ซ่งเสี่ยวฮุ่ยเห็นหย่งฟางยืนนิ่งอยู่หน้าประตู เธอจึงเอ่ยขึ้น "นี่คือห้องของลูกชายฉันค่ะ อาจารย์หย่งจะเข้าไปไหม?"
"เข้า" หย่งฟางพยักหน้าแล้วผลักประตูเข้าไป
ภายในห้องเป็นห้องของผู้ชายทั่วไป มีเตียงนอน หน้าต่างบานใหญ่ข้างๆ กับโซฟา โต๊ะเล็กๆ พรมปูพื้น ด้านขวามีอุปกรณ์เล่นเกม ส่วนข้างๆ เป็นห้องน้ำและห้องแต่งตัว
ไม่มีอะไรผิดปกติ
แม้แต่ในห้องนี้ ไอความอัปมงคลก็ยังลอยละล่องอยู่ ไม่ได้กระจายมาจากจุดใดจุดหนึ่ง ทำให้ไม่สามารถระบุได้ว่าเกิดจากสิ่งใด แสดงว่าในบ้านไม่ได้มีสิ่งไม่ดีใดๆ ไอความอัปมงคลเหล่านี้ถู กนำเข้ามาจากภายนอก และยังคงค้างอยู่ในบ้านไม่ได้สลายไปไหน
และห้องนี้เป็นห้องที่ไอดำสิงสถิต ดังนั้นมันจึงกระจายออกมาจากที่นี่ ในเมื่อเป็นแบบนี้ หย่งฟางก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องค้นห้อง เธอหันกลับไปและเตรียมจะออกไป แต่แล้วก็เห็นหนิวลี่ชี้ไปที่จุดหนึ่ง และหัวเราะเยาะซ่งเสี่ยวฮุ่ย
"ลูกชายของคุณยังเด็กอยู่เหรอ คนอื่นในวัยนี้ก็เริ่มแขวนภาพวาดศิลปะกันแล้ว แต่เขากลับแขวนภาพการ์ตูนผู้หญิงไว้แทน" หย่งฟางหันไปมอง เห็นเป็นภาพวาดสไตล์อนิเมะ ของหญิงสาวผมสีชมพู ในชุดกระโปรงพองโตที่หรูหรา ไม่ได้มีอะไรพิเศษนัก
ซ่งเสี่ยวฮุ่ยก็รู้สึกกระดากใจเล็กน้อย เธอจึงอธิบายแทนลูกชาย "นี่เป็นภาพที่เขาวาดเองตั้งแต่ตอนประถม มันมีความหมายพิเศษสำหรับเขามาก"
"งั้นเหรอ" หนิวลี่หยุดหัวเราะและปิดปากเงียบ เมื่อซ่งเสี่ยวฮุ่ยอธิบายเช่นนั้น
จากการที่ถูกหยอกล้อ เหล่าคุณนายก็เริ่มผ่อนคลายขึ้น แต่ทันใดนั้นหย่งฟางก็รู้สึกว่ามีลมเย็นๆ ผ่านมาที่ใบหน้า เธอรู้สึกเย็นวาบไปถึงหลัง รีบหันไปแล้วผลักทั้งสามคนไปทางขวา สามคนล้มลงไปบนเตียง และเมื่อเห็นผู้ชายคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นในห้อง พวกเธอถึงรู้ตัวว่าเมื่อครู่ชายคนนั้นยืนอยู่ข้างหลัง
"ต้วนโจว!"
"ต้วนโจว?"
