ณ อุทยานหลวง
“เหยาเหยา มาถึงรึยัง” “ยังไม่เห็นเลยเพคะ หรือคุณหนูรองซูจะไม่มาแล้ว” สตรีหน้าตาจิ้มลิ้มนั่งเป็นประธานอยู่ด้านหน้าชะเง้อคอมองทางเข้าตลอดเวลา เพื่อรอการปรากฏตัวของคนบางคน นั่นก็คือองค์หญิงผิงอัน เจ้าของงานเลี้ยงชมบุปผานี้นั่นเอง องค์หญิงผิงอัน เป็นเพียงธิดาองค์เดียวของฮองเฮา เนื่องจากฮองเฮาไม่มีพระโอรส พระนางจึงรักและตามใจพระธิดาเป็นอย่างมาก นับแต่เล็กองค์หญิงก็มีคู่หมั้นเป็นบุตรชายคนโตของจวนจ้าวกั๋วกง งานมงคลสมรสให้จัดขึ้นเมื่อนางอายุครบสิบแปดปี ครั้นถึงวัยปักปิ่นขององค์หญิงผิงอัน จ้าวลั่วหมิงแอบลักลอบมีสัมพันธ์กับท่านหญิงรั่วเจิน ธิดาของเหลียนอ๋องซึ่งเป็นโอรสองค์โตของอดีตฮ่องเต้ เรื่องนี้สร้างความอับอายให้องค์หญิงผิงอันและฮองเฮา นับแต่นั้นมาจวนท่านแม่ทัพใหญ่อู๋เหวินปั๋วที่เป็นดั่งไม้หลักพักพิงของฮองเฮากับจวนจ้าวกั๋วกงเป็นดั่งน้ำกับไฟ เจอกันที่ใด ไม่พ้นต้องมีเรื่องให้กระทบกระทั่งกัน ถึงแม้ไม่อาจทำอันใดเหลียนอ๋องได้ กระนั้นความสัมพันธ์อันดีที่มีมายาวนานก็เป็นอันห่างเหิน เรื่องราวตอนนั้นเป็นที่โจษจัณทั่วทั้งเมืองหลวง ไม่มีตระกูลไหนกล้าตบแต่งกับคนของตำหนักเหลียนอ๋อง บ่าวรับใช้ในตำหนักไม่มีใครกล้าออกมาเดินซื้อของในตลาดเพราะชาวบ้านต่างโกรธแค้นแทนองค์หญิงผิงอัน ร่วมกันประณาม ลงมือทุบตีคนของตำหนักเหลียนอ๋อง เรื่องนี้สร้างความปวดหัวให้ฮ่องเต้เป็นนาน ภายหลังยุติลงเพราะฮ่องเต้ทำการลงโทษริบคืนอำนาจทางการทหารของเหลียนอ๋องและงดจ่ายเบี้ยหวัดทั้งสองจวนเป็นเวลาสองปี พร้อมทั้งพระราชทานสมรสให้กับจ้าวลั่วหมิงและท่านหญิงรั่วเจิน ไม่รู้ว่าการกระทำเช่นนี้ของท่านผู้นั้นเป็นผลดีหรือผลร้ายต่อชีวิตคู่ของทั้งสองกันแน่ จากเหตุการณ์สั่นสะเทือนชาวเมืองครั้งนั้น บัดนี้ล่วงเลยมาสองปีแล้ว องค์หญิงผิงอันก้าวออกจากตำหนักเป็นครั้งแรก ถือโอกาสจัดงานเลี้ยงชมบุปผาต้อนรับการมาของสหายสนิทที่เพิ่งจะหายป่วย ทว่างานเริ่มไปสักพักแล้ว ตัวเอกของงานอีกนางยังไม่ปรากฏตัวสักที งานเลี้ยงชมบุปผาที่มีสีสันกลับสร้างความเบื่อหน่ายให้นางยิ่งนัก “ได้ยินมาว่านางปฏิเสธหมั้นหมายกับพี่ห้า เอกบุรุษที่สตรีทั่วทั้งเมืองอยากได้เป็นสวามี