ดวงตาของหย่งฟางเบิกกว้างขึ้น เมื่อใช้มือวาดท่าใหม่เพื่อร่ายมนต์ จากนั้นก็สามารถสัมผัสกับวัตถุได้ เธอจับคางของชายหนุ่มไว้ แล้วใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางดันมันขึ้นอย่างรวดเร็ว ฉู่เหยียนถูกบังคับให้เปิดปากออก เผยให้เห็นลิ้นของเขา บนนั้นมีเหรียญทองแดงเหรียญหนึ่ง
ใบหน้าของหย่งฟางเคร่งขรึมขึ้น พลังคำสาปถือเป็นสถานการณ์ที่ไม่ปกติ เหรียญทองแดงเหรียญนี้ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นฝีมือของมนุษย์ เป็นไปไม่ได้ที่คุณนายฉู่ จะใส่ของป้องกันเพื่อให้ลูกชายฟื้นคืนสติ เพราะเหรียญทองแดงนี้เป็นของที่ขุดขึ้นมาจากหลุมฝังศพ ของแบบนี้มีพลังแห่งความอาฆาตติดอยู่
น่าจะไม่มีใครรู้ว่าฉู่เหยียนมีสิ่งนี้อยู่ในปาก หรืออาจเป็นไปได้ว่าคุณนายฉู่ถูกหลอกให้เชื่อ และยินยอมให้ใครบางคนใส่ของนี้เข้าไปในปากลูกชายของหล่อน แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเป็นคนที่คุณนายที่ไว้ใจ และทำให้เข้าใกล้ฉู่เหยียนได้
เพราะตอนที่หย่งฟางเข้ามา เธอเห็นบอดี้การ์ดในชุดสูทดำ คอยเฝ้าอยู่หน้าประตูตลอดเวลา พลังคำสาปที่หนักแน่น กลับเข้ามารวมตัวบนร่างของชายหนุ่มที่ดูน่ารักขณะหลับใหล หย่งฟางก็รู้ว่าวิญญาณของเธอจะต้องกลับคืนร่างแล้ว จึงปล่อยมือจากคางของเขาแล้วเปลี่ยนท่าใหม่เพื่อร่ายคาถาอีกครั้ง
ทันใดนั้นเส้นด้ายแดงก็รัดแน่น ดึงวิญญาณของเธอกลับเข้าสู่ร่าง หย่งฟางลืมตาขึ้นในอ่างอาบน้ำ ข้างนอกมีคนเคาะประตูอยู่ จึงลุกขึ้นแล้วเปิดออก เห็นว่ามีคนอยู่ข้างนอกเจ็ดถึงแปดคน
เมื่อเห็นว่าหย่งฟางไม่เป็นอะไร คนรับใช้หญิงคนหนึ่งก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก และพูดด้วยเสียงเบาๆ "คุณนายหย่ง คุณทำให้พวกเราตกใจหมดเลย คุณทำอะไรอยู่ในห้องน้ำ?"
หล่อนมาส่งอาหาร และรู้จากบอดี้การ์ดว่าหย่งฟางเข้าไปในนั้น จึงเคาะประตูแต่ไม่มีเสียงตอบรับ คิดว่าหย่งฟางอาจทำอะไรโง่ๆ เพราะไม่สามารถยอมรับได้ ว่าต้องแต่งงานกับคุณชายที่ป่วยหนัก และนอนหมดสติอยู่บนเตียง
"ถ้าไม่ออกมา บอดี้การ์ดคงต้องพังประตูเข้าไปแล้ว"
"ใช่แล้วๆ เงียบไปนานแบบนี้ น่ากลัวจริงๆ"
เมื่อเร็วๆ นี้ มีเรื่องแปลกเกิดขึ้นมากมายในตระกูลฉู่ พวกหล่อนทำงานที่นี่ ก็ไม่อยากให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก เมื่อเหล่าคนรับใช้พูดเสร็จก็กลับไปทำงานต่อ ในห้องเหลือแค่หย่งฟางกับช่างแต่งหน้า
หย่งฟางมองไปที่หล่อน "ช่วยฉันหน่อยสิ ไปเรียกน้องสาวสองคนนั้นขึ้นมาหน่อย"
ช่างแต่งหน้ากะพริบตาแล้วพยักหน้า ลุกขึ้นไปทำตามคำสั่ง ไม่นานนักสองพี่น้องตระกูลฉู่ก็มา ยังไม่ทันเห็นตัวเสียงก็ลอยมาถึงแล้ว
"พี่สะใภ้หาพวกเราเหรอ? มีอะไรหรือเปล่า" เมื่อพูดจบ ร่างเล็กๆ สองร่างก็วิ่งเข้ามาหา
หย่งฟางพยักหน้า แล้วตบที่เบาะนุ่มของโซฟา "นั่งสิ มีเรื่องจะคุย"
ฉู่เสี่ยวเฉียวและฉู่เสี่ยวจินจึงนั่งลง ช่างแต่งหน้าก็กลับมานั่งที่เดิม หอบหายใจด้วยความเหนื่อย
"มีเรื่องอะไรเหรอ?" สองพี่น้องถาม
หย่งฟางถามตรงๆ "ในบ้านของพวกเธอ มีใครที่สนิทกับคุณนายฉู่และนายท่านบ้าง?"
