ศรัญยืนหน้าตึงอยู่ข้างพิงค์มิรา หญิงสาวเจ้าของใบหน้าคมสวยที่แต่งตัวราวกับหลุดมาจากนิตยสารแฟชั่นระดับโลก แต่ท่าทีหงุดหงิดของเธอทำให้ความงามนั้นดูมีไฟ ไฟที่พร้อมจะเผาเขาทั้งเป็น
“ยิ้มหน่อยเดี๋ยวแม่กับน้องสาวฉันจะเข้าใจผิดว่าเธอไม่เต็มใจ” ศรัญพูดเสียงเรียบแต่หางเสียงเหมือนเยาะเย้ย
“ฉันก็แค่ทำตามคำสั่งของคุณป้าเท่านั้นค่ะ ไม่ได้หวังอะไรอย่าเข้าใจผิด” พิงค์มิราปรายตามองอย่างไม่แยแส
“คงดีใจมากล่ะสิที่ครอบครัวฉันชอบเธอ อยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่กรุณาเรียกฉันแบบให้เกียรติด้วย” เขาหัวเราะในลำคอก่อนจะโน้มตัวเข้าใกล้กระซิบชิดหู
“ฉันไม่อยากเรียกเหมือนเดิมเพราะฉันไม่ใช่คนเดิม อยู่ให้ห่างจากฉันด้วย” เธอชะงักเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มหวานแบบที่เต็มไปด้วยพิษ
“เรียกร้องความสนใจ” เขาหงุดหงิดไม่รู้ว่าเพราะอะไรพิงค์มิราเปลี่ยนไปมาก จนเขาสัมผัสได้ว่าเธอทำแบบที่ปากพูดจริงๆ
สายตาของทั้งสองปะทะกันอย่างแรงบ้าง เย็นชาอย่างตั้งใจบ้าง ราวกับแข่งกันว่าใครจะประชดได้เจ็บกว่ากัน
“ฉันไปเอาไวน์” เขาพูดลอยๆ ก่อนจะก้าวเดินออกจากกลุ่มคนในงาน ทิ้งพิงค์มิราไว้กลางแสงไฟกับเสียงดนตรี และเธอก็ยังยืนอยู่ตรงนั้นไม่ได้เดินตาม แต่ก็ไม่ได้ละสายตาจากเขาเช่นกัน
“แปลกจังเนื้อเรื่องก็เป็นไปตามที่เราเขียน แต่ทำไมศรัญดูเปลี่ยนไป” เธอไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เขาควรจะไปตามตื๊อพราวฟ้าสิไม่ใช่มาตัวติดกับเธอ
“อยู่นี่เอง” เสียงนานาดังขึ้นพร้อมกับมีผู้ชายหน้าตาดีคนหนึ่งเดินเคียงคู่กันมา
“เกรซไม่ได้เจอกันนานเลย” เขาส่งยิ้มให้เธอด้วยความจริงใจ พร้อมกับแววตาที่ดูเหมือนเขินอายเล็กอาย
“ชานนท์เหรอ?” หญิงสาวชะงักนิดหนึ่ง นิยายชานนท์คนที่แอบชอบพิงค์มิรา ในนิยายเขาเดินทางไปเรียนต่อที่อังกฤษและขาดการติดต่อไป ทำไมถึงมีแต่คนหล่อรอบตัวเธอ
เธอรู้ดีว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในโลกของความจริง โลกใบนี้คือนิยายที่เธอเป็นคนเขียน แต่เธอแน่ใจว่าความรักของศรัญไม่ใช่สิ่งที่ควรเสี่ยงอีกต่อไป หากติดอยู่ในโลกนี้ตลอดไปอย่างน้อยควรจะมอบความรักในกับคนที่คู่ควร
“คิดว่าจะจำเราไม่ได้” ชานนท์พูดแก้เขินเพราะเขาแอบชอบพิงค์มิรามานานแล้ว
ความนิ่งของชานนท์ความอบอุ่นในแววตาเขา และความเป็นมิตรแบบที่ไม่ต้องพยายาม มันต่างจากศรัญที่มีแต่การปะทะ การพูดจาประชดประชัน และทำให้หัวใจเธอปั่นป่วนเกินควบคุม
บางทีการลงหลักปักฐานกับชานนท์ เพื่อนที่ไม่เคยทำให้เธอร้องไห้อาจเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
“ไปเรียนหรือไปไหนไม่ติดต่อมาบ้างเลยว่าแต่ นนท์ยังโสดอยู่ใช่ไหม?”