เมื่อเห็นชายหนุ่มชัดเจนแล้ว ซ่งเสี่ยวฮุ่ยและอีกสองคนก็ร้องขึ้นพร้อมกัน ขณะที่หย่งฟางก็เอ่ยขึ้นพร้อมกันด้วย แต่เสียงของทั้งสองฝ่ายแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ฝ่ายแรกเต็มไปด้วยความตำหนิ ขณะที่ฝ่ายหลังเต็มไปด้วยความไม่แน่ใจ
"หย่งฟาง?" ต้วนโจวเกาหัวเล็กน้อย แสดงท่าทีตกใจ แต่ไม่นานก็ควบคุมอารมณ์ และแสดงท่าทีหงุดหงิดออกมา
เขาดูเหนื่อยล้ามาก หย่งฟางจ้องมองเขา ไอความอัปมงคลแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย ใบหน้าซีดเซียว แก้มและเบ้าตาลึกลงไป และที่หน้าผาก รอบดวงตา และปากก็มีสีดำปกคลุม
"พวกคุณรู้จักกันเหรอ?" หนิวลี่ถาม
ต้วนโจวตอบกลับอย่างไม่พอใจ "พวกคุณไม่รู้เหรอ? เธอเคยเป็นนักแสดงในบริษัทของผม"
"เสี่ยวฮุ่ย ทำไมเธอไม่เคยบอก?" หนิวลี่ถามด้วยความตกใจ
ซ่งเสี่ยวฮุ่ยไม่ได้รู้เรื่องนี้จริงๆ เธอไม่เคยสนใจธุรกิจของครอบครัวต้วน และไม่เคยรู้ว่าบริษัทของลูกชายมีนักแสดงคนไหนบ้าง
หย่งฟางก็ไม่คิดว่าลูกชายที่น่าสงสารของซ่งเสี่ยวฮุ่ย ซึ่งโดนไอความอัปมงคลแทรกซึม จนแม้แต่จิตวิญญาณก็ยังมองไม่เห็น จะเป็นอดีตเจ้านายผู้โหดร้ายของเธอ
หนิวลี่ยังคงตกใจอยู่ "และอีกอย่าง บ้านเธอเซ็นสัญญากับอาจารย์หย่งแล้ว แต่กลับปล่อยไปแบบนี้ เสียดายมากเลยนะ"
"อาจารย์หย่ง? คุณออกจากวงการแล้วหันมาทำสิ่งนี้เหรอ?" ต้วนโจวพูดด้วยน้ำเสียงเสียดสีขณะมองหย่งฟาง
เธอไม่ตอบ แต่ยังคงจ้องมองเขา พยายามเพ่งไปที่วิญญาณที่เกาะหลังเขาอยู่
ซ่งเสี่ยวฮุ่ยถามขึ้น "ทำไมลูกถึงกลับมาที่นี่กะทันหัน?"
"อยู่ที่บริษัทไม่สบายใจ" ต้วนโจวมองไปที่ซ่งเสี่ยวฮุ่ย "แม่ พาคนมาที่ห้องผมทำไม?"
ซ่งเสี่ยวฮุ่ยไม่ทันคิดคำแก้ตัว หนิวลี่จึงเข้ามาช่วย "มาชื่นชมภาพวาดของเธอ...?"
ต้วนโจวมองไปที่ภาพวาดของหญิงสาวที่ มีลายเส้นน่ารักและไร้เดียงสา แล้วก็ยิ้มออกมาเป็นครั้งแรกในวันนี้ "สวยไหม?"
หนิวลี่กำลังจะพูดชมภาพวาดอย่างสุภาพ แต่ทันใดนั้น หย่งฟางก็ชักดาบไม้ท้อออกมา แล้วพุ่งแทงไปที่ภาพวาดนั้นทันที ต้วนโจวเบิกตากว้างด้วยความตกใจ และรีบวิ่งเข้าไปกันไว้ ดาบไม้ท้อแทงเข้าไปที่หลังของเขา แต่กลับไม่รู้สึกเจ็บแต่อย่างใด เขาหันกลับมาเผชิญหน้ากับหย่งฟาง โดยยังคงกางแขนออกปกป้องภาพวาด
"หย่งฟาง คุณบ้าไปแล้วเหรอ?! นี่มันเป็นการทำลายทรัพย์สินส่วนตัวของฉัน!" ต้วนโจวพูดจบก็รู้สึกคอแห้ง ต้องกลืนน้ำลายหลายครั้ง
แค่การวิ่งสี่ห้าก้าวกลับทำให้เขาเหงื่อแตกพลั่ก รู้สึกหนาวไปทั้งตัว
"จริงเหรอ?" หย่งฟางพูดขณะยกดาบขึ้น แล้วแทงไปที่คอมพิวเตอร์เกม
ต้วนโจวไม่มีปฏิกิริยาใดๆ
หย่งฟางหัวเราะ "คุณต้วน สนิทกับผู้หญิงคนนั้นมากขนาดนี้เลยเหรอ?"