ฉู่เสี่ยวจินรีบตอบ "แม่บ้านเหรินแล้วก็พ่อบ้านหลิน!"
"เป็นสองคนที่รับฉันมาบ้านตระกูลฉู่ใช่ไหม?" เธอถามต่อด้วยความสนใจ
ฉู่เสี่ยวเฉียวพยักหน้า "แม่บ้านเหรินเป็นนางนมของพี่ใหญ่ ตอนที่ยังเด็กแม่ของพี่ใหญ่สุขภาพไม่ดี โชคดีที่มีแม่บ้านเหรินช่วยดูแล"
"พ่อบ้านหลินเป็นหัวหน้าคนดูแล ตอนพี่ใหญ่ยังเด็ก เขาก็ดูแลพี่ใหญ่เหมือนลูกแท้ๆ"
หย่งฟางครุ่นคิดแล้วถามต่อ "การดูแลประจำวันของพี่ชายเธอ เช่นการเช็ดตัว ใครเป็นคนรับผิดชอบ?"
สองพี่น้องนึกอยู่สักพักแล้วนับนิ้ว "บางครั้งก็เป็นพยาบาลพิเศษ บางครั้งก็เป็นลุงหลิน บางครั้ง...ก็ไม่มีคนอื่นแล้ว"
“แล้วแม่บ้านเหรินและลุงหลินมีลูกไหม?”
"แม่บ้านเหรินมีลูกชายคนหนึ่ง ทำงานอยู่ที่บริษัทฉู่ ส่วนลุงหลิน..." ฉู่เสี่ยวจินก้มหน้าด้วยความเศร้า "มีลูกสาวคนเดียวชื่อหลินเหมียน เธอเสียชีวิตเมื่อครึ่งปีก่อน..."
"หลังจากที่พี่เหมียนเสียชีวิต ลุงหลินใช้เวลานานมากกว่าจะทำใจได้ ตอนนี้พี่ใหญ่ก็หมดสติไม่ฟื้น ลุงหลินจึงเศร้าโศกไปมากกว่าเดิม..."
ฉู่เสี่ยวเฉียวก็รู้สึกเศร้าเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ "เธอเป็นลูกคนเดียวด้วย..."
23:30 น.
หย่งฟางแต่งหน้าเสร็จแล้ว ก่อนที่ครอบครัวฉู่จะมาบังคับให้เธอไปทำพิธีการแต่งงาน หญิงสาวเก็บอุปกรณ์ที่สามารถพกพาได้ทั้งหมด ใส่ในกระเป๋าผ้า มีมีด เหรียญทองแดงห้าราชวงศ์ ที่มีเชือกสีแดงที่สวยงามพันรอบด้าม แผ่นกระดาษเหลืองที่มีสัญลักษณ์ แน่นอนว่าคนทั่วไปไม่สามารถเข้าใจได้
ช่างแต่งหน้าเห็นเธอซ่อนสิ่งของแปลกๆ เหล่านี้ก็งงไปเลย นอกจากนี้เธอยังซ่อนม้วนเส้นด้ายแดงพันรอบข้อมือ ซึ่งเข้ากับชุดแต่งงานสีแดงได้อย่างแนบเนียน ทำให้ไม่โดดเด่น และสีขาวนวลของผิวหนัง เข้ากับมันได้อย่างสวยงาม
แผ่นกระดาษเหลืองถูกซ่อนไว้ในแขนเสื้อ ดูเหมือนหลังจากที่เธอออกจากวงการไป หย่งฟางไม่เพียงแต่เป็นบ้า แต่ยังอาจถูกล้างสมองด้วยความเชื่อโชคลาง ช่างแต่งหน้าแสดงความรู้สึกเห็นใจ และคิดว่าเธอคงจะรวยแล้วหลังจากแต่งงานกับตระกูลฉู่ หวังว่าเธอจะสามารถ พ้นจากสถานการณ์นี้และกลับมามีสติ หย่งฟางสวมผ้าคลุมสีแดง ขณะที่ถูกพาเดินออกจากบริเวณด้านข้างแล้วมาที่ประตูหลัก
00:00 น.