“จะตัดใจจากพี่ชายฉันเหรอ” นานาไม่เชื่อในสิ่งพิงค์มิราถาม ชานนท์ตามจีบพิงค์มิรามาตั้งนานแต่เพื่อนไม่ยอมรับรัก
“โสดมากทำไมหรือว่าจะหาคู่ให้?” แดนเลิกคิ้วพูดขำๆ
“เปล่า ฉันแค่คิดว่าคนเราไม่จำเป็นต้องเจ็บซ้ำจากคนเดิมๆ ก็ได้” เธอตอบพลางยกแก้วขึ้นจิบไวน์
คำพูดนั้นทำให้นานากับชานนท์มองหน้ากันงงๆ แต่พิงค์มิราไม่อธิบายเธอแค่ยิ้ม แล้วหันมาสบตาชายหนุ่มอีกครั้งอย่างแน่วแน่กว่าเดิม
และที่มุมหนึ่งของงานเลี้ยง ศรัญที่เพิ่งกลับเข้ามาพร้อมแก้วไวน์ในมือก็เผลอชะงักก้าว เมื่อเห็นภาพนั้นพอดีแถมได้ยินชัดทุกประโยคที่พิงค์มิราถามผู้ชายคนนั้น
“ผู้หญิงส่ำส่อน เห็นผู้ชายก็รีบโปรยเสน่ห์” เขาหงุดหงิดกำลังจะเดินหลบออกไปนอกงาน แต่ถูกแม่ตัวเองเรียกให้ไปสัมภาษณ์พร้อมกับพิงค์มิรา ทำให้เขาหลีกเลี่ยงไม่ได้
“คุณศรัญคะ คืนนี้คุณมาคู่กับพิงค์มิรามีข่าวลือว่าคุณกำลังคุยๆ เรื่องหมั้นหมายกับคุณพราวฟ้าจริงหรือเปล่าคะ?” นักข่าวสาวคนหนึ่งตะโกนแข่งกับเสียงแฟลช
ศรัญยังไม่ทันตอบนักข่าวชายอีกคนก็แทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเสียดสี
“แต่ก็มีข่าวว่าคุณพิงค์มิราเพิ่งพาผู้ชายขึ้นคอนโดไม่ใช่เหรอครับ? แถมผู้ชายคนนั้นยังมีแฟนอยู่แล้วด้วย คุณศรัญคิดยังไงกับข่าวนี้ หรือว่าความสัมพันธ์แค่นี้คุณรับได้? แล้วกับคุณพราวฟ้าล่ะครับ”
พิงค์มิราชะงักเล็กน้อยสีหน้าสงบนิ่งพยายามไม่แสดงความตกใจ แต่แววตาของเธอไหววูบริมฝีปากเม้มแน่น
บรรยากาศเริ่มตึงเครียดแฟลชหยุดลงชั่วคราวเหมือนทุกคนรอคำตอบจากศรัญ เขาหรี่ตามองนักข่าวคนนั้นนิ่งๆ ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น
“ก่อนอื่นผมขอพูดในฐานะคนมีสติครับ ไม่ใช่แค่ข่าวลืออะไรก็เชื่อทันทีโดยไม่รู้ข้อเท็จจริง และถ้าจะถามว่าผมจะเลือกใคร” ศรัญหยุดไปชั่วอึดใจ แล้วหันมามองพิงค์มิรานานพอให้กล้องทั้งหมดหันตาม
“เรื่องงานหมั้นหมายอะไร ไม่ทราบว่าคุณเอามาจากไหนหรือแหล่งข่าวที่ไหนปล่อยมา”
“อึก...คือ” นักข่าวไม่กล้าตอบ
เสียงแฟลชดังขึ้นอีกครั้งราวกับพายุ นักข่าวเริ่มถามกันอื้ออึง แต่ศรัญยกมือขึ้นเป็นเชิงขอจบการสัมภาษณ์
หญิงสาวยังคงยืนตรง ไม่พูดอะไรสีหน้าไม่แน่ใจว่าอึ้ง ตื้นตัน แปลกใจที่ศรัญปกป้องพิงค์มิรา ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้เลย
