พิงค์มิรายังอยู่กับกลุ่มเพื่อน และเพื่อนเก่าบางคนที่เคยเรียนด้วยกัน ต่างคุยหัวเราะเฮฮาเหมือนคืนแห่งความทรงจำ เธอรู้สึกผ่อนคลายมากกว่าที่คิดไว้ เพราะไม่เห็นศรัญเดินเข้ามายุ่งอะไรอีก
“คืนนี้มันดีเนอะ แบบไม่ต้องปะทะกับใคร” พิงค์มิราพูดกับนานายิ้มบางๆ พลางยกแก้วไวน์ขึ้นจิบอีกครั้ง
“ดีแล้วล่ะ เธอควรได้พักจากดราม่าพวกนั้นบ้าง” นานายิ้มตอบ แล้วหันไปแซวเพื่อนต่อเรื่องสาวๆ
พิงค์มิราหัวเราะตาม ก่อนจะหันไปมองเวทีอีกครั้ง รู้สึกเหมือนทุกอย่างสงบดีเกินไป จนเธอเผลอหลุดคิดว่าบางทีเธออาจจะรอดจากเนื้อเรื่องบ้าๆ นี่แล้วจริงๆ ก็ได้นะ
คืนนี้มีงานเลี้ยงต่อซึ่งคุณป้ากลับไปแล้วในงานมีแต่หนุ่มสาว เหตุการณ์คืนนี้ในนิยายคือศรัญกับพราวฟ้าต้องมีอะไรกัน พอเช้ามาเขายืดอกยอมรับว่าจะรับผิดชอบด้วยการหมั้นหมายและแต่งงาน
พอพิงค์มิราทราบข่าวงานหมั้นก็ขัดขวางทุกวิถีทาง แต่ทำไมเนื้อเรื่องมันดูแปลกๆ ซึ่งเธออธิบายไม่ถูกและเริ่มคาดเดากับความคิดตัวละครไม่ได้
เด็กเสิร์ฟในชุดดำเดินเข้ามาเงียบๆ พร้อมถาดแก้วแชมเปญ
“รับเพิ่มไหมครับ?” น้ำเสียงสุภาพแต่แปลกหน้าจนพิงค์มิราเลิกคิ้วเล็กน้อย เธอไม่เคยเห็นหน้าเขาเลยทั้งงาน แต่พอหันไปมองรอบๆ ก็เห็นแขกบางคนก็รับแก้วจากถาดเดียวกัน เธอจึงไม่ได้คิดอะไรมาก
“ขอไวน์ขาวขอบคุณค่ะ” เธอรับแก้วมายิ้มเบาๆ แล้วจิบไวน์อีกรอบ
กลิ่นแอลกอฮอล์บางเบารสสัมผัสหวานปลายลิ้น แต่มีบางอย่างแปลกไปนิดหน่อย พิงค์มิราชะงักไปครู่หนึ่ง
“แปลกแฮะ...สงสัยจะเหนื่อยเกินไป” เธอพึมพำกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะส่ายหน้า แล้วก็ดื่มมันจนหมดแก้ว
พร้อมกับนึกถึงเนื้อเรื่องในนิยายต่อ ในงานเลี้ยงนี้พราวฟ้าถูกวางยาเพราะมีคนต้องการตัวเธอ และศรัญก็เป็นพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วย คืนนี้เธอต้องพยายามหลีกทางให้พระเอกกับนางเอกเขาได้อยู่ด้วยกัน
เธอกลับไปคุยกับเพื่อนต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ไม่ทันเห็นว่า เด็กเสิร์ฟคนนั้นเดินหายไปทางประตูหลังห้องอย่างไร้ร่องรอย
“เมาแล้วเหรอเกรซ” ชานนท์เข้ามาใกล้เพื่อนเพราะเห็นสภาพแล้วเหมือนพิงค์มิราจะเริ่มเมา