จนกลายเป็นข่าวซุบซิบยามว่างของเหล่าสตรีตระกูลชั้นสูงติดต่อกันหลายวัน” องค์หญิงผิงอันจิบชาอึกหนึ่ง จากนั้นพูดต่อยิ้มๆ “ข้าว่านางต้องมาแน่ เรื่องพวกนี้สำหรับนางนับเป็นอะไรได้” เหล่าสตรีในเมืองนอกจากร่ำเรียนในสำนักศึกษาหญิงแล้ว วันๆ ก็ไม่มีอะไรทำ เมื่อมาอยู่รวมกันก็หนีไม่พ้นเรื่องซุบซิบนินทา หัวข้อที่ถูกยกขึ้นมาในยามนี้ย่อมเป็นเรื่องของ ‘ซูเหยาผู้โง่เขลา’ เนื้อมังกรอยู่ตรงหน้าไม่ยอมกิน กลับเลือกกินห่านป่าแทนเสียนี่ “เจ้าว่านางจะกล้ามาหรือไม่ สตรีที่สวยแต่รูปอย่างนั้นถึงกับกล้าปฏิเสธคังอ๋อง ข้าว่านอกจากไม่มีสมองแล้วยังสติฟั่นเฟือนด้วย” จ้าวชิงหวาวางก้อนขนมที่กัดได้เพียงครึ่งเดียวลงบนจาน กระซิบกระซาบกับคนข้างกาย “หากข้าเป็นนาง ข้าไม่มาให้อับอายขายหน้าคนในสกุลหรอก” “เจ้าพูดให้น้อยลงหน่อย หากคนอื่นได้ยินเข้าแล้วเอาไปพูดต่อ คงจะไม่เป็นเรื่องดี” คนที่นั่งอยู่ข้างจ้าวชิงหวาคือเว่ยซิน นางเป็นหญิงสาวอีกหนึ่งคนที่มีชื่อเสียงด้านรูปลักษณ์และความสามารถ เป็นสตรีที่เพรียบพร้อมพอๆ กับซูม่านม่านพี่สาวของซูเหยา คนภายนอกมักคิดกันไปว่าพวกนางไม่ลงรอยกัน เห็นอีกฝ่ายเป็นคู่แข่ง แต่ใความเป็นจริงนั้น เว่ยซินไม่ชมชอบนิสัยอวดรวยของซูเหยามากกว่า ปัญญาชนมักยกย่องคนเก่ง ไม่นิยมพวกอวดรูปโฉมเพียงอย่างเดียว “จะเป็นไรไป ต่อให้พวกเราไม่พูด คนอื่นก็พูดอยู่ดี ใครก็ห้ามปากของคนไม่ได้หรอก” เว่ยซินเพียงขมวดคิ้ว ไม่ได้ตอบกลับไป ในใจลึกๆ นางแอบเห็นด้วยกับคำวิจารณ์ของสหาย สตรีตื้นเขินอย่างซูเหยาไม่เหมาะกับคังอ๋องจริงๆซูเหยาใช้เท้าเขี่ยขาเขาอย่างไม่ลังเล ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง น่าจะสลบไปแล้วกระมัง"ช่วยคนหนึ่งครั้งเรียกว่าบังเอิญ สองครั้งเรียกว่าสวรรค์บังคับ" ซูเหยาพึมพำกับตัวเองขณะยืนมองเขา นางเริ่มยกชายเสื้อของเขาขึ้น พิจารณาแผลกลางอกที่ยังคงไหลออกมาไม่หยุด แม้จะไม่ลึกมากจนถึงชีวิต แต่ถ้าไม่รีบรักษาในตอนนี้ เขาคงจะได้ตายจริง ซูเหยารู้ดีว่าเวลาไม่รีรอเมื่อมือของซูเหยาเริ่มทำแผลให้กับเขา นางรู้สึกถึงความไม่มั่นคงที่กำลังก่อตัวในใจ ความหล่อเหลาของเขาทำให้นางเผลอหยุดมองเนิ่นนาน ใบหน้าที่ไม่อาจบรรยายได้ด้วยคำพูด