"สวัสดีค่ะคุณเพ้นท์บอกให้คุณสั่งอาหารรอได้เลยค่ะถ้าว่างจะออกมา" ธารณ์ที่เดินเข้ามาถึงเคาน์เตอร์ร้านเดิมที่มาเหยียบเมื่อวานชะงักทันทีเมื่อพนักงานคนเดิมที่เขาเคยให้ไปตามเจ้าของร้านพูดขึ้นทันทีที่เห็นหน้าเขา
"ครับ?"
"รับอะไรดีคะข้าวผัดเหมือนเมื่อวานไหมคะ"
"เอาเป็นผัดกะเพราปลาหมึกเผ็ดน้อยมาก็ได้ครับ" เมื่อโดนจ้องรอเอาคำตอบแบบนั้น คนตัวสูงจึงสั่งอาหารไปอย่างมึนงง
"ไข่ดาวด้วยไหมคะ"
"ไม่ครับ" คนที่เพิ่งได้รับไข่ดาวรูปหัวใจรีบปฏิเสธทันที
"ถ้าอย่างนั้นคุณลูกค้าเชิญนั่งได้เลยค่ะ" ธารณ์เดินไปนั่งโต๊ะตัวเดียวกับเมื่อวานอย่างงงๆ ความจริงเขาควรจะต้องงงตั้งแต่เดินเข้ามาในร้าน จุดประสงค์แรกคือตั้งใจจะมาคุยกับเจ้าของร้านให้รู้เรื่อง แต่ไม่รู้ทำไมอยู่ดีๆ กลับกลายเป็นแบบนี้ซะได้ พนักงานที่ยืนอยู่ตรงเคาน์เตอร์พูดเหมือนรู้ว่าเขาต้องการจะมาพบเจ้าของร้าน ซึ่งเขาคิดว่าเธอน่าจะบอกไว้อยู่แล้ว
แต่ที่งงยิ่งกว่าคือเขากลับสั่งอาหารไปหน้าตาเฉย แถมยังเดินมานั่งรอที่โต๊ะเดิมอีกต่างหาก คิดไปคิดมาไม่แน่ใจว่าตัวเองเป็นเหยื่อรึเปล่า เหมือนโดนเธอบังคับกินข้าวกลายๆ แต่ก็เอาเถอะเห็นว่าทำกับข้าวอร่อยหรอกนะ ถือซะว่าไม่ได้เสียประโยชน์อะไร
นั่งรอไม่นานก็มีอาหารมาส่งเหมือนเดิม แต่ดันมีนอกเหนือจากรายการที่สั่งไป คือชามะนาวแก้วเล็กที่เสิร์ฟมาคู่กัน เดาได้ไม่ยากว่ามาจากใคร
"เช็กบิลเลยครับ"
"คะ?"
"ผมจ่ายก่อนเลย" เขายื่นธนบัตรสีเทาให้พนักงานที่หน้าเหลอหลาอยู่ สราลียื่นมือไปรับงงๆ ถึงอย่างนั้นก็จัดการเช็กบิลให้ตามความต้องการของลูกค้า
คุณหมอหนุ่มสบายใจขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้จ่ายค่าอาหารก่อนที่เธอจะชิงบอกลูกน้องว่าไม่ให้คิดเงินเขา แล้วเริ่มลงมือรับประทาน แต่เมื่อเห็นหน้าตาผัดกะเพราปลาหมึกในจาน ก็ถอนหายใจอย่างหน่ายๆ
อุตส่าห์ไม่มีไข่ดาวมาให้วาดหัวใจแล้ว เจ้าตัวยังตกแต่งด้วยการเอาปลาหมึกสองวงมาวางไว้ตรงกลาง เอาถั่วฝักยาวมาบิดโค้งๆ เป็นรอยยิ้ม
นี่คิดว่าทำให้เด็กอนุบาลกินรึไง!