“นิดหน่อยนะ” เกิดมายังไม่เคยกินไวน์ด้วยแบบเธอต้องเบียร์เท่านั้น เพราะไม่มีเงินซื้ออะไรแพงๆ กินหรอกเสียดายเงิน
“ไปพักไหมฉันเปิดห้องไว้” นานาเข้ามาถามอาการเพื่อน
“อื้อ ว่าจะกลับไปพักเลยแต่ขอเข้าห้องน้ำก่อน” เพราะเริ่มจะไม่ไหวแล้วจริงๆ มันร้อนๆ หนาวๆ เหมือนคนกำลังไม่สบาย
“ให้เราไปส่งไหม”
“ชานนท์นายเป็นผู้ชายอยู่นี่เลย เกรซไม่เป็นไรหรอกคอแข็งจะตาย” นานาห้ามไม่ให้ชานนท์ตามพิงค์มิราไป เพราะชายหญิงอยู่ใกล้กันไม่ดี เวลาเมายิ่งไม่ควรอยู่ด้วยกันสองต่อสอง
และที่อีกฟากของงานเลี้ยงศรัญที่เพิ่งกลับเข้ามา ก็หันไปไม่เห็นพิงค์มิราที่ยืนคุยอยู่ตรงนั้นแล้ว เขามองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นแม้แต่เงา
แสงไฟฟลูออเรสเซนต์สีขาวซีดส่องกระทบผิวซีดของพิงค์มิราที่ยืนพิงอ่างล้างหน้าหน้ากระจก ดวงตาเธอพร่าเลือนเล็กน้อย ขนตาปริบเหมือนพยายามจะจับภาพทุกอย่างให้ชัด
เหงื่อเม็ดเล็กซึมออกตามไรผม แม้ว่าในห้องน้ำจะเปิดแอร์เย็นเฉียบ เธอก้มมองมือตัวเองที่กำลังสั่นเล็กน้อย
“บ้า เป็นอะไนวะเนี้ย” เธอพยายามเอาน้ำล้างหน้าเพื่อให้ตัวเองมีสติมากขึ้น แต่มันไม่ได้ผล
พิงค์มิรากัดฟันพยายามตั้งสติ สูดหายใจลึกพลางพึมพำเสียงเบาเหมือนจะปลุกสติตัวเอง
“ไม่เราต้องไม่ตายตอนนี้สิยังไม่ถึงตอนจบเลย” พิงค์มิราพยายามควานหาโทรศัพท์ แต่พยายามเปิดกระเป๋าเท่าไรมือไม้ยิ่งสั่นมากขึ้น
เธอผลักตัวเองออกจากอ่างล้างหน้าอย่างยากลำบาก เดินออกจากห้องน้ำไปตามทางเดินที่ค่อยๆ ว่างเปล่าขึ้นเรื่อยๆ แขกบางส่วนทยอยกลับ หรือลงไปยังเลาจน์ชั้นล่าง
“โอ๊ะ ขอโทษครับ”
ร่างของพิงค์มิราเซไปเล็กน้อยเมื่อเธอเดินชนเข้ากับร่างสูงของชายคนหนึ่งนักธุรกิจหนุ่มในชุดสูทเนี้ยบ ใบหน้าเรียบแต่ตาจ้องมองเธอไม่ละสายตา เขาประคองเธอไว้เบาๆ แต่สัมผัสนั้นแนบแน่นเกินเหตุ
“ปะ ปล่อยด้วยค่ะ” น้ำเสียงของพิงค์มิราสั่นเทา
“คุณไม่เป็นไรแน่นะครับดูหน้าซีดเชียว” เสียงเขานุ่ม แต่แฝงความไม่จริงใจบางอย่างอยู่ในนั้น มือหนาของเอาเริ่มลูบไล้ลงไปที่สะโพก
พิงค์มิราพยายามผละตัวออกเพราะเริ่มรู้สึกว่า เธอไม่เป็นตัวของตัวเองยิ่งอยู่ใกล้เพศตรงข้าม เธอยิ่งควบคุมตัวเองไม่อยู่
“ขอบคุณค่ะฉันจะไปหาเพื่อน...”
