เธอตื่นขึ้นมาในร่างของนางร้ายในนิยายที่ตัวเองเขียน บทบาทของพิงค์มิรามีเพียงหนึ่งเดียวทำลายทุกอย่างและจบลงด้วยความตาย แต่เมื่อเธอพยายามดิ้นรนเพื่อเปลี่ยนชะตา เส้นเรื่องกลับพาเธอเข้าไปพัวพันกับเขา
ดูเพิ่มเติมทิชานักเขียนสาววัยยี่สิบต้นๆ ใช้ชีวิตอยู่อย่างเงียบงันในบ้านไม้สองชั้นที่ตั้งอยู่ชานเมือง บ้านหลังเล็กที่เธอซื้อไว้ด้วยเงินจากการเขียนนิยายมาตลอดห้าปี ทั้งชีวิตของเธอมีเพียงตัวอักษร เป็นเพื่อนเป็นที่พึ่งเป็นความรักที่ไม่เคยทรยศ
ในคืนฝนพรำคืนนั้นบนโต๊ะไม้หน้าหน้าต่าง เธอกำลังนั่งเขียนตอนจบของนิยายเรื่องล่าสุด เรื่องราวของพิงค์มิรา นางร้ายที่ไม่มีใครรักไม่มีใครเข้าใจ และสุดท้ายต้องตายอย่างเดียวดายในห้องนอนที่ไม่มีแม้แต่เสียงตอบรับจากโลกภายนอก
“พี่ศรัญถ้าคิดว่าเกรซโกหกก็ยิงเลย”
“อย่ามาท้าฉันเกรซ และจำไว้ว่าคนที่ฉันรักมีพราวฟ้าคนเดียวฉันไม่เคยรักเธอ!” เขาตะโกนสุดเสียงมือไม้สั่นเทาเพราะเกียจคนตรงหน้า ที่เข้ามาทำลายเขาและคนที่เขารัก
เธอวางมือลงบนอกของเขาตรงหัวใจที่เต้นรัว ความเงียบเข้าครอบคลุมเพียงชั่ววินาที แล้วเสียงปืนก็ดังขึ้น ดังชัดเจนในค่ำคืนอ้างว้าง
ปัง!
ร่างของพิงค์มิราทรุดลงช้าๆ แขนตกข้างลำตัวดวงตากลมโตยังค้างอยู่ที่ใบหน้าของเขา ราวกับอยากจดจำให้ถึงวินาทีสุดท้าย
“ขอบคุณที่เคยทำให้เกรซรู้จักคำว่ารัก” เธอพูดด้วยเสียงกระซิบ ก่อนดวงตาจะค่อยๆ ปิดลง พร้อมลมหายใจที่แผ่วเบาลงทุกที
เลือดไหลซึมลงผืนหญ้า และลมหายใจของเธอก็ไม่กลับมาอีก
ทิชาวางปากกาลงช้าๆ น้ำตาไหลรินตามแรงสะเทือนของฉากสุดท้ายที่เธอเป็นคนบรรจงเขียน แต่รู้สึกเหมือนมันเป็นคำไว้อาลัยของชีวิตตัวเอง
“ไอ้ศรัญสารเลวเอ้ย” ทิชาสบถออกมาเพราะกำลังอินแถมยังมีนักเขียนเข้ามาคอมเมนต์ด่าคนเขียนมากมาย รวมถึงด่าตัวละครด้วย
‘คนเขียนโรคจิตป่ะ’
‘ไอ้เลวไม่รักแล้วยังยิงเขาอีก’
‘เกิดอีกกี่ชาติอย่าได้เจอกับคนแบบมึงอีก’
‘คนเขียนขาดความรักหรือยังไงพิงค์มิราก็มีหัวใจน่ะ ถึงจะร้ายนางก็รักแต่พระเอก’
ทิชายิ้มอย่างภาคภูมิใจที่มีกระแสตอบรับนิยายเรื่องนี้อย่างล้นหลาม แต่ละปีงานเขียนสามารถทำเงินให้เธอมากมายเรียกว่าหลายคนคิดไม่ถึงเลยทีเดียว แต่ความบ้างานมักมาพร้อมกับความโดเดี่ยว
“เกิดหน้าหรือชาติไหนขออย่าได้เจอผู้ชายแบบไอ้ศรัญ!”