“ขอบใจที่พูดแบบนั้นแม้มันจะไม่ได้ช่วยอะไรเลยก็ตาม”
“คราวหลังจะยุ่งหรือพาใครขึ้นคอนโดเลือกคนที่เขาไม่มีพันธะหน่อยก็ดี คราวก่อนเมียเขาเกือบฆ่าตัวตายไม่ใช่เหรอ” ศรัญนิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะพูดเบาๆ พอให้ได้ยินแค่สองคน
“ฉัน...ขอบคุณที่เตือนคราวหลังจะเลือกให้ดีกว่านี้” เธอจะปฏิเสธว่ามันไม่ใช่แบบนั้น แต่ไม่อยากแก้ตัวเพิ่งให้สัมภาษณ์แท้ๆ ว่าไม่เชื่อข่าวลือ
“ฉันจะบอกให้นะ...” เขาจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของพิงค์มิรา เหมือนเกิดไฟฟ้าสถิตหัวใจของเขาเต้นระรัวแบบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ก่อนจะรีบละสายตาและรีบตัดบท
“ฉันฟังอยู่ค่ะ” เธอตั้งใจฟังเขาเป็นอย่างดี
“เธอเป็นผู้ดีมีชาติตระกูลทำอะไรก็อายบรรพบุรุษบ้าง”
“มีชาติตระกูล? ตอนนี้ไม่เหลืออะไรแล้ว” เธอพูดเบาๆ เพราะตอนนี้ทุกอย่างตกอยู่ในมือของศรัญแล้ว เหลือแค่ว่าเขาจะไล่เธอออกจากบ้านเมื่อไรแค่นั้น แต่ในนิยายคือตอนจบพิงค์มิราไม่เหลืออะไรจริงๆ แม้แต่ชีวิตตัวเอง
.
พราวฟ้าหญิงสาวหน้าสวยจัดจ้านในชุดเดรสสีแดงเพลิง ยืนอยู่หน้ากระจก ดวงตาสั่นไหวเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและโกรธจัด ปากเม้มแน่นขณะถือโทรศัพท์แนบหู มือกำแน่นจนเส้นเลือดปูด
“ฉันไม่สนว่าเธอจะทำยังไง แต่คืนนี้ทำให้มันมีข่าวฉาวเข้าใจมั้ย? เอาให้คุณศรัญเกลียดมันไปเลย” เสียงพราวฟ้าเครียดจัด น้ำเสียงสั่นเล็กน้อยแต่แข็งกร้าว
เสียงปลายสายพูดอะไรบางอย่างที่เธอฟังไม่ถนัดนัก เพราะหัวใจเต้นแรงเกินจะจับคำ
“แค่ทำให้มันเสียชื่อพอ ข่าวมันจะดังเร็วพอถ้ามันมีอาการแปลกๆ กลางงานเชื่อฉันสิแม่ของเขาต้องเกลียดมันแน่” มืออีกข้างของเธอกำสร้อยข้อมือแน่นจนสั่น แววตาเต็มไปด้วยความหวาดระแวงอย่างคนใกล้จะขาดสติ
พราวฟ้าเดินเข้าไปในงานโดยที่ไม่มีใครเชิญมาสักคน และศรัญไม่เคยเอ่ยปากบอกเธอเรื่องนี้ หญิงสาวส่งยิ้มให้นักข่าวเบาๆ และเดินมุ่งหน้าไปหาเป้าหมาย
พิงค์มิราที่ยืนอยู่กับนานาเห็นพราวฟ้าเข้ามาในงาน จนต้องขมวดคิ้วเพราะในรายชื่อไม่มีนางเอกสาวคนนี้มาร่วมงานด้วย
เหตุการณ์นี้ไม่มีในเนื้อเรื่องหลักที่ถูกเพิ่มขึ้นมาเพราะพิงค์มิราเปลี่ยนไปทำให้ตัวละครของเธอเปลี่ยนไปตาม