“หาเพื่อน หืมเห็นคุณเดินมาเงียบๆ ตั้งนานคิดว่าอาจจะอยากได้คนดูแลมากกว่า” เขายิ้มเอียงๆ แล้วก้าวขวางทางเธอ มือของเขาแตะต้นแขนเธอเบาๆ ก่อนเลื่อนต่ำลงช้าๆ จนพิงค์มิราสะบัดออกด้วยแรงที่เหลืออยู่
“อย่ามายุ่งกับฉัน!” เสียงเธอเบาแต่เฉียบขาดดวงตาเริ่มพร่ามัว
“เฮ้ อย่าดุนักสิ ก็แค่จะช่วยพาขึ้นห้องขึ้นห้องกับผู้ชายมานักต่อนักทำเป็นเล่นตัว” เขาขยับเข้ามาใกล้อีกพร้อมกับดูถูกพิงค์มิรา เขาเห็นข่าวของเธอแทบทุกวัน
เธอพยายามดันเขาออกมือไม้สั่น พยายามจะหยิบโทรศัพท์จากกระเป๋า แต่สติเริ่มเลือนรางกล้ามเนื้อขาไร้แรง จนเริ่มทรุดตัวลงกับผนังด้านหนึ่ง
เสียงรองเท้าหนังกระทบพื้นดังถี่ขึ้นเรื่อยๆ ศรัญเดินผ่านมุมของห้องน้ำพอดี ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นภาพตรงหน้า พิงค์มิราซึ่งเสื้อผ้าไม่เรียบร้อยเพราะเปียกน้ำ ผิวขาวซีด ใบหน้าแดงระเรื่อเหมือนคนเมา
หญิงสาวกำลังพยายามผลักผู้ชายคนหนึ่งที่ยืนบดบังร่างเธอไว้
“เธอนี่มันไม่เข็ดจริงๆ ใช่ไหมเกรซ” ศรัญพึมพำเสียงเย็นเฉียบ สายตาแข็งกร้าวทันควันมือกำแน่น ความคิดแรกแล่นเข้ามาอย่างขุ่นเคือง
‘เธอถึงกับพาผู้ชายคนใหม่มาเล่นเกมอ่อยกลางงานเลยงั้นเหรอ?’
เลือดในกายเดือดพล่าน เขาก้าวตรงเข้าไปทันทีมือกระชากคอเสื้อชายคนนั้นให้ผงะถอยออกไป
“ไปให้พ้น!” เสียงศรัญต่ำและดุดันจนน่าขนลุก
“โอ๊ย มึงเป็นใครวะ” เขาหัวเสียเมื่อทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่คิดไว้
“ฉันบอกให้ออกไป อย่าให้พูดซ้ำ!”
เขาหน้าชะงักกับแรงกดดันและชื่อเสียงของเขา จึงรีบล่าถอยอย่างไว ไม่กล้าแม้แต่จะสบตาเพราะกลัวว่าจะถูกจับได้
ทันทีที่เขาไปศรัญหันขวับมาหาพิงค์มิราที่ตอนนี้ร่างกายโงนเงนอย่างควบคุมไม่ได้
“นี่มันอะไรกัน! เมาจนควบคุมตัวเองไม่ได้ แล้วยังจะไปอ่อยผู้ชายกลางงานอีกงั้นเหรอ”
พิงค์มิราไม่ได้ตอบเธอแค่พยายามยืนให้ตรง สายตาเลื่อนลอย
“หรือเธอชอบให้คนมองแบบนั้นล่ะ ชอบให้คนพูดลับหลังว่าเป็นผู้หญิงต่ำแบบนั้น” น้ำเสียงของเขาขึ้นสูง ความหึงหวงแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธร้อนแรงโดยไม่ทันได้คิด
“อื้อ ช่วยด้วยย” พิงค์มิราเบิกตาขึ้นน้อยๆ อยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ปากกลับไม่มีแรงแม้จะเปล่งเสียง เธอได้แต่มองหน้าเขาอย่างเจ็บปวดคำพูดที่ไม่เคยคิดว่าจะได้ยินจากปากของศรัญ