ตัวละครเป็นผู้ชายที่เห็นแก่ตัวคนหนึ่ง แต่ปักใจรักพราวฟ้านางเอกของเรื่อง ทำลายทุกอย่างเพื่อปกป้องคนที่เรารัก แต่ลืมนึกถึงจิตใจของอีกคนเขากำจัดได้ทุกคนแม้กระทั่งคนที่รักเขา
จู่ๆ สายฝนกระหน่ำลงมาไม่หยุด ราวกับฟ้ารู้ว่าคืนนี้จะมีอะไรบางอย่างจบลง
“มาตกอะไรตอนนี้กลางคืนมันเหงา”
ทิชาเดินช้าๆ ออกจากโต๊ะเขียนนิยายมือยังเปื้อนหมึกที่ยังไม่แห้งดี เธอพิงกับขอบเคาน์เตอร์ในห้องครัว เปิดก๊อกน้ำ ตั้งใจจะล้างหน้าที่เปียกไปด้วยทั้งน้ำตาและเหงื่อเย็นๆ แต่อยู่ดีๆ แสงสว่างสีขาววาบก็สาดเข้ามาในห้อง
เปรี้ยง!
แรงระเบิดจากฟ้าผ่าทำให้ร่างของทิชาถูกเหวี่ยงกระแทกกับพื้น กลิ่นควันไหม้คละคลุ้งเธอนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นไม้เย็นเฉียบ รู้สึกถึงลมหายใจที่แผ่วเบาลงเรื่อยๆ เหมือนเสียงโลกทั้งใบหายไปไกลเกินจะเอื้อมถึง
สายตาเธอเริ่มพร่าเลือน แต่ในหัวกลับชัดเจนเหลือเกิน
“นี่เรากำลังจะตายจริงๆ ใช่ไหม ยังไม่มีผัวอายุก็สั้น”
ทิชาค่อยๆ หลับตาลง ภาพชีวิตที่ผ่านมาผุดขึ้นในหัว เหมือนฉายซ้ำช้าๆ
โต๊ะเขียนหนังสือกลางห้องเงียบ ๆ กองต้นฉบับวางเรียงกันสูงราวภูเขา ถ้วยกาแฟที่แห้งสนิทจนเป็นคราบ โทรศัพท์มือถือที่แทบไม่เคยมีสายเรียกเข้า เว้นแต่บรรณาธิการเพราะพ่อกับแม่เธอเสียไปนานหลายปีแล้ว
คืนวันเกิดที่เธอนั่งกินเค้กคนเดียว พร้อมเป่าเทียนขอพรเดิมๆ
“อยากมีใครสักคนที่ไม่ต้องเข้าใจงานเขียนเราก็ได้ ขอแค่อยู่ข้างๆ ในวันที่เหนื่อย ในวันที่เรารู้สึกว่าไม่เหลือใคร”
แต่เธอก็ไม่เคยได้เจอคนนั้น เวลาหมดไปกับการเขียนถึงความรักในจินตนาการ ทั้งที่ความรักในชีวิตจริงเธอยังไม่เคยได้สัมผัสเลยสักครั้ง
ริมฝีปากของทิชาขยับเบาๆ ราวกับอยากพูดอะไรบางอย่าง ‘จะตายทั้งทีขอมีชีวิตที่เลิศหรูกว่านี้ได้ไหม ขอผู้ชายหล่อๆ ล้อมหน้าล้อมหลัง’
แต่ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาหยดน้ำตาหยดสุดท้ายไหลลงข้างแก้ม พร้อมกับลมหายใจสุดท้ายที่เธอปล่อยไปอย่างเงียบงัน
.