“สวัสดีค่ะคุณนานา” พราวฟ้าเลือกไม่ทักทายพิงค์มิรา แสร้งทำเป็นว่ามองไม่เห็น
“ใครเชิญเธอมา” นานาตอบกลับทันที
“ทำไมไม่ถามพี่ชายคุณดูล่ะ” พราวฟ้ากลัวว่านานาจะไปตามศรัญจริงๆ พยายามยิ้มสู้เข้าไว้
“ในการ์ดไม่ได้ให้พี่ศรัญไปชวนใครเลยเธอโกหก” นานาเสียงแข็งพร้อมจะเอาเรื่องกับแขกที่ไม่ได้รับเชิญ
“นานาอย่าเสียงดังไปใครอยากจะมาก็ปล่อยเขาไปเถอะ” พิงค์มิราเริ่มปวดหัวขึ้นมา ทำไมพราวฟ้านิสัยเปลี่ยนไปมากขนาด เธอเริ่มเดาเรื่องต่อจากนี้ไม่ถูกเพราะไม่มีเนื้อหาในนิยาย
ตัวละครของพราวฟ้าเริ่มมีความริษยาของตัวร้ายขึ้นมานั่นเพราะตั้งแต่วันที่ทิชามาที่นี่ เนื้อเรื่องก็ได้เริ่มเปลี่ยนไปแล้ว
“พราวขอตัวไปหาคุณศรัญก่อนนะคะ” หญิงสาวเดินเชิดหน้าไปหน้าตาเฉย ไม่สนและไม่แคร์ใครส่งยิ้มทักทายทุกคนที่มองมาที่เธอ
“ยัยบ้านี่”
“ฉันไปคุยกับชานนท์ก่อนนะ”
นานามองเพื่อนที่กำลังยืนคุยกับชานนท์แบบออกรส พร้อมมองไปที่พี่ชายตัวเองที่มีพราวฟ้าตามติด ทำตัวเหมือนกับเป็นคนรักแต่ความจริงคือไม่ใช่
‘ผมเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้วครับ’
พราวฟ้าก้มอ่านข้อความก่อนจะยิ้มมุมปากและมองไปที่พิงค์มิรา ที่แรกกะแค่ว่าจะวางยาเล่นๆ คราวนี้เธอจะให้พิงค์มิรามีอะไรกับผู้ชายที่เธอหาไว้เพื่อสร้างข่าวเสียหาย
“คุณพราวมากับใครครับ”
“อ่อ...พราวมากับเพื่อนค่ะ” เธอหน้าเสียเมื่อเขาถามไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร เพราะผู้จัดการไม่ได้มาด้วย
“ไม่รู้ว่าเกรซมีอะไรดีผู้ชายถึงหลงขนาดนี้”
“...” ศรัญไม่ตอบเขาหันไปมองพิงค์มิรา เขากำแก้วไวน์แน่นจนมันจะแหลกคามือ และเห็นเหมือนผู้ชายคนนั้นกำลังลูบศีรษะของหญิงสาว
เคล้ง
“ว้าย คุณศรัญเลือด!” พราวฟ้าตกใจเมื่อแก้วไวน์ในมือของเขาแตกจนบาดลึกลงไป
“ไม่เป็นไรครับผมขอตัวไปทำแผลก่อน” เขาหลีกหนีจากภาพนั้น แก้วที่บาดมือไม่ทำให้เขาเจ็บเลยสักนิด แต่รู้สึกคันยุกยิกที่หน้าอกข้างซ้ายแทน
