บ้านตระกูลฉู่นั้นเต็มไปด้วยบรรยากาศที่หนักอึ้งและกดดัน เนื่องจากช่วงนี้ฝนตกติดต่อกันหลายวัน สวนสไตล์จีนภายนอกบ้านจึงถูกปกคลุมด้วยความมืดมน ถึงแม้ว่าหย่งฟางจะไม่สามารถรู้สถานการณ์จริงได้ แต่เมื่อเห็นความผิดปกติต่างๆ ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ เธอคิดไม่ออกเลยว่าจะมีเหตุผลใด นอกจากการแต่งงานเพื่อแก้เคล็ด
ไม่ใช่ว่าท่านบรรพบุรุษจะส่งเธอมาที่นี่เพื่อแต่งงานจริงๆ หรอกนะ?! เมื่อวิธีการปกติไม่สามารถทำให้ออกไปได้ เธอจึงต้องหาทางออกที่แปลกใหม่ ถึงแม้ว่าวิธีนี้จะช่วยได้ไม่มาก แต่ก็สามารถช่วยให้พอจะเข้าใจสถานการณ์ และเตรียมตัวรับมือได้ ยังดีกว่าทำไปโดยไม่รู้อะไรเลย
หย่งฟางตัดสินใจอย่างแน่วแน่ และเมื่อเธอกำลังจะลงมือทำ ก็ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจากทางประตู จึงหันหน้าไปมองและเห็นเด็กสาวสองคนที่มีหน้าตาเหมือนกันเป๊ะยืนอยู่ตรงนั้น สองตาของพวกเธอเป็นประกายขึ้นมา
“คุณคือ…หย่งฟางใช่ไหม?!!”
เด็กสาวสองคนรีบวิ่งเข้ามาหาหย่งฟาง มองเธอใกล้ๆ ซ้ำไปซ้ำมา “พี่สาว นี่คือหย่งฟางจริงๆ”
“พวกเราเป็นน้องสะใภ้ของพี่! ที่แท้ก็เป็นหย่งฟางที่หายตัวไป หลังออกจากวงการบันเทิง!”
“แทบไม่อยากเชื่อเลย!”
ฉู่เสี่ยวเฉียวและฉู่เสี่ยวจินพูดคุยกันอย่างมีชีวิตชีวา เพราะสนใจในตัวเจ้าสาวมากเหลือเกิน จึงแย่งกันทำหน้าที่นำชามบ่ายมาให้ แล้วเจ้าสาวก็คนนี้ก็กลายเป็นหย่งฟางซะงั้น!
เจ้าสาวจำเป็นกะพริบตาถี่ๆ ใช่เลย! นี่มันตัวละครที่ถูกส่งมาให้ข้อมูลดีๆ ถ้าไม่ถามก็คงจะพลาดโอกาสไป เธอจึงดึงพวกหล่อนทั้งสองมานั่งลงข้างๆ
“พวกเธอคือ…” หย่งฟางพูดคำว่า "น้องสะใภ้" ไม่ออก จึงใช้คำเรียกตามที่พ่อบ้านตระกูลฉู่ใช้ “คุณหนูของคุณชายสอง?”
“ใช่ค่ะ ฉันชื่อฉู่เสี่ยวเฉียว ‘เสี่ยวเฉียวลำธาร’ ”
“ฉันชื่อฉู่เสี่ยวจิน ‘เสี่ยวจินเสียงพิณ’ ”
หย่งฟางคิดสักพัก แล้วตัดสินใจเล่นละครฉากใหญ่ เธอแสดงออกถึงความเขินอายของเจ้าสาว “จริงๆ แล้วฉันกับพี่ชายของพวกเธอแทบจะไม่รู้จักกันเลย แต่ก็ต้องแต่งงานแบบงงๆ พวกเธอว่าเขาทำไมถึงยอมแต่งงานกับฉันล่ะ?”