เสียงฆ้องดังก้องไปทั่ว
"ถึงเวลามงคลแล้ว!"
ในห้องโถงที่ตกแต่งแบบโบราณ ชั้นล่างถูกแต้มด้วยผ้าสีแดงยาวที่เรียบง่าย โต๊ะบนพื้นมีผ้าสีและเทียนสีเดียวกัน ที่ตำแหน่งหลัก มีคุณท่านฉู่และคุณนายฉู่นั่งอยู่ตรงนั้น ครอบครัวฉู่ไม่มีญาติหรือเพื่อนมาร่วมงานเลย ดังนั้นจึงไม่มีการตั้งโต๊ะเลี้ยงอาหาร
เจ้าบ่าวที่นอนหมดสติอยู่ในห้อง ถูกแทนที่ด้วยไก่สีแดงตัวหนึ่ง ที่หน้าของมันมีดอกไม้แดงห้อยอยู่ โดยพ่อบ้านหลินใช้ผ้าสีแดงห่อไว้ ไก่ตัวนี้ถูกจับไว้อย่างสงบไม่เคลื่อนไหว มีเพียงดวงตากลมๆ สองดวง มองไปที่คนสองคนที่ตำแหน่งหลัก แล้วมองไปที่หย่งฟาง
เป็นงานแต่งงานที่แปลกประหลาดที่สุด
พิธีกรพูดเสียงดัง “ไหว้ฟ้าและดิน!”
ลุงหลินคุกเข่าลงขณะถือไก่ แต่หย่งฟางยังไม่ขยับ
พิธีกรพูดซ้ำ “ไหว้ฟ้าและดิน!!”
“…”
“ไหว้ฟ้าและดิน!!!” พิธีกรแทบจะตะโกนออกมา
“พี่สะใภ้! พี่สะใภ้!” สองพี่น้องฉู่เตือนหย่งฟาง
คุณท่านและคุณนายสีหน้าไม่สู้ดี คุณนายฉู่กัดฟันพูด “กดเธอลงไปคุกเข่า!”
บอดี้การ์ดสองคนเดินเข้ามา แต่ว่าเจ้าสาวที่ถือเหรียญทองแดงไม่รู้มาจากไหน ใช้นิ้วมือถือแผ่นกระดาษสีเหลืองแล้วโยนไปที่เจ้าบ่าวไก่ กระดาษยันต์ติดอยู่ที่คอไก่สีแดง และเสียงของผู้ชายจากปากไก่ พูดออกมาอย่างรวดเร็ว
“ไม่!”
หย่งฟางยิ้มออกมา อย่างไรก็ตามไก่สีแดงที่ติดแผ่นยันต์ก็พูดแค่คำเดียว แล้วถูกพ่อบ้านหลินที่มีสายตาเฉียบคม รีบเอากระดาษยันต์ออกแล้วบีบให้เป็นลูกบอล แต่ทุกคนที่อยู่ในที่นั้นได้ยินแล้ว เป็นเสียงที่ชัดเจนมาก
“เสียงเมื่อกี้... คือพี่ฉู่เหยียนเหรอ?” พี่น้องฉู่รู้สึกสับสน
คุณนายฉู่มองไปที่ไก่ด้วยความตกใจ เสียงที่ได้ยินนั้นเหมือนกับเสียงของลูกชายของเธอ...แต่ว่าไก่จะพูดเสียงของฉู่เหยียนได้ยังไง?
คุณนายฉู่เริ่มตื่นตัวแ ละเชื่อว่าหย่งฟางกำลังสร้างความวุ่นวาย จึงไม่พอใจมาก “หย่งฟาง เธอจะร่วมมือหรือไม่ร่วมมือกันแน่?! เธอต้องให้เรากดหัวหรือยังไง!”
