 LOGIN
LOGINณ ตลาดทาสนคร ‘วาเซต’
... ... ... ...
เสียงกลองและพิณจากพื้นเมืองไอยคุปต์ดังคลอไปทั่วนครวาเซต เมืองหลวงเก่าแก่แห่งแคว้นบนของอียิปต์ ซึ่งตั้งอยู่ตามริมฝั่งแม่น้ำไนล์ พระอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำ รัศมีสีทองอ่อนเริ่มแต่งแต้มแนวเสาศิลาแห่งวิหารเพธา และกลิ่นกำยานลอยฟุ้งขจายไปในอากาศราวกับเป็นฤกษ์ยินดีได้ต้อนรับผู้มาใหม่
อัมพุชินีอยู่ในกลุ่มทาสชั้นสูงที่รอคอยการนำขึ้นประมูลในลานกลางของตลาด นครวาเซต นั้นขึ้นชื่อว่าเป็น นครแห่งการค้าขาย ทั้งทองคำ ไข่มุก เครื่องหอม และชีวิตมนุษย์
เหล่าทาสจากดินแดนต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นนูเบีย ลิเบีย ชาวฮิตไทต์ หรือ ชาวเปอร์เซีย ต่างก็ถูกจัดแบ่งโดยผู้ดูแลตลาดตามคุณลักษณะพิเศษ
อัมพุชินีมิใช่เพียงหญิงสาวผู้สูงศักดิ์ หากแต่กายเปล่งประกายด้วยความสง่างามที่ไม่อาจปฏิเสธ เส้นผมยาวดำขลับ ริมฝีปากชมพูอ่อนระเรื่อดั่งธรรมชาติ และเรียวดวงตาประดุจกลีบบัวบาน จึงมิอาจหลีกเลี่ยงสายตาของนายตลาดผู้มากอำนาจ
“นางคือ 'บรรณาการจากอารยัน' ใช่หรือไม่” เสียงชายวัยกลางคนกล่าวขึ้นพลางเดินสำรวจ
“ถูกแล้ว ขอรับ” เสียงผู้ดูแลคาราวานตอบ “ธิดาแห่งกัมโพชน์”
“จงอย่าทำร้ายผิวของนาง อย่าให้มีรอยช้ำแม้เพียงปลายนิ้ว” ชายผู้นั้นกล่าวอย่างเร่งร้อน
“นางจักขึ้นกลางลานในยามบ่าย แดดยามนั้นงามขับกับสีผิวนาง”
เหล่าทาสถูกแบ่งเข้าสู่คอกเล็กคอกน้อย อัมพุชินีถูกพาไปยังกระโจมประดับผ้ากรองแสงซึ่งใช้สำหรับการแต่งองค์ทรงเครื่อง เธอมิได้ขัดขืน หากแต่เพียงนิ่งเงียบขณะข้าหลวงรับใช้ชาวกัมโพชน์ต์สองคน กำลังล้างหน้าและจัดทรงผมให้อย่างเบามือ แต่เธอขอร้องให้ทั้งสองนางปกปิดรูปโฉมของใบหน้าอันงดงามด้วยปานดำจากดินหม้อ ขณะนี้เธอต้องการเข้ามาอยู่ในดินแดนแห่งนี้โดยปราศจากตัวตนแท้จริง
“อันใดจึงหลอกพระองค์เองด้วย” หญิงรับใช้กระซิบถามเบา ๆ ขณะเปลี่ยนเครื่องแต่งกายให้อัมพุชินีกลายเป็นคนธรรมดาสามัญ แถมยังมีใบหน้าไม่น่ามองอีก
“หากฝ่าบาททรงทอดพระเนตรเห็นพระองค์ในวันนี้ บางที...” อีกคนหนึ่งกล่าวยังไม่ทันจบ
พระธิดามิได้ตอบกลับ ได้แต่เหม่อมองออกไปยังเบื้องนอก ผ่านผ้าขาวบางที่พลิ้วไหวจากแรงลมทะเลทราย
ลานกลางตลาดเริ่มเต็มไปด้วยกลุ่มชนชั้นสูง พ่อค้า คหบดี และขุนนางต่างพากันจับจองที่นั่ง เพื่อประมูลทาสพิเศษประจำรอบวาระ จันทราเต็มดวง เสียงของนักบรรยายดังแว่วมาจากเวทีไม้ยกพื้นสูง
“...นางทาสผู้นี้ จากแดนฟากฝั่งตะวันออกไกล แม้ใบหน้าอัปลักษณ์ แต่มีความรู้สมุนไพร ศิลปะ และภาษาบูรพา นางยังสามารถจำแนกเสียงของ สายลม และกลิ่นของดอกไม้ เพียงแค่หลับตา...”
