Masukเซฟ PART
“ตายจริงนี่หนูข้าวจริงๆหรอลูก”ผมเงยหน้าขึ้นจากถ้วยโจ๊กมองร่างเล็กที่เดินเข้ามาอย่างเขินอายเธออยู่ในชุดกระโปรงสีขาวผ้าชีฟองโชว์ไหล่ทั้งสองข้างผมจากที่เคยปล่อยและไม่เคยดูแลสนใจมันกลับม้วนขึ้นเผยให้เห็นลำคอขาวที่ประดับด้วยสร้อยสีเงินเส้นเล็ก
ใบหน้าของเธอไม่มีแว่นตาและแม้จะมีหน้าม้าบดบังแต่ทว่ากลับดูมีสีสันจากการทาแก้มทาปากไม่จำเป็นต้องพูดถึงหุ่นเพราะถึงแม้ว่าเธอจะดูผอมไปนิดแต่ทุกสัดส่วนของเธอกลับเด่นชัดไม่ว่าจะเป็นหน้าอกหรือแม้ขาเรียวยาว
“สวยจริงๆเลยน้า..ได้ข่าวว่าจะไปเดทกับแฟนใช่ไหม^^”
“ชะใช่ค่ะ”เธอตอบกลับอย่างเขินอายก่อนจะหันมามองผมด้วยสายตาคาดเดาไม่ถูก
ทั้งๆที่บอกความจริงไปแล้วแต่ก็ยังไม่คิดที่จะบอกเลิกมันสินะแถมยังเปลี่ยนตัวเองจากสาวเฉิ่มเป็นสาวสวยเพื่อไปเดทกับสวะอย่างมันอีกเธอคิดอะไรอยู่ข้าวเจ้าอยากให้ใบหน้าและเรือนร่างของเธอถูกบันทึกไว้ในมือถือของสวะอย่างมันอย่างงั้นเหรอ
“ตาเซฟหนูข้าวสวยมากเลยใช่ไหม^^”ผมมองแม่ที่ดูตื่นเต้นมากกว่าใครประหนึ่งว่าอีกฝ่ายเป็นลูกสาวคนโปรดก็ไม่ปาน
“ก็พอดูได้ครับ” ผมเอ่ยตอบหน้านิ่งไม่ใช่แค่พอดูได้อยากที่พูดหรอกแต่นี่มันน่ารักมากเลยต่างหากแต่จะให้ชมแบบนั้นต่อหน้าทุกคนในบ้านผมคงจะอับอายแย่
“นี่หนูข้าวว่างๆก็พาลูกชายป้าไปตัดแว่นด้วยนะสงสัยสายตาไม่ดีแน่ๆอย่าไปฟังนะลูก” ผมส่ายหน้าเอือมๆกับการสปอยล์ขั้นสุดของแม่ตัวเองไม่รู้ว่าหลงอะไรยัยข้าวเน่านั้นมากก็ไม่รู้
“อย่าไปใส่ใจเลยแม่แกเขาอยากได้ลูกผู้หญิงมากน่ะ”จู่ๆพ่อของผมก็เอ่ยขึ้นเรื่องนี้ผมก็รู้ว่าแม่อยากได้ลูกสาวมากแต่ผมมันดันทะลุงรังไข่มาเกิดไงแต่หลังจากที่ผมเกิดได้สัก6-7ปีแม่ก็ตั้งท้องใหม่และหมอก็บอกว่าเป็นเด็กผู้หญิงแน่นอนว่าแม่ผมดีใจมาก
แต่ทว่าน้องสาวของผมก็ไม่ได้เกิดมาเพราะแม่มีอาการครรภ์เป็นพิษทำให้ต้องเอาเด็กออกก่อนกำหนดและแน่นอนว่าน้องของผมไม่รอดแม่เสียใจมากซึมเศร้าอยู่นานหลายปีกว่าจะดีขึ้น
แต่พอมีข้าวเจ้าเข้ามาอยู่ในบ้านแม่ก็ค่อยๆอาการดีขึ้นเป็นอย่างมากแม่ทั้งรักและเอ็นดูข้าวเจ้าประหนึ่งลูกสาวอีกคนก็ถามว่าผมน้อยใจไหมผมเองก็โตพอที่จะคิดได้ว่าคำว่าน้อยใจมันคืออะไรและผมก็ไม่ได้รู้สึกน้อยใจเลยที่แม่ให้ความสำคัญกับผู้หญิงที่ไม่ใช่ลูกตัวเองแบบนั้น
แต่บางครั้งก็ยอมากไปจนผมหงุดหงิดนี่แหละ-.-
“นี่ตาเซฟกินข้าวเสร็จแล้วก็ไปส่งหนูข้าวหน่อยสิ”
“ครับ?ทำไมผมต้องทำแบบนั้นด้วย” ผมเอียงใบหน้าถามอย่างไม่เข้าใจ
“มะไม่เป็นไรค่ะข้าวไปเองได้”
“ได้ไงกันหนูข้าววันนี้อุส่าต์แต่งตัวสวยๆทำผมมาซะดิบดีคิดจะนั่งรถเมล์ให้ผมเผ้าพังรึไงกัน” ผมมองยัยข้าวเน่าที่เงียบไปเหมือนกับไม่รู้จะพูดแก้ยังไง
“แต่ถึงอย่างนั้น..”