หย่งฟางเลือกที่จะถามแบบอ้อมๆ เด็กสาวทั้งสองเงียบลง ใบหน้าที่พวกเธอมีแววเคว้งคว้างไปชั่วขณะ หลังจากสิบกว่าวินาที ฉู่เสี่ยวจินก็พูดออกมาเบาๆ อย่างไม่พอใจ
“จริงๆ แล้วพี่ฉู่เหยียนป่วยหนักจนหมดสติไปครึ่งเดือนแล้ว ตอนนี้ยังไม่ฟื้นเลย”
ตามคาด หย่งฟางกำลังจมอยู่ในความคิด
หลังจากที่เด็กสาวทั้งสองพูดจาเจื้อยแจ้ว ถึงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ และจากไป หย่งฟางก็หยิบกระเป๋าผ้าใบที่เธอเอามาจากสำนัก แล้วเดินเข้าห้องน้ำ
ห้องน้ำมีขนาดเทียบเท่ากับห้องนอนของบ้านทั่วไป มีอ่างอาบน้ำที่สะอาดและเป็นประกาย หย่งฟางค้นกระเป๋าผ้า จนเจอเส้นด้ายสีแดงที่เริ่มซีดจาง ดูเหมือนจะสืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน
และมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ตอนที่ท่านอาจารย์ให้เธอ ในวันที่อายุครบสิบแปดปี เขาได้บอกว่านี่เป็นเครื่องรางของลัทธิเต๋า ที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคนในสำนักเสวียนเว่ย
หย่งฟางนั่งลงในอ่างอาบน้ำ เธอใช้ปลายนิ้วม้วนเส้นด้ายแดงให้เป็นวง แล้วพันรอบนิ้วก้อยเอาไว้ จากนั้นก็ดึงเส้นด้ายแดงไปมา ในขณะที่เธอประสานมือกันเป็นท่าร่ายมนตร์ เส้นด้ายแดงก็ผ่านเข้ามาในปลายนิ้วทั้งสิบของเธอ
สุดท้ายเส้นด้ายแดงก็มาถึงบริเวณรอยแยกระหว่างนิ้วชี้กับนิ้วโป้ง หย่งฟางใช้แรงดึงมันให้แน่น พร้อมกับร่ายมนตร์จนเสร็จสมบูรณ์ เมื่อวิญญาณออกจากร่าง หย่งฟางใช้ประโยชน์จากความสามารถของวิญญาณ คือการล่องลอยเพื่อสำรวจบ้านตระกูลฉู่อย่างรวดเร็ว
นอกจากห้องโถงสไตล์จีนที่ชั้นหนึ่ง ซึ่งถูกจัดไว้สำหรับพิธีแต่งงานแล้ว ที่อื่นๆ ก็ไม่มีการจัดเตรียมอะไร คนรับใช้ก้มหน้าก้มตาทำงานของตัวเอง โดยไม่กล้าพูดคุย ทำให้บรรยากาศดูอึดอัดมาก มีเพียงสองคนที่กล้าพูดคุยกันเบาๆ ที่มุมหนึ่งพวกหล่อนกำลังพูดคุยกัน
“คุณชายสองเป็นคนดีขนาดนี้ ทำไมถึงต้องมาเจอเรื่องเลวร้าย”
"เฮ้อ หวังว่าหลังจากแต่งงานกันแล้ว คุณชายจะตื่นขึ้นมาได้จริงๆ"
แล้วทุกอย่างก็เงียบลง หย่งฟางลอยขึ้นไปยังชั้นสาม ตั้งใจจะห้องไปทีละห้องเพื่อตามหาคุณชายสอง เมื่อมาถึงห้องหนังสือ ก็เห็นคุณนายแห่งบ้านสกุลฉู่กำลังสนทนากับคนดูแลบ้าน
ที่โต๊ะทำงานมีชายวัยกลางคนที่ดูมีอำนาจมาก คงจะเป็นหัวหน้าครอบครัวสกุลฉู่ และเป็นพ่อของฉู่เหยียน เขากล่าวด้วยเสียงนุ่มนวล "คุณแน่ใจใช่ไหม ว่าวิธีนี้จะทำให้ฉู่เหยียนตื่นขึ้นมาได้จริงๆ?"