ท่ามกลางเสียงฮือฮาดังขึ้นในหมู่ผู้ชม ณ มุมสูงของอัฒจันทร์ ฟาโรห์เมเรนคาเรประทับอยู่ภายใต้ฉัตรทองคำ พระพักตร์ยังคงเคร่งขรึม ดวงเนตรจับจ้องเวทีเบื้องล่างเป็นระยะ
และในวินาทีนั้นเอง...เมื่อม่านไหมสีฟ้าถูกเปิดออก ร่างของอัมพุชินีปรากฏในแสงตะวันอ่อนยามบ่าย เสื้อผ้าเรียบง่ายมิได้มีอันใดที่จะเน้นความงามจับตาของพระธิดาจากแดนไกล ผ้าโพกศีรษะประดับด้วยดอกบัวอบแห้ง ผ้าสไบผืนโตสีอิฐหม่นคลุมชุดส่าหรีไว้ข้างใน กำลังพลิ้วไหวตามสายลมเอื่อยๆ ยามบ่าย
ทั้งตลาดเงียบกริบ แม้เสียงเบาๆ ยังมิอาจดังเล็ดลอดออกมา แม้สายลมก็ยังมิกล้าพัดแรง พระเนตรคมวาวของ ฟาโรห์ใจหิน… กำลังทอดทัศนาลงมาอย่างไม่ลดละ แล้วเสียงเริ่มประมูลก็ดังขึ้น ท่ามกลางความเงียบนั้น...
“สิบแท่งทองคำ”
“สิบสอง”
“สิบห้า กับแก้วผลึกจากฟินิเชีย”
เสียงประมูลกำลังดังเซ็งแซ่ทั่วทั้งลาน แต่แล้ว...เสียงหนึ่งจากเบื้องบนก็ผุดดังกังวานเหนือเสียงใดใด...
“หยุดประมูล!!!”
ทุกสายตาหันขึ้นไปยังเบื้องบน ฟาโรห์เมเรนคาเร ลุกประทับยืน พระหัตถ์ยกขึ้น พระพักตร์สงบนิ่ง
“ด้วยอำนาจของเราแต่เพียงผู้เดียว!!! นางผู้นี้จะถูกส่งไปยังตำหนักบูรพา”
เสียงอุทานดังครางในหมู่ฝูงชน แต่ไม่มีผู้ใดกล้าคัดค้าน นักบรรยายคุกเข่าทันที
“นางจะถูกนำทูลถวายฝ่าพระบาทตามพระราชประสงค์...พระเจ้าข้า”
... ... ... ...
เสียงกระซิบท่ามกลางหมู่นางทาสภายในบริเวณตำหนักหลวงประจำทิศตะวันออก อัมพุชินีก้าวเข้ามาอย่างเงียบเชียบพร้อมนางเฒ่าและสาวน้อยวัยสิบหกปี ที่ตามมาคอยปรนนิบัติรับใช้เจ้านาย
กลุ่มนางทาสในเรือนพักท้ายสุดภายในบริเวณตำหนักหลวงแห่งนี้ พากันเล่าขานว่า พระราชวังทองคำ แห่งนี้ดั่งฮาเร็มของเหล่านางสนมจากทั่วทุกมุมของทวีป ฐานะของพวกนางเหล่านั้นมีทั้งเป็น บรรณาการ ของกำนัล หรือ แม้แต่เป็นเชลยจากอาณาจักรที่พ่ายแพ้
สำหรับอัมพุชินีนั้นถูกจัดอยู่ในกลุ่มนางทาสถูกประมูลจากตลาดกลางนครวาเซต จึงถูกกำหนดให้เข้าพักอาศัยที่เรือนพักภายในตำหนักเย็น ด้านหลังพระราชวังทองคำ ตำหนักเย็นแห่งนี้จัดไว้เป็นที่พักสำหรับเหล่าสนมที่ถูกลงโทษ นางทาสในที่แห่งนี้ทุกคนจึงถูกจัดให้มีหน้าที่รับใช้บรรดาสนมต้องโทษทั้งหลาย
ภารกิจแม้ไม่ได้มีอะไรมากมาย แต่อัมพุชินีกลายเป็นเป้าสายตาของบรรดาสนมที่ต้องการจับผิดเหล่านั้น
“นางทาสคนนั้น ทำไมจึงมีคนติดตาม” สนมนางหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างสงสัย
“ข้าไม่เข้าใจที่เจ้าถาม” สนมอีกนางที่เป็นพวกพ้องถามอย่างลังเล
“นางต้องเป็นหญิงสูงศักดิ์” นางคนแรกคาดเดาจากสายตาที่เห็น
“ได้ยินนางทาสที่ถูกประมูลมา... เล่าว่า นางปฏิเสธเป็น บรรณาการ ช่างเขลายิ่งนัก!!! ไม่มีผู้ใดกล้าปฏิเสธเช่นนี้” นางคนต่อมาเอ่ยขึ้นอย่างเย้ยหยัน
... ... ... ...