กลิ่นดอกลาเวนเดอร์ลอยอ่อน ๆ ในอากาศ ผ้าม่านสีครีมปลิวไหวตามแรงลมอ่อนยามเช้า แสงแดดลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาเป็นลำ
มือของเธอเรียวบางเนียนนุ่มกว่าที่เคย สวมแหวนเพชรวงใหญ่ เนื้อผ้าเป็นแบรนเนมสุดหรูที่คนอย่างทิชาไม่มีปัญญาซื้อ บรรยากาศคุ้นเคยมากเหมือนเธอหลุดเข้ามาอยู่ในนิยาย
เธอลุกพรวดขึ้นมองรอบตัวห้องนอนหรูหราที่เธอเป็นคนบรรยายไว้ในนิยายเรื่องล่าสุดกลับมีอยู่จริง ไม่ใช่ความฝัน
เธอรีบวิ่งไปที่กระจก และสิ่งที่สะท้อนกลับมาไม่ใช่ใบหน้าของนักเขียนสาว
แต่เป็นใบหน้าคมสวยของ พิงค์มิรานางร้ายในนิยายของเธอเอง หัวใจของทิชาเต้นรัวเหมือนจะทะลุออกมา เธอกุมขมับ สูดลมหายใจเข้าแรงๆ
ใบหน้าหน้ารูปไข่ผิวขาวอมชมพู ผ่องเนียนไร้ที่ติดูสวยแบบผู้ดี ดวงตาตากลมโตมีประกายสะท้อนอารมณ์อ่อนโยนและมั่นใจ แต่งตาชัดเจนด้วยอายไลเนอร์และขนตาเด้ง ริมฝีปากอิ่มสวยสีชมพูแดงนุ่มนวลดูน่าจูบ ผมยาวสีน้ำตาลเข้มเป็นลอนคลื่นสวยงามปล่อยสยายอย่างมีวอลลุ่มดูหรูหราและเซ็กซี่
เธอคิดในฝจในรูปว่าสวยแล้วพอมาเจอแบบนี้พิงค์มิราเป็นผู้หญิงที่มีเสน่ห์มาก ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตาเห็น
“นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นฉันตายไปแล้ว แล้วทำไมถึงมาอยู่ที่นี่?” แล้วสติของเธอก็ชัดเจนขึ้นทีละนิดเธอจำได้ทุกอย่าง เรื่องราวที่เธอเขียนความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน การทรยศ และบทจบ
“พิงค์มิราจะถูกตราหน้าว่าเป็นผู้หญิงเจ้าเล่ห์ ทำลายชีวิตของนางเอก สุดท้ายโดนพระเอกฆ่าทิ้งตายอย่างโดดเดี่ยว ไม่มีแม้แต่ใครสักคนที่จะร้องไห้ให้”
“ไหนจะถูกพระเอกให้คสวามหวังเพราะต้องการหุ้นพ่อแม่ของพิงค์มิรา ที่เขาดูแลอยู่ พิงค์มิรากลายเป็นคนไม่เหลือใครเพราะพ่อแม่ประสบอุบัติเหตุ หุ้นทั้งหมดอยู่ในความดูแลของศรัญ และเขาต้องการครอบครองมัน”