“ไม่ต้องเกรงใจเลยลูก..ตาเซฟเองก็เต็มใจไปส่งหนูนะใช่ไหมลูกรัก^^” ผมมองสายตาพิฆาตของแม่ที่ส่งตรงมาทางผมประหนึ่งว่าถ้าไม่พูดดีๆออกไปผมอาจจะโดนฝ่ามือของแม่ฟาดเข้าให้ได้
“ครับตามนั้นเลย-.-” ผมบอกออกไปแต่ยัยข้าวเน่าก็คงรู้แหละว่าผมแค่ทำตามคำสั่งของแม่เฉยๆ
“ให้ไปส่งที่ไหน” ผมเอ่ยถามหลังจากที่ทำธุระอะไรเสร็จแล้วก็ขึ้นไปแต่งตัวเล็กน้อยก่อนจะลงมาเพื่อไปส่งข้าวเจ้า
“ขอโทษนะที่ต้องมาเดือดร้อนเพราะฉัน”
“รู้ตัวก็ดี” ผมตอบอย่างไม่ใส่ใจ
“นี่เธอมองเห็นเหรอไม่ใส่แว่นอ่ะ” ผมถามด้วยความอยากรู้รู้มาว่าถ้าไม่ใส่แว่นก็จะมองเห็นไม่ค่อยชัดเท่าไหร่
“ฉันใส่คอนแท็กเลนสายตาน่ะแต่ก็ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่แต่ใส่แว่นแล้วมันไม่เข้ากับชุดก็เลยต้องยอมใส่แบบนี้มา” เธอเอ่ยบอกด้วยท่าทีเขินๆอายๆแต่ผมเห็นแล้วกลับรู้สึกหงุดหงิดแปลกๆยอมให้ตัวเองลำบากเพื่อคนอย่างไอมอสเลยเหรอวะ
“สรุปให้ไปส่งที่ไหน?”
“ร้านอาหารxxx” ผมพยักหน้ารับไปเดทกันที่ร้านอาหารหรูๆซะด้วยแหะ
“ห้องปิด?”
“นายรู้ได้ไง”
“เหอะ” ผมเค้นหัวเราะออกมาทำไมจะไม่รู้ความคิดสวะๆของไอมอสกันมันคงจะใช้ช่วงเวลานั้นในการหลอกล่อเธอให้จนมุมสินะ
“ทำไมถึงไม่เชื่อคำพูดฉัน” ผมไม่ตอบแต่ถามคำถามออกไปแทนก่อนจะมองใบหน้าสวยที่ทำหน้าอึกอัก
“กะ..เอ่อ..”
“คงจะหลงมันมากสินะ”
“มะไม่ใช่แบบนั้นก็พี่มอสเขายืนยันแล้วว่าเป็นน้องสาวจริงๆ”
“ทั้งๆที่ฉันบอกไปว่าน้องสาวมันอายุ9ขวบอะนะ?”
“คือว่า..” ผมเบนสายตาหนีอย่างหัวเสียที่เธอเลือกจะเชื่อคำพูดไอสวะอย่างมันแทนผมที่อยู่ข้างเธอมาหลายปีแบบนี้
“เห็นแก่เด็กตาดำๆหรอกนะฉันจะเล่าความจริงให้ฟัง”
“ความจริงอะไร?” ใบหน้าสวยหันมามองผมอย่างใจจดใจจ่อดูจากปฏิกิริยาแล้วเธอเองก็คงจะมีความกังวลใจกับการไปเดทครั้งนี้ไม่น้อยสินะ
“ไอมอสน่ะมันไม่ได้ดีอย่างที่เธอคิดมันชอบหลอกผู้หญิงซื่อบื้อแบบเธอให้หลงรักก่อนที่จะ..”
