“คุณหนูรองซู เชิญเจ้าค่ะ องค์หญิงกำลังรออยู่ทางนี้เจ้าค่ะ” นางกำนัลเห็นขบวนของซูเหยาเดินเข้ามาใกล้ก็ให้ดีใจ สังเกตนางกำนัลสองสามนางที่อยู่ด้านหลังซูเหยาคล้ายมาจากตำหนักคังโซ่ว รอยยิ้มของนางกำนัลกว้างขึ้นกว่าเดิม เดินเข้ามาต้อนรับซูเหยาอย่างกระตือรือร้น
เห็นว่านางกำนัลอาสานำทาง ซูเหยาก็ไม่ตระหนี่โยนถุงเงินให้นางกำนัลอย่างใจดี นางชอบบ่าวรับใช้ที่รู้จักพูด เป็นงานเป็นการอย่างนี้ที่สุด คนยิ่งมากยิ่งคึกคัก ขบวนเปิดตัวยิ่งใหญ่อลังการ “ไปกันเถิด เวลาไม่เช้าแล้ว” องค์หญิงผิงอันกวาดตามองบรรดาหญิงสาวภายในอุทยานพลางถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย บ้างจับกลุ่มคุยกัน บ้างเงียบขรึม บ้างสงบเสงี่ยม บ้างกินของว่างดื่มด่ำกับมวลบุปผา ขณะที่นางทนไม่ไหวกำลังจะเรียกนางกำนัลข้างกายให้ไปสอบถามข่าวคราว พลันได้ยินเสียงหัวเราะเฮฮาจากด้านนอกอุทยานดังแว่วเข้ามา จากนั้นไม่นานขบวนดาวล้อมเดือนพลันปรากฏอยู่ในสายตา ใบหน้าเฉื่อยชาพลันหลุดยิ้ม ส่งเสียงเรียกด้วยความตื่นเต้น “เหยาเหยา เจ้ามาแล้ว” “องค์หญิง ขออภัยที่มาช้าเพคะ ที่นี่ช่างครึกครื้นยิ่งนัก หากพลาดโอกาสไม่มา หม่อมฉันคงเสียใจไปอีกหลายวัน” ซูเหยายอบกายคำนับ องค์หญิงผิงอันรีบให้นางกำนัลรั้งไว้ทันที “คนกันเองทั้งนั้น ข้าไม่ถือสาหรอก กลัวก็แต่เจ้าจะอดชื่นชมบรรยากาศสวยงามพร้อมทั้งกินของอร่อยๆ ไปด้วยน่ะสิ” องค์หญิงผิงอันเดินมาจูงมือซูเหยาให้นั่งมาข้างกายนางอย่างสนิทสนม ทั้งยังเลื่อนจานขนมถั่วปั้นมาให้นาง “ข้ารู้อยู่แล้วว่าที่ใดครึกครื้น ที่นั่นจะขาดซูเหยาของพวกเราไปได้อย่างไร” ซูเหยาค้อนปะหลักปะเหลือกให้ทีหนึ่ง ทว่าความเร็วในการหยิบขนมชิ้นโปรดเข้าปากไม่ได้ลดความเร็วลงเลย หลังจากกินไปสองสามชิ้น ซูเหยาหยิบผ้าขึ้นมาเช็ดริมฝีปาก จากนั้นค่อยหันมาพูดกับองค์หญิงผิงอัน “หม่อมฉันไม่ได้เข้ามาเยี่ยมเยียนองค์หญิงร่วมเดือน จะอย่างไรก็ต้องมีความเกรงใจกันบ้างเพคะ” นางแสร้งถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “แต่จะโทษหม่อมฉันคนเดียวไม่ได้นะเพคะ เป็นไทเฮาที่ทรงรั้งหม่อมฉันไว้ข้างกายนานเกินไปต่างหาก” ตั้งแต่ที่ซูเหยาก้าวเข้ามาในอุทยานแห่งนี้ สายตาทุกคู่ก็ยังไม่ละสายตาจากนางจนถึงตอนนี้ ยิ่งได้ยินนางอ้างถึงไทเฮาเมื่อสักครู่ ไม่รู้ว่าใครอดกลั้นไม่ไหวส่งเสียง ‘เฮอะ’ ออกมาครั้งหนึ่ง รอยยิ้มของซูเหยายิ่งหวานหยด นางแตะเม็ดทับทิมสีแดงบนหน้าผาก