ความเสียสละและจิตใจอันยิ่งใหญ่ของหลงหยวนหยวน ทำให้หย่งฟางรู้สึกประทับใจ หลังจากเก็บกระดูกมังกร ลูกบอลวิญญาณ เทพธิดาน้อยและสัมภาระ หย่งฟางก็ใช้ค่ายกลย่อพื้นที่ออกไปจากเกาะอีกครั้ง เมื่อกลับมาถึงสมาคมเทียนซือ หย่งฟางส่งมอบกระดูกมังกรให้หัวหน้าหลิวที่รอคอยอยู่อาจารย์หลิวถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นเขารีบสั่งให้เหล่านักพรตอาวุโสช่วยกันนำกระดูกมังกรไปรวมเข้ากับเส้นมังกรของแผ่นดิน"ทำได้ดีมาก" หัวหน้าหลิวกล่าวชื่นชม พร้อมส่งสิ่งของบางอย่างให้หย่งฟาง"สิ่งนี้ให้กับหลงหยวนหยวน ถือเป็นรางวัลและคำขอบคุณจากทางสมาคม"เมื่อเปิดดูพบว่ามันคือ เครื่องรางเขามังกร ขนาดเล็กที่หากงูมังกรตัวนั้นได้ใช้ จะช่วยเพิ่มพูนพลังตบะได้อย่างมาก หย่งฟางกล่าวขอบคุณอาจารย์หลิวแทนหลงหยวนหยวน ก่อนเดินออกมาจากห้องทำงาน เมื่อไม่มีธุระใดๆ แล้ว เธอก็พาทุกคนกลับไปยังวัด ซึ่งเวลานั้นเป็นช่วงเย็นพอดีในศาลาเล็กๆ เหล่าสมาชิกสำนักกำลังนั่งชมรายการ สุดยอดปรมาจารย์ ที่กำลังถ่ายทอดสดอยู่ เสียงโวยวายของห่าวจาวไฉและจินเหยาไต้ดังขึ้นอย่างไม่หยุด"ทำไมไม่ให้หยวนหยวนของเราคว้าแชมป์! พวกเขาไม่เข้าใจถึงคุณค่าของวิชาและพลังที่หยวนหยวนใช้เ
ไม่ใช่แค่ชาวเน็ตจากพื้นที่อื่น ที่เคยได้ยินชื่อเสียงของหย่งฟางและวัดเสวียนเว่ยเท่านั้น แม้แต่คนถานจิงเองรวมถึงคนที่เคยไปไหว้พระขอพรที่วัดเสวียนเว่ย ส่วนใหญ่ก็ไม่เคยเห็นความสามารถ ในการจับผีหรือปราบปีศาจของหย่งฟาง พวกเขาคิดว่าเธอแค่เก่งเรื่องวาดยันต์หรือทำนายโชคชะตา แต่พอลงมือจริงๆ...ไม่ใช่สิ! หย่งฟางเธอทำได้จริงเหรอ?! โคตรเท่เลย!!!ทุกคนดูผ่านหน้าจอมือถือ เหมือนกำลังชมภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ ที่เต็มไปด้วยเอฟเฟกต์สุดอลังการ หย่งฟางปรากฏตัวจากฟากฟ้า ใช้เส้นด้ายแดงสังหารปีศาจทะเลบ้าคลั่ง ราวกับทูตสาวจากสวรรค์ที่ลงมาปราบมาร ปลายนิ้วเรียวยาวเคลื่อนผ่านเส้นด้ายแดง เสริมด้วยใบหน้าสวยตราตรึงทำให้ทุกคนตะลึง ดวงตากลมโตเป็นประกายมีชีวิตชีวา ริมฝีปากเผยรอยยิ้มบางๆ บ่งบอกถึงความสง่างามและเสน่ห์ที่แฝงความขี้เล่น"พี่สาว! ฉันเป็นผี! จับฉันที!!!"หลังจากเหตุการณ์นี้ ทุกคนเริ่มค้นหาผลงานภาพยนตร์ และซีรีส์ที่หย่งฟางเคยแสดง เพื่อจะได้เห็นใบหน้างดงามนั้นอีก และพวกเขาก็พบว่า...ในซีรีส์ย้อนยุค เธอดูดีมาก ท่วงท่าสง่างาม ทรงผมและเครื่องแต่งกายดูเข้ากันทุกมุม โดยเฉพาะฉากต่อสู้ที่ทั้งสวยงามและดุดัน หย่งฟางคือคนที่เ