“จะอะไรนายอย่าเว้นให้มันตื่นเต้นได้ไหมเนี่ย!” อีกฝ่ายเขย่าแขนผมรัวๆเพื่อให้ผมรีบพูดทีแบบนี้มาทำเป็นอยากรู้เชียวนะ
“ถ่ายคลิปแบล็คเมล์”
“ห๊ะจริงเหรอ!นายไม่ได้โกหกฉันใช่ไหมเนี่ย!”
“แล้วแต่จะคิด” ผมพูดขึ้นก่อนจะสตาร์ทรถออกไปในเมื่อผมพูดความจริงไปแล้วเธอจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่ดีเหมือนกันปล่อยให้เป็นบทเรียนราคาแพงไปซะต่อไปจะได้ไม่ไว้ใจใครง่ายๆแบบนั้นอีก
รถของผมจอดลงที่หน้าร้านอาหารทั้งๆที่คิดว่าเธอจะยอมแพ้และบอกให้ขับรถกลับบ้านแท้ๆที่สุดท้ายเจ้าตัวก็นั่งนิ่งไม่พูดอะไรจนมาถึงร้านอาหารที่ว่าในที่สุด
“นี่เธอไม่เชื่อฉันสินะ” ผมเอ่ยขึ้นรู้สึกหงุดหงิดชะมัดผมแม่งไม่น่าเชื่อถือขนาดนั้นเลยรึไงวะ
“ไม่ใช่แบบนั้น” เธอตอบกลับมาทันทีแต่ก็เอาเถอะลองไปโดนดูบ้างเดี๋ยวก็รู้เอง
“ขอบใจที่มาส่งนะเซฟ”
“อืมโชคดีแล้วกัน” ผมมองร่างเล็กที่ยืนหยุดอยู่หน้าร้านอย่างชั่งใจดูก็รู้ว่ากลัวจนฉี่จะราดแต่ก็ยังจะเข้าไปในถ้ำเสือเนี่ยนะ
จริงๆเล้ย คิดอะไรอยู่กันแน่วะ
แต่ก็เอาเถอะในเมื่อเลือกแล้วก็ปล่อยไปแล้วกันผมมันก็แค่คนนอกคงไม่มีปัญญาไปสู้คนที่มีสถานะเป็นแฟนอย่างไอมอสได้หรอกอีกอย่างนี่ก็ร้านอาหารถึงจะเป็นห้องปิดแต่ถ้าเกิดเหตุอะไรขึ้นพนักงานก็คงจะได้ยินเสียงเอง
ส่วนไอมอสมันก็คงไม่คิดจะทำอะไรชั่วๆในร้านอาหารหรอกมั้งคงจะแค่แกล้งมาเป็นแฟนหนุ่มแสนดีอ่อนโยนให้ยัยนั่นตายใจเสียมากกว่า
“เห้ออ” ผมถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่ภายในใจรู้สึกกระวนกระวายอย่างบอกไม่ถูกแล้วทำไมผมต้องเป็นแบบนี้ด้วยวะ
“เป็นห่วง?” เหอะไม่ใช่หรอกมั้งคนอย่างผมเนี่ยนะจะเป็นห่วงยัยเฉิ่มแบบเธอ ไม่ใช่หรอก ไม่ใช่จริงๆ
อะไรเอ่ยปากแข็ง คำตอบคือ คุณเซฟนี่เองงง
หลายปีต่อมาฟอดดด“ตั้งใจทำงานนะ^^” ฉันหอมแก้มสามีฟอดใหญ่ก่อนที่เราสองคนจะแยกย้ายกันไปทำงานของตัวเองซึ่งโต๊ทำงานของฉันก็เพียงแค่อยู่นอกประตูเท่านั้นที่จริงเคยนั่งอยู่ในห้องเดียวกันแล้วแหละแต่ตัดสินใจย้ายไปนั่งข้างนอกแทนก็จะอะไรซะอีกล่ะหมอนั่งอยู่ด้วยกันไอหื่นกามนี่ก็เล่นจับฉันกดเช้ากดเย็นจนงานการล่าช้าไปหมดสุดท้ายฉันเลยตัดสินใจที่จะย้ายโต๊ะออกมาข้างนอกแทนบ้ากามจริงๆสามีใครก็ไม่รู้“สวัสดีครับพี่ข้าว”“อ่าวหวัดดี” ฉันมองพนักงานใหม่ที่พึ่งเข้ามาทำงานได้ไม่ถึงสัปดาห์ร่างสูงส่งยิ้มให้กับพร้อมกับวางกล่องขนมลงตรงหน้าฉัน“ทานให้อร่อยนะครับ^^”“อะเอ่อ..