ความงดงามของเขานั้นเหมือนเทพบุตรที่ลงมาอยู่ตรงหน้าในขณะที่นางทายา มืออีกข้างไม่รักดีถึงกับลูบไล้ใบหน้ารูปสลักนั้น ความรู้สึกบางอย่างก็แทรกเข้ามาในใจของซูเหยาฉับพลัน นางรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ยากจะอธิบาย ซูเหยากลืนน้ำลายอึกใหญ่ สั่นศีรษะเรียกสติตนเองกลับคืน ไม่ได้ ข้าไม่อาจปล่อยให้ตัวเองติดอยู่ในความลุ่มหลงนี้ได้จู่ ๆ สัญชาตญาณบางอย่างก็ทำให้ซูเหยาหยุดการกระทำของตัวเองได้สำเร็จ นางเหลือบมองไปที่ศีรษะของชายหนุ่ม แล้วเห็นตัวเลขที่กระพริบขึ้นเหนือหัวของเขา นางไม่อาจมองข้ามสิ่งนี้ได้ ค่าความชอบ
ซูเหยากระพริบตามองหลี่หลัวอยู่หลายที “หลี่หลัว ข้าคิดว่าตั้งแต่นี้ต่อไป เจ้าควรออกกำลังกายให้มากเสียหน่อย”หลี่หลัวยิ้ม ขยับแขนหมุนข้อมือ “คุณหนูเจ้าคะ ข้าก็คิดเช่นนั้นอยู่พอดี”จากนั้น เสียงฟาด ฟัน กระแทกดังสนั่นราวม้าน้ำคลั่งในลานเก่าแห่งนี้ เหล่านักฆ่าคิดว่าตัวเองคือผู้ล่า ที่ไหนได้พวกเขากลายเป็นหมูในถังไม้ไผ่ ถูกปลิดลมหายใจราวกับใบไม้หล่นเปรี๊ยะ!เสียงกระทบเหล็กดังลั่น ชายชุดดำเบี่ยงหลบ แต่มือซ้ายของเขาถูกปาดจนเส้นเอ็นขาด นิ้วที่กำคมดาบอ่อนยวบลงทันใด“เร็วเกินไปแล้ว!” เขาสบถอีกคนอาศัยจังหวะหลบหลี่หลัว พุ่งเข้าหาซูเหยาจากด้านหลัง แต่ก่อนปลายดาบจะถึงเส้นผมของนาง ซูเหยาแค่ขยับชายแขนเสื้อเบา ๆ เข็มอีกเล่มก็ฝังเข้าไปใต้คางของมันไม่กี่ลมหายใจนับจากที่เหยียดหยามนาง หกคนล้มลงต่อหน้าทุกสายตาตอนนี้ แม้แต่เสียงหัวเราะก็เริ่มฝืดคอ นักฆ่าคนหนึ่งเริ่มถอยหลัง อีกคนเบิกตากว้าง มองพัดในมือหลี่หลัวกับแววตาไร้หวั่นของซูเหยา“อี-อี-อีนังนี่ ไม่ใช่แค่คุณหนูธรรมดา! ข่าวลือเป็นเรื่องจริง อึก”“โง่จริง ถ้าข้าเป็นคุณหนูธรรมดา คงถูกฆ่าไปตั้งแต่ตอนอยู่ในจวนโหวแล้วกระมัง” ซูเหยาถอนหายใจ เพียงแค่ตอนนั้นนั
“มีข่าวจากเรือนเล็กในตลาดฝั่งเหนือเจ้าค่ะ” เสียงของเสี่ยวเซียงดังขึ้นยามเช้า นางเป็นหนึ่งในเด็กสาวกำพร้าที่ซูเหยาช่วยไว้ตั้งแต่ยังเร่ร่อน ปัจจุบันถูกฝึกให้เป็นหูตาในเมืองหัวเฉิน“พูดมา” ซูเหยากล่าวเรียบ ดวงตายังจับจ้องแผนที่เล็กบนโต๊ะ“พ่อค้ากลุ่มใหม่จากเมืองหลวงมาเปิดร้านผ้า แต่ที่แปลกคือไม่มีการแจ้งกับตระกูลใดในเมือง หญิงที่ดูแลร้าน มีสำเนียงคล้ายคนเมืองหลวงเจ้าค่ะ”หลี่หลัวขมวดคิ้ว ช่างจองเวรจองกรรมไม่เลิกรา “พวกนั้นส่งคนมาอีกแล้วหรือ”ซูเหยาเพียงพยักหน้าเล็กน้อย เสียงหึในลำคอดังขึ้น นางไม่แปลกใจ คนเลวเหล่านั้นจะยอมรามือได้อย่างไร หากนางยังมีชีวิตอยู่ดี เพียงแต่กังวลที่พวกเขาเริ่ม “เดินเกมเปิด” แล้ว“ให้อาหลินลองไปสมัครเป็นเด็กยกผ้าในร้านนั้น ถ้าอีกฝ่ายรับเข้า ก็คือเปิดช่องให้เราแล้ว” ซูเหยาว่าช้า ๆ คืนหนึ่งในตลาดยามค่ำ เสียงขลุ่ยจากเด็กเร่ร่อนคนหนึ่งบรรเลงทำนองเพลง ชายวัยกลางคนแต่งกายเรียบง่ายนั่งดื่มสุรากับสหายอยู่โต๊ะใกล้ ๆชายที่ดูไม่มีพิษภัยนี้ไม่มีใครรู้ว่า เขาผู้นั้นคือหวังถง หัวหน้ากลุ่มข่าวเงาในเมืองหัวเฉิน “ข้าคิดว่านางเด็กซูนั่นจะอยู่เงียบ ๆ เสียอีก” เขากระดกเหล้าเข้า
“รับชาหรือสำรับเจ้าคะ” หลงจู๊ถามบุรุษทั้งสอง“ขอแค่ที่นั่งเงียบ ๆ กับชาร้อนสักจอกวันนี้อากาศมันร้อนมากไปหน่อย” เสียงไม่ดัง ไม่ต่ำดังขึ้นจากบุรุษปริศนา เสียงกระดิ่งดังขึ้นจากประตูหลังร้าน ซูเหยาทันเห็นเป้าหมายสั่งสำรับอาหารบนโต๊ะพอดี เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ เขาเพียงเงยหน้ายิ้มรับซูเหยาหญิงสาวแล้วยอบกาย “ไม่ทราบท่านมาจากสำนักใดเจ้าคะ”ชายหนุ่มยิ้มบาง “ข้าแค่คนเดินทาง หยุดพักใต้ร่มเงาไม้ ไม่ได้มาจากที่ใดเป็นพิเศษ”ซูเหยายกคิ้วเล็กน้อย “คนที่ไม่มีจุดเริ่มต้น ก็มักไม่มีปลายทาง”“ข้าไม่แน่ใจเรื่องปลายทาง” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงนุ่ม “แต่ข้าประทับใจกลิ่นชาของที่นี่จึงแวะมาเสียหน่อย กลิ่นชาในร้านนี้ บางทีก็คล้ายกลบกลิ่นอื่นดีนัก อย่างเช่นกลิ่นยา หรือกลิ่นพิษ”“นั่นก็แล้วแต่วาสนาของแต่ละคนแล้วเจ้าค่ะ” ซูเหยายิ้มตอบ ช่างประจวบเหมาะที่น้ำชามาถึงพอดีชายหนุ่มหัวเราะในลำคอไม่โต้กลับ แต่ยกจอกชาขึ้นจิบ “อย่างน้อยตอนนี้ก็รู้ว่าจอกนี้ปลอดภัยยิ่ง”“หากจะใส่ ก็ไม่ใส่ในจอกแรกหรอกเจ้าค่ะ” ซูเหยาว่าพลางยิ้มครู่หนึ่งที่ความเงียบแทรกกลางบรรยากาศ เขาวางจอกลงอย่างแผ่วเบา “คุณหนูรองซูไม่ต้องกังวล ข้าม