เธอนั่งลงบนปลายเตียงสายตาเหม่อลอย คิดถึงตอนจบของเรื่องที่จะมาถึงในไม่ช้า ตอนนี้น่าจะอยู่ในช่วงเริ่มต้นของนิยาย
“ถ้าฉันไม่ทำอะไร ฉันก็จะต้องตายซ้ำอีกครั้ง”
เธอสูดลมหายใจลึก ไม่เธอจะไม่ยอมตายแบบนั้นอีก
“ฉันจะไม่เข้าไปยุ่งกับพระเอก ไม่แทรกแซงความรักของใคร ไม่เล่นตามบทเดิมที่ฉันเคยเขียนไว้ ฉันจะหนีจากเรื่องทั้งหมดนี้จะมีชีวิตที่สงบเงียบ และไม่ต้องตายเพราะความรักที่ไม่ใช่ของฉัน”
แต่มันไม่ง่ายเพราะแม้เธอจะพยายามหลีกหนี แต่เรื่องราวในโลกนิยายก็ยังคงดำเนินไปตามเส้นทางเดิม พระเอกยังคงเจอนางเอกในงานเลี้ยงครั้งหน้า
เหมือนชะตากรรมไม่ยอมให้เธอหนี นิยายยังคงดำเนินต่อไปนางร้ายแบบพิงค์มิราไม่มีทางได่สมหวังกับพระเอกของเรื่อง
“คุณหนูฟื้นแล้วเหรอคะ ฮือ ป้าดีใจที่สุดเลย”
“ป้ายุ้ย” เธอจำได้ป้ายุ้ยเป็นแม่บ้านที่รักและหวังดีกับพิงค์มิราที่สุด เพราะเลี้ยงหญิงสาวมาเองกับมือ
“อย่าทำแบบนี้อีกนะคะ เหนื่อยก็พักผ่อน” ป้ายุ้ยร้องห่มร้องไห้ ทำให้เธองุนงงทำเหมือนว่าเธอฆ่าตัวตายเสียอย่างนั้น
“ร้องไห้ทำไมคะ”
“คุณหนูกินยาเกินขนาดหลับไปหนึ่งคืนเต็มๆ ดีนะมีคุณหมอดูแล”
เข้าใจแล้วพิงค์มิราแค่เหนื่อยแต่นอนไม่หลับเลยอัดยาไปเกินขนาด ทำให้หลับนานแล้วทำไมเธอถึงเข้ามาอยู่ในนิยายที่ตัวเองเขียนได้
เพราะอะไรเธอถึงตื่นขึ้นมาในร่างของเกรซ พิงค์มิรา เศรษฐกานต์ วัย 24 ปี นางแบบและชอบรับบทนางร้าย สวย แซ่บ มั่นใจ มีคาแรกเตอร์ชัดเจนแบบแม้จะขี้เหวี่ยง แต่ไม่ได้ไร้เหตุผลเป็นคนทุ่มเทกับทุกอย่างที่รัก และไม่ยอมให้ใครมาดูถูกง่ายๆ
อีกสองวันพิงค์มิราจะไปทานข้าวกับพระเอกของเรื่อง ซึ่งครอบครัวทั้งสองสัญญากันไว้ว่าจะให้พิงค์มิราและศรัญหมั้นหมายกัน แต่แทนที่จะรักศรัญกับเกลียดพิงค์มิราเพราะหญิงสาวมักมีข่าวฉาวกับผู้ชายในวงการ
แสงไฟโคมระย้าคริสตัลที่ห้อยอยู่เหนือโต๊ะอาหารขนาดเล็กสำหรับสองที่ให้บรรยากาศราวกับฉากในหนังฮอลลีวูด