สามสาวที่ยืนดู อยู่ไม่เข้าใจคำพูดของหย่งฟาง
ต้วนโจวหน้าเปลี่ยนสี และหันไปตะคอกใส่มารดา "แม่พาคนพวกนี้ออกไปเดี๋ยวนี้เลน!!"
"น่าเสียดายที่มันเป็นของปลอม" หย่งฟางไม่สนใจอารมณ์ของต้วนโจว แล้วหันไปถามซ่งเสี่ยวฮุ่ย "แฟนของเขาชื่ออะไร?"
"เฉิงเสี่ยวหยู เธอชื่อเฉิงเสี่ยวหยู"
"เฉิงเสี่ยวหยู ออกมาได้แล้ว"
หย่งฟางใช้นิ้วกัดให้เลือดออก ก่อนจะกดลงที่หน้าผากของต้วนโจว ในขณะที่เขายังไม่ทันได้ตอบสนอง จุดสีแดงบนหน้าผากทำให้ต้วนโจวรู้สึกแสบร้อนจนต้องเบ้หน้า เขาก้มตัวลงร้องเสียงดัง พยายามยกมือขึ้นมาเช็ด แต่ก็ถูกหย่งฟางจับมือไว้แน่น ตอนนี้เขาอ่อนแอมาก จนแม้แต่แรงของเด็กผู้หญิงก็ยังเอาชนะเขาได้ หย่งฟางรอจนเห็นเงาดำค่อยๆ ถูกบังคับให้แยกออกจากหลังของต้วนโจว ฃเธอจึงปล่อยมือ
ต้วนโจวรีบเช็ดเลือดที่หน้าผากออกไป เมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง ก็เห็นว่าคุณนายทั้งสาม กำลังชี้ไปที่ด้านหลังของเขาและมีสีหน้าตื่นตะลึง
ต้วนโจวหันไปมอง
หญิงสาวในภาพวาดที่เหมือนกับตัวการ์ตูน ปรากฏตัวขึ้นจริงๆ ผมสีชมพู สวมกระโปรงพองโตสีม่วงลายลูกไม้ หญิงสาวกุมหน้าอกและนั่งยองๆ บนพื้น รอบๆ มีแสงดาวของการ์ตูน ส่องประกายอยู่ราวกับเป็นภาพเสมือนจริง เธอปรากฏตัวต่อหน้าคนทั้งห้า
คุณนายทั้งสามรู้สึกตกตะลึงอย่างไม่เชื่อสายตา
ส่วนต้วนโจวนั้นกลับดีใจอย่างยิ่ง "ยูโจวกงจิ่น! ที่แท้ฉันก็สามารถเห็นเธอ ในโลกแห่งความจริงได้! ฉันรู้อยู่แล้ว! เธอมีตัวตนจริงๆ! หย่งฟาง คุณเป็นอาจารย์จริงๆ ด้วย! คุณสามารถทำให้เธอออกมาได้ตลอดเวลาหรือเปล่า?"
คุณนายทั้งสามพูดพร้อมกันทันที "อะไรนะ?