"เรื่องอะไร? คุณกำลังพูดถึงเรื่องอะไร?" คุณนายฉู่ร้องไห้น้ำตาไหลลงมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เธอตะโกนออกมาด้วยความสิ้นหวัง "เราต้องลองทำอะไรสักอย่างไม่ใช่เหรอ?! หรือคุณมีวิธีอื่นที่จะทำให้เสี่ยวเหยียนฟื้นขึ้นมา?"
คุณชายฉู่ไม่มีท่าทีตอบสนอง ต่อภรรยาที่กำลังควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ จึงพูดด้วยอารมณ์ที่สงบ "ถ้าคุณอยากลอง ก็ลองเถอะ"
คุณนายฉู่ดูเหมือนจะอยู่ในภาวะของการสูญเสียสติ เธออดทนมาตลอดแต่เพียงคำพูดเบาๆ จากสามีก็ทำให้ไม่อาจทนต่อไปได้
"อะไรที่เรียกว่าฉันอยากลองก็ลอง? ฉู่หมิงถิง คุณก็อยากลองวิธีนี้เหมือนกัน แต่นี่คุณกลับไม่ทำอะไรแล้วให้ฉันเป็นคนร้าย! ทำไมต้องเป็นฉันตลอด!"
"......"
หย่งฟางไม่สนใจการทะเลาะ และการระเบิดอารมณ์ของคุณนายฉู่อีกต่อไป เธอลอยไปยังชั้นสาม ในที่สุดก็พบห้องเป้าหมาย แม้ว่าหย่งฟางจะไม่เคยเห็นฉู่เหยียนมาก่อน แต่เธอรู้ทันทีว่ามาถูกที่แล้ว สิ่งแรกที่เธอเห็นคือกลุ่มควันดำที่แข็งแกร่งมาก มันห่อหุ้มตัวคนที่นอนอยู่บนเตียงอย่างแน่นหนา
ควันดำหมุนวนรอบๆ ตัวเขาอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง เป็นพลังคำสาปที่แข็งแกร่งเหลือเกิน หย่งฟางมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้น เธอลอยเข้าไปใกล้เตียง
ในมือของเธอมีด้ายแดงที่เชื่อมต่อกับร่างกายของตัวเอง ด้ายแดงที่คนทั่วไปมองไม่เห็น นี่เป็นเครื่องรางเดียวที่มีในขณะนี้ มันสามารถปกป้องในสภาพการแยกร่างจากวิญญาณไม่ให้ถูกรบกวน และยังสามารถไล่ผีได้อีกด้วย
เธอขยับนิ้วมือทั้งสองข้างเพื่อสร้างปมด้ายแดง และหลังจากล็อกพลังคำสาปแล้ว เธอก็ส่งพลังโจมตีออกไป ควันดำที่กำลังกัดกร่อนร่างกายของฉู่เหยียน โดยไม่รู้ตัวถูกโจมตีอย่างไม่คาดคิด
เสียงกรีดร้องโกรธแค้นของผู้หญิงดังขึ้น ควันดำรวมตัวเป็นใบหน้าคนขนาดใหญ่และพุ่งเข้าใส่หย่งฟาง แต่เมื่อมันเข้ามาใกล้ในระยะครึ่งเมตร ใบหน้าที่ทำจากควันดำ ก็ถูกแสงแดงปกคลุมและแตกสลายทันที
ควันดำสลายตัว แต่มันยังไม่หายไป และสามารถรวมตัวกันใหม่ได้ ดังนั้นหย่งฟางจึงต้องตรวจสอบสภาพของฉู่เหยียนอย่างรวดเร็ว
เธอหันไปมองเตียง ชายหนุ่มที่หลับอยู่มีใบหน้าที่ดูอ่อนโยนและงดงาม เขาสวมชุดแต่งงานสีดำแบบจีน บริเวณท้องของเขามีผ้าห่มลายเป็ดแมนดารินปกคลุม มือทั้งสองข้างที่วางอยู่บนผ้าห่มนั้น ซีดขาวเหมือนคนไร้เลือด มีเข็มที่ใช้สำหรับการให้ยาหรือสารอาหารฝังอยู่ที่หลังมือ ยึดด้วยเทปทางการแพทย์