โต๊ะถูกจัดอย่างพิถีพิถันด้วยจานเซรามิคลายทอง ช้อนส้อมเงินแท้ และแจกันดอกกุหลาบขาววางตรงกลาง ทุกอย่างสื่อถึงความตั้งใจของสองตระกูลที่จะผลักดันความสัมพันธ์ของพิงค์มิรา และศรัญให้เดินไปตามกรอบของสังคมชั้นสูง
ศรัญ วริชศ์ศรัญ อัครเดชานนท์ อายุ 30 ปี เจ้าของบริษัทสื่อโฆษณาอันดับหนึ่งของประเทศ WSA Group และเจ้าของบริษัทอสังหาริมทัพย์ ลึกลับผู้เปี่ยมด้วยเสน่ห์เยือกเย็นนิ่งขรึม แต่มีความเจ้าสำราญแบบที่ไม่ต้องอวดอ้าง เขาไม่ใช่คนพูดมาก นิสัยนิ่งพูดน้อยรักอิสระ
ทำไมจะไม่รู้นิสัยเขาเพราะเธอเป็นคนสร้างเขาขึ้นมากับมือ ไม่น่าเขียนให้พระเอกธงแดงเลย
ทิชาในร่างของพิงค์มิรานั่งอยู่ก่อนแล้วใบหน้าสงบนิ่งแต่ตาคมกริบกวาดมองรอบตัวราวกับอ่านฉากได้ทะลุปรุโปร่ง เธอรู้ดีว่าอีกไม่กี่อึดใจเขาจะมา และบทสนทนาเก่าๆ จะเริ่มต้น
เสียงฝีเท้าชายหนุ่มดังขึ้น ศรัญปรากฏตัวในชุดสูทสีเทากราไฟต์ เนี๊ยบทุกระเบียดนิ้ว ใบหน้าคมเข้มแบบคนเมือง สายตาหยิ่งเย็นชา และมีแววเหน็บแนมตามเคย
‘ไม่คิดว่าตัวจริงจะหล่อแบบนี้’ เธอมองใบหน้าของเขาแบบตะลึงเพราะไม่เคยอยู่ใกล้คนหล่อแบบนี้มาก่อน เขาดูดีจนเธอละสายตาไม่ได้
รูปหน้าหล่อคมแบบวีเชฟ มีคางเด่นและเรียวจมูกโด่งรับกับโครงหน้า ตาเรียวยาวดูเฉียบคมแฝงความมั่นใจและน่าค้นหา ริมฝีปากเรียวได้รูปสีอมชมพูนิดๆ ดูสุขภาพดี
“เซอร์ไพรส์ดีนะ คิดไม่ถึงว่าเธอจะมาก่อนเวลาหรือแค่กลัวฉันจะไม่มา?”
พิงค์มิรายกแก้วไวน์ขึ้นจิบ สีหน้าไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อย กำลังชื่นชมความหล่อ ลืมไปว่าคนตรงหน้าปากสวนทางกับหน้าตา
“ฉันไม่กลัวอะไรแบบนั้นหรอกค่ะ โดยเฉพาะกับคนที่ต่อให้ไม่มา ก็คงไม่มีผลอะไรกับชีวิตฉัน” พิงค์มิราเวลาอยู่ต่อหน้าศรัญชอบทำตัวเรียบร้อยให้เขาโขกสับจนและ แต่เธอไม่ใช่คนอ่อนแออีกต่อไป
ศรัญเลิกคิ้วสะบัดสูทเบาๆ ก่อนนั่งลงตรงข้ามเขาหยิบผ้าเช็ดปากขึ้นอย่างเชื่องช้าก่อนหันหน้ามาหาเธอ เขาตกใจกับสรรพนามที่เธอเรียกเขาและแทนตัวเองว่าฉัน
“ปากกล้าขึ้นนะช่วงนี้ หรือว่าไปฝึกจิตมาจากไหน?”