ศรัญยืนหน้าตึงอยู่ข้างพิงค์มิรา หญิงสาวเจ้าของใบหน้าคมสวยที่แต่งตัวราวกับหลุดมาจากนิตยสารแฟชั่นระดับโลก แต่ท่าทีหงุดหงิดของเธอทำให้ความงามนั้นดูมีไฟ ไฟที่พร้อมจะเผาเขาทั้งเป็น“ยิ้มหน่อยเดี๋ยวแม่กับน้องสาวฉันจะเข้าใจผิดว่าเธอไม่เต็มใจ” ศรัญพูดเสียงเรียบแต่หางเสียงเหมือนเยาะเย้ย“ฉันก็แค่ทำตามคำสั่งของคุณป้าเท่านั้นค่ะ ไม่ได้หวังอะไรอย่าเข้าใจผิด” พิงค์มิราปรายตามองอย่างไม่แยแส“คงดีใจมากล่ะสิที่ครอบครัวฉันชอบเธอ อยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่กรุณาเรียกฉันแบบให้เกียรติด้วย” เขาหัวเราะในลำคอก่อนจะโน้มตัวเข้าใกล้กระซิบชิดหู“ฉันไม่อยากเรียกเหมือนเดิมเพราะฉันไม่ใช่คนเดิม อยู่ให้ห่างจากฉันด้วย” เธอชะงักเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มหวานแบบที่เต็มไปด้วยพิษ“เรียกร้องความสนใจ” เขาหงุดหงิดไม่รู้ว่าเพราะอะไรพิงค์มิราเปลี่ยนไปมาก จนเขาสัมผัสได้ว่าเธอทำแบบที่ปากพูดจริงๆสายตาของทั้งสองปะทะกันอย่างแรงบ้าง เย็นชาอย่างตั้งใจบ้าง ราวกับแข่งกันว่าใครจะประชดได้เจ็บกว่ากัน“ฉันไปเอาไวน์” เขาพูดลอยๆ ก่อนจะก้าวเดินออกจากกลุ่มคนในงาน ทิ้งพิงค์มิราไว้กลางแสงไฟกับเสียงดนตรี และเธอก็ยังยืนอยู่ตรงนั้นไม่ได้เดินตาม แต่ก็ไม่ได้ละสายต
พิงค์มิรานั่งตัวตรงบนโซฟาหนังแท้ สีหน้านิ่งเฉยแต่เต็มไปด้วยความระวัง หลังจากเพิ่งรินชาคาโมมายล์ให้แขกผู้ใหญ่ที่มาเยือนแม่ของศรัญคุณหญิงนฤมล นั่งตรงข้ามเธอในชุดผ้าไหมพรมละเอียดอย่างสง่า ซึ่งมีรอยยิ้มอบอุ่นทุกครั้งที่มองพิงค์มิรา เรียกว่าเป็นแม่คนที่สองเลยก็ว่าได้“หนูเกรซช่วยรับงานของป้าเถอะนะ ผลิตภัณฑ์ใหม่นี่สำคัญกับแบรนด์เรามาก ป้าคิดไว้แล้วว่าถ้ามีหนูเกรซเป็นหน้าเป็นตาทุกอย่างจะสมบูรณ์แบบ”เสียงคุณหญิงเอ่ยอย่างนุ่มนวล แต่แฝงแรงกดดันไว้แนบเนียน“ใช่ค่ะ พี่แจ๋วก็เห็นด้วยหนูเกรซเหมาะกับภาพลักษณ์แบรนด์ สะอาด หรู ดูแพง มีเชื้อสายชัดเจนลูกผู้ดีมีสกุล” แจ๋วเลขาคนสนิมของคุณหญิงเอ่ยขึ้น มีแต่คนมองพิงค์มิราว่าเป็นนางร้าย แต่นิสัยใจคอกลับน่ารักมากกว่าที่คิด“หนูขอคิดก่อนได้ไหมคะ” เพราะกลัวว่าจะต้องได้เจอหน้ากับศรัญ เธอเลยประหม่าพิงค์มิรายิ้มสุภาพพยายามไม่แสดงความหงุดหงิดนี่มันบทเดิมชัดๆ ฉากที่บ้านศรัญชวนให้เธอมาเป็นพรีเซนเตอร์ แถมยังพูดนัยๆ ถึงตำแหน่งลูกสะใภ้ในอนาคต“ถ้ารับงานนี้ได้ ป้าก็อยากชวนไปงานเลี้ยงส่วนตัวที่บ้านหลังจากเปิดตัวผลิตภัณฑ์นะจ๊ะ ถือว่าเป็นการเปิดตัวอย่างไม่เป็นทางการของว่