เช้าวันใหม่ผ่านพ้นไปจนถึงช่วงสาย หย่งฟางขยับตัวในผ้านวมนุ่มอย่างสบายใจ ก่อนจะลุกจากเตียงเชื่องช้า หนิงหมี่และเสี่ยวชิวตื่นกันตั้งแต่เช้า กำลังนั่งเล่นการ์ดพยายามสร้างบ้านจากการ์ดกันอยู่ หลังจากล้างหน้าแปรงฟันเสร็จ หญิงสาวก็เดินออกมาจากห้องน้ำในขณะนั้นบ้านการ์ดที่สองสาวสร้างถูกผลักล้มไปแล้ว บนโต๊ะเล็กมีจานแตงโมหั่นเป็นชิ้นพอดีคำ วางเรียงไว้อย่างสวยงามแทน หนิงหมี่กับเสี่ยวชิวนั่งเคี้ยวพลางบ่นพึมพำ “อาจารย์หย่ง มีผู้ชายหล่อมากคนหนึ่งฝากมาให้ ลองกินดูสิ” พร้อมกับใช้ส้อมเงินเล็กๆ จิ้มแตงโมชิ้นหนึ่งแล้วยื่นให้หย่งฟางคนที่ฝากมาก็น่าจะเป็นฉู่เหยียนหรือไม่ก็ฉู่สวี่ หย่งฟางงับแตงโมพลางถาม “ผู้ชายหล่อที่ว่าเนี่ย คนโตหรือคนเล็กล่ะ?”หนิงหมี่เอียงคอครุ่นคิดก่อนตอบ “แยกไม่ออกหรอก หล่อทั้งคู่ แต่คนที่ให้แตงโมใส่แว่นนะ”พอได้ยินแบบนั้นหย่งฟางก็รู้ทันทีว่าเป็นฉู่สวี่ น้ำแตงโมหวานฉ่ำซึมซาบอยู่ในโพรงปาก หญิงสาวเดินออกจากห้องพักครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนเคาะห้องฝั่งตรงข้าม ประตูถูกเปิดออกเป็นฉู่สวี่ยืนอยู่ตรงนั้น เขาสวมชุดคลุมอาบน้ำสีดำสนิท ปลายชุดยาวถึงช่วงกล้ามขาเรียวกระชับ ปลายผมที่ยังเปียกเล็กน้อยปกคลุ
หย่งฟางสัมผัสพลังงานรอบตัว ทำให้เข้าใจเหตุผลว่าทำไมหมู่บ้านหลีเจียจึงสงบสุขได้เช่นนี้ ธรรมชาติแห่งคุณธรรมและความเมตตา นักพรตชราตาบอดผู้นี้ มีความเข้าใจในคุณธรรม และเส้นทางแห่งสวรรค์ด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความกรุณา แม้เขาจะมองไม่เห็น แต่รับรู้ได้ว่าการร้องของกบในทุ่งนาคือชีวิต เสียงจิ้งหรีดในยามค่ำคืนคือชีวิตและที่สำคัญที่สุด ซากศพในหอเด็กหญิงก็คือชีวิตเช่นกันทุกค่ำหลังพระอาทิตย์ตกดิน นักพรตชราจะคลำทางไปยังหอเด็กหญิงเพียงลำพัง เพื่อทำพิธีส่งวิญญาณให้กับเด็กที่เสียชีวิต เขาสวดมนต์เสียงเบา มือหมุนลูกประคำ แม้เสียงจะไม่ดังนัก แต่เปี่ยมด้วยพลังและความเมตตา ผู้หญิงในหมู่บ้านมักแอบตามมา ฟังเสียงสวดมนต์ในความมืดพร้อมกับน้ำตาที่ไหลรินเมื่อเขาทำพิธีเสร็จ พวกเธอก็จะใช้สีผ้าห่อศพ เพื่อระบุว่าศพไหนเป็นของลูกตัวเอง จากนั้นก็ขุดหลุมเล็กๆ ใกล้ๆ เพื่อฝังลูกด้วยความระมัดระวัง หอเด็กหญิงค่อยๆ ถูกทำลายลง เหลือไว้เพียงหลุมฝังศพเล็กๆ สองร้อยกว่าหลุมกระจายอยู่รอบบริเวณนักพรตใช้เวลาครึ่งปี ในการมาที่หอเด็กหญิงในยามค่ำคืน เพื่อทำพิธีส่งวิญญาณจนเสร็จสิ้น และระหว่างนั้น เด็กหญิงที่ยังมีชีวิตอยู่ใต้กองศพ ก็ถูก