“ให้ตายสิ ไม่รู้ฉันเป็นบ้าอะไรถึงยังห่วงผู้หญิงอย่างเธออยู่ได้!” เขาไม่ควรมีความรู้สึกต่อพิงค์มิรา แต่นับวันเขายิ่งห้ามตัวเองไม่ได้
เขากระชากแขนเธอแรงไปหน่อยตอนจะพาเดินออกไป แต่ทันเห็นว่าเธอไม่มีแรงขืน จึงต้องรีบประคองแทน
“ฉันจะไปส่งหน้าห้อง”
ศรัญมองพิงค์มิราในอ้อมแขนอีกครั้ง ร่างของเธอแนบอยู่กับอกเขาเบาๆ หายใจแผ่วเหงื่อผุดขึ้นที่ขมับ แม้จะอยู่ในห้องแอร์เย็นเฉียบ
สายตาเธอพร่าเลือนเหมือนไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำลังอยู่ที่ไหน เขากัดกรามแน่นมือกระชับที่ไหล่เธอ
“อื้อ” เธอไม่ไหวในร่างกายมันร้อนรุ่ม มือไม้เริ่มอยู่ไม่เป็นสุข
“เธอนี่มัน! น่าจะปล่อยให้ทันฉุดไปให้เข็ด” คำพูดของเขาฟังดูเหมือนบ่น แต่ดวงตากลับมีแต่ความว้าวุ่นใจปิดไม่มิด
เขาหันกลับไปพูดกับพนักงานโรงแรมเบาๆ ก่อนจะพาพิงค์มิราเลี้ยวขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นบนสุด โซนห้องพักส่วนตัวของครอบครัวเขา
พรุ่งนี้จะให้แม่มาจัดการกับหญิงสาว อบรมสั่งสอนกันยังไงถึงได้ปล่อยเนื้อปล่อยตัว เขาเริ่มรู้สึกว่าพิงค์มิราเหมือนไม่ได้เมา แต่กลับโดนบางสิ่งบางอย่าง
“คุณศรัญฉันร้อน” พิงค์มิราพยายามดึงเสื้อผ้าของตัวเองออก
“เธอโดนวางยาเหรอ อย่าถอดนี่ในลิฟต์” เขาสังเกตอาการของพิงค์มิรา แสดงว่าในงานต้องมีคนเขายาเข้ามาเขารีบเดินออกจากลิฟต์และเข้าห้องไป
พิงค์มิราสะบัดผมเดินออกจากสตูดิโอถ่ายแบบอย่างเหนื่อยล้า เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็กไลน์ ก็เห็นข้อความเดิมๆ จากศรัญช่วงนี้ต้องรีบเคลียร์งานให้หมดเพราะอีกไม่กี่เดือนจะถึงวันสำคัญของเธอกับเขา“เลิกงานยัง”“กินข้าวรึยัง”“คิดถึงนะ แต่ไม่ต้องสนใจก็ได้เหมือนเดิม”เธอถอนหายใจเบาๆ เธอรู้ว่าเขางอน แต่เธอก็ไม่มีทางเลือกงานเข้ามาทุกวัน ไหนจะดูแลห้องเสื้อที่เป็นหุ้นส่วนกับนานาอีก ไหนจะเตรียมงานแต่งอีกแต่พอเดินถึงลานจอดรถ เธอกลับพบว่ารถของตัวเองหายไป“อะไรเนี่ย!”