ค่ำวันนั้น ภายในตำหนักหลวงประจำทิศตะวันออก เสียงน้ำไหลจากลำธารประสานเสียงใบไม้ร่วงหล่นลงพื้นเบาๆ ท่ามกลางความเงียบสงัด อัมพุชินียืนอยู่ตรงกอบัวศักดิ์สิทธิ์ ร่างของเธอค์สวมชุดผ้าฝ้ายสีขาวเรียบ ผมปล่อยทอดยาว ร่างสูงโปร่งบอบบางกำลังรอผู้ยิ่งใหญ่ของตำหนักแห่งนี้
ประตูตำหนักเปิดออกอย่างช้า ๆ ฟาโรห์เมเรนคาเรก้าวเข้ามาเพียงลำพัง ไม่มีข้าราชบริพาร ไม่มีสนม หรือผู้ติดตาม พระเนตรสีอำพันของพระองค์จ้องมองอัมพุชินีอย่างสงบนิ่ง ความรู้สึกเย็นชาของกษัตริย์หนุ่มผู้นี้แผ่ซ่านไปทั่วทุกอณูภายในตำหนัก
นางทาสเช่นเธอถูกเรียกหาให้เข้าเฝ้าเพื่อรับใช้พระองค์ เป็นคืนแรกที่พระธิดาพลัดถิ่นกลายมาเป็นทาสต่ำต้อยภายใต้เงาของพระราชวังอันใหญ่โตแห่งนี้
“ใช่...พระองค์ที่ประมูลข้ามา เพราะเหตุอันใดกัน!!!” อัมพุชินีพึมพำอย่างใจเย็น
“ในโถงท้องพระโรงเมื่อวันวาน พระเนตรของพระองค์ที่จ้องข้า...น่าจะมีความลับปิดบังไม่ให้ผู้ใดรับรู้”
อัมพุชินีย้อนนึกถึงเรื่องราวตั้งแต่เธอถูกประมูล มาจนถึงวันวานที่ถูกเรียกให้เธอเงยหน้าขึ้นกลางท้องพระโรง แล้วรับสั่งให้นางทาสเช่นเธอเข้ามารับใช้พระองค์ถึงตำหนักบรรทมชั้นใน
นางทาสที่มีรูปหน้าอัปลักษณ์เช่นเธอ ไม่น่าจะได้รับสิทธิ์อันใดเลย แต่กลับถูกเรียกให้มารับใช้ ท่ามกลางเสียงซุบซิบกล่าวอ้างว่า ฟาโรห์หัวใจหิน พระองค์นี้ไม่เคยให้โอกาสนางทาสคนใดได้เข้าใกล้...แม้เพียงปลายพระบาทมาก่อน แต่เพราะเหตุใดนางทาสอัปลักษณ์เช่นนางผู้นี้ จึงได้รับโอกาส ณ ราตรีจันทราเต็มดวงในคืนนี้
“ฝ่าพระบาท…เพคะ” เสียงของอัมพุชินีบางเบาราวสายลม หัวใจของเธอสั่นไหวหวาดหวั่น
“เหตุใด เจ้าจึงไปอยู่ที่ตลาดประมูลนั่น” ฟาโรห์หนุ่มเชยคางเธอขึ้นเพื่อสบพระเนตรสีอำพันของพระองค์ ความจริงจะต้องถูกเปิดเผยจากปากของเธอเอง พระองค์จะไม่บังคับ
“ข้า... ข้า อัปลักษณ์เช่นนี้ พระองค์จะยอมรับให้ข้าอยู่ตำหนักสนม...รึ!!!” น้ำเสียงตะกุกตะกักตอบไม่เต็มคำ
“ข้ามิได้มองเพียงรูปลักษณ์ แม้เจ้าจักอัปลักษณ์เพียงใด แต่ข้าอยากให้เจ้าช่วย” พระสุรเสียงนุ่มทุ้มเอ่ยขอร้องเรียบเฉย ไม่มีทีท่าต้องการเธอให้มาสนองอารมณ์แต่ประการใด
“ฝ่าพระบาท ให้ข้าช่วยอันใด... หากมิได้เกินพละกำลังของข้า” อัมพุชินีเหลือบเห็นดวงเนตรเต็มไปด้วยความอยากรู้บางอย่าง