ต้วนโจวดีใจจนเหมือนเด็กอายุสามขวบ
ซ่งเสี่ยวฮุ่ยนึกขึ้นได้จึงเล่าให้ฟัง "ดูเหมือนว่าภาพวาดนี้ จะเป็นตัวละครที่เขาสร้างขึ้นมาเอง ไม่ใช่จากการ์ตูนเรื่องไหน เขาตั้งชื่อว่ายูโจวกงจิ่น"
หย่งฟางอึ้ง "…"
การที่ได้รู้ว่าเจ้านายเก่า ผู้ชอบพูดจาหยาบคายมีมุมแบบนี้ มันก็ไม่ต่างจากการรู้ว่าเ ขาใส่กางเกงในลายชินจังใต้ชุดสูทเลย แม้ว่าการยกเลิกสัญญาจะเป็นไปด้วยดี แต่หย่งฟางก็ยังต้องจ่ายค่าชดเชยการยกเลิกสัญญา 2 ล้านหยวน เมื่อนึกถึงเรื่องนี้แล้ว ยังต้องมาช่วยเจ้านายเก่าอีก ทำให้เธอไม่พอใจอย่างมาก
หย่งฟางวางดาบไม้ท้อไว้บนโต๊ะคอมพิวเตอร์ พลางพูดด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยสบอารมณ์ "เฉิงเสี่ยวหยู จะออกมาดีๆ หรือจะให้ฉันบังคับ?"
ยูโจวกงจิ่นรีบวิ่งไปหลบหลังต้วนโจว มือสองข้างโอบแขนของเขาไว้ด้วยท่าทางที่ไม่ปลอดภัย และมองหย่งฟางด้วยสายตาอ้อนวอน มันเป็นเหมือนฉาก ที่นางเอกในการ์ตูนโดนตัวร้ายกลั่นแกล้ง
หย่งฟางคิดในใจ แฟนเก่านอกวงการของต้วนโจว เล่นบทได้ดีกว่าเธออีก
เธอถอนหายใจลึกๆ แล้วหยิบกระดาษยันต์สี่แผ่นออกมาจากกระเป๋าผ้า สอดกระดาษยันต์ระหว่างสองนิ้วและคลี่เบาๆ จนแผ่นยันต์กางออกเป็นรูปพัด
จากนั้นเธอจึงเริ่มท่องคาถาอย่างรวดเร็ว "ขังวิญญาณร้าย จับวิญญาณร้าย อัญเชิญมาปกป้อง"
แผ่นยันต์ทั้งสี่แผ่นลอยไปติดที่ผนังทั้งสี่ด้าน แสงสีทองปรากฏขึ้น เชื่อมต่อกันเป็นกรงขัง โดยไม่ให้ใครได้มีเวลาตตั้งตัว หย่งฟางก็ชูดาบไม้ท้อขึ้นและฟันไปหนึ่งครั้ง
โลกกลมเสียจริง อยู่ๆ จับพลัดจับผลูมาเจอเจ้านายได้
ว่าแค่คนที่ถูกอาจารย์ดูดวงให้ ส่วนใหญ่จะเคราะห์ร้ายทั้งสิ้น 555555
ความเสียสละและจิตใจอันยิ่งใหญ่ของหลงหยวนหยวน ทำให้หย่งฟางรู้สึกประทับใจ หลังจากเก็บกระดูกมังกร ลูกบอลวิญญาณ เทพธิดาน้อยและสัมภาระ หย่งฟางก็ใช้ค่ายกลย่อพื้นที่ออกไปจากเกาะอีกครั้ง เมื่อกลับมาถึงสมาคมเทียนซือ หย่งฟางส่งมอบกระดูกมังกรให้หัวหน้าหลิวที่รอคอยอยู่อาจารย์หลิวถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นเขารีบสั่งให้เหล่านักพรตอาวุโสช่วยกันนำกระดูกมังกรไปรวมเข้ากับเส้นมังกรของแผ่นดิน"ทำได้ดีมาก" หัวหน้าหลิวกล่าวชื่นชม พร้อมส่งสิ่งของบางอย่างให้หย่งฟาง"สิ่งนี้ให้กับหลงหยวนหยวน