“เปล่าหรอกค่ะ แค่เลิกทนกับอะไรที่ไม่ควรทน” เธอยิ้มบางๆ ดวงตาไม่สะท้อนความเกรงใจใดๆ
บรรยากาศเริ่มตึงเครียด พนักงานเสิร์ฟใช้ที่ยืนประจำข้างโต๊ะมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ก่อนจะค่อยๆ ถอยห่างออกไปเหลือเพียงสองคนที่ยังปะทะสายตากันเหมือนจะไม่มีใครยอม
“เธอจะเล่นบทอะไรอีกล่ะคราวนี้พิงค์มิรา คนดี? คนบริสุทธิ์ หรือเหยื่อผู้ถูกกระทำ?” หลายครั้งที่มีเรื่องกันพิงค์มิรามักจะเป็นฝ่ายเริ่มต้นก่อนเสมอ
“ไม่ต้องห่วงค่ะ ฉันไม่เล่นละครซ้ำบทเดิมให้คุณเบื่อหรอก” เสียงเธอนิ่งราบเรียบ แต่คมกริบราวกับปลายมีด อาหารจานแรกถูกเสิร์ฟ แต่ไม่มีใครแตะ
ศรัญพิงพนักเก้าอี้ มองเธออย่างประหลาดใจแต่ไม่แสดงออกชัด
“เปลี่ยนไปจริงๆ เธอจะเล่นละครอะไรตบตาฉัน บอกไว้เลยนะว่าฉันไม่เคยรักเธอและไม่อยากรู้จัก” เขาพึมพำตอนนี้หุ้นทั้งหมดของพิงค์มิราอยู่ในมือเขา แต่ไม่สามารถสะบัดเธอทิ้งได้เลยเพราะแม่ของเขา
“ดีค่ะ ฉันก็ไม่อยากรู้จักคุณในแบบเดิมเหมือนกัน ขอบคุณสำหรับอาหารมื้อนี้นะคะ เสียดายแค่รสชาติของคนร่วมโต๊ะที่มันขมไปหน่อย” เธอลุกขึ้นยกผ้าเช็ดปากวางบนจานอย่างเรียบร้อย
“งานหมั้นคุณไปคุยกับแม่คุณเอาเองนะคะ บอกไปว่าฉันไม่ต้องการผู้ชายห่วยๆ แบบคุณ”
แล้วเธอก็หันหลังเดินจากไป ปล่อยให้ษรัญของเรื่องนั่งอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์ เงียบงันกับความเปลี่ยนแปลงที่เขาเริ่มจับต้นชนปลายไม่ถูก
“อะไรวะ” สรัญส่ายหัวเบาๆ ตามอารมณ์ของหญิงสาวไม่ทัน เขารู้ว่าพิงค์มิราคิดกับเขายังไงแต่เขาไม่ได้รักเธอ เขาไม่ชอบผู้หญิงที่ชอบมั่วกับแฟนคนอื่น
“คุณแม่ชอบผู้หญิงแบบนี้ได้ยังไง” จะว่าสงสารก็ได้เพราะตอนนี้หญิงสาวไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนแล้ว
“พี่ศรัญคะ พี่ศรัญขา ยัยนี้เรียกร้องความสนใจเก่ง”
ศรัญยืนหน้าตึงอยู่ข้างพิงค์มิรา หญิงสาวเจ้าของใบหน้าคมสวยที่แต่งตัวราวกับหลุดมาจากนิตยสารแฟชั่นระดับโลก แต่ท่าทีหงุดหงิดของเธอทำให้ความงามนั้นดูมีไฟ ไฟที่พร้อมจะเผาเขาทั้งเป็น“ยิ้มหน่อยเดี๋ยวแม่กับน้องสาวฉันจะเข้าใจผิดว่าเธอไม่เต็มใจ” ศรัญพูดเสียงเรียบแต่หางเสียงเหมือนเยาะเย้ย“ฉันก็แค่ทำตามคำสั่งของคุณป้าเท่านั้นค่ะ ไม่ได้หวังอะไรอย่าเข้าใจผิด” พิงค์มิราปรายตามองอย่างไม่แยแส“คงดีใจมากล่ะสิที่ครอบครัวฉันชอบเธอ อยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่กรุณาเรียกฉันแบบให้เกียรติด้วย” เขาหัวเราะในลำคอก่อนจะโน้มตัวเข้าใกล้กระซิบชิดหู“ฉันไม่อยากเรียกเหมือนเดิมเพราะฉันไม่ใช่คนเดิม อยู่ให้ห่างจากฉันด้วย” เธอชะงักเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มหวานแบบที่เต็มไปด้วยพิษ“เรียกร้องความสนใจ” เขาหงุดหงิดไม่รู้ว่าเพราะอะไรพิงค์มิราเปลี่ยนไปมาก จนเขาสัมผัสได้ว่าเธอทำแบบที่ปากพูดจริงๆสายตาของทั้งสองปะทะกันอย่างแรงบ้าง เย็นชาอย่างตั้งใจบ้าง ราวกับแข่งกันว่าใครจะประชดได้เจ็บกว่ากัน“ฉันไปเอาไวน์” เขาพูดลอยๆ ก่อนจะก้าวเดินออกจากกลุ่มคนในงาน ทิ้งพิงค์มิราไว้กลางแสงไฟกับเสียงดนตรี และเธอก็ยังยืนอยู่ตรงนั้นไม่ได้เดินตาม แต่ก็ไม่ได้ละสายต
พิงค์มิรานั่งตัวตรงบนโซฟาหนังแท้ สีหน้านิ่งเฉยแต่เต็มไปด้วยความระวัง หลังจากเพิ่งรินชาคาโมมายล์ให้แขกผู้ใหญ่ที่มาเยือนแม่ของศรัญคุณหญิงนฤมล นั่งตรงข้ามเธอในชุดผ้าไหมพรมละเอียดอย่างสง่า ซึ่งมีรอยยิ้มอบอุ่นทุกครั้งที่มองพิงค์มิรา เรียกว่าเป็นแม่คนที่สองเลยก็ว่าได้“หนูเกรซช่วยรับงานของป้าเถอะนะ ผลิตภัณฑ์ใหม่นี่สำคัญกับแบรนด์เรามาก ป้าคิดไว้แล้วว่าถ้ามีหนูเกรซเป็นหน้าเป็นตาทุกอย่างจะสมบูรณ์แบบ”เสียงคุณหญิงเอ่ยอย่างนุ่มนวล แต่แฝงแรงกดดันไว้แนบเนียน“ใช่ค่ะ พี่แจ๋วก็เห็นด้วยหนูเกรซเหมาะกับภาพลักษณ์แบรนด์ สะอาด หรู ดูแพง มีเชื้อสายชัดเจนลูกผู้ดีมีสกุล” แจ๋วเลขาคนสนิมของคุณหญิงเอ่ยขึ้น มีแต่คนมองพิงค์มิราว่าเป็นนางร้าย แต่นิสัยใจคอกลับน่ารักมากกว่าที่คิด“หนูขอคิดก่อนได้ไหมคะ” เพราะกลัวว่าจะต้องได้เจอหน้ากับศรัญ เธอเลยประหม่าพิงค์มิรายิ้มสุภาพพยายามไม่แสดงความหงุดหงิดนี่มันบทเดิมชัดๆ ฉากที่บ้านศรัญชวนให้เธอมาเป็นพรีเซนเตอร์ แถมยังพูดนัยๆ ถึงตำแหน่งลูกสะใภ้ในอนาคต“ถ้ารับงานนี้ได้ ป้าก็อยากชวนไปงานเลี้ยงส่วนตัวที่บ้านหลังจากเปิดตัวผลิตภัณฑ์นะจ๊ะ ถือว่าเป็นการเปิดตัวอย่างไม่เป็นทางการของว่