“เจ้ารู้จักวาดภาพ ใช่หรือไม่ ข้าสนใจลายเส้นบนแผ่นภาพ” พระพักตร์สีน้ำผึ้งมีสีเปลี่ยนไปเล็กน้อย เธอไม่รู้ว่าในใจของพระองค์กำลังคิดอะไรอยู่ หรือว่ากำลังอยากได้ความรู้ใหม่จากสาวดินแดนตะวันออก
“ข้าสนใจวาดภาพมาตั้งแต่เล็ก หากพระองค์อยากให้ข้าช่วย ข้ายินดีรับใช้...เพคะ” ขณะตอบดวงตาของสาวน้อยหลุบต่ำมองพื้นห้องหินอ่อนสีเทาหม่นดั่งฟ้าเยี่ยมยามโพล้เพล้
“เอ่อ...ข้ายังมิได้รู้ชื่อแท้จริงของเจ้าเลย” คำถามนี้ทำเอาเธอสะดุ้ง แล้วที่ตลาดประมูลนั่นเธอได้ยินประกาศชื่อนั้น... เป็นนามแฝงที่เธอจงใจ อัมพุชินีกำลังลังเลว่าจะยอมให้พระองค์เรียกเธอเช่นไรดี หรือว่า ... ทูลพระองค์ไปตามตรง
“พระองค์ เรียกชื่อข้าตามที่ประกาศกลางการประมูลนั่นเถิด...เพคะ”
“ข้าจักเรียกเจ้า... อัมพุ นับแต่คืนนี้ ข้าจักให้เจ้ามาที่ห้องบรรทมทุกคืน เว้นเสียแต่ว่า...” ฟาโรห์ร่างสูงโปร่งกำยำกำลังนึกไปถึงอะไรบางอย่าง
“อันใดรึ... ที่พระองค์ทรงห้ามข้า...” เธอยังต้องการข้อมูลบางอย่างเพิ่มเติมให้จบความในประโยคนั้น
“เว้นแต่... คืนที่ข้าหลับตั้งแต่ยามแรก” พระองค์มองปฏิกิริยาของหญิงสาวที่ก้มหน้าเพื่อรอคำรับสั่ง
“เพคะ... ข้ายินดีรับใช้ หากให้ข้ามาสอนวาดภาพ ข้าจักต้องไปหากระดาษและสี จากแห่งใด”
“ข้าจักหาให้เจ้าเอง” พระองค์ยังไม่ได้ไขปัญหาที่อยู่เบื้องลึกในใจ
“พระองค์มีปัญหาบรรทมไม่หลับ ใช่หรือไม่” เป็นคำถามที่ทำให้พระองค์นิ่ง ก่อน ตัดสินใจกล่าวอะไรออกมาบางอย่าง
“นี่คือความลับของข้า...” สีพระพักตร์ดูเจื่อนไป
“วางพระทัยเถิด... ข้าจักสอนพระองค์วาดภาพ เพื่อให้พระทัยได้พักผ่อน…เพคะ”
และในราตรีอันยาวนาน ณ ตำหนักทิศตะวันออกของฟาโรห์ แสงโคมน้ำมันสะท้อนผนังที่มีภาพของดอกบัว ภูเขา และจันทรา
สตรีผู้เคยเป็นพระธิดาแห่งแคว้นที่ล่มสลาย…
จะเริ่มต้นบทบาทใหม่ในฐานะ ‘นางทาสผู้วาดฝันขององค์ราชัน’

ค่ำคืนนี้ พระราชวังหลวงแห่งไอยคุปต์เรืองรองทอประกายแสงแห่งดวงตาเทพรา พระจันทร์ทรงกลดฉาบแสงเงินบนหลังคาทองคำของตำหนักทุกหลัง และในท่ามกลางอุทยานหลวงที่เงียบสงบ ท้องฟ้าดูเหมือนจะเฝ้ามองการเริ่มต้นของบริบทที่สำคัญยิ่ง ...