ขอบใจนะ” ฉันพูดอย่างเกร็งๆคือทุกคนในบริษัทต่างรู้ว่าฉันกับเซฟเราสองคนเป็นสามีภรรยากันแต่สำหรับน้องคนนี้คงยังไม่รู้สินะแกร้กฉันมองเซฟที่เปิดประตูออกมาได้จังหวะพอดีใบหน้าหล่อจ้องอีกฝ่ายอย่างไม่เป็นมิตรทันทีฉันพึ่งจะออกมาแท้ๆเขาจะออกมาทำไมเนี่ย“สวัสดีครับท่านประธาน”“มาทำอะไร”“เอาขนมมาให้พี่ข้าวเจ้าครับ^^”“จะจีบ?”“อะเอ่อจะว่างั้นก็ได้ครับ^^” ฉันได้แต่ยืนเหงื่อแตกพลั่กๆหนูลูกพึ่งมาทำงานแท้ๆจะโดนตาบ้านั่นไล่ออกมั้ยเนี่ยนิสัยหวงเมียใครๆก็รู้
2ปีต่อมาฉันกลายเป็นนักศึกษาปี4และที่สำคัญคือ…ฉันเรียนจบแล้วจ้าา!! ซึ่งวันนี้ก็เป็นวันรับปริญญาฉันเองแหละทุกคน>“ยินดีด้วยนะลูก”“ยินดีกับเกียรตินิยมอันดับ1ด้วยนะลูกสะใภ้” ฉันรับช่อดอกไม้มาด้วยความเขินอาย2ปีที่ผ่านมาฉันได้รับความรักจากพวกท่านทั้งสองเยอะมากๆพวกท่านเอ็นดูฉันสุดๆเดี๋ยวก็พาไปอวดคนนั้นคนนี้อ๊ะจริงสิฉันน่ะไม่ได้เป็นสาวเฉิ่มแล้วนะแว่นตาก็ไม่ได้ใส่แล้วเหตุเพราะฉันเองก็อยากปรับตัวให้เข้ากับเซฟด้วยเช่นกันแม้ว่าเจ้าตัวจะย้ำนักย้ำหนาว่าไม่เป็นไรแต่ที่ฉันปรับเปลี่ยนตัวเองมันไม่ใช่เพื่อคนอื่นแต่ก็เพื่อตัวฉันเองด้วยเช่นกันความจริงแล้วตาบ้านั่นก็แค่หึงน่ะเพราะฉันน่ะมันเป็นสาวสวยนี่“ยินดีด้วยนะข้าว” ฉันยิ้มรับอ้อมกอดจากป้าซึ่งก็ลาออกจากงานแม่บ้านแล้วแต่ก็ยังอยู่บ้านเหมือนเดิมไม่ได้ย้ายไปไหนเพราะพ่อกับแม่บอกว่าป้าได้เข้ามาเป็นครอบครัวด้วยตั้งแต่วันที่ฉันกับเซฟหมั้นกันแล้วแต่ป้าก็มักจะทำงานตามที่เคยทำแม้จะน้อยลงก็ตามที“น่าเสียดายนะที่ตาเซฟไม่ได้อยู่ด้วย” คุณแม่เอ่ยขึ้นพูดแล้วก็เศร้าเพราะหลังจากท่ีเซฟเรียนจบเขาก็เข้าทำงานที่บริษัทเพื่อเรียนรู้งานและตอนนี้ก็ทำงานอยู่สาขาต่างประเทศได