เสียงแฟลชจากกล้องนับสิบตัวดังขึ้นแทบจะพร้อมกันในงานเปิดตัวคอลเลคชั่นใหม่ของนานา ดีไซเนอร์ชื่อดังระดับแนวหน้าของวงการ พิงค์มิราปรากฏตัวกลางพรมแดงในชุดเดรสสีดำสนิททรงคัตเอาต์ที่เผยเรือนร่างงามระหงด้วยความมั่นใจ เธอเดินผ่านนักข่าวและสายตานับร้อยที่จ้องมองมาอย่างไม่เกรงกลัวไม่ใช่เพราะเธอไม่รู้ แต่เพราะเธอเลือกจะไม่สนใจ แต่รู้สึกประหม่าเล็กน้อยเพราะเธอไม่ใช่คนที่มั่นใจในตัวเองแบบพิงค์มิรา“ยัยเกรซเป็นนางแบบหรือเป็นตัวร้ายในซีรีส์กันแน่?”“ข่าวว่าแย่งแฟนรุ่นพี่อีกแล้วเหรอ?”“พราวฟ้าน่ะไม่พอใจแน่ๆ สนิทกับนานาขนาดนั้น”เสียงซุบซิบเหล่านั้นลอยมากระทบโสตประสาทแต่พิงค์มิราเพียงเชิดหน้าแล้วส่งยิ้มบางๆ ให้กล้อง เธอรู้ดีว่าในวงการแฟชั่น ไม่มีใครยืนอยู่ตรงจุดสูงสุดได้โดยไม่โดนอะไรเลยบ้าง “เกรซอย่าไปสนใจพวกปากนกปากกาเลย” นานาสงสารเพื่อน “เรื่องปกติของวงการไม่มีข่าวเขาจะขายอะไร” “ไปเปลี่ยนเสื้อผ้ากันดีกว่า” นานาลากเพื่อนไปห้องแต่งตัวแต่ในระหว่างนั้นกลับได้ยิน นางแบบคนอื่นๆ พูดถึงพิงค์มิราแบบเสียๆ หายๆ“เห็นยัยเกรซนางร้ายเดินพรมแดงเมื่อกี้ยัง?”“ยัยนั่นน่ะเหรอ? เดรสสวยก
ทิชานักเขียนสาววัยยี่สิบต้นๆ ใช้ชีวิตอยู่อย่างเงียบงันในบ้านไม้สองชั้นที่ตั้งอยู่ชานเมือง บ้านหลังเล็กที่เธอซื้อไว้ด้วยเงินจากการเขียนนิยายมาตลอดห้าปี ทั้งชีวิตของเธอมีเพียงตัวอักษร เป็นเพื่อนเป็นที่พึ่งเป็นความรักที่ไม่เคยทรยศในคืนฝนพรำคืนนั้นบนโต๊ะไม้หน้าหน้าต่าง เธอกำลังนั่งเขียนตอนจบของนิยายเรื่องล่าสุด เรื่องราวของพิงค์มิรา นางร้ายที่ไม่มีใครรักไม่มีใครเข้าใจ และสุดท้ายต้องตายอย่างเดียวดายในห้องนอนที่ไม่มีแม้แต่เสียงตอบรับจากโลกภายนอก “พี่ศรัญถ้าคิดว่าเกรซโกหกก็ยิงเลย”“อย่ามาท้าฉันเกรซ และจำไว้ว่าคนที่ฉันรักมีพราวฟ้าคนเดียวฉันไม่เคยรักเธอ!” เขาตะโกนสุดเสียงมือไม้สั่นเทาเพราะเกียจคนตรงหน้า ที่เข้ามาทำลายเขาและคนที่เขารักเธอวางมือลงบนอกของเขาตรงหัวใจที่เต้นรัว ความเงียบเข้าครอบคลุมเพียงชั่ววินาที แล้วเสียงปืนก็ดังขึ้น ดังชัดเจนในค่ำคืนอ้างว้างปัง!ร่างของพิงค์มิราทรุดลงช้าๆ แขนตกข้างลำตัวดวงตากลมโตยังค้างอยู่ที่ใบหน้าของเขา ราวกับอยากจดจำให้ถึงวินาทีสุดท้าย“ขอบคุณที่เคยทำให้เกรซรู้จักคำว่ารัก” เธอพูดด้วยเสียงกระซิบ ก่อนดวงตาจะค่อยๆ ปิดลง พร้อมลมหายใจที่แผ่วเบาลงทุกทีเ
ความคิดเห็น