เอียงคอมองไปรอบๆ ราวกับไม่ตั้งใจ ปิ่นบนศีรษะสั่นไหวเล็กน้อย กระชับเสื้อคลุมจิ้งจอกให้แน่นขึ้นก่อนถอนสายตากลับมา ในเมื่อพวกนางชอบมอง ก็มองจนกระอักเลือดไปเลย “เจ้าดูท่าทางยโสโอหังของนางสิ” จ้าวชิงหวาเห็นนางโอ้อวดก็อดริษยาไม่ได้ ผ้าเช็ดหน้าในมือถูกบิดจนยับย่น สตรีนางนี้หน้าด้านหน้าทน ข่าวฉาวขนาดนี้ยังยิ้มแย้มแจ่มใสได้อยู่อีก มิน่าถึงมีคนด่านางลับหลังว่าเป็นนางแพศยา อาหารเครื่องดื่มที่องค์หญิงผิงอันเตรียมมามีแต่อาหารรสเลิศ นางกำนัลรับใช้ล้วนหน้าตาดี ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็ทำให้ซูเหยาเจริญอาหารมากขึ้นไปอีก พวกนางมีความชมชอบคล้ายคลึงกันหลายอย่างเช่น ชื่นชอบคนงาม เลือกกินแต่อาหารรสเลิศเท่านั้น “สุราดี” ซูเหยาชมออกมาจากใจจริง ทั้งยังจิบอีกสองสามครั้งค่อยวางจอกในมือลง “สุรานี้ข้าหมักเองมาห้าปีเต็ม หากไม่ใช่อยากให้เจ้าดื่มด่ำกับธรรมชาติเช่นนี้ล่ะก็ ข้าไหนเลยจะตัดใจนำออกมากัน” องค์หญิงผิงอันแสร้งพูดจีบปากจีบคอ “หากเจ้าชอบก็นำกลับไปสักกาสิ ที่ข้ายังมีอีกเยอะ” “ไม่ล่ะเพคะ ดื่มคนเดียวไหนเลยจะรสชาติดีเท่าดื่มกับสหาย” ซูเหยาส่ายหน้าหัวเราะ เปลี่ยนมากระซิบกระซาบที่ได้ยินเพียงพวกนางสองคน “องค์หญิงรู้สึกคั่นเนื้อคั่นตัวบ้างหรือไม่เพคะ” “หือ ไม่นี่” องค์หญิงผิงอันหน้าตาเหลอหลา “หรือสุรากานั้นมีปัญหา โถ่เอ๊ย ข้าลืมไปได้อย่างไร เจ้าเพิ่งจะหายดี ร่างกายยังฟื้นฟูไม่เต็มที่ไม่เหมาะจะดื่มสุรา” “หม่อมฉันหาได้อ่อนแอเพียงนั้น” ซูเหยาพยักพเยิดไปทางด้านหนึ่ง “ทอดพระเนตรทางนั้นสิเพคะ พวกนางจ้องมาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อหม่อมฉันก็ไม่ปาน หากยังไม่หยุด เห็นทีตาคงถลนออกมาแล้ว” องค์หญิงผิงอันหน้าแดงยกมือขึ้นมาปิดปากบดบังมุมปากที่กำลังยกขึ้น ร่างกายกระตุกเล็กน้อย กลั้นหัวเราะอย่างสุดความสามารถ “ข้าไม่เห็นรู้ว่าพวกเจ้ามีเรื่องบาดหมางกันมาก่อน” ซูเหยายักไหล่ ยกมือขึ้นแตะปิ่นที่ปักบนผมเบาๆ “ใครจะรู้ล่ะเพคะ บางทีนางอาจจะอิจฉาความงามของข้าก็เป็นได้” “ฮ่าๆ อุ๊บ...ขอโทษทีข้าทนไม่ไหว” เสียงหัวเราะสดใสขององค์หญิงผิงอันคล้ายดั่งระฆังช่วยให้บรรยากาศกระอักอ่วนกลับมารื่นเริงเป็นปกติ “มีเรื่องดีๆ อะไรทำให้น้องพี่สำราญใจได้ขนาดนี้” เสียงนุ่มทุ่มดังมาจากทางด้านซ้ายขัดจังหวะการสนทนาของทั้งสอง ซูเหยาหันไปมองเจ้าของเสียง คิ้วของนางเลิกขึ้นเล็กน้อยซูเหยาใช้เท้าเขี่ยขาเขาอย่างไม่ลังเล ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง น่าจะสลบไปแล้วกระมัง"ช่วยคนหนึ่งครั้งเรียกว่าบังเอิญ สองครั้งเรียกว่าสวรรค์บังคับ" ซูเหยาพึมพำกับตัวเองขณะยืนมองเขา นางเริ่มยกชายเสื้อของเขาขึ้น พิจารณาแผลกลางอกที่ยังคงไหลออกมาไม่หยุด แม้จะไม่ลึกมากจนถึงชีวิต แต่ถ้าไม่รีบรักษาในตอนนี้ เขาคงจะได้ตายจริง ซูเหยารู้ดีว่าเวลาไม่รีรอเมื่อมือของซูเหยาเริ่มทำแผลให้กับเขา นางรู้สึกถึงความไม่มั่นคงที่กำลังก่อตัวในใจ ความหล่อเหลาของเขาทำให้นางเผลอหยุดมองเนิ่นนาน ใบหน้าที่ไม่อาจบรรยายได้ด้วยคำพูด ความงดงามของเขานั้นเหมือนเทพบุตรที่ลงมาอยู่ตรงหน้าในขณะที่นางทายา มืออีกข้างไม่รักดีถึงกับลูบไล้ใบหน้ารูปสลักนั้น ความรู้สึกบางอย่างก็แทรกเข้ามาในใจของซูเหยาฉับพลัน นางรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ยากจะอธิบาย ซูเหยากลืนน้ำลายอึกใหญ่ สั่นศีรษะเรียกสติตนเองกลับคืน ไม่ได้ ข้าไม่อาจปล่อยให้ตัวเองติดอยู่ในความลุ่มหลงนี้ได้จู่ ๆ สัญชาตญาณบางอย่างก็ทำให้ซูเหยาหยุดการกระทำของตัวเองได้สำเร็จ นางเหลือบมองไปที่ศีรษะของชายหนุ่ม แล้วเห็นตัวเลขที่กระพริบขึ้นเหนือหัวของเขา นางไม่อาจมองข้ามสิ่งนี้ได้ ค่าความชอบ
ซูเหยากระพริบตามองหลี่หลัวอยู่หลายที “หลี่หลัว ข้าคิดว่าตั้งแต่นี้ต่อไป เจ้าควรออกกำลังกายให้มากเสียหน่อย”หลี่หลัวยิ้ม ขยับแขนหมุนข้อมือ “คุณหนูเจ้าคะ ข้าก็คิดเช่นนั้นอยู่พอดี”จากนั้น เสียงฟาด ฟัน กระแทกดังสนั่นราวม้าน้ำคลั่งในลานเก่าแห่งนี้ เหล่านักฆ่าคิดว่าตัวเองคือผู้ล่า ที่ไหนได้พวกเขากลายเป็นหมูในถังไม้ไผ่ ถูกปลิดลมหายใจราวกับใบไม้หล่นเปรี๊ยะ!เสียงกระทบเหล็กดังลั่น ชายชุดดำเบี่ยงหลบ แต่มือซ้ายของเขาถูกปาดจนเส้นเอ็นขาด นิ้วที่กำคมดาบอ่อนยวบลงทันใด“เร็วเกินไปแล้ว!” เขาสบถอีกคนอาศัยจังหวะหลบหลี่หลัว พุ่งเข้าหาซูเหยาจากด้านหลัง แต่ก่อนปลายดาบจะถึงเส้นผมของนาง ซูเหยาแค่ขยับชายแขนเสื้อเบา ๆ เข็มอีกเล่มก็ฝังเข้าไปใต้คางของมันไม่กี่ลมหายใจนับจากที่เหยียดหยามนาง หกคนล้มลงต่อหน้าทุกสายตาตอนนี้ แม้แต่เสียงหัวเราะก็เริ่มฝืดคอ นักฆ่าคนหนึ่งเริ่มถอยหลัง อีกคนเบิกตากว้าง มองพัดในมือหลี่หลัวกับแววตาไร้หวั่นของซูเหยา“อี-อี-อีนังนี่ ไม่ใช่แค่คุณหนูธรรมดา! ข่าวลือเป็นเรื่องจริง อึก”“โง่จริง ถ้าข้าเป็นคุณหนูธรรมดา คงถูกฆ่าไปตั้งแต่ตอนอยู่ในจวนโหวแล้วกระมัง” ซูเหยาถอนหายใจ เพียงแค่ตอนนั้นนั
