มีลมหนาวพัดมา เช่นนี้ช่างดีเสียนี่กระไร

หลังจากฟังหัวข้อประชุมเรื่องการเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิ เมล็ดพันธุ์ วัวไถนา และอื่นๆ ซึ่งไม่น่าตื่นเต้นเลยสักนิด จูอวิ่นเทิงก็พิงกำแพงแล้วง่วงเหงาหาวนอน

ขณะที่กำลังเคลิ้มๆ อยู่นั้น ก็มีมือใหญ่คู่หนึ่งมาผลักจูอวิ่นเทิงให้ตื่น

“ตื่นๆ ฝ่าบาทเรียกเจ้าอยู่”
Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • อยากเนียนเป็นปลาเค็ม แต่ฮ่องเต้ดันจับโป๊ะจากในใจ   บทที่ 83

    “ท่านอย่าทำอะไรบ้า ๆ นะ!”ยิ่งมูเหยาขัดขืน จูอวิ่นเทิงก็ยิ่งเข้ามาแนบชิด“หม่อมฉันพูดแล้ว หม่อมฉันมีกายเป็นหญิง” มู่เหยาพูดจบ จูอวิ่นเทิงก็ปล่อยนางมู่เหยาไม่คิดว่าจูอวิ่นเทิงจะปล่อยมือในตอนนี้อดรู้สึกผิดหวังเล็ก ๆ ไม่ได้“เจ้ามีกายเป็นหญิง เป็นคนที่ฝ่าบาทส่งมา ฟังดูเหลวไหลมาก บอกมาดีกว่า อย่ามาหลอกข้า”เสี้ยวอำมหิตฉายวาบในดวงตาของจูอวิ่นเทิงมู่เหยาแสร้งทำท่าทางน่าสงสาร “อู๋อ๋อง หม่อมฉันเป็นคนอวิ๋นหนาน เมื่อราชวงศ์ต้าหมิงเริ่มก่อตั้ง จำนวนขันทีขาดแคลนมาก ทางการจึงยัดเยียดรายชื่อหนึ่งให้กับครอบครัวของหม่อมฉัน”“หม่อมฉันมีน้องชายเพียงคนเดียว พ่อแม่หม่อมฉันตัดใจไม่ลง”“ครอบครัวของหม่อมฉันในท้องถิ่นถือว่ามั่งคั่ง จึงใช้เงินเพื่อติดสินบนขุนนางทุกระดับ สุดท้ายก็ให้หม่อมฉันเข้าวังมา”“หม่อมฉันเป็นหญิง ฝ่าบาทก็ไม่รู้เช่นกัน”จูอวิ่นเทิงเดินวนรอบกายมู่เหยา เกรงว่าสิ่งที่นางพูดจะเป็นความจริงประการแรก ฝ่าบาทเป็นคนส่งมู่เหยามาจริง ๆ เรื่องนี้เจิ้งเหอสามารถเป็นพยานได้สุขภาพของตนเองอ่อนแอ เรื่องนี้ฝ่าบาทรู้ฝ่าบาทส่งขันทีคนหนึ่งมาเพื่อไม่ปล่อยให้วัน ๆ เขาเอาแต่จมดิ่งอยู่ในความเย้าย

  • อยากเนียนเป็นปลาเค็ม แต่ฮ่องเต้ดันจับโป๊ะจากในใจ   บทที่ 82

    จูอวิ่นเทิงกลับมาถึงเรือน เจิ้งเหอ เหมยเอ๋อร์ และหลานเอ๋อร์ถูกแก้มัดเชือกกันหมดแล้ว“มู่เหยาไปไหนหรือ?”“มู่เหยาบอกว่า เขาจะเข้าวังเพคะ” เหมยเอ๋อร์กล่าวเอ๊ะ ฮ่า ๆ!มู่เหยาไม่อยู่!อย่างนั้นก็เข้าไปในห้องกับเหมยเอ๋อร์และหลานเอ๋อร์ ถ่ายทอดความรู้ทางร่างกายแก่พวกนางได้น่ะสิ?เจิ้งเหอรู้ว่าหัวใจวสันต์ของคุณชายเริ่มหวั่นไหวอีกแล้ว แอบอิจฉาเล็กน้อย ก่อนกลับไปยังห้องของตัวเอง“เหมยเอ๋อร์ หลานเอ๋อร์ ข้าเข้าไปแล้วนะ”จูอวิ่นเทิงเพิ่งจะเข้ามาในห้อง ก็ได้ยินเสียงของมู่เหยา “เหมยเอ๋อร์ หลานเอ๋อร์ ข้ากลับมาแล้ว!”ร่างของจูอวิ่นเทิงพลันชะงัก ขันทีน้อยผู้นี้กลับมาได้จังหวะพอดีจริง ๆ!ไม่ใช่สิ กลับมาได้ไม่ถูกจังหวะเลยต่างหาก!เหมยเอ๋อร์และหลานเอ๋อร์เห็นดังนั้น ก็เหมือนหนูเห็นแมว รีบถอยไปยังหลังเรือนมู่เหยาเข้ามาในเรือน จูอวิ่นเทิงได้โผเข้าหาทันทีสวมกอดมู่เหยาไว้ว้าย! มู่เหยาไม่ทันตั้งตัว จึงร้องออกมาเสียงดัง“อย่าร้อง ร้องไปก็เปล่าประโยชน์!”จูอวิ่นเทิงดันมู่เหยาไปชิดผนังอย่างดุดันมู่เหยาคิดขัดขืน แต่จูอวิ่นเทิงพลันยันผนังคร่อมไว้“ท่าน ท่านคิดจะทำอะไรน่ะ?” มู่เหยาหน้าแดงก่ำ“ข

  • อยากเนียนเป็นปลาเค็ม แต่ฮ่องเต้ดันจับโป๊ะจากในใจ   บทที่ 81

    [ตาเฒ่า ท่านจะเอาแต่ดื้อรั้นเช่นนี้ไม่ได้! อย่างไรก็ต้องมีเหตุผลบ้าง]การบ่นของจูอวิ่นเทิงทำให้จูหยวนจางหมดคำพูด เราสามารถพูดเสียงในใจของเจ้าออกมาได้ไหม?[เหตุผลก็เห็นอยู่ชัดเจนแล้วไม่ใช่หรือ?][เจ้าเมืองคนหนึ่ง เก็บภาษีเงินและเสบียงได้เกินเป้าทุกปี! นี่ไม่ถือว่าเป็นปัญหาหรอกหรือ?]จูหยวนจางคิดในใจว่า การเก็บภาษีได้เกินเป้ามันคือผลงาน เหตุใดถึงกลายเป็นปัญหาไปได้?ความคิดของหลานสามผู้นี้ มักจะพิลึกพิลั่นอยู่เสมอ![ตำแหน่งกำหนดความคิด เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม เป็นขุนนางสมัยหนึ่ง ก็ต้องสร้างคุณประโยชน์ให้ท้องถิ่นนั้น นี่คือจุดยืนและมุมมองอันเป็นพื้นฐานที่สุด!][ราชสำนักให้เจ้าเก็บเสบียงและภาษีเกินเป้าแล้วหรือ?][เมื่อไม่ได้ให้เจ้าเก็บภาษีเกินเป้า หวงจื่อซิ่น เจ้าหลอกลวงเบื้องบน!][ประชาชนคิดว่าราชสำนักให้เก็บเสบียงและภาษีเพิ่ม หวงจื่อซิ่น เจ้าปิดบังเบื้องล่าง!][เก็บเกินเป้าสองส่วน หนึ่งส่วนที่เพิ่มมามอบให้ราชสำนัก ได้รับชื่อเสียงในฐานะขุนนาง! อีกหนึ่งส่วนเก็บไว้กับตนเอง เบียดบังผลประโยชน์ใส่ตัว!][เพิ่มภาระให้กับชาวนา! ทวีความคับแค้นของชาวนาที่มีต่อราชสำนัก! อาศัยเรื่องน

  • อยากเนียนเป็นปลาเค็ม แต่ฮ่องเต้ดันจับโป๊ะจากในใจ   บทที่ 80

    ดวงพระเนตรของจูหยวนจางเบิกกว้างโดยพลัน มองไปทางจูอวิ่นเทิงการสิ้นพระชนม์ของรัชทายาท!!!เกี่ยวข้องกับหวงจื่อซิ่น?!จูอวิ่นเทิงรู้สึกได้ถึงสายตาที่ราวกับจะฆ่าคนของจูหยวนจาง มันทำให้เขาสะดุ้งตกใจ[ไม่ใช่กระมัง ตาเฒ่าจู ทำเอาข้าตกอกตกใจหมด!][ตอนแรกข้าก็ไม่ได้มีอะไรแอบแฝง แต่พอถูกเขามองแบบนี้กลับทำให้ดูมีเงื่อนงำขึ้นมาได้!][พระทัยของฮ่องเต้ คาดเดาได้ยากจริง ๆ ด้วย]จูหยวนจางรีบละสายตามองไปที่หวงจื่อเฉิงหวงจื่อเฉิงลังเลเล็กน้อยเช่นกัน พระเนตรของฝ่าบาทสามารถฆ่าคนได้เลย!หวงจื่อซิ่นเป็นญาติผู้น้องของเขา!ที่หวงจื่อซิ่นสามารถเป็นเจ้าเมืองหางโจว ก็เพราะจูอวิ่นเหวินเป็นคนแนะนำให้จูเปียวฝ่าบาทรู้ว่าเขากับฉีไท่สนิทกัน การที่ฉีไท่เป็นคนแนะนำหวงจื่อซิ่นแบบนี้ ไม่รู้ว่าฮ่องเต้จะคิดอย่างไร[ช่วงนี้ฝ่าบาทอารมณ์แปรปรวนไม่มั่นคง แต่ก็ไม่แปลก การตายของรัชทายาทคงทำให้ไม่อาจสงบพระทัย][หวงจื่อซิ่น นึกออกแล้ว! เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้!][ชาวอุทัยกลุ่มหนึ่งได้เข้ามาที่เมืองหางโจวภายใต้การนำของอันธพาลท้องถิ่น ทำการเผา สังหาร และปล้นสะดม จากนั้นเดินออกจากเมืองอย่างเปิดเผยไม่เกรงกล