ถือเป็นรางวัลและคำขอบคุณจากทางสมาคม"เมื่อเปิดดูพบว่ามันคือ เครื่องรางเขามังกร ขนาดเล็กที่หากงูมังกรตัวนั้นได้ใช้ จะช่วยเพิ่มพูนพลังตบะได้อย่างมาก หย่งฟางกล่าวขอบคุณอาจารย์หลิวแทนหลงหยวนหยวน ก่อนเดินออกมาจากห้องทำงาน เมื่อไม่มีธุระใดๆ แล้ว เธอก็พาทุกคนกลับไปยังวัด ซึ่งเวลานั้นเป็นช่วงเย็นพอดีในศาลาเล็กๆ เหล่าสมาชิกสำนักกำลังนั่งชมรายการ สุดยอดปรมาจารย์ ที่กำลังถ่ายทอดสดอยู่ เสียงโวยวายของห่าวจาวไฉและจินเหยาไต้ดังขึ้นอย่างไม่หยุด"ทำไมไม่ให้หยวนหยวนของเราคว้าแชมป์! พวกเขาไม่เข้าใจถึงคุณค่าของวิชาและพลังที่หยวนหยวนใช้เ
ไม่ใช่แค่ชาวเน็ตจากพื้นที่อื่น ที่เคยได้ยินชื่อเสียงของหย่งฟางและวัดเสวียนเว่ยเท่านั้น แม้แต่คนถานจิงเองรวมถึงคนที่เคยไปไหว้พระขอพรที่วัดเสวียนเว่ย ส่วนใหญ่ก็ไม่เคยเห็นความสามารถ ในการจับผีหรือปราบปีศาจของหย่งฟาง พวกเขาคิดว่าเธอแค่เก่งเรื่องวาดยันต์หรือทำนายโชคชะตา แต่พอลงมือจริงๆ...ไม่ใช่สิ! หย่งฟางเธอทำได้จริงเหรอ?! โคตรเท่เลย!!!ทุกคนดูผ่านหน้าจอมือถือ เหมือนกำลังชมภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ ที่เต็มไปด้วยเอฟเฟกต์สุดอลังการ หย่งฟางปรากฏตัวจากฟากฟ้า ใช้เส้นด้ายแดงสังหารปีศาจทะเลบ้าคลั่ง ราวกับทูตสาวจากสวรรค์ที่ลงมาปราบมาร ปลายนิ้วเรียวยาวเคลื่อนผ่านเส้นด้ายแดง เสริมด้วยใบหน้าสวยตราตรึงทำให้ทุกคนตะลึง ดวงตากลมโตเป็นประกายมีชีวิตชีวา ริมฝีปากเผยรอยยิ้มบางๆ บ่งบอกถึงความสง่างามและเสน่ห์ที่แฝงความขี้เล่น"พี่สาว! ฉันเป็นผี! จับฉันที!!!"หลังจากเหตุการณ์นี้ ทุกคนเริ่มค้นหาผลงานภาพยนตร์ และซีรีส์ที่หย่งฟางเคยแสดง เพื่อจะได้เห็นใบหน้างดงามนั้นอีก และพวกเขาก็พบว่า...ในซีรีส์ย้อนยุค เธอดูดีมาก ท่วงท่าสง่างาม ทรงผมและเครื่องแต่งกายดูเข้ากันทุกมุม โดยเฉพาะฉากต่อสู้ที่ทั้งสวยงามและดุดัน หย่งฟางคือคนที่เ
เช้าวันใหม่ผ่านพ้นไปจนถึงช่วงสาย หย่งฟางขยับตัวในผ้านวมนุ่มอย่างสบายใจ ก่อนจะลุกจากเตียงเชื่องช้า หนิงหมี่และเสี่ยวชิวตื่นกันตั้งแต่เช้า กำลังนั่งเล่นการ์ดพยายามสร้างบ้านจากการ์ดกันอยู่ หลังจากล้างหน้าแปรงฟันเสร็จ หญิงสาวก็เดินออกมาจากห้องน้ำในขณะนั้นบ้านการ์ดที่สองสาวสร้างถูกผลักล้มไปแล้ว บนโต๊ะเล็กมีจานแตงโมหั่นเป็นชิ้นพอดีคำ วางเรียงไว้อย่างสวยงามแทน หนิงหมี่กับเสี่ยวชิวนั่งเคี้ยวพลางบ่นพึมพำ “อาจารย์หย่ง มีผู้ชายหล่อมากคนหนึ่งฝากมาให้ ลองกินดูสิ” พร้อมกับใช้ส้อมเงินเล็กๆ จิ้มแตงโมชิ้นหนึ่งแล้วยื่นให้หย่งฟางคนที่ฝากมาก็น่าจะเป็นฉู่เหยียนหรือไม่ก็ฉู่สวี่ หย่งฟางงับแตงโมพลางถาม “ผู้ชายหล่อที่ว่าเนี่ย คนโตหรือคนเล็กล่ะ?”หนิงหมี่เอียงคอครุ่นคิดก่อนตอบ “แยกไม่ออกหรอก หล่อทั้งคู่ แต่คนที่ให้แตงโมใส่แว่นนะ”พอได้ยินแบบนั้นหย่งฟางก็รู้ทันทีว่าเป็นฉู่สวี่ น้ำแตงโมหวานฉ่ำซึมซาบอยู่ในโพรงปาก หญิงสาวเดินออกจากห้องพักครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนเคาะห้องฝั่งตรงข้าม ประตูถูกเปิดออกเป็นฉู่สวี่ยืนอยู่ตรงนั้น เขาสวมชุดคลุมอาบน้ำสีดำสนิท ปลายชุดยาวถึงช่วงกล้ามขาเรียวกระชับ ปลายผมที่ยังเปียกเล็กน้อยปกคลุ
หย่งฟางสัมผัสพลังงานรอบตัว ทำให้เข้าใจเหตุผลว่าทำไมหมู่บ้านหลีเจียจึงสงบสุขได้เช่นนี้ ธรรมชาติแห่งคุณธรรมและความเมตตา นักพรตชราตาบอดผู้นี้ มีความเข้าใจในคุณธรรม และเส้นทางแห่งสวรรค์ด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความกรุณา แม้เขาจะมองไม่เห็น แต่รับรู้ได้ว่าการร้องของกบในทุ่งนาคือชีวิต เสียงจิ้งหรีดในยามค่ำคืนคือชีวิตและที่สำคัญที่สุด ซากศพในหอเด็กหญิงก็คือชีวิตเช่นกันทุกค่ำหลังพระอาทิตย์ตกดิน นักพรตชราจะคลำทางไปยังหอเด็กหญิงเพียงลำพัง เพื่อทำพิธีส่งวิญญาณให้กับเด็กที่เสียชีวิต เขาสวดมนต์เสียงเบา มือหมุนลูกประคำ แม้เสียงจะไม่ดังนัก แต่เปี่ยมด้วยพลังและความเมตตา ผู้หญิงในหมู่บ้านมักแอบตามมา ฟังเสียงสวดมนต์ในความมืดพร้อมกับน้ำตาที่ไหลรินเมื่อเขาทำพิธีเสร็จ พวกเธอก็จะใช้สีผ้าห่อศพ เพื่อระบุว่าศพไหนเป็นของลูกตัวเอง จากนั้นก็ขุดหลุมเล็กๆ ใกล้ๆ เพื่อฝังลูกด้วยความระมัดระวัง หอเด็กหญิงค่อยๆ ถูกทำลายลง เหลือไว้เพียงหลุมฝังศพเล็กๆ สองร้อยกว่าหลุมกระจายอยู่รอบบริเวณนักพรตใช้เวลาครึ่งปี ในการมาที่หอเด็กหญิงในยามค่ำคืน เพื่อทำพิธีส่งวิญญาณจนเสร็จสิ้น และระหว่างนั้น เด็กหญิงที่ยังมีชีวิตอยู่ใต้กองศพ ก็ถูก