เสียงแฟลชจากกล้องนับสิบตัวดังขึ้นแทบจะพร้อมกันในงานเปิดตัวคอลเลคชั่นใหม่ของนานา ดีไซเนอร์ชื่อดังระดับแนวหน้าของวงการ พิงค์มิราปรากฏตัวกลางพรมแดงในชุดเดรสสีดำสนิททรงคัตเอาต์ที่เผยเรือนร่างงามระหงด้วยความมั่นใจ เธอเดินผ่านนักข่าวและสายตานับร้อยที่จ้องมองมาอย่างไม่เกรงกลัวไม่ใช่เพราะเธอไม่รู้ แต่เพราะเธอเลือกจะไม่สนใจ แต่รู้สึกประหม่าเล็กน้อยเพราะเธอไม่ใช่คนที่มั่นใจในตัวเองแบบพิงค์มิรา“ยัยเกรซเป็นนางแบบหรือเป็นตัวร้ายในซีรีส์กันแน่?”“ข่าวว่าแย่งแฟนรุ่นพี่อีกแล้วเหรอ?”“พราวฟ้าน่ะไม่พอใจแน่ๆ สนิทกับนานาขนาดนั้น”เสียงซุบซิบเหล่านั้นลอยมากระทบโสตประสาทแต่พิงค์มิราเพียงเชิดหน้าแล้วส่งยิ้มบางๆ ให้กล้อง เธอรู้ดีว่าในวงการแฟชั่น ไม่มีใครยืนอยู่ตรงจุดสูงสุดได้โดยไม่โดนอะไรเลยบ้าง “เกรซอย่าไปสนใจพวกปากนกปากกาเลย” นานาสงสารเพื่อน “เรื่องปกติของวงการไม่มีข่าวเขาจะขายอะไร” “ไปเปลี่ยนเสื้อผ้ากันดีกว่า” นานาลากเพื่อนไปห้องแต่งตัวแต่ในระหว่างนั้นกลับได้ยิน นางแบบคนอื่นๆ พูดถึงพิงค์มิราแบบเสียๆ หายๆ“เห็นยัยเกรซนางร้ายเดินพรมแดงเมื่อกี้ยัง?”“ยัยนั่นน่ะเหรอ? เดรสสวยก
ทิชานักเขียนสาววัยยี่สิบต้นๆ ใช้ชีวิตอยู่อย่างเงียบงันในบ้านไม้สองชั้นที่ตั้งอยู่ชานเมือง บ้านหลังเล็กที่เธอซื้อไว้ด้วยเงินจากการเขียนนิยายมาตลอดห้าปี ทั้งชีวิตของเธอมีเพียงตัวอักษร เป็นเพื่อนเป็นที่พึ่งเป็นความรักที่ไม่เคยทรยศในคืนฝนพรำคืนนั้นบนโต๊ะไม้หน้าหน้าต่าง เธอกำลังนั่งเขียนตอนจบของนิยายเรื่องล่าสุด เรื่องราวของพิงค์มิรา นางร้ายที่ไม่มีใครรักไม่มีใครเข้าใจ และสุดท้ายต้องตายอย่างเดียวดายในห้องนอนที่ไม่มีแม้แต่เสียงตอบรับจากโลกภายนอก “พี่ศรัญถ้าคิดว่าเกรซโกหกก็ยิงเลย”“อย่ามาท้าฉันเกรซ และจำไว้ว่าคนที่ฉันรักมีพราวฟ้าคนเดียวฉันไม่เคยรักเธอ!” เขาตะโกนสุดเสียงมือไม้สั่นเทาเพราะเกียจคนตรงหน้า ที่เข้ามาทำลายเขาและคนที่เขารักเธอวางมือลงบนอกของเขาตรงหัวใจที่เต้นรัว ความเงียบเข้าครอบคลุมเพียงชั่ววินาที แล้วเสียงปืนก็ดังขึ้น ดังชัดเจนในค่ำคืนอ้างว้างปัง!ร่างของพิงค์มิราทรุดลงช้าๆ แขนตกข้างลำตัวดวงตากลมโตยังค้างอยู่ที่ใบหน้าของเขา ราวกับอยากจดจำให้ถึงวินาทีสุดท้าย“ขอบคุณที่เคยทำให้เกรซรู้จักคำว่ารัก” เธอพูดด้วยเสียงกระซิบ ก่อนดวงตาจะค่อยๆ ปิดลง พร้อมลมหายใจที่แผ่วเบาลงทุกทีเ