หลังเลิกเรียนฉันก็กลับมาบ้านน่าตกใจตรงที่พอฉันกลับมาถึงพ่อกับแม่ของเซฟก็เรียกฉันไปคุยทันทีพวกท่านขอโทษฉันที่ทำให้ฉันต้องเจอกับเหตุการณ์แย่ๆในมหาลัยและบอกว่าเรื่องของนิต้าพวกท่านจะจัดการให้เองซึ่งฉันก็ได้แต่เอ่ยขอบคุณไปRrrr“อ๊ะเซฟ” ฉันยิ้มออกมาด้วยความดีใจเมื่อเซฟโทรเข้ามา“เซฟ!”(เอ่อไม่ใช่ไอเซฟหรอกพวกพี่เป็นเพื่อนมันเอง) ฉันชะงักไป“อ่าค่ะ..”(ไอเซฟมันเป็นไข้จนน่าจะกลับบ้านไม่ไหวแล้วน่ะน้องช่วยมารับมันหน่อยได้ไหม?) ฉันเบิกตาโตทันทีทั้งๆที่บอกแล้วว่าให้กลับมานอนพักก่อนแต่เซฟก็ยังดื้อดึงบอกงานใกล้เสร็จแล้วอยู่นั่น“ได้ค่ะจะรีบไปเลยค่ะ!” ฉันพูดก่อนจะตัดสายและรีบนั่งแท็กซี่ไปมหาลัยทันทีนี่เป็นครั้งแรกเลยแหะที่มามหาลัยช่วงกลางคืนบรรยากาศน่าขนลุกชะมัด“สวัสดีค่ะ” ฉันเอ่ยทักทายพวกเพื่อนๆของเซฟอย่างเกร็งๆกลิ่นน้ำมันเครื่องพุ่งออกมาจนฉันย่นจมูกสภาพแต่ละคนก็เปรอะเปื้อนไปหมดพวกพี่ๆเขาพอเห็นฉันก็ตกใจทันทีอ่าพวกเขาคงไม่ชินกับที่ฉันไม่ใส่แว่นรึเปล่านะ แล้วก็พอรู้ว่าจะมาเจอเพื่อนๆเขาฉันก็แอบแต่งหน้ามาเล็กน้อยด้วยก็นะมาหน้าสดๆก็เขินอยู่“มันนอนตายอยู่นู่นน่ะ”“เอ้าไอเวรไปแช่งเพื่อนอีก..มันแค่นอนห
เซฟ PARTปรื๊ดด!!“เวรเอ้ย” ผมสถบออกมาเมื่อจู่ๆก็มีใครไม่รู้มาตัดหน้ารถผมถ้าตีนไม่ไวมีหวังร่างแหลกไปแล้ว“นิต้า?” ผมขมวดคิ้วเป็นเธอนั่นเองที่กระโดดมาตัดหน้ารถผม“ไม่อยากเจอเลยว่ะแม่ง” ผมสถบในใจกะจะรีบไปคุยกับข้าวเจ้าแท้ๆ“อะไรของเธออีก” ผมลดกระจกลงพร้อมกับเอ่ยถาม“นิต้ามีเรื่องจะคุย”“พูดมา”“ตรงนี้น่ะหรอ” เวรเอ้ยลืมไปเลยว่าอยู่กลางถนน“ขึ้นมา” สุดท้ายผมก็ต้องให้นิต้าขึ้นมาบนรถสงสัยต้องขายรถนี้ทิ้งซะแล้วสิ“สีหน้าดูไม่ดีเลยนะไม่สบายหรอ”“ไม่ต้องมายุ่ง” ผมตอบกลับอย่างไม่สบอารมณ์และหันมาตั้งใจขับรถแทนไว้เดี๋ยวค่อยปล่อยเธอลงก่อนถึงมหาลัยก็ได้“จะคุยอะไรก็รีบๆพูดมา” ทั้งๆที่บอกว่ามีเรื่องจะคุยแต่ก็เอาแต่นั่งเงียบอยู่ได้ผู้หญิงมันเป็นงี้หมดทุกคนเลยรึไงกันชอบยั่วให้โมโหอยู่ได้วันนี้สภาพร่างกายก็ไม่ดีสุดทั้งปวดหัวตัวร้อนจนแม่บอกให้พักผ่อนแต่เพราะผมต้องรีบทำโปรเจคจบให้เสร็จคืนนี้เพื่อที่พรุ่งนี้ที่เป็นวันเกิดผมจะได้ใช้เวลาอยู่กับข้าวเจ้าทั้งวัน“นี่นายจะให้ผู้หญิงแบบนั้นมาอยู่ข้างกายนายจริงๆหรอ?” ผมขมวดคิ้วทันทีเปิดปากพูดออกมาก็ไม่เข้าหูสักนิด“แบบนั้นมันแบบไหน”“ก็ยัยนั่นทั้งขี้เหร่ฐานะก็ไม่