แล้วทันใดนั้นรถตู้สีดำก็มาจอดเทียบตรงหน้า ประตูก็เปิดออกก่อนที่เธอจะตั้งตัว“ว้าย เดี๋ยวอ๊ะ!” เสียงร้องตกใจของหญิงสาวขาดห้วง เมื่อใครบางคนคว้าเธอเข้าไปในรถและปิดประตูตามหลังอย่างรวดเร็ว“พี่ศรัญ” เธอเบิกตากว้าง มองคนตรงหน้าในชุดลำลอง พร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์“ไงคนทำแต่งานเกรซไม่มีเวลาว่างให้พี่ใช่ไหม? งั้นพี่ขอขโมยเวลาหน่อยก็แล้วกัน” เขาเอนหลังพิงเบาะอย่างสบายๆ“บ้าเหรอนี่มันลักพาตัวนะ”“ก็ใช่ ลักพาตัวว่าที่เจ้าสาวของตัวเองผิดตรงไหน” เขายักไหล่“พี่จะพาเกรซไปไหน!” เธอมองเขาตาเขียวเขายิ้มไม่ตอบ แต่รถก็เคลื่อนตัวออกไปแล้วเรียบร้อยสองชั่วโมงต่อ
หลังจากที่ใช้เวลานับเดือนในกองถ่าย ซึ่งเต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลายทั้งความเครียดความเหนื่อย และการทุ่มเททุกวินาทีให้กับบทบาทนางร้าย พิงค์มิราในชุดเดรสสีดำเรียบหรู ก้าวออกมาจากรถพร้อมรอยยิ้มกว้าง สะท้อนความโล่งใจและความสุขที่ยากจะซ่อนเธอไม่ได้มาคนเดียวข้างๆ คือผู้จัดการส่วนตัวที่ดูแลเธอมาตั้งแต่เริ่มต้นในวงการ พร้อมกับทีมงานทั้งหมดค่ำคืนนี้พวกเขานัดฉลองที่ผับชื่อดังกลางเมือง วิวด้านนอกเป็นแสงไฟระยิบระยับของตึกสูง และเสียงหัวเราะของเพื่อนๆ ดังสอดแทรกมากับเสียงดนตรีเบาๆ“ในที่สุดก็จบจริงๆ แล้วนะ” พิงค์มิราพูดพร้อมยกแก้วขึ้น ก่อนทุกคนจะชนแก้วกันเสียงดังอย่างพร้อมเพรียง“ใครบอกจะหยุดแค่เรื่องนี้ล่ะ เดี๋ยวบทใหม่ก็มาอีกแน่ ดูสิยิ่งเล่นยิ่งปังนะน้องเกรซ” แววที่แม้จะเป็นผู้จัดการจอมเข้ม แต่ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มตาหยีพิงค์มิราหัวเราะเบาๆ แต่แววตากลับเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย และอาจจะมีเศษเสี้ยวของความคิดถึง เพราะการถ่ายทำเรื่อง “อย่ารักนางร้าย” ไม่ได้เป็นแค่ผลงานอีกชิ้น แต่มันคือบทพิสูจน์ตัวตนในอีกแง่มุม ที่เธอเองก็ไม่เคยคาดคิดว่าจะรักมันได้มากขนาดนี้“เกรซครับพี่ขอชนแก้วหน่อย” กวินพระเอกของเรื
“ปล่อยฉันนะ! ไอ้พวกโง่ฉันไม่ได้ทำอะไรผิด” เสียงโวยวายของพราวฟ้าดังลั่นตำรวจสองนายจับแขนเธอแน่นพราวฟ้าสะบัดสุดแรง แต่ยิ่งขัดขืนก็ยิ่งแน่น หญิงสาวมองไปที่ศรัญที่ยืนอยู่ไม่ไกล“อีเกรซ! มึงมันก็แค่ตัวดีแต่ขายหน้าตามัวแต่เกาะผู้ชายรวยอีเลว!”