“มีข่าวจากเรือนเล็กในตลาดฝั่งเหนือเจ้าค่ะ” เสียงของเสี่ยวเซียงดังขึ้นยามเช้า นางเป็นหนึ่งในเด็กสาวกำพร้าที่ซูเหยาช่วยไว้ตั้งแต่ยังเร่ร่อน ปัจจุบันถูกฝึกให้เป็นหูตาในเมืองหัวเฉิน“พูดมา” ซูเหยากล่าวเรียบ ดวงตายังจับจ้องแผนที่เล็กบนโต๊ะ“พ่อค้ากลุ่มใหม่จากเมืองหลวงมาเปิดร้านผ้า แต่ที่แปลกคือไม่มีการแจ้งกับตระกูลใดในเมือง หญิงที่ดูแลร้าน มีสำเนียงคล้ายคนเมืองหลวงเจ้าค่ะ”หลี่หลัวขมวดคิ้ว ช่างจองเวรจองกรรมไม่เลิกรา “พวกนั้นส่งคนมาอีกแล้วหรือ”ซูเหยาเพียงพยักหน้าเล็กน้อย เสียงหึในลำคอดังขึ้น นางไม่แปลกใจ คนเลวเหล่านั้นจะยอมรามือได้อย่างไร หากนางยังมีชีวิตอยู่ดี เพียงแต่กังวลที่พวกเขาเริ่ม “เดินเกมเปิด” แล้ว“ให้อาหลินลองไปสมัครเป็นเด็กยกผ้าในร้านนั้น ถ้าอีกฝ่ายรับเข้า ก็คือเปิดช่องให้เราแล้ว” ซูเหยาว่าช้า ๆ คืนหนึ่งในตลาดยามค่ำ เสียงขลุ่ยจากเด็กเร่ร่อนคนหนึ่งบรรเลงทำนองเพลง ชายวัยกลางคนแต่งกายเรียบง่ายนั่งดื่มสุรากับสหายอยู่โต๊ะใกล้ ๆชายที่ดูไม่มีพิษภัยนี้ไม่มีใครรู้ว่า เขาผู้นั้นคือหวังถง หัวหน้ากลุ่มข่าวเงาในเมืองหัวเฉิน “ข้าคิดว่านางเด็กซูนั่นจะอยู่เงียบ ๆ เสียอีก” เขากระดกเหล้าเข้า
“รับชาหรือสำรับเจ้าคะ” หลงจู๊ถามบุรุษทั้งสอง“ขอแค่ที่นั่งเงียบ ๆ กับชาร้อนสักจอกวันนี้อากาศมันร้อนมากไปหน่อย” เสียงไม่ดัง ไม่ต่ำดังขึ้นจากบุรุษปริศนา เสียงกระดิ่งดังขึ้นจากประตูหลังร้าน ซูเหยาทันเห็นเป้าหมายสั่งสำรับอาหารบนโต๊ะพอดี เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ เขาเพียงเงยหน้ายิ้มรับซูเหยาหญิงสาวแล้วยอบกาย “ไม่ทราบท่านมาจากสำนักใดเจ้าคะ”ชายหนุ่มยิ้มบาง “ข้าแค่คนเดินทาง หยุดพักใต้ร่มเงาไม้ ไม่ได้มาจากที่ใดเป็นพิเศษ”ซูเหยายกคิ้วเล็กน้อย “คนที่ไม่มีจุดเริ่มต้น ก็มักไม่มีปลายทาง”“ข้าไม่แน่ใจเรื่องปลายทาง” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงนุ่ม “แต่ข้าประทับใจกลิ่นชาของที่นี่จึงแวะมาเสียหน่อย กลิ่นชาในร้านนี้ บางทีก็คล้ายกลบกลิ่นอื่นดีนัก อย่างเช่นกลิ่นยา หรือกลิ่นพิษ”“นั่นก็แล้วแต่วาสนาของแต่ละคนแล้วเจ้าค่ะ” ซูเหยายิ้มตอบ ช่างประจวบเหมาะที่น้ำชามาถึงพอดีชายหนุ่มหัวเราะในลำคอไม่โต้กลับ แต่ยกจอกชาขึ้นจิบ “อย่างน้อยตอนนี้ก็รู้ว่าจอกนี้ปลอดภัยยิ่ง”“หากจะใส่ ก็ไม่ใส่ในจอกแรกหรอกเจ้าค่ะ” ซูเหยาว่าพลางยิ้มครู่หนึ่งที่ความเงียบแทรกกลางบรรยากาศ เขาวางจอกลงอย่างแผ่วเบา “คุณหนูรองซูไม่ต้องกังวล ข้าม