เซฟ PART“เป็นอะไร”ผมเอ่ยถามข้าวเจ้าที่นั่งเงียบมาตลอดการเดินทาง“แค่กๆ” นี่ไม่ใช่เสียงไอของเธอแต่เป็นของผมเองรู้สึกคั่นเนื้อคั่นตัวหลังจากที่ได้กินข้าวตอนเข้าเรียนคาบบ่ายก็แถมจะฟังอะไรไม่รู้เรื่องเลยสักนิดสงสัยน่าจะเป็นไข้แต่ก็สมควรอยู่เล่นหามรุ่งหามค่ำทำโปรเจ็กจบจนโดนยุงกัดตัวลายก็ยอมเพราะว่าใกล้ถึงวันเกิดของผมแล้วและผมก็อยากใช้เวลาในช่วงวันเกิดกับคนที่ผมชอบโชคดีที่พวกเพื่อนๆ มันเข้าใจพร้อมหามรุ่งหามค่ำไปกับผมด้วย“หูตึงรึไงยังข้าวเน่าฉันถามว่าเธอเป็นอะไร” หลังจากจอดติดไฟแดงผมก็หันมาถามเธอด้วยสีหน้าจริงจังแต่ทว่าในดวงตาของเธอกลับมีน้ำตาคลออยู่“เห้ยเป็นอะไรใครทำอะไรอีก” ผมใช้สองมือจับใบหน้าของเธอให้หันมามองผมตรงๆ รู้สึกกระวนกระวายกลัวว่าเธอจะโดนใครไม่รู้โจมตีอีก“ปะป่าวแค่ฝุ่นมันเข้าตาน่ะ” ผมขมวดคิ้วแต่ทว่าก็ต้องรีบปล่อยมือออกเพราะไฟเขียวแล้วไว้ถึงบ้านค่อยคุยกันก็ได้วะ“ฉันไปช่วยป้าเตรียมมื้อเย็นก่อนนะ” ผมมองข้าวเจ้าที่พูดขึ้นโดยไม่สบตาผม“เดี๋ยว” ผมรั้งแขนเธอไว้เพราะรู้สึกตะหงิดใจแปลกๆ“ไม่ได้เป็นอะไรแน่นะ..มีไรจะพูดก็พูดออกมาเลยฉันไม่ชอบที่เธอเป็นแบบนี้” ผมพูดตรงๆ ผมชอบที่เราสอง
“นี่เดี๋ยวก็มีคนเห็นหรอก” ฉันรีบดันใบหน้าหล่อให้ถอยออกมองริมฝีปากของอีกฝ่ายที่เลอะลิปสติกของฉันเซฟในตอนนี้เขาหายใจแรงมากเหมือนพยายามควบคุมความต้องการของตัวเองอยู่แกร้กฉันกระพริบตาปริบๆมองเซฟที่ทำการปลดสร้อยเกรียร์ของเขาออกก่อนจะมาสวมให้กับฉันนี่มันหมายความว่ายังไงกัน..“เซฟ..” ฉันเอ่ยชื่อเขาอย่างไม่เข้าใจในการกระทำนี้การให้สร้อยเกรียร์ของคณะวิศวะเขาว่ากันว่ามันคือของแทนใจที่จะให้กับหญิงสาวที่รักไม่ใช่หรอร่างสูงเงียบไปแต่ทว่าใบหน้าของเขากลับขึ้นสีแดงอย่างเห็นได้ชัดนี่เขาชอบฉันจริงๆสินะ“ไหนบอกว่าไม่ได้ชอบฉันไง” ฉันเอ่ยถามมองเซฟที่หลบสายตาฉันเขาเขินแหละแต่เก๊กอยู่“ก็ไม่ได้ชอบ” เจ้าตัวตอบปฏิเสธกลับมาแต่ฉันดันคิดว่ามันน่าเอ็นดูมากที่ปากของเขาไม่ตรงกับใจถึงขนาดนี้“ไม่ได้ชอบแล้วให้สร้อยเกียร์กับฉันทำไม” ฉันถามพรางยื่นใบหน้าไปไกลๆจนอีกฝ่ายชะงักไป“นายรู้รึเปล่าว่าการให้นสร้อยนี่กับฉันมันหมายความว่าอะไร?“กะก็แค่สร้อยธรรมดาๆ” เซฟยังคงปากแข็ง“ถ้างั้นฉันถอดนะ” ฉันทำท่าจะถอด“ชอบ”“....”“ฉันชอบเธอข้าวเจ้า” ฉันได้แต่ยืนช็อกกับคำสารภาพรักของเซฟ“เพราะงั้น..” จู่ๆเซฟก็ดึงฉันไปกอดใบหน้าหล่อฝ