"จะมีเหตุผลอะไรได้อีก?"หยู่ถังมองหย่งฟางด้วยความตกใจหลีชิงอวี่แสดงท่าทางระแวดระวังเต็มที่ "คุณหย่ง ตกลงคุณเป็นใครกันแน่?""ฉันคือศิษย์วัดเสวียนเว่ย หย่งฟางค่ะ""คุณเป็นนักพรต?!" หลีชิงอวี่มีปฏิกิริยาที่แตกต่างออกไปหย่งฟางพยักหน้าตอบแต่หลีชิงอวี่ถามต่อ "คุณทำพิธีปลดปล่อยวิญญาณได้ไหม?""ทำได้""ถ้าอย่างนั้น ฉันจะบอกคุณ"สาวอีกสองคนร้องไห้พลางพูดขึ้น "พี่สาว ได้โปรดอย่าบอกออกไปเลย ฉันกลัวว่าแม่ของฉันจะถูกจับเข้าคุก..."หลีชิงอวี่กุมมือของน้องสาวทั้งสองไว้แน่น "ไม่ต้องกลัว" จากนั้นเธอหันไปมองหย่งฟางและขอร้อง "ถ้าคุณฟังเรื่องทั้งหมดแล้วคิดจะไปแจ้งตำรวจ ขอให้จับฉันคนเดียวก็พอ"หย่งฟางตอบ "ฉันรับรองแบบนั้นไม่ได้""ไม่เป็นไร" หลีชิงอวี่ยิ้มบางๆ "ฉันจะปกป้องพวกเธอเอง"หลังพูดจบ หลีชิงอวี่ก็เหมือนตกอยู่ในห้วงความคิด ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องราวที่น่าเศร้า จากอดีตของเธอออกมาอย่างช้าๆ ในปี 1988 ที่หมู่บ้านหลีเจีย มีร่างเด็กผู้หญิงกองรวมกันในสถานที่ที่พวกเขาเรียกว่า ‘หอเด็กหญิง’ ทับทมกันจนสูงถึงสองร้อยร่าง แต่นั่นไม่ได้เป็นหอจริงๆ มันคือซากศพของเด็กผู้หญิงที่กองกันจนสูงราวกับเป็นหอคอยเหล่าผู้หญิงร
ผีสาวพุ่งเข้ามาหาหย่งฟาง หญิงสาวหรี่ตาลงคว้ามือจับเล็บยาวสีแดงเพลิงไว้แล้วบิดข้อมือผีตัวนั้น ก่อนจะพลิกแขนที่เหมือนไร้เรี่ยวแรงทิ่มเข้าไปที่ดวงตา ที่มีเลือดไหลซึมออกมา ผีสาวหลับตาและถอยหลังไปหนึ่งก้าว หย่งฟางไม่รอช้าฟาดฝ่ามือเข้าไปที่หลังมือของผีตนนั้น ถึงกับถอยหลังไปไกลหลายเมตร ก่อนที่ร่างของมันจะเสียหลักล้มลงนอนบนพื้นผีสาวอีกตัวในชุดแดงร้องคำรามเสียงดัง พร้อมพุ่งเข้ามาอ้าปากกว้างกางกรงเล็บที่เหยียดตรง ตั้งใจจะจับคอของหย่งฟาง แต่นักพรตสาวเคลื่อนไหวรวดเร็วราวสายลม หลบการโจมตีของผีตัวนั้นได้อย่างง่ายดาย พร้อมกับยกขาถีบเข้าที่ท้องของมัน ผีสาวร้องด้วยความเจ็บปวด ร่างของมันหยุดนิ่งไปชั่วครู่หยู่ถังคิดในใจ ผียังเจ็บได้ด้วยเหรอ? แต่ถึงอย่างนั้นผีสาวก็ไม่ถอยหลัง มันพุ่งเข้าหาหย่งฟางอีกครั้งด้วยความดุดัน ในขณะเดียวกัน ผีสาวที่ล้มลงไปก่อนหน้านี้ก็ฟื้นตัวเหมือนปลาที่กระโดดจากพื้น ตอนนี้หย่งฟางต้องรับมือกับผีสาวถึงสองตัวหยู่ถังไม่คิดมาก รีบตะโกนถาม “อาจารย์หย่ง! ให้ฉันไปหยิบอุปกรณ์ให้ไหม?”“ไม่ต้อง” หย่งฟางตอบสั้นๆ ในขณะที่ยังต่อสู้อยู่ผีทั้งสองตัวบ้าคลั่งมากขึ้น การโจมตีของพวกมันเริ่มทวีควา