เขายืนขึ้นเต็มความสูง แววตาเยือกเย็นริมฝีปากตึงแน่น เขาก้าวเข้าไปหาพราวอย่างช้าๆ ท่ามกลางตำรวจที่ยังจับตัวเธอไว้“เธอลักพาตัวทำร้ายผู้หญิงคนเพื่อหวังจะให้เกรซมีตำหนิ ที่แย่ที่สุดคือเธอกล้าทำกับเกรซ ทั้งที่เธอไม่เคยทำผิดอะไรกับเธอเลยแม้แต่นิดเดียว”“ถุย” พราวฟ้าถ่มน้ำลายลงพื้น“หึ เพราะแกมันโง่ถึงหลงผู้หญิงแบบนั้น ก็ให้มันดูแลแกไปเถอะ เดี๋ยวก็โดนสวมเขาอีสวยแค่เปลือก!”ศรัญมองเธอด้วยแววตาเย็นเยือก สะกดความโกรธไว้เต็มที่มือกำแน่น แล้วเขาก็หยิบปืนพกของตัวเองออกมา ตำรวจรีบกรูเข้าห้ามทันที“ออกไปรอข้างนอก” สารวัตรเจตต์ไล่ลูกน้องออกไปรอด้านนอกพราวฟ้าชะงักนิ่งไปชั่วขณะ เหมือนความจริงเพิ่งกระแทกเข้ามาเต็มแรง ไม่คิดว่าวันนี้เขาจะยกปืนขึ้นขู่เธอเพื่อปกป้องอีกคน“มึงไม่กล้ายิงกูหรอกไอ้ศรัญไอ้เฮงซวย”“เธอไม่สำนึกจริงๆ” เสียงพิงค์มิราดังขึ้นเพราะเธอเบื่อจะมองหน้า
ศรัญดึงพิงค์มิรามากอดไว้แน่น เขาไม่อยากให้เธอออกไปไหนเลยในวันนี้“อยู่กับพี่ได้ไหมวันนี้” เสียงทุ้มของเขาแผ่วเบา แต่หนักแน่นพอจะหยุดทุกจังหวะของหัวใจเธอได้ “เป็นอะไรคะ” เธอชะงัก มือที่กำลังจะหยิบกระเป๋าชะงักกลางอากาศ เธอหันมามองเขา ดวงตากลมโตไหวระริกเขาไม่ตอบในทันที แค่ก้มหน้าซบลงกับไหล่เธอแขนทั้งสองข้างรัดแน่นขึ้นอีกนิดราวกับกลัวว่าเธอจะหายไป“ไม่รู้สิ วันนี้แค่รู้สึกไม่ดีไม่อยากให้ไปไหนเลย” เขาพูดเบาๆ ตรงกับหัวใจตัวเองที่สุดหญิงสาวถอนหายใจเบาๆ ความดื้อดึงที่เคยมีกลับแปรเปลี่ยนเป็นความอ่อนโยนเมื่อได้ยินน้ำเสียงแบบนั้นจากเขา เธอค่อยๆ วางกระเป๋าลง หันมากอดเขาตอบมือเรียวลูบแผ่นหลังเขาเบาๆ“ไปไม่นานค่ะมีงานเปิดตัวสินค้า พี่แววใกล้มาถึงแล้วเกรซต้องไปแล้วค่ะ” เธอหอมแก้มเขาทั้งซ้ายและขวา และจูบปากเบาๆ ก่อนจะผละออก“เฮ้ออ รีบกลับมานะ” ทำไมวันนี้เขาไม่สดชื่นเลยอาจจะคิดมากเกินไปเรื่องพราวฟ้า เขาไม่รู้ว่าหลังจากนี้หญิงสาวคิดจะทำอะไรต่อ ตอนที่ออกมาจากคอนโดเขาเห็นแววตาที่เคียดแค้นของพราวฟ้าพิงค์มิรานั่งอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ ขณะช่างแต่งหน้ากำลังเกลี่ยรองพื้นลงบนผิวเนียนละเอียดของเธออย่าง