ลมเย็นจากแม่น้ำเซี่ยนที่พัดผ่านกลางเมืองหัวเฉินพัดกลิ่นน้ำแกงเข้มข้นและเสียงขลุกขลักของเตาหล่อเหลาอาหารกลางถนนเส้นรองให้โชยเข้าไปถึงอีกฟากถนน ที่ใจกลางย่านการค้าทางตะวันตกของเมือง ตั้งตระหง่านอยู่คือเหลาเจินซินเหลาอาหารที่เปิดมาสิบปีไม่เพียงขึ้นชื่อในเขตทางใต้แต่กลับโด่งดังในหมู่นักเดินทาง ขุนนางท้องถิ่น และพ่อค้าใหญ่ระหว่างแคว้นที่เดินทางมาชื่อของเหลาเจินซินอาจยังไม่เป็นที่รู้จักในเมืองหลวง แต่ในหัวเฉินหากเอ่ยถึง “หมูแดงหอมชา” หรือ “ขนมเปี๊ยะลายมังกร” ของที่นี่แล้วล่ะก็ ไม่ว่าใครก็ต้องพยักหน้าทว่า ไม่มีใครรู้ว่าเจ้าของที่แท้จริงของเหลาอาหารหลังนี้คือใคร นอกจากคนตระกูลฟางเช้าวันรุ่งขึ้น ซูเหยาเดินมาถึงหน้าร้านโดยมีเพียงหลี่หลัวติดตาม ใบหน้าเรียบเฉยของนางซ่อนอยู่ใต้หมวกไม้ไผ่ปีกกว้าง สวมผ้าคลุมสีน้ำตาลเรียบ ไร้เครื่องประดับใด ๆ“มีข่าวจากโรงเตี๊ยมฝั่งใต้เจ้าค่ะ สายของพวกในจวนหย่งอันโหวแฝงมาเป็นแขกค้าขายแล้วสองชุด” หลี่หลัวกระซิบซูเหยาไม่ตอบในทันที มือเรียวยกขึ้นถอดหมวกปีกกว้างออก ขณะยืนมองภาพความวุ่นวายเล็กๆ ของร้าน เสียงเด็กฝึกงานตะโกนเรียกออเดอร์ เสียงหัวเราะของพ่อค้าจากดินแดนเห
ฤดูกาลในหัวเฉินเปลี่ยนแปลงเชื่องช้า ใบไม้สีเขียวอ่อนเปลี่ยนเป็นเหลืองนวล ก่อนร่วงหล่นตามแรงลม และภายในเรือนตะวันออกของจวนตระกูล ซูเหยากำลังใช้ชีวิตที่ดูราวกับว่า สงบและเรียบง่ายหลังจากเหตุการณ์ที่เส้นทางเขานั้นผ่านไปไม่กี่วัน นางแทบไม่ได้เอ่ยถึงมันอีกเลยแม้แต่กุ้ยซินกับซุนจู๊ที่เคยเป็นบ่าวใกล้ตัว ก็ถูกท่านตาส่งไปช่วยงานในเรือนอื่นอย่าง “เหมาะสม”“พวกเขาทำงานมานาน คงอยากเปลี่ยนบรรยากาศ” ท่านตากล่าวเช่นนั้นขณะจิบชาอย่างสงบ ไม่มีเสียงคัดค้านจากนางที่เป็นหลานสาวเลยแม้แต่น้อยเมื่อเข้าสู่เดือนที่สามของการพำนักในหัวเฉิน ชื่อเสียงของซูเหยาเริ่มกระจายไปทั่วเมืองทางใต้ ไม่ใช่ในฐานะคุณหนูรองจวนโหวจากเมืองหลวง ไม่ได้เป็นเพียงหญิงสาวผู้ถูกทอดทิ้ง หากแต่คือคุณหนูแห่งจวนตระกูลฟาง นางกลายเป็นผู้มีสายตาไว วาจาคม มือเปื้อนพิษ และสมองเฉียบกว่าใครในวัยเดียวกันบรรดาขุนนาง ขุนนางปลดเกษียณ พ่อค้าคหบดี หัวหน้าสำนัก และผู้นำตระกูลท้องถิ่น ต่างพากันส่งบุตรหลานมาขอเข้าพบหวังจะฝากฝัง หวังจะผูกไมตรีและในเรือนที่ลึกที่สุดของจวนตระกูลฟาง มีกล่องไม้เก่าแก่กล่องหนึ่งที่ถูกเปิดเป็นครั้งแรกในรอบสิบห้าปีกล่องซึ่ง