"จะมีเหตุผลอะไรได้อีก?"หยู่ถังมองหย่งฟางด้วยความตกใจหลีชิงอวี่แสดงท่าทางระแวดระวังเต็มที่ "คุณหย่ง ตกลงคุณเป็นใครกันแน่?""ฉันคือศิษย์วัดเสวียนเว่ย หย่งฟางค่ะ""คุณเป็นนักพรต?!" หลีชิงอวี่มีปฏิกิริยาที่แตกต่างออกไปหย่งฟางพยักหน้าตอบแต่หลีชิงอวี่ถามต่อ "คุณทำพิธีปลดปล่อยวิญญาณได้ไหม?""ทำได้""ถ้าอย่างนั้น ฉันจะบอกคุณ"สาวอีกสองคนร้องไห้พลางพูดขึ้น "พี่สาว ได้โปรดอย่าบอกออกไปเลย ฉันกลัวว่าแม่ของฉันจะถูกจับเข้าคุก..."หลีชิงอวี่กุมมือของน้องสาวทั้งสองไว้แน่น "ไม่ต้องกลัว" จากนั้นเธอหันไปมองหย่งฟางและขอร้อง "ถ้าคุณฟังเรื่องทั้งหมดแล้วคิดจะไปแจ้งตำรวจ ขอให้จับฉันคนเดียวก็พอ"หย่งฟางตอบ "ฉันรับรองแบบนั้นไม่ได้""ไม่เป็นไร" หลีชิงอวี่ยิ้มบางๆ "ฉันจะปกป้องพวกเธอเอง"หลังพูดจบ หลีชิงอวี่ก็เหมือนตกอยู่ในห้วงความคิด ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องราวที่น่าเศร้า จากอดีตของเธอออกมาอย่างช้าๆ ในปี 1988 ที่หมู่บ้านหลีเจีย มีร่างเด็กผู้หญิงกองรวมกันในสถานที่ที่พวกเขาเรียกว่า ‘หอเด็กหญิง’ ทับทมกันจนสูงถึงสองร้อยร่าง แต่นั่นไม่ได้เป็นหอจริงๆ มันคือซากศพของเด็กผู้หญิงที่กองกันจนสูงราวกับเป็นหอคอยเหล่าผู้หญิงร
ผีสาวพุ่งเข้ามาหาหย่งฟาง หญิงสาวหรี่ตาลงคว้ามือจับเล็บยาวสีแดงเพลิงไว้แล้วบิดข้อมือผีตัวนั้น ก่อนจะพลิกแขนที่เหมือนไร้เรี่ยวแรงทิ่มเข้าไปที่ดวงตา ที่มีเลือดไหลซึมออกมา ผีสาวหลับตาและถอยหลังไปหนึ่งก้าว หย่งฟางไม่รอช้าฟาดฝ่ามือเข้าไปที่หลังมือของผีตนนั้น ถึงกับถอยหลังไปไกลหลายเมตร ก่อนที่ร่างของมันจะเสียหลักล้มลงนอนบนพื้นผีสาวอีกตัวในชุดแดงร้องคำรามเสียงดัง พร้อมพุ่งเข้ามาอ้าปากกว้างกางกรงเล็บที่เหยียดตรง ตั้งใจจะจับคอของหย่งฟาง แต่นักพรตสาวเคลื่อนไหวรวดเร็วราวสายลม หลบการโจมตีของผีตัวนั้นได้อย่างง่ายดาย พร้อมกับยกขาถีบเข้าที่ท้องของมัน ผีสาวร้องด้วยความเจ็บปวด ร่างของมันหยุดนิ่งไปชั่วครู่หยู่ถังคิดในใจ ผียังเจ็บได้ด้วยเหรอ? แต่ถึงอย่างนั้นผีสาวก็ไม่ถอยหลัง มันพุ่งเข้าหาหย่งฟางอีกครั้งด้วยความดุดัน ในขณะเดียวกัน ผีสาวที่ล้มลงไปก่อนหน้านี้ก็ฟื้นตัวเหมือนปลาที่กระโดดจากพื้น ตอนนี้หย่งฟางต้องรับมือกับผีสาวถึงสองตัวหยู่ถังไม่คิดมาก รีบตะโกนถาม “อาจารย์หย่ง! ให้ฉันไปหยิบอุปกรณ์ให้ไหม?”“ไม่ต้อง” หย่งฟางตอบสั้นๆ ในขณะที่ยังต่อสู้อยู่ผีทั้งสองตัวบ้าคลั่งมากขึ้น การโจมตีของพวกมันเริ่มทวีควา