ถึงแม้จะเคืองแค่ไหน แต่เมื่ออาหารหน้าตาน่ากินวางอยู่ตรงหน้า ไหนจะกลิ่นหอมยั่วยวนที่ส่งมาทำให้ร่างสูงลงมือรับประทานอย่างรวดเร็ว ซึ่งใช้เวลาไม่นานทุกอย่างในจานรวมถึงเครื่องดื่มในแก้วก็หมดเกลี้ยง ธารณ์พยักหน้าพึงพอใจ ความจริงตัวเขาไม่ได้กินยากอะไร ด้วยนิสัยหมอต้องรีบกินรีบทำงาน แต่พอระหว่างวันมีอาหารรสชาติอร่อย สะดวกรวดเร็วมาวางตรงหน้าแบบนี้ ก็ดีไม่น้อยสำหรับอาชีพอย่างเขา
"สวัสดีค่ะ" ธารณ์เงยหน้าขึ้นมองตามเสียงอัตโนมัติ เมื่อเห็นใบหน้าหวานคุ้นตาที่ยืนส่งยิ้มมาให้ก็แสร้งเก๊กหน้าขรึมตอบกลับ
"เชิญนั่งครับ" รวีธารยกยิ้มอารมณ์ดีตอบกลับ ก่อนจะนั่งลงตามคำชวนของเขา เมื่อเห็นความว่างเปล่าในจานอาหาร รอยยิ้มก็กว้างขึ้นกว่าเดิมอัตโนมัติ "ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณ"
เขาเปิดประเด็นทันทีเมื่อเห็นเธอนั่งเรียบร้อย
"จะผูกปิ่นโตกับฉันเหรอคะ"
"พูดอะไร!?" ธารณ์สะดุ้งตกใจทันทีเมื่อเธอพูดจบ ถามกลับน้ำเสียงเลิ่กลั่ก หรี่สายตามองอย่างหวาดระแวง
"คะ? ก็นี่ไง คุณอยากจะมาผูกปิ่นโตกับฉันเหมือนคนอื่นรึเปล่า" เธอชี้ไปยังจานข้าวที่ว่างเปล่าของเขา "ฉันรู้นะหมอพยาบาลงานยุ่งจะตาย ที่ร้านรับบริการผูกปิ่นโต จะสั่งไว้แจ้งเวลาแล้วลงมากินที่ร้าน หรือจะให้ทางเราไปส่งก็ได้" เธอรีบขายของตามนิสัยเจ้าของร้าน ดีจะตายได้ทั้งเห็นหน้าเขาทุกวัน ได้ทั้งออเดอร์!
"ผมไม่ได้มาเรื่องนั้น" คุณหมอหนุ่มเมื่อทราบจุดประสงค์ที่แท้จริงของเธอว่าไม่ได้หมายถึงผูกปิ่นโตเดียวกับที่เขาคิดแสร้งพูดเสียงเข้ม ส่งสายตาดุๆ ปรามเธอทันที
"อ้าว แสดงว่าคิดถึง" เธอยิ้มกว้างตอบกลับ
"ไม่ใช่อีกเหมือนกัน แต่ผมจะมาบอกว่าไม่ต้องส่งมาแล้วกาแฟพวกนี้" เขาพูดจบก็เลื่อนบัตรสะสมแต้มที่มีตราประทับสี่ช่องส่งให้
"ทำไมละคะ"
"เมื่อวานผมบอกไปแล้ว" เขาเสหลบตายกแก้วขึ้นดื่ม พยายามไม่มองตาแป๋วๆ ที่จ้องมองมา
"แค่ให้กาแฟก็ไม่ได้เหรอคะ"
"บอกแล้วให้ถือว่าคืนนั้นไม่มีอะไรเกิดขึ้น" รู้ว่าโคตรเหี้ย แล้วก็เห็นแก่ตัว แต่ทำยังไงได้ ตัดปัญหาตั้งแต่ต้นดีกว่า ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่พ้นเจอปัญหาเดิมๆ เหมือนที่ผ่านมา
"เราก็เริ่มต้นกันใหม่ได้นี่"
"...."
"ปัญหาของคุณคือเพราะเราอยู่ใกล้กัน แค่นี้น่ะเหรอ"
"ใช่ แค่ถนนกั้นเนี่ยแหละคือปัญหาของผม ผมไม่อยากยุ่งกับคนใกล้ตัว"
บ้าไปแล้ว!
"ถ้าอย่างนั้นคุณซื้อคอร์สอาหารที่ร้านสิ"
"ห้ะ?" ธารณ์อุทานตกใจ ทั้งงุนงงสับสน ที่อยู่ๆ กลายเป็นมาขายคอร์สอาหารกันเฉย
"ซื้อสิ เอาเป็นรายอาทิตย์ก่อนก็ได้ลองดู"
"แค่นั้นจริงเหรอ" ลูกค้าหนุ่มถามกลับอย่างหวาดระแวง
"ใช่" เมื่อเห็นเธอตอบกลับน้ำเสียงหนักแน่นเขาจึงลอบถอนหายใจ ตัดสินใจสั่งคอร์สกับเธอไป
"งั้นเอาแบบหนึ่งอาทิตย์มาก่อน" เขาตอบรับสั้นๆ ในหัวคิดในแง่ดี ถือว่าข้อเสนอนี้ก็ไม่เลว ยอมรับว่าอาหารร้านเธออร่อยจริงๆ การที่ผูกปิ่นโต เอ้ย! ซื้อคอร์สอาหารไปก็ถือว่าไม่แย่ ตัวเขาก็ได้ประโยชน์ ตัวเธอก็ได้ลูกค้า
"ถ้างั้นขอไลน์หน่อย"
"หือ?" เขาทำท่าหวาดระแวงอีกหนเมื่ออยู่ๆ เธอขอคอนแทกต์กันหน้าตาเฉย
"ก็จะส่งเมนูให้เลือกไง" เมื่อเธอบอกเหตุผลมาแบบนั้น เขาจึงหยิบปากกาที่เสียบไว้อยู่ตรงกระเป๋าเสื้อ ตามด้วยกระดาษที่วางอยู่บนโต๊ะ จดเมนูอาหารง่ายๆ เป็นเมนูที่เขาผ่านๆ ตาว่ามีแน่นอนส่งไปให้
"อะนี่"
"หวงจัง" เล่นตัวชะมัด ไม่เห็นเหมือนวันนั้นเลย!
ส่วนคนตัวสูงไม่สนใจที่เธอพูด ลุกขึ้นตั้งท่าจะเดินออกจากร้าน ถึงอย่างนั้นก็ไม่วายออกคำสั่งก่อนไป
"อาทิตย์หน้าผมขึ้นเวรเช้า เอามาส่งช่วงเที่ยงก็ได้ อ้อ! แล้วเอาไปส่งที่วอร์ดได้เลย เพราะผมคงไม่มาเหยียบที่นี่อีก"
"คุณไทม์! เบาๆ สิคะ" เธอบ่นขึ้นเสียงดัง เมื่อเขาเอาแต่ออกแรงฉุดกระชากจนเธอจะเดินตามแทบไม่ทันเขาเหมือนไม่สนใจที่เธอพูด แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็รู้สึกได้ว่าคนตรงหน้าผ่อนจังหวะการเดินลงเล็กน้อย แต่ก็ยังรับรู้ถึงกระแสความหงุดหงิดจากตัวเขาอยู่ดี"ขึ้นรถ" เขาเปิดประตูเพยิดหน้าให้เธอก้าวขึ้นรถ ในขณะที่คนตัวเล็กมองไปที่รถก่อนจะเงยหน้ามองคนตัวสูง"คันนี้เหรอคะ" เธอชี้ไปที่รถคันหรูที่เขาเปิดประตูค้างอยู่อย่างไม่แน่ใจ"ทำไม?" รวีธารไม่ตอบอะไร มองไปที่รถอีกครั้งก่อนจะก้าวขึ้นรถด้วยหัวใจที่เต้นแรง เพราะมันเป็นคันเดียวกับที่เขาหวง และปกติไม่ให้ใครขึ้นบรรยากาศในรถกลับมาสู่ความเงียบอีกครั้ง ทั้งเขาและเธอไม่มีใครพูดอะไรกัน ต่างจากวันแรกลิบลับ ที่เธอและเขาต่างหาเรื่องเพื่อคุยทำความรู้จักกัน รวีธารไม่รู้ว่าที่กำลังเผชิญอยู่ตอนนี้มันคืออะไร และยังเดาใจเขาไม่ถูก ว่าไอ้ที่โมโหลากเธอมาแบบนี้เพื่ออะไร แต่เลือกที่จะนั่งเงียบๆ ภาวนาให้ถึงคอนโดตัวเองเร็วที่สุดใช้เวลาไม่นานเขาก็เปิดไฟเลี้ยว ก่อนจะหักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าคอนโดตรงหน้า ซึ่งมันคงจะดีกว่านี้ถ้ามันไม่ใช่คอนโดเขา!"คุณไทม์มาที่นี่ทำไมคะ?" รู้ว่าเป็นคำถาม
รวีธารไม่รู้แน่ชัด ถึงเจตนาของคนที่มานั่งอยู่ข้างกัน รู้แต่ว่าพอได้คุยด้วย เขาเป็นคนคุยสนุกเลยทีเดียว เธอเผลอหัวเราะไปกับมุกตลกเขาหลายรอบ จนไปๆ มาๆ รู้สึกผ่อนคลายขึ้น และคุยกับเขาอย่างสนิทสนม"คุณเขตต์นี่มีความแค้นส่วนตัวกับคุณไทม์รึเปล่าคะเนี่ย เผากันซะขนาดนี้" คนตัวเล็กอมยิ้มหยอกล้อกลับ เมื่อส่วนใหญ่เรื่องที่คุยกันเป็นเรื่องที่เขามักจะเผาธารณ์ให้ฟัง"ผมแค่หมั่นไส้มันเท่านั้นแหละครับ ยิ่งตอนนี้ยิ่งหมั่นไส้""ทำไมละคะ" "ก็มันคงอยากจะเข้ามาหาคุณใจจะขาด" เขตต์ตอบกลับยิ้มๆ มองผ่านหลังเธอไป ส่วนเธอไม่คิดจะหันกลับไปมองตามที่เขาพูด"ไม่หรอกมั้งคะ" ปกติมีแต่จะหนีหน้ากัน ไม่มีทางหรอกที่เขาจะอยากเข้ามาหาเธอ"เชื่อผมสิครับ ไอ้หมอกการันตีมาขนาดนั้น" รวีธารเลือกที่จะมาคุยเรื่องเขาต่อ เริ่มเปลี่ยนบทสนทนาเป็นเรื่องทั่วไปแทน เพราะกลัวเขาจะเบื่อเหมือนกัน ลำพังการที่เขามานั่งคุยเป็นเพื่อนเธอก็ถือว่าดีมากแล้ว สักพักข้อความจากเพื่อนสนิทก็แจ้งเตือนเข้ามา เธอเห็นว่าเลยเวลาที่รับปากกับเพื่อนมาสักพักแล้วจึงจัดการตอบแชทว่ากำลังจะกลับ แล้วหันมาเอ่ยลากับคนข้างๆ ซึ่งเขาก็เข้าใจดีไม่ติดอะไร ก่อนจะแลกคอนแทกต์ก
คนที่มีคนรอต่อคิวเพียบยกยิ้มกว้างทันทีเมื่อเจ้าของห้องเดินเข้ามา หลังจากที่เขาบอกให้เธอมานั่งรอด้านในสักพัก คนตัวเล็กทยอยหยิบของออกจากถุงเมื่อเขาเดินเข้ามาใกล้"วันนี้ฉันเอาผลไม้มาเพิ่มให้คุณด้วย" เธอเอากล่องอาหารออกมาเรียงวางไว้"เอามาทำไมเยอะแยะ" คนที่รู้สึกหงุดหงิดไม่น้อยหลังจากฟังคำพูดเพื่อนถามกลับตึงๆ"เผื่อช่วงบ่ายๆ คุณหิวไงคะ""ผมไม่ได้สั่งนี่ เมื่อไหร่จะเลิกเอาของที่ไม่ได้สั่งมาให้สักที" คนที่มักจะส่งกาแฟมาให้เป็นประจำกะพริบตามองเขาอย่างมึนงง เมื่ออยู่ๆ เจ้าตัวมีท่าทีโมโห"ถ้าอย่างนั้นคุณทานแค่นี้ก็ได้ค่ะ" เธอเก็บกล่องผลไม้กลับเข้าถุงตามเดิม ในขณะคนที่เพิ่งรู้ตัวว่าเผลอพูดอะไรแย่ๆ เริ่มมีอาการเลิ่กลั่กทันที"คือ..ผมหมายถึงบางทีผมก็กินกาแฟมาแล้ว ส่วนช่วงบ่ายผมมีผ่าตัดคงไม่ได้กิน" เหมือนยิ่งพูดยิ่งแย่ ธารณ์ถึงกับหลับตาถอนหายใจเมื่อตัวเองเผลอปากไม่ดีอีกแล้ว ยิ่งเห็นสีหน้าเจื่อนๆ ของเธอก็เริ่มรู้สึกกระวนกระวาย"ค่ะ ขอโทษนะคะต่อไปฉันจะไม่เอาสิ่งที่คุณไม่ต้องการมาให้อีก" เธอเพิ่งรู้ว่าการที่เอากาแฟมาให้เขาทุกวันมันฝืนความรู้สึกขนาดนี้ บางทีใช่ว่าเขาจะชอบกาแฟร้านเธอสักหน่อยและสิ่งที
"พี่เพ็ญสวัสดีค่าาา""อ้าวน้องเพ้นท์หายไปนานเลย พี่นึกว่าตัดใจไม่อยากมาส่งข้าวให้หมอแถวนี้แล้ว" รวีธารยกยิ้มกว้างตอบกลับ แต่ไม่พูดอะไร จะให้บอกยังไงล่ะ ว่าดันเข้าใจผิดคิดว่าน้องสาวที่นั่งรถมาด้วยเป็นสาวคนสำคัญของเขา"เพ้นท์เอาขนมมาฝากพี่ๆ ด้วยค่ะ" ร่างบางยื่นขนมถุงใหญ่ให้เพ็ญนภาด้วยความสนิทสนม หลังจากที่ไม่ได้เฉียดมาที่วอร์ดนี้หลายอาทิตย์"ขอบใจนะน้องเพ้นท์ พี่ไปไม่เคยทันเค้กกล้วยหอมของคุณน้องสักที" เพ็ญนภายื่นมือรับด้วยความเต็มใจ โดยปกติใช่ว่าเธอจะรับของฟรีตลอด ตัวเธอเองรวมถึงพยาบาลในวอร์ดต่างติดใจขนมร้านกาแฟตรงข้ามโรงพยาบาลกันหมด มักจะแวะเวียนไปอุดหนุนกันเป็นประจำ ถึงแม้หลังๆ มาหญิงสาวจะหายหน้าหายตาไปก็ตาม แต่พอไปทีไรมักจะไม่ทันเค้กกล้วยหอมทุกที"นี่ไงคะ เพ้นท์แยกเอาไว้เลย ว่าแต่...หมอไทม์พักรึยังคะ" "พักแล้วจ้า เพิ่งเดินไปเข้าห้องน้ำเมื่อกี้เอง แหม ของหมอไทม์คนเดียวแต่ถุงใหญ่กว่าพวกพี่อีกนะ" รวีธารยกยิ้มเขินๆ กำลังจะคุยเล่นต่อระหว่างรอ แต่มีเสียงเรียกจากทางด้านหลังก่อน"คุณเพ้นท์""อ้าวหมอหมอก หมอพีร์ สวัสดีค่ะ" คนตัวเล็กเอ่ยทักทายคนที่เดินยิ้มมาแต่ไกล แม้แต่หมอพีร์ที่ปกติจะเห็น
รับผิดชอบ?"ทำหน้าแบบนั้นคือจะไม่รับ?""ไม่ใช่นะคะ! ฉันแค่ตกใจเฉยๆ" ทั้งงุนงง ทั้งตกใจเลยล่ะ จะให้ตอบยังไงละเนี่ย ที่ไปไล่ปล้ำผู้ชายแบบนั้น ดูแล้วตอบอะไรไปก็ผิด"...""คือ...ฉันปล้ำคุณสำเร็จไหม""!?""ฉันหมายถึง...เหมือนฉันไม่รู้สึกอะไรเลย""ไม่รู้สึก!?" คนที่รู้สึกอยู่ฝ่ายเดียวอ้าปากเหวอมองคนตรงหน้าอย่างโมโห ไอ้ที่นัวเนียกันขนาดนั้นจำอะไรไม่ได้สักอย่าง แล้วไอ้รอยแดงๆ นั่นอีก! เมื่อคืนครางรับเสียงสั่นขนาดนั้นเช้ามาบอกไม่รู้สึก!"คะ...คือฉันเมามาก" เธอรีบอธิบายเสียงสั่นเมื่อเห็นท่าทางไม่สบอารมณ์ของเขา"ก็รู้ตัวนี่ว่าเมามาก""....""แล้วรู้ตัวไหมว่าเมื่อคืนไปคนเดียว แถมเวลาเมาแล้วไม่รู้เรื่องแบบนี้มันอันตรายแค่ไหน ไอ้ที่ที่คุณไปน่ะ ไม่มีใครเขาใสๆ คิดดีกันคุณหรอกนะ จ้องจะลากคุณกลับกันทั้งนั้นแหละ"พูดตรงๆ ถ้าไม่รู้จักกันมาก่อน หนึ่งในนั้นที่จ้องจะลากเธอขึ้นเตียงก็คือตัวเขาเองนี่แหละรวีธารก้มน้างุดท่าทางสำนึกผิด นิ่งฟังคนมากประสบการณ์เทศนา"ระ...รู้""รู้แล้วยังไป?" เขาขึ้นเสียงสูงถามกลับทันที ทำไมถึงทำตัวได้น่าเป็นห่วงขนาดนี้นะ แล้วทำไมกูต้องห่วงด้วย! ธารณ์คิดอย่างหงุดหงิด"ขอโทษ..."
เสียงตั้งปลุกที่ตั้งอัตโนมัติดังแจ้งเตือนคนที่นอนหลับใหลอยู่ให้ตื่นจากนิทรา ถึงแม้จะรู้สึกร่างกายอ่อนแรง เหนื่อยล้าเพียงใดแต่ด้วยความเคยชินทำให้เจ้าของเตียงนอนกว้างต้องฝืนร่างกายลุกขึ้นเหมือนทุกวัน เพื่อเตรียมตัวไปช่วยที่ร้าน เนื่องจากโดยปกติช่วงเช้าจะเป็นช่วงที่วุ่นวายที่สุดรวีธารผุดลุกขึ้นบิดขี้เกียจอย่างเมื่อยขบ ก่อนจะรู้สึกถึงอุณหภูมิในห้องที่ดูหนาวกว่าปกติ ไหนจะร่างกายที่ดูโล่งแปลกๆคนตัวเล็กก้มใบหน้ามองตัวเองอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นสภาพร่างกายตนเองดวงตาก็เบิกกว้างอย่างตกใจ พยายามหาสิ่งผิดปกติในร่างกายตนเองแต่ก็ไม่มี จะมีก็แต่รอยแดงเป็นจ้ำๆ ตรงลำคอและเนินอก"เมื่อคืนไปนอนเมาให้ยุงกัดที่ไหนวะเนี่ย" คนที่รู้ว่าเมาแต่ไม่รู้ว่ากลับมายังไงเกาศีรษะอย่างมึนงง พยายามนึกถึงเรื่องเมื่อคืน ภาพจำสุดท้ายคือเธอนั่งอยู่กับหมอไทม์..."หมอไทม์!" คนตัวเล็กอุทานเรียกชื่อคุณหมอหนุ่มเสียงดัง เมื่อเริ่มจะคิดอะไรบางอย่างออก คุ้นๆ ว่าเขาเป็นคนมาส่ง เธอขอให้เขามาช่วยเปลี่ยนหลอดไฟ ตามด้วยเธอเดินมึนๆ ไปหาน้ำให้เขากิน หลังจากนั้น....รวีธารมองสำรวจตัวเองอีกรอบ จำได้ว่าเธอกับเขานัวเนียกันพักใหญ่ หลังจากนั้นก
"เสร็จแล้ว" ธารณ์มองผลงานตัวเองเมื่อเห็นว่าหลอดไฟที่เปลี่ยนไปไม่มีปัญหาอะไร จึงก้มบอกคนตัวเล็ก แต่เมื่อไม่เห็นเจ้าของห้องที่เป็นคนขอให้เปลี่ยนหลอดไฟให้จึงก้าวขาลงจากเก้าอี้ทรงสูง ไม่รู้คนเมาจะไปป่วนที่ไหนอีกคนตัวสูงเดินเอาเก้าอี้บาร์ทรงสูงไปเก็บที่เดิม ก่อนจะเดินย้อนกลับมาตรงกลางห้อง ได้ยินเสียงกุกกักจากด้านหลังจึงหมุนตัวหันกลับไปมอง เห็นคนตัวเล็กเดินถือแก้วน้ำมาให้ท่าทางมึนๆ จึงอดลอบหัวเราะในลำคอไม่ได้ ตัวเองเมาซะขนาดนั้นยังจะหาน้ำหาท่ามาให้อีก แล้วนี่ไม่รู้ว่าไปหาถึงไหน จนเขาเปลี่ยนหลอดไฟเรียบร้อยแล้วเพิ่งจะออกมา"น้ำค่ะ" เธอเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ยกยิ้มกว้างอารมณ์ดี"ขอบคุ....เห้ย!" คนตัวสูงที่กำลังเอื้อมมือไปรับ ร้องอุทานอย่างตกใจ เมื่ออยู่ๆ เจ้าของห้องสะดุดขาตัวเองพุ่งตัวมาหาเขาจนเสียหลัก พากันหงายหลังล้มตัวลงบนโซฟาทั้งคู่"คุณเป็นไรไหม" ธารณ์ขยับตัวจุกเล็กน้อย แต่ก็ยังห่วงคนตัวเล็กที่นอนซบอยู่ด้านบน"มะ...ไม่เป็นไรค่ะ" รวีธารผละตัวขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังทรงตัวไม่อยู่ทรุดตัวลงไปอีกรอบ"ไหวไหม" ธารณ์เอื้อมมือจับไหล่คนด้านบนช่วยประคองเธออีกแรง"หมอไทม์" คนตัวเล็กที่ทรงตัวได้แล้วแ
"นั่งดีๆ เพ้นท์" เสียงเข้มข้างหูทำให้เธอพยายามปรือตามอง เมื่อเห็นเป็นคนที่อยู่ในความคิดมาโดยตลอดก็ถามขึ้นอย่างแปลกใจ"หมอไทม์มาได้ไง" คนที่โดนถามคำถามนี้รอบที่สามถอนหายใจยาวหนักใจ ยิ่งเห็นท่าทางไม่ระวังตัวของคนที่นั่งข้างๆ ก็ยิ่งหงุดหงิด รู้ตัวไหมนั่น ว่าตัวเองเป็นผู้หญิง ไม่ระวังตัวเอาซะเลย!"นั่งดีๆ ไม่งั้นจะปล่อยลงข้างทาง" คนตัวเล็กหน้างอบูดบึ้งทันทีเมื่อโดนดุ ความรู้สึกที่โดนบิดาต่อว่ามาตั้งแต่เมื่อช่วงเย็นยิ่งทำให้อารมณ์น้อยใจปะทุในอก"จะว่าอะไรนักหนา คิดว่าจะทำอะไรกันก็ได้รึไง! อยากให้มีนักใช่ไหมผัวทียี่สิบคน""อะไรวะเนี่ย! เพ้นท์! ตื่นมาคุยกันก่อน" ธารณ์ยกมือกุมศีรษะอย่างอ่อนแรง ปวดหัวจนแทบระเบิดเมื่อเจอสถานการณ์แบบนี้ แล้วผัวยี่สิบคนนี่อะไรวะ?!ความจริงมันเริ่มจากการที่เธอโทรมาหา บอกว่าจะชวนมาดื่มด้วยกัน ซึ่งเขาก็ปฏิเสธไปแล้ว แต่เธอก็ไม่ยอม โวยวายเสียงกรึ่มๆ แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ใจแข็งไม่ยอมไปอยู่ดีจนได้รับสายอีกครั้ง คราวนี้เสียงเธอไม่ใช่แค่กรึ่มๆ แต่เมาเลยล่ะ ดูท่าจะเมาหนักซะด้วย! ความจริงเขาพยายามจะไม่สนใจ เพียงแต่ไม่บังเอิญไปได้ยินเสียงจากปลายสายคล้ายมีคนเข้ามาคุยด้วย'
เสียงโหวกเหวกโวยวายของเจ้าหญิงประจำบ้านดังออกมาจากห้องทำงาน รวีธารที่โดนตามตัวมาเช่นเดียวกันกำลังจะเปิดประตูเข้าไปจึงเลือกที่จะหยุดตัวเอง ยืนรออยู่หน้าประตูแทนเสียงที่ดังออกมาใช่ว่าจะเบา เธอจึงได้ยินหมดว่าคนด้านในคุยอะไรกัน"พายไม่เอาเด็ดขาด เกิดมายังไม่เคยมีใครกล้าทำแบบนี้กับพายมาก่อน!""เขาอาจติดธุระก็ได้ ลองเจอกันอีกรอบไหม""ไม่! ป๊าไม่รู้หรอกว่าพายอายแค่ไหน มีแต่คนมองมาแปลกๆ""ไม่มีใครสนใจหรอก พายคิดมาก""ไม่คิดมากหรอกค่ะ มีอย่างที่ไหน ปล่อยให้พายนั่งรอเกือบชั่วโมง มาถึงก็ตัวเปล่า ไม่สนใจกันสักนิด ดอกไม้สักช่อมาขอโทษก็ไม่มี!""แล้วเขาได้พูดขอโทษไหม""พูด! แต่มันไม่เหมือนกันนี่คะ""ก็เขาขอโทษแล้วไง""ป๊า!""เขาอาจจะติดงานด่วนก็ได้ เลยมาถึงช้า""เขาก็ต้องบอกพายสิคะ!""ก็เราบอกเองไม่ใช่รึไง ว่าไม่ให้ป๊าบอกข้อมูล ถ้าเขาอยากรู้ต้องขอเอง""ป๊า! พายเป็นลูกป๊านะ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปพายจะไม่ไปดูตัวอะไรทั้งนั้น!" ปังรวีธารผงะตกใจเมื่ออยู่ๆ ประตูถูกเปิดออกอย่างแรง ตามด้วยร่างสูงเพรียวของพี่สาวที่เดินออกมาด้วยใบหน้าบูดบึ้ง"แกมาทำไม?""ป๊าเรียก" เมื่อเรวิกาถามห้วนๆ เธอจึงตอบกลับห้วนๆ เช่นกัน