หย่งฟางสังเกตฉู่เหยียนด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม ชีพจรของเขาเหมือนเส้นด้ายบางเบา ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด...อาจไม่รอดถึงพรุ่งนี้เช้า พิธีแต่งงานเพื่อแก้เคล็ดก็ไม่มีประโยชน์
การแก้เคล็ดก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้ เป็นเพียงวิธีการลวงโลกเท่านั้น ถ้าใช้วิธีที่ถูกต้อง ก็คือพยายามรักษาเขาด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์ก่อน หากทางวิทยาศาสตร์ช่วยไม่ได้ ถึงจะใช้วิธีทางไสยศาสตร์
การใช้คนเป็นเครื่องบูชา ไม่ว่าจะเป็นการแต่งงานเพื่อแก้เคล็ด หรือการแต่งงานกับวิญญาณ เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่นักพรตจะทำได้ บรรพบุรุษของแต่ละสำนักก็จะไม่ยอมให้ทำเช่นนั้น
ทันใดนั้นหย่งฟางสังเกตเห็นว่า มีเส้นควันไม่กี่เส้นที่แตกต่างจากควันดำอื่นๆ ลอยอยู่เหนือริมฝีปากของฉู่เหยียน หย่งฟางใช้นิ้วบิดด้ายแดงขึ้นมาเล็กน้อยและมองดู ควันดำที่แตกต่างนั้นเลื้อยไปตามนิ้วของเธอ เมื่อมันสัมผัสกับด้ายแดงก็ส่งเสียงร้องแหลมออกมา มันคือไอแห่งความโกรธแค้น
ไอพวกนี้กับพลังคำสาปมีลักษณะคล้ายคลึงกัน พลังคำสาปบนร่างของฉู่เหยียน ถูกเธอโจมตีจนกระจายออก แต่ยังมีบางส่วนที่ติดอยู่บนร่างกายของเขา เพื่อให้ส่วนที่กระจัดกระจายสามารถรวมตัวกันได้ใหม่
ดังนั้นหย่งฟางจึงไม่ทันสังเกตว่า ไอแห่งความโกรธแค้นนี้แตกต่างจากพลังคำสาป เส้นควันเหล่านี้ลอยอยู่เพียงแค่เหนือริมฝีปากของฉู่เหยียนเท่านั้น...
หย่งฟางลอยเข้ามาใกล้เพื่อดูอีกครั้ง และพบว่าไอแห่งความโกรธแค้น กำลังออกมาจากปากของฉู่เหยียน
++++++++++++++
เรียกมาถูกคนแล้วค่ะคุณน้า!! ถ้าเป็นคนอื่นมีตุยนะคะ
แต่เผอิญว่านางเอกของเราเป็นคนมีวิชา!!
หลังจากที่หย่งฟางล้างหน้าแปรงฟันเสร็จ เธอจุดโคมไฟยาวในวิหารหลักเตรียมเข้านอน แต่จู่ๆ ก็เกิดลมเย็นยะเยือกพัดเข้ามาในอาราม จากนั้นเสียงร้องโหยหวนของเหล่าภูตผีก็ดังขึ้นหลงหยวนหยวนที่กำลังขดตัวอยู่บนกิ่งไม้สะดุ้งตัว ก่อนจะกลับไปนอนขดตัวนุ่มนิ่มเหมือนเดิม หนิงหมี่ร้องขึ้นอย่างดีใจ "เสี่ยวชิว!!"