๑
เสียงซอยเท้าเบาๆ จากชั้นบนของบ้านลงมาตามขั้นบันไดทำให้วิมลหันไปยิ้มให้เจ้าของร่างเล็กแต่กลมกลึงซึ่งวิ่งตรงเข้ามากอดตนเอาไว้จากด้านหลัง
“ว่าไงลูก”
นารายิ้มหวานให้มารดา ดวงหน้าเรียวเล็กดวงตาสดใสส่งยิ้มหวานให้
“หอมจังค่ะ กลิ่นลอยฟุ้งขึ้นไปถึงห้องหนูดีเลย”
เสียงพูดคุยกะหนุงกะหนิงของสองแม่ลูกทำให้เลิศที่เพิ่งเดินเข้ามาในบ้านอดยิ้มกับภาพที่เห็นไม่ได้
“สวีตกันแต่เช้าเลยนะ”
สาวน้อยหันไปยิ้มให้บิดาแล้วผละจากมารดาตรงไปยังโต๊ะอาหารพร้อมกับคดข้าวใส่จานให้ทุกคน
“อิจฉาหรือไงล่ะพ่อ” วิมลเปรยถามสามี สีหน้าเจือยิ้มขบขัน
“ก็นิดหน่อย” เลิศโต้กลับทีเล่นทีจริง ก่อนจะหันไปมองลูกสาวด้วยสายตาที่แสดงออกถึงความรักและภูมิใจ
“ฝึกงานเป็นไงบ้างลูก”
สาวน้อยวางโถข้าวลงบนมุมโต๊ะด้านหนึ่ง แล้วนั่งประจำที่ยิ้มกว้างให้กับบิดา
“สนุกค่ะ แรกๆ แอบกดดันนิดหน่อย แต่พอเริ่มชินก็ไม่ค่อยกดดันแล้ว”
เลิศมองท่าทางกระตือรือร้นของลูกสาวแล้วก็สบายใจระดับหนึ่ง เขาและภรรยามีลูกสองคน คนโตคือนารา ใกล้เรียนจบระดับมหาวิทยาลัย และกำลังฝึกงานอยู่ในบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่งของประเทศ ส่วนคนเล็กคือปวริศ กำลังเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่หก
“ดีแล้ว ถ้ามีอะไรที่ไม่สบายใจก็มาระบายกับพ่อแม่ได้นะลูก”
สาวน้อยเงยหน้ายิ้มให้กับบิดา ก่อนยิ้มให้มารดาที่นั่งลงข้างท่าน
“ใช่ ถ้ามีอะไรไม่สบายใจก็บอกแม่กับพ่อได้เสมอ”
เจ้าของใบหน้าหวานมองทั้งสองด้วยความซาบซึ้ง แม้ครอบครัวหล่อนจะเป็นครอบครัวเล็กๆ ฐานะปานกลาง แต่ก็เต็มไปด้วยความอบอุ่นเสมอ พ่อของหล่อนทำงานเป็นพนักงานธรรมดาในบริษัทขนาดกลางแห่งหนึ่ง ส่วนมารดานั้นเป็นเพียงแม่บ้าน รายได้จากบิดาเพียงคนเดียวจึงค่อนข้างตึงไม่น้อย มารดาจึงพยายามหารายได้เสริมโดยการทำขนมไทยๆ ส่งขาย และด้วยรสมือดีอย่างหาตัวจับยากจึงถูกชมปากต่อปาก ทำให้มีร้านประจำรับซื้อ มารดาจึงมีรายได้เข้ามาช่วยในส่วนของรายจ่ายภายในบ้านอีกทาง ส่วนรายได้ของบิดานั้นมีไว้สำหรับค่าเทอมของลูกๆ ทั้งสองคน และค่าผ่อนบ้านในแต่ละเดือน ส่วนหนึ่งท่านเก็บเอาไว้ให้ลูกๆ และใช้ในยามฉุกเฉิน
“ขอบคุณนะคะ หนูดีสัญญาว่าหากมีเรื่องไม่สบายใจ หนูดีจะปรึกษาพ่อกับแม่ก่อนเป็นคนแรกค่ะ” สาวน้อยยิ้มให้บิดาและมารดา พอดีกับร่างสูงของน้องชายเดินลงมาสมทบ
“กว่าจะลงมาได้ แม่นึกว่าจะต้องขึ้นไปปลุกเสียแล้วนะเรา”