ที่มีเพียงหัวใจสองดวงเท่านั้นที่เข้าใจความหมายในท่วงทำนองความเป็นไปอัมพุชินี ยืนอยู่หน้าตำหนักขนาดย่อมติดสวนบัวหลวง ที่เพิ่งได้รับพระราชทานจากฟาโรห์เมเรนคาเร พร้อมตราตำแหน่ง "จิตรกรหลวงแห่งไอยคุปต์" เธอเป็นหญิงทาสคนแรกในหน้าประวัติศาสตร์ของพระราชวังทองคำแห่งนี้คำกล่าวขานนี้ไม่ใช่เพียงชื่อเรียก หากคือ 'เกียรติยศ' ที่ไม่มีนางทาสนางใดในไอยคุปต์เคยได้ครอบครองมาก่อนพื้นที่ทำงานภายในตำหนักที่นางได้รับนั้นไม่ได้กว้างใหญ่ แต่ทว่าเต็มไปด้วยแสงเทียน กลิ่นบัวหลวง และพู่กันที่จัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบบนโต๊ะหินมีผืนผ้าเปลือกไม้จากแคว้นอียาเทป รอให้ศิลปะจากปลายนิ้วเรียวของเธอมอบชีวิตให้อย่างมีสีสัน“ตำแหน่งนี้...หาใช่เพื่อข้าแต่ผู้เดียว...”อัมพุชินีพึมพำ...“หากเพื่อแคว้นที่ล่มสลาย เพื่อพระบิดา เพื่อความทรงจำที่มิอาจถูกลบเลือน”ในขณะเดียวกัน ฟาโรห์เมเรนคาเร เสด็จกลับสู่ตำหนักปร
ยามราตรีปกคลุมดินแดนไอยคุปต์อีกครา... แม้ดวงจันทร์จะส่องแสงเหนือแม่น้ำไนล์ หากแต่มิอาจกลบเงามืดแห่งริษยาและเพลิงอิจฉาที่ค่อย ๆ ก่อตัวในพระราชวังหลวงข่าวลือเรื่อง ‘นางทาสจากแดนชมพูทวีป’ ผู้ทำให้ฟาโรห์เมเรนคาเร ทรงเปลี่ยนจากความเฉยชา เป็นพระราชาที่ทรงเริ่มยิ้มแย้มและมีพระบัญชากับนางผู้นี้ถี่บ่อยยิ่งนัก... ได้แพร่กระจายไปราวไฟลามต้นกกและภายในห้องสนมเอก ที่ซ่อนตัวอยู่ในตำหนักกลางอันงดงามระยับนั้นเอง กลิ่นชาดหอมกรุ่นจรุง... ปะปนกับกลิ่นความเคลือบแคลงใจ“เจ้าเห็นหรือไม่... ฟาโรห์มิทรงทอดพระเนตรพวกเราอีกต่อไป...” สุ้มเสียงของ ‘เนเฟรตารี’ สนมเอกแห่งวังหลวง ทายาทของตระกูลขุนนางสูงศักดิ์จากเมืองเธบส์ เอ่ยขึ้นด้วยความร้อนรุ่ม กระวนกระวาย“แต่ทรงวาดภาพดอกบัว… หัวร่อต่อกระซิกกับนางทาสไร้ตัวตนจากแคว้นล่มสลาย!!!” สนมอีกผู้หนึ่งกล่าวเสริมเสียงแหลมเจือพิษริษยา สายตาดุร้ายจิกมองออกไปยังนอกตำหนักสนมที่อยู่รวมกันนับสิบคน นางมักสอพลอยกยอสนมเอกอยู่เนืองๆ และเพียรพยายามยกตนข่มสนมบรรณาการต่างถิ่นต่างแดนอยู่ตลอด และไม่ยอมน้อยหน้าและลงให้สนมคนใด... ยกเว้นสนมเอกเนเฟรตารี เท่านั้นในตำหนักกลางที่พำนักของเหล่าส
ค่ำคืนแห่งไอยคุปต์…... ... ... ...ม่านรัตติกาลทาบทอลงเหนือมหาปิรามิดอันสูงตระหง่าน พระจันทร์ดวงโตลอยคล้อยเหนือแม่น้ำไนล์ เปล่งแสงนวลกระทบผืนน้ำส่องประกายระยิบ ไออุ่