ลมเย็นสงบลงพร้อมกับเสียงร้องโหยหวนที่หยุดไป เสียงเล็กๆ ดังขึ้น "ว๊า ไม่มีอะไรสนุกเลย!"จากนั้นเด็กสาวในชุดกันหนาวลายดอกไม้สีแดงสด ที่มีเปียสองข้างก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า หนิงหมี่โผเข้ากอดเธอแน่น"พวกเราจำกลิ่นอายของเธอได้น่า เธอหลอกเราไม่ได้หรอก! ในที่สุดก็มาหาสักที ฮือๆ แล้วนี่เธอยังใส่ชุดที่ฉันเลือกให้อีก! อุ่นไหม?"หูอวี่จู้พยักหน้า "อุ่นมาก แต่ไม่รู้ทำไมพอใส่แล้ว รู้สึกอยากพูดสำเนียงตงเป่ยขึ้นมาซะงั้น"หย่งฟางรินนมเสริมแคลเซียมให้เธอหนึ่งแก้ว หูอวี่จู้จิบไปอึกหนึ่งก่อนพูด "คิดถึงฉันไหม? ไม่มีฉันอยู่คงเหงาน่าดูใช่ไหม?"หย่งฟางหันไปถามหนิงหมี่ "เธอเผาอะไรไปให้เธอเนี่ย?"หนิงหมี่ตอบด้วยความภาคภูมิใจ " "ฟู่เส้านักรัก: ภรรยาสุดที่รัก อย่าคิดหนี!""หยู่ถังอุทาน "นี่มันนิยายที่หนิวลี่อ่านอยู่ข้างหัวเตีย
วันปีใหม่ วันแรกของปี เป็นวันที่สำคัญที่สุด สำหรับการคุ้มครองวัดและสำนัก หย่งฟางถูกปลุกตอนตีสี่ โดยเทพบรรพชนที่ปรากฏในฝันพร้อมหอกด้ายแดง แต่เธอไม่ยอมตื่น จากนั้นหนิงหมี่และหยู่ถังที่อยู่ข้างเตียงก็เขย่าตัวปลุก“อาจารย์! ฉันฝันถึงเทพบรรพชน ท่านบอกให้พวกเรารีบตื่นไปเปิดประตู!”หยู่ถังที่ยังตกใจอยู่เอ่ยขึ้น “ฉันก็ฝันถึง! บรรพบุรุษท่าน...ดุนิดหน่อย”ใช่แล้ว เทพบรรพชนในฝัน ถือหอกด้ายแดงมาเร่งให้พวกเธอตื่น เมื่อหย่งฟางโดนเขย่าปลุก ในที่สุดก็เลิกง่วงทั้งสามคนลุกขึ้นจากเตียง หย่งฟางทำทุกอย่างอย่างเชื่องช้า แต่หนิงหมี่กับหยู่ถังกลับรีบวิ่งไปเปิดประตูอย่างรวดเร็วเสียงประตูไม้ดัง ‘เอี๊ยด’ทันใดนั้นภายใต้ท้องฟ้าที่มืดสนิท พบว่ามีแสงไฟหลายพันจุด ส่องสว่างใบหน้าของผู้คนนับพัน เหล่าผู้ศรัทธาที่เดินทางมายังวัดเสวียนเว่ย ต่างนำธูปของตนเองมาด้วย เดินขึ้นเขาหลงหย่าเพื่อมาที่นี่แต่เมื่อมาถึง กลับพบว่าประตูยังไม่เปิด พวกเขาจึงรวมตัวกันนั่งรอพลางเล่นโทรศัพท์ แสงจากหน้าจอโทรศัพท์ส่องใบหน้าของพวกเขา เมื่อมองดูก็ให้ความรู้สึกวังเวงอยู่ไม่น้อย หนิงหมี่และหยู่ถังถึงกับสะดุ้งตกใจ เสียงประตูเปิดทำให้ผู้คนทั้งห