ปวริศยิ้มให้กับมารดาที่ค้อนเบาๆ ขณะนั่งลงบนเก้าอี้ข้างพี่สาว
“ขอโทษค้าบ เมื่อคืนป้องอยู่ทำรายงานจนดึกเลยตื่นสายไปหน่อย” เขาบอกกับทุกคน แล้วหยิบช้อนขึ้นตักกับใส่จานตัวเอง
ปวริศเป็นเด็กเรียนดีเหมือนกับพี่สาว คนทั้งสองมีลูกๆ ที่รักดี และไม่เคยทำให้พ่อแม่ต้องหนักใจเลยสักครั้ง
“ใกล้จบมอหกแล้วสินะเราน่ะ อยากเรียนต่ออะไรล่ะ” คนเป็นพ่อเอ่ยถาม ทำให้หนุ่มน้อยหน้าใสยิ้มพรายออกมา
“อยากเรียนเขียนโปรแกรมครับ”
คนเป็นพ่อพยักหน้ารับรู้ พลางยิ้มออกมา ลูกอยากเรียนอะไรเขาพร้อมสนับสนุนเสมอ ขอแค่เป็นเด็กดีตั้งใจเล่าเรียนและเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่และเป็นน้องชายที่ดีต่อพี่สาวก็พอ
“เอาสิ พ่อสนับสนุนเต็มที่ อยากได้อะไรเพิ่มก็บอกได้นะ”
ปวริศยิ้มกว้างแล้วหันไปยิ้มกับพี่สาวที่ยักคิ้วหลิ่วตาให้
“ขอบคุณครับ”
เมื่อรับประทานอาหารมื้อเช้าอิ่ม วิมลก็ออกไปยืนส่งสามีและลูกที่หน้าบ้าน สามคนพ่อลูกจึงเดินออกไปยังหน้าปากซอยเพื่อรอขึ้นรถเมล์เหมือนทุกวัน เป็นภาพคุ้นชินของคนในหมู่บ้านเดียวกัน ที่ทุกๆ เช้าจะต้องเห็นสามคนพ่อลูกเดินออกไปทำงานและเรียนหนังสือแบบนี้เสมอ
ทั้งสามแยกย้ายกันตอนขึ้นรถประจำทาง นารานั่งรถไปลงที่หน้าอาคารสูง แล้วเดินตรงเข้าไปด้านใน ขณะที่สาวน้อยกำลังยืนรอลิฟต์พร้อมกับพี่ๆ พนักงานหลายๆ บริษัทนั้น มีผู้ชายกลุ่มหนึ่งลอบมองไปยังเจ้าหล่อนแล้วกระซิบคุยกันเบาๆ
“นักศึกษาฝึกงานคนนี้โคตรน่ารักเลยว่ะ อยู่บริษัทไหนวะ”
“รู้สึกจะเป็นเด็กฝึกงานของอีสเทิร์นนะ เห็นป้ายแวบๆ” “แหม มึงเล่นของสูงนะมึงนะ” เพื่อนคนหนึ่งเอ่ยแซว ขณะที่คนถามกับเพื่อนอีกคนหัวเราะพรืดอย่างรู้ความนัย เพราะบริษัทอีสเทิร์นนั้นตั้งอยู่บนอาคารที่เหนือขึ้นไปจากบริษัทของพวกตนอีกหลายชั้นเลยทีเดียว
“มีคนเคยพูดว่ายิ่งสูงยิ่งหนาวนะมึง” ใครคนหนึ่งเอ่ย ทว่าคนที่เล็งสาวหน้าใสกลับยกยิ้มมุมปาก ดวงตายังคงมองตามสาวน้อยไม่คลาดพลางบอก
“บังเอิญกูชอบความสูง เพราะเวลาได้ขึ้นไปอยู่บนยอด ได้สูดอากาศสดชื่นแล้วมองลงไปข้างล่าง มันทำให้รู้สึกว่าคุ้มค่าที่จะปีนขึ้นไป”