ลมเย็นจากแม่น้ำเซี่ยนที่พัดผ่านกลางเมืองหัวเฉินพัดกลิ่นน้ำแกงเข้มข้นและเสียงขลุกขลักของเตาหล่อเหลาอาหารกลางถนนเส้นรองให้โชยเข้าไปถึงอีกฟากถนน ที่ใจกลางย่านการค้าทางตะวันตกของเมือง ตั้งตระหง่านอยู่คือเหลาเจินซินเหลาอาหารที่เปิดมาสิบปีไม่เพียงขึ้นชื่อในเขตทางใต้แต่กลับโด่งดังในหมู่นักเดินทาง ขุนนางท้องถิ่น และพ่อค้าใหญ่ระหว่างแคว้นที่เดินทางมาชื่อของเหลาเจินซินอาจยังไม่เป็นที่รู้จักในเมืองหลวง แต่ในหัวเฉินหากเอ่ยถึง “หมูแดงหอมชา” หรือ “ขนมเปี๊ยะลายมังกร” ของที่นี่แล้วล่ะก็ ไม่ว่าใครก็ต้องพยักหน้าทว่า ไม่มีใครรู้ว่าเจ้าของที่แท้จริงของเหลาอาหารหลังนี้คือใคร นอกจากคนตระกูลฟางเช้าวันรุ่งขึ้น ซูเหยาเดินมาถึงหน้าร้านโดยมีเพียงหลี่หลัวติดตาม ใบหน้าเรียบเฉยของนางซ่อนอยู่ใต้หมวกไม้ไผ่ปีกกว้าง สวมผ้าคลุมสีน้ำตาลเรียบ ไร้เครื่องประดับใด ๆ“มีข่าวจากโรงเตี๊ยมฝั่งใต้เจ้าค่ะ สายของพวกในจวนหย่งอันโหวแฝงมาเป็นแขกค้าขายแล้วสองชุด” หลี่หลัวกระซิบซูเหยาไม่ตอบในทันที มือเรียวยกขึ้นถอดหมวกปีกกว้างออก ขณะยืนมองภาพความวุ่นวายเล็กๆ ของร้าน เสียงเด็กฝึกงานตะโกนเรียกออเดอร์ เสียงหัวเราะของพ่อค้าจากดินแดนเห
ฤดูกาลในหัวเฉินเปลี่ยนแปลงเชื่องช้า ใบไม้สีเขียวอ่อนเปลี่ยนเป็นเหลืองนวล ก่อนร่วงหล่นตามแรงลม และภายในเรือนตะวันออกของจวนตระกูล ซูเหยากำลังใช้ชีวิตที่ดูราวกับว่า สงบและเรียบง่ายหลังจากเหตุการณ์ที่เส้นทางเขานั้นผ่านไปไม่กี่วัน นางแทบไม่ได้เอ่ยถึงมันอีกเลยแม้แต่กุ้ยซินกับซุนจู๊ที่เคยเป็นบ่าวใกล้ตัว ก็ถูกท่านตาส่งไปช่วยงานในเรือนอื่นอย่าง “เหมาะสม”“พวกเขาทำงานมานาน คงอยากเปลี่ยนบรรยากาศ” ท่านตากล่าวเช่นนั้นขณะจิบชาอย่างสงบ ไม่มีเสียงคัดค้านจากนางที่เป็นหลานสาวเลยแม้แต่น้อยเมื่อเข้าสู่เดือนที่สามของการพำนักในหัวเฉิน ชื่อเสียงของซูเหยาเริ่มกระจายไปทั่วเมืองทางใต้ ไม่ใช่ในฐานะคุณหนูรองจวนโหวจากเมืองหลวง ไม่ได้เป็นเพียงหญิงสาวผู้ถูกทอดทิ้ง หากแต่คือคุณหนูแห่งจวนตระกูลฟาง นางกลายเป็นผู้มีสายตาไว วาจาคม มือเปื้อนพิษ และสมองเฉียบกว่าใครในวัยเดียวกันบรรดาขุนนาง ขุนนางปลดเกษียณ พ่อค้าคหบดี หัวหน้าสำนัก และผู้นำตระกูลท้องถิ่น ต่างพากันส่งบุตรหลานมาขอเข้าพบหวังจะฝากฝัง หวังจะผูกไมตรีและในเรือนที่ลึกที่สุดของจวนตระกูลฟาง มีกล่องไม้เก่าแก่กล่องหนึ่งที่ถูกเปิดเป็นครั้งแรกในรอบสิบห้าปีกล่องซึ่ง