หยู่ถังชะงักไปครู่หนึ่ง หย่งฟางดึงกระดาษทิชชูออกจากหน้า สูดหายใจลึกแล้วลุกขึ้น เสียงพูดของเธอแหบพร่าเล็กน้อย “ฉันจะไปเผาของให้ลูกบอลเล็ก”หย่งฟางยืนขึ้น หยู่ถังเดินตามไป ทั้งสองมุ่งหน้าไปยังห้องเก็บอุปกรณ์ ด้านในมีของสำหรับทำพิธี รวมถึงเงินกระดาษทอง หย่งฟางค้นหาของอยู่พักหนึ่ง เลือกของพื้นฐานสามอย่าง กระดาษเหลืองที่มีรู, กระดาษทอง, และตุ๊กตากระดาษคนรับใช้ แต่คิดว่ามันดูน้อยเกินไปหน่อย“บ้านกระดาษนี้ดูเล็กไป ลูกบอลเล็กอยู่กับพ่อแม่เธอ ห้องอาจจะไม่พอ ที่นี่ไม่มีรถกระดาษ ไม่มีมือถือกระดาษด้วย ลูกบอลเล็กชอบดูไลฟ์สดทุกคืน”หย่งฟางพูดไป คิ้วของเธอก็ขมวดมุ่นเข้าหากัน หยู่ถังรู้ว่าทุคนต่างมีความรู้สึกแปลกๆ แต่คนที่ดูเหมือนรับมือกับเรื่องนี้ได้ยากที่สุด นอกจากหนิงหมี่แล้วก็คือหย่งฟาง ถึงหญิงสาวจะดูเหมือนคนที่ไม่ใส่ใจสิ่งรอบตัว แต่ความจริงเธอใส่ใจคนรอบข้างมากที่สุด เมื่อเห็นเธอเป็นแบบนี้ หยู่ถังรีบพูด “งั้นเราลงเขาไปซื้อของจากร้านของเซี่ยเฟยที่บ้านเลขที่ 48 กันเถอะ จะได้เผาให้เธอ”การออกไปข้างนอก สูดอากาศที่อื่นบ้าง อาจช่วยให้รู้สึกดีขึ้น“คงต้องเป็นแบบนั้นแล้ว” หย่งฟางพยักหน้า “ชวนหนิงหมี่ไปด
มหกรรมการต่อสู้กับนักพรตชั่วจากเป็นประเทศ N ได้ปิดฉากลง ทุกคนเดินออกจากคุกใต้ดิน เจ้าหน้าที่ตำรวจรีบเข้ามาปิดล้อมพื้นที่ด้วยเส้นกั้น สมาชิกครอบครัวสกุลสือทั้งหมดถูกควบคุมตัวขึ้นรถตำรวจ นำไปยังห้องสอบสวน เพื่อตรวจสอบว่าเคยคร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ไปกี่ราย และยังเกี่ยวเนื่องกับการกบฏต่อชาติ ที่ยังต้องการรายละเอียดเพิ่มเติมหัวหน้าจ้าวจากสำนักสืบสวนพิเศษ และผู้นำระดับสูงเดินทางมาถึง ส่วนหานลี่ตงจะถูกดำเนินการไต่สวนและลงโทษโดยหน่วยสืบสวนพิเศษแห่งชาติ ในสงครามครั้งนี้ นอกจากสือว่านซื่อที่ถูกพลังแห่งชาติตีกลับจนเสียชีวิตไปแล้ว ยังมีอีกหนึ่งชีวิตที่ต้องสังเวยวิญญาณของเซี่ยถังอยู่ในมือของเซี่ยเฟย เขาตั้งใจว่าจะเลี้ยงดูวิญญาณของน้องสาว หย่งฟางเม้มริมฝีปาก กล่าวขึ้นด้วยความเป็นห่วงในฐานะเพื่อน "ถึงจะฟื้นฟูขึ้นมาได้ แต่พลังของเธอก็สูญสิ้นไปแล้ว เคยกินมนุษย์ เคยเป็นปีศาจจิ้งจอก ถึงเลี้ยงวิญญาณขึ้นมาได้ แต่สวรรค์ก็ไม่ยอมรับ คุณเองก็น่ารู้อยู่แล้ว" แต่เซี่ยเฟยยังคงไม่ยอมปล่อยมือ หันมองหย่งฟางพลางยิ้มอ่อน "รบกวนอาจารย์หย่งช่วยส่งวิญญาณด้วยเถอะ อาถัง!" เซี่ยเฟยร้องขึ้นอย่างเจ็บปวดเซี่ยถังมองพี่ชายด้ว
ทุกคนตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ผ่านการเชื่อมต่อของจิ้งจอกขาวเซี่ยถัง พลังโชคชะตาแห่งชาติที่ควรจะส่งต่อให้ประเทศ N กลับไม่ได้ถูกถ่ายโอนไปทั้งหมด มีส่วนหนึ่งที่หานลี่ตงเก็บไว้ใช้ส่วนตัวนี่คือสาเหตุที่เขามีชีวิตยืนยาวกว่าร้อยปี หย่งฟางขมวดคิ้วมองอย่างไม่พอใจ “หึ คนประเทศของแก รู้หรือเปล่าว่าแกขโมยพลังมังกรนี้มา”หานลี่ตงเพียงยิ้ม “รู้หรือไม่รู้ แล้วจะทำไม? หากไม่มีฉัน พวกมันจะตั้งหลักในเอเชียตะวันออกได้หรือ? น่าขำจริงๆ”หย่งฟางเข้าใจชัดเจนแล้ว ว่าขโมยคนนี้เป็นพวกหยิ่งยโสและหลงตัวเอง หานลี่ตงใช้พลังโชคชะตาแห่งชาติของ ประเทศ สร้างแรงกดดันที่แพร่กระจายไปทั่วห้องใต้ดิน ทุกคนรวมถึงเทพธิดาหนิงหมี่ ต่างรู้สึกหายใจยากลำบากขึ้น ต่อหน้าพลังแห่งชาติพวกเขาต้องดิ้นรนอย่างหนักเพื่อประคองตัว หย่งฟางยกมือขึ้นแสงสีแดงฉายออกมาจากฝ่ามือ ก่อตัวเป็นเขตป้องกันครึ่งวงกลม ภายในเขตนี้ทุกคนจึงพอรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย เจ้าหน้าที่หลี่ที่ยังเจ็บจากแรงกดดันเมื่อครู่ ยกมือกุมหน้าอกพูดขึ้น “ขโมยสิ่งที่ไม่ใช่ของแก ระวังเถอะ สวรรค์จะลงโทษเจ้า!”หานลี่ตงหัวเราะเสียงดัง “สวรรค์จะลงโทษฉัน? ฉันใช้ชีวิตแบบนี้มานานกว่าร้อยปีแ
ชายที่อยู่ข้างสือว่านซื่อเผยรอยยิ้มบางๆ หย่งฟางเห็นท่าทางของเขาแล้ว ตะโกนออกไปทันที“หานลี่ตง!”ขณะที่คนจากหน่วยงานแห่งชาติที่อยู่ใกล้ๆ เขาก็ต่างเรียกชื่อชายคนนั้นไปในแบบของตัวเอง“พี่ซู?!”“พี่ฉี?!”“พี่มู่?!”หลังจากเสียงของทั้งสามคนจบลง พวกเขาหันมามองหน้ากันเองด้วยความงุนงง “เขาไม่ใช่พี่ซู พี่ฉี พี่มู่ จากหน่วยงานแห่งชาติหรือ?!”ในที่สุดหย่งฟางก็ได้คำตอบ เมื่อหัวหน้าจ้าวตรวจสอบประวัติ ของผู้มีพลังพิเศษในระบบของหน่วยงานแห่งชาติ เพื่อที่จะอยู่ในประเทศและหลบเลี่ยงการตรวจสอบเป็นเวลาร้อยปี คนอย่าง ‘หานลี่ตง’ ย่อมต้องมีตัวตนแฝงในระบบหน่วยงาน และเชื่อมโยงกับผู้มีพลังพิเศษคนอื่นๆ อย่างแนบเนียนจากปฏิกิริยาของทั้งสามคนทำให้เห็นชัดว่า หานลี่ตงมีตัวตนในฐานะผู้มีพลังพิเศษ ที่ถูกบันทึกไว้ในระบบอย่างสมบูรณ์ คนที่อยู่ข้างหลังหย่งฟาง ต่างเผยท่าทีเป็นศัตรูอย่างชัดเจน ขณะจ้องมองสือว่านซื่อและหานลี่ตงด้วยความระแวดระวังชายผู้นั้นตั้งท่าจะทำมือในลักษณะของไต้ซือ แต่ถูกหย่งฟางหยุดไว้ทันที “เลิกแสร้งทำเสียที หานลี่ตง คุณหนีไปไหนไม่ได้แล้ว”นักพรตสาวกล่าวพร้อมกับกระชากเส้นด้ายสีแดงในมือให้กระชับ ขณะนั้นเ