  • อยากเนียนเป็นปลาเค็ม แต่ฮ่องเต้ดันจับโป๊ะจากในใจ   บทที่ 79

    หวงจื่อเฉิงไม่ยอมแพ้!เพราะการกระทำของฮ่องเต้ครั้งนี้มันเหลวไหลมากจริง ๆ!สำนักโหรหลวง มันใช่ที่ที่ผู้ใดจะเข้าไปก็ได้หรือ?ต่อให้เจ้ามีความรู้มากมาย มีความสามารถเป็นเลิศ เข้าสำนักโหราศาสตร์ไปแล้วก็คงทำได้แค่มองตาปริบ ๆนอกจากนี้ คนด้านในก็หยิ่งผยองกันทั้งนั้น!อยู่ในถิ่นของพวกเขา อย่าหวังว่าจะเข้าไปยุ่งได้!หากส่งคนที่ไม่รู้เรื่องไปสั่งการ มันจะไม่วุ่นวายไปกันใหญ่หรือ?“ฝ่าบาท เรื่องสำคัญของบ้านเมืองมีสองประการ คือการบูชาและการสงคราม การบูชามีการแจกจ่ายเครื่องเซ่น การสงครามมีการแบ่งสรรอำนาจ ทั้งสองล้วนเป็นพิธีการสำคัญที่ใช้ติดต่อกับสวรรค์เบื้องบน”“แม้อู๋อ๋องจะมีความสามารถ แต่ในแง่ของการสังเกตดวงดาวและภูมิศาสตร์แล้ว เกรงว่าจะไม่ใช่ด้านที่ถนัด”“ฝ่าบาท กระหม่อมมองว่าการให้อู๋อ๋องดำรงตำแหน่งเจ้ากรมสำนักโหราศาสตร์หลวง ไม่เหมาะสมพ่ะย่ะค่ะ”จูอวิ่นเทิงโมโหมาก หวงจื่อเฉิงชอบขัดขาเขาอยู่เรื่อย!ข้าก็แค่สั่งสอนหวงเฉิงอิ้นลูกชายเจ้าไปเพียงเล็กน้อยที่สำคัญคือ คนผู้นี้รนหาที่เอง สมควรโดนดี!มาเชิญข้าไปร่วมงานเลี้ยงแต่กลับวางท่าโอ้อวด!แต่ว่า คำคัดค้านของหวงจื่อเฉิงก็สามารถใช้ให้เกิ

  • อยากเนียนเป็นปลาเค็ม แต่ฮ่องเต้ดันจับโป๊ะจากในใจ   บทที่ 78

    โหรหลวงคืออะไร หากเป็นคนปกติก็ไม่มีทางที่ผู้ใดจะอยากรับตำแหน่งนี้!โหรหลวงมีชื่อเดิมว่าผู้เฝ้ามองดวงดาว ทำหน้าที่สังเกตปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ คำนวณปฏิทิน สำนักโหรหลวงจะทำงานแค่เฉพาะเหตุการณ์สำคัญเท่านั้นหากมีภัยธรรมชาติ โหรหลวงจะต้องคำอธิบายที่สมเหตุสมผล มิเช่นนั้นฮ่องเต้จะพิโรธหากเกิดสงคราม โหรหลวงจะต้องทำนายสภาพอากาศ ถ้าทำนายผิดพลาด อาจมีภัยมาถึงตัว!ในยุคราชวงศ์ฮั่นตะวันออก หนึ่งในหน้าที่ของไท่สื่อลิ่งก็ดูปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์และประกอบพิธีบวงสรวง ซือหม่าเชียนที่ถูกตอนก็เคยดำรงตำแหน่งนี้[ครานี้ก็อยู่ที่ว่า ตาเฒ่าจูจะตอบตกลงหรือไม่!][โหลหลวงสบายจะตาย! ไม่ต้องทำงานตั้งแต่เก้าโมงถึงสามทุ่ม หกวันต่อสัปดาห์!][เวลาทำงานก็ยืดหยุ่น! ไม่ต้องตื่นเช้าทุกวัน!][หากมีคนถามว่ากำลังทำอะไรอยู่ ขออภัย ฝ่าบาท ข้ากำลังสังเกตการณ์ท้องฟ้า!][อะไรนะ เข้าประชุมงั้นหรือ? ประชุมอะไร ไม่เห็นหรือว่าข้ากำลังสังเกตการณ์ท้องฟ้า?][ประชุมหรือ? ชู่ว อย่าเสียงดัง! ข้ากำลังคุยกับเง็กเซียนฮ่องเต้!][ตาเฒ่าจู ท่านไม่ให้ข้าออกจากเมืองอิ้งเทียนใช่หรือไม่? ท่านไม่รู้หรือว่าดาวจื่อเวยปรากฏที่เมืองซงเจี

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status