ห้องนั่งเล่นคอนโดหรูย่านใจกลางเมืองเปิดแอร์เย็นฉ่ำ แต่กลับไม่มีอะไรสามารถดับความร้อนรุ่มในอกของพราวฟ้าได้ เธอนั่งกอดอกอยู่หน้าจอทีวีขนาดใหญ่ จ้องภาพศรัญที่กำลังแถลงข่าวอย่างใจจดใจจ่อใบหน้าเธอแสดงอารมณ์ทุกอย่างพร้อมกัน ทั้งโกรธเจ็บใจ และเหนือสิ่งอื่นใดกลัว เมื่อเขาพูดชัดถ้อยชัดคำว่าเธอกับเขาไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ และปฏิเสธข่าวการตั้งครรภ์ของเธอออกสื่อระดับประเทศ พราวฟ้าถึงกับเขวี้ยงรีโมตลงพื้นอย่างแรง“ไอ้ศรัญ! มึงทำแบบนี้กับกูได้ยังไง มึงเป็นคนมาให้ความหวังกูก่อนทำเหมือนรักสุดท้ายก็ไปรักอีเกรซ” เสียงร้องด้วยความโกรธดังก้องอยู่ในห้อง แต่ไม่มีใครได้ยินไม่มีใครสนใจ เธอชอบเขาก็จริง ถ้าหากเขาไม่เข้ามาให้ความหวังเธอจะรักเขาถึงขนาดนี้หรือเธอหยิบมือถือขึ้นมากดเปิดโซเชียลอย่างร้อนรน หวังจะเห็นคนยังอยู่ข้างเธอ ยังให้กำลังใจ แต่สิ่งที่เธอเห็นคือข่าวพาดหัวจากหลายเพจดัง“ใบรับรองแพทย์แท้งลูกของพราวฟ้า อาจเป็นของปลอมหมอเจ้าของชื่อไม่เคยออกเอกสารดังกล่าว”“คลิปหลุดเบื้องหลังแถลงข่าวพราวฟ้า ‘ซ้อมร้องไห้’ กับทีมงานก่อนขึ้นเวที”พราวฟ้าเบิกตากว้างมือสั่น เธอกดเข้าไปดูคอมเมนต์อย่างควบคุมตัวเองไม
“พี่ไม่รู้จริงๆ ว่าพราวฟ้าต้องการอะไรเพราะพี่ปฏิเสธไปแล้ว หรือแค่ใช้ข่าวนี้เป็นเครื่องมือพี่ไม่อยากปรักปรำใครถ้าไม่มีหลักฐาน แต่มันก็ไม่เปลี่ยนความจริงข้อเดียวพี่รักเกรซไม่ใช่พราวฟ้า”คำพูดนั้นเหมือนหยุดลมหายใจของทั้งสองคน พิงค์มิราหลุบตาลงต่ำ น้ำเสียงเธอแตกเป็นเสี่ยงๆ“เกรซเหนื่อยมาก เกรซผ่านช่วงที่แย่ที่สุดของชีวิตมาแล้วครั้งหนึ่ง และเกรซไม่คิดว่าจะต้องย้อนกลับไปเจอแบบนั้นอีก” ตอนจบของเรื่องหวังว่าศรัญจะรักพิงค์มิราตลอดไป“พี่รู้ว่าเกรซเสียใจพี่จะทำทุกอย่างให้ชัดเจน” เขากระซิบเบาๆ ก่อนจะยื่นมือไปลูบผมเธออย่างอ่อนโยน เขาหยุด ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดหนักแน่น และมั่นคงกว่าเคย“พี่จะไม่ให้เกรซเป็นคนที่ต้องยืนรับความผิดทั้งหมดอีกต่อไป”เธอเงยหน้าขึ้นช้าๆ เห็นประกายในแววตาของศรัญที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน แววตาของคนที่เลือกแล้ว“พี่ศรัญจะทำอะไรคะ”“พี่จะออกแถลงข่าวเอง และจะพูดทุกอย่างความจริงทั้งหมด ทั้งเรื่องกับพราวฟ้าเรื่องข่าว หรือแม้แต่เรื่องหัวใจของพี่” เขายิ้มบางๆ และบีบมือเธอเบาๆ“เพราะตั้งแต่วินาทีนี้พี่จะไม่ยอมเสียเกรซไปอีก”เธอถึงกับร้องไห้ออกมาโผล่เข้ากอดเขา วันนี้รับรู้ถึงความอบ