คำตอบของหนุ่มหล่อทำให้เพื่อนๆ ต่างเลิกคิ้วกับความเจ้าคารม แต่ก็พยักหน้ายิ้มอย่างเห็นด้วยตามนิสัยของเสือนักล่า จากนั้นสาวน้อยในครรลองสายตาก็ก้าวเข้าไปในลิฟต์ส่วนรวม โดยมีหนุ่มกลุ่มนั้นตามเข้าไปด้วย คนชอบที่สูงสามารถเบียดจนตัวเองเข้าไปยืนชิดสาวน้อยที่หมายปองได้สำเร็จ แล้วหลุบตามองนวลแก้มใสจนเห็นเส้นเลือดของแม่สาวน้อยคนงามพร้อมสูดกลิ่นหอมอ่อนๆ จากเส้นผมสลวยสีน้ำตาลอ่อนที่มัดเป็นหางม้าไว้ด้านหลังเอาไว้เสียเต็มปอด ยิ่งชิดใกล้เขายิ่งมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าที่จะสานสัมพันธ์กับแม่สาวคนงามให้ได้ในเร็ววัน
เมียสาวน้อยของเขาตัดมาเรื่องนี้เฉย ชายหนุ่มจึงหัวเราะขำ “ยกให้ไง แต่ถ้าอยากคืนนักก็ฝากธนาคารเอาไว้ให้ลูกของเราก็แล้วกันนะ” นารายิ้มหวานพลางผ่อนลมหายใจยาว หล่อนรู้ว่าจินณ์ไม่เคยอยากได้เงินคืน เพราะเงินที่หล่อนผ่อนจ่ายเขาก่อนหน้านี้ ชายหนุ่มโอนคืนกลับมาให้หล่อนทั้งหมดหลังจากแต่งงานกันเพียงคืนเดียว “แต่ถ้ายังไม่สบายใจ ก็เปลี่ยนมาเอาใจฉันให้มากๆ แทนสิ หรือทำให้ฉันมีความสุขแค่นี้ก็พอแล้ว” “ทุกวันนี้ก็เอาใจมากอยู่แล้วนะคะ ขืนให้เอาใจมากกว่านี้ต้องมีใครบางคนเสียผู้เสียคนกันพอดี” หญิงสาวว่าพลางค้อนคม ตอนที่เป็นเด็กของเขาใหม่ๆ จินณ์ดูเหมือนจะเป็นผู้ชายที่เรียกร้องมากเหลือเกิน เขากินดุ กินจุ แต่ก็ไม่เคยเอาเปรียบหรือปล่อยให้หล่อนอ้างว้าง เขาสุขหล่อนก็สุขด้วย แล้วถ้าจะให้พิจารณากันตามความเป็นจริง จินณ์เสียอีกที่เป็นฝ่ายดูแลหล่อนอย่างดี ก่อนนอนเขาจะห่มผ้าให้หล่อนอย่างมิดชิด จะดูจนเรียบร้อยว่าทุกอย่างโอเคแล้ว เวลานั้นเขาถึงจะสอดตัวนอนเคียงข้าง ไม่มีคืนไหนที่เขาไม่รั้งร่างของหล่อนเข้าไปกอดเอาไว้ในอ้อมแขน ต่อให้ต้องแยกจากกันบ้างในช่วงหลับลึก แต่ส
งานมงคลสมรสอันยิ่งใหญ่ของจินณ์และนาราผ่านพ้นไปอย่างราบรื่น แต่เพราะเขาเพิ่งเข้ารับตำแหน่งประธานกรรมการจึงไม่อาจพาภรรยาเดินทางไปฮันนีมูนยังที่ไกลๆ ได้ เขาจึงให้หล่อนเป็นคนเลือกสถานที่ภายในประเทศแทน นารานอนหนุนตักสามีมองเกลียวคลื่นที่ม้วนตัวก่อนถูกดูดกลับไปแล้วซัดสาดเข้าหาฝั่งอีกครั้งด้วยความเพลิดเพลินภายในบ้านพัก มือหนึ่งลูบหน้าท้องที่ยื่นออกมาน้อยๆ จนแทบมองไม่เห็นถ้าไม่สังเกต จินณ์ที่กำลังอ่านหนังสือหลุบตามองคนตัวเล็กแล้วเอ่ยถาม “หิวไหม” “ยังเลยค่ะ คุณจินณ์หิวหรือเปล่า” “ไม่” เขาปิดหนังสือ แล้ววางลงบนโต๊ะข้างๆ ตรงจุดนี้ ชุดโซฟาหันหน้าเข้าหาทะเล ทำให้มองเห็นวิวน้ำและท้องฟ้าอย่างชัดเจน เสียงลม เสียงคลื่นซัดเข้าหาฝั่งทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายจากความตึงเครียดได้ดีทีเดียว “คุณจินณ์อยากให้ลูกของเราเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายคะ” นาราถามความเห็นของสามีขณะคิดถึงอนาคต ชายหนุ่มวางมือเรียวใหญ่ของตัวเองลงบนหน้าท้องที่ยังไม่เติบโตชัดเจนเบาๆ หญิงสาวจึงวางมือทาบทับบนหลังมือแกร่งเอาไว้ แล้วสบตาคมโตของชายหนุ่ม “อยากได้ทั้งหญิงทั้งชายนั่นแหละ” นารายิ
บทส่งท้ายภายในบริษัทอีสเทิร์นวันนี้ เกิดความโกลาหลจากข่าวล่ามาแรง เรื่องแรกคือดาริกาควงชายหนุ่มรูปหล่อเข้ามาในบริษัทพร้อมกัน และประกาศว่าเป็นคนรักที่เพิ่งหมั้นหมายไปหมาดๆ ทำให้คนที่เคยคาดเดาและป่าวประกาศไปต่างๆ นานาว่าดาริกากับจินณ์จะต้องใช้ชีวิตคู่กันหน้าแตกยับเยิน ในวันเดียวกันแต่เป็นช่วงเที่ยง เกิดข่าวฮือฮายิ่งกว่า เมื่อหลานชายคนเดียวของท่านประธานซึ่งก็คือท่านรองประธานคนปัจจุบัน จูงมือผู้ช่วยเลขาฯ สาวที่เคยตกเป็นข่าวกุ๊กกิ๊กเข้ามาในบริษัทพร้อมกัน วันนี้จินณ์เลือกที่จะพานารากลับเข้าบริษัทหลังจากออกไปพักเที่ยงด้วยกันโดยใช้ลิฟต์ส่วนรวม พนักงานของบริษัทอีสเทิร์นต่างตื่นเต้นที่ได้ใกล้ชิดจินณ์เป็นครั้งแรก เขาพยักหน้าและรับไหว้พนักงานของตัวเอง แล้วกุมมือของนาราเอาไว้อีกครั้งท่ามกลางสายตาอยากรู้อยากเห็น จินณ์ยืนนิ่งมองตรงไปข้างหน้า ส่วนนาราก้มหน้านิดๆ หลุบตาลงมองแค่พื้นพลางคิดถึงก่อนหน้านี้ ‘เดี๋ยวค่ะ คุณจะไปไหน’ ‘ไปกับเธอไง’ นารานิ่วหน้า จินณ์จึงกุมมือหล่อนแล้วพาเดินตรงไปยังลิฟต์ส่วนรวม หญิงสาวพยายามขืนตัว แต่ชายหนุ่มกลับส่ายหน้า ‘ถึงเวลาท
“หนูดีเป็นเมียฉันไง แล้วฉันก็เป็นสามีของหนูดี เป็นมาจะครบปีแล้วมั้ง หรือต้องให้ย้ำอีกครั้ง?” เขาทำท่าจะจูบอีกรอบแต่หญิงสาวดันหน้าเขาเอาไว้ แก้มนุ่มเป็นสีแดงเรื่อ หัวใจเต้นโครมคราม น้ำตาออกมาคลอหน่วยตา แล้วในที่สุดหญิงสาวก็สะอื้นออกมาเบาๆ ไม่รู้ว่าระหว่างดีใจกับตกใจอันไหนมากกว่ากัน “ร้องอีกแล้ว ว่าที่คุณแม่ทำไมใจน้อยแบบนี้ล่ะ” เขาปลอบเสียงอ่อนโยน ซ้ำยังรั้งหล่อนเข้าไปกอด หญิงสาวยังร้องอยู่อีกพักใหญ่ ทั้งสับสนและงุนงงไม่เลิก “แล้วคุณดาวล่ะคะ จะคิดยังไง” “ดาวไม่ได้มีปัญหาอะไรนี่ คนชอบเอาไปลือผิดๆ กันเอง อันที่จริงดาวมีคนรักของเธออยู่แล้ว” นาราอึ้งไปอีกครั้ง มองเขาราวกับไม่เชื่อ แต่เมื่อคิดๆ ดูแล้วระหว่างจินณ์กับดาริกา ไม่เคยมีอะไรที่บ่งชี้ว่าทั้งสองมีใจให้กัน นอกจากข่าวโคมลอยเท่านั้น “จริงเหรอคะ” จินณ์พยักหน้ายิ้ม “ถามดาวเองแล้วกัน” พูดจบเขาก็บุ้ยปากไปยังหน้าห้อง ดาริกากับกริชเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้ม มีผู้ชายหน้าตาดีเดินตามมาเป็นคนสุดท้าย หญิงสาวได้แต่งงงัน ทว่าทุกอย่างคลี่คลายลงเมื่อผู้ชายคนนั้นเข้ามาหยุดยืนเ
“ดาวต้องอยู่จัดการบางอย่างที่บริษัท สักพักคงตามมา” หญิงสาวพยายามลุกขึ้นนั่ง แต่ถูกชายหนุ่มห้ามเอาไว้ “ยังไปไหนตอนนี้ไม่ได้ ต้องพักผ่อน” “ไม่ค่ะ หนูดีจะกลับ” เขาทำเสียงจิ๊จ๊ะ “ดื้อ ตัวเองป่วยจะแย่อยู่แล้วยังจะฝืน” “หนูดีไม่ได้เป็นอะไร” หญิงสาวโต้ แม้หน้าจะซีดจนแทบไร้สีเลือด “แน่ใจนะว่าไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ” สายตาที่มองมาทำให้ลมหายใจของนาราติดขัด หลบตาเป็นพัลวัน “จริงสิคะ” คำตอบไม่เต็มเสียงของหญิงสาวทำให้ชายหนุ่มส่ายหน้ากับความปากแข็ง “ตอนเธอหมดสติ หมอเอาเลือดไปตรวจ แล้วรู้ไหมว่าผลออกมาว่ายังไง” นารากลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก หล่อนหวังเหลือเกินว่าเขาจะไม่รู้เรื่องนั้น “เธอคิดจะบอกเรื่องเด็กในท้องกับฉันเมื่อไร” หญิงสาวใจกระตุกวูบ ใบหน้างามตะลึงงัน มืออีกข้างที่เป็นอิสระกำแน่น ก่อนจะก้มหน้าไม่กล้าสบตาเขา “คือ...” “ทำไมต้องปิดบัง ที่ชอบทำตัวแปลกๆ เป็นเพราะเรื่องนี้ใช่ไหม” นาราน้ำตาไหลออกมา ทำให้จินณ์ลุกขึ้นนั่งลงบนเตียงแล้วรั้งร่างบางเข้าไปกอดเอาไว้
๒๑วันนี้จินณ์ค่อนข้างเงียบขรึมกว่าทุกวัน เขาพยายามหาสาเหตุที่ทำให้นาราไม่สดใส ถ้าเป็นเพราะเรื่องข่าวลือระหว่างเขากับดาริกาเขาก็จะปัดเป่า เพราะยิ่งนานวันเขายิ่งได้รู้ว่านารามีค่ากับตนเองมากแค่ไหน หล่อนไม่ใช่แค่ผู้หญิงที่เขาเลี้ยงเอาไว้เพื่อระบายอารมณ์อีกต่อไป เสียงหัวเราะและรอยยิ้มของหล่อนเป็นดั่งน้ำทิพย์ชโลมใจที่อ้างว้าง จากที่ไม่เคยคิดถึงเรื่องครอบครัว แต่เมื่อรู้จักหญิงสาวเขากลับคิดถึง พอหล่อนเศร้า ใบหน้างามไร้รอยยิ้ม เขาจึงทุกข์ตามไปด้วย และคงไม่มีความสุขอีกเลยหากไม่ได้เห็นรอยยิ้มของสาวน้อยอีกครั้ง “ดาว รบกวนมาที่ห้องผมหน่อย” ชายหนุ่มวางสายจากดาริกา หลังจากนั้นสิบนาทีหญิงสาวก็มาหาเขา “มีอะไรให้ดาวรับใช้คะคุณพี่” ดาริกานั่งลงพร้อมรอยยิ้มล้อเลียน แต่พอเห็นสีหน้าท่าทางของเขาอาการล้อเล่นก็เปลี่ยนเป็นจริงจัง “มีอะไรหรือเปล่าคะ” ชายหนุ่มสบตาหญิงสาวแวบหนึ่ง ก่อนจะบอกออกมา “ผมจะแต่งงาน” คำตอบของอีกฝ่ายทำเอาดาริกานิ่งงัน สตันไปหลายวินาทีก่อนจะเรียกสติคืนมา “แต่งงาน? แต่งกับใครคะ อย่าบอกนะว่าอยากจะแต่งกับดาวน่ะ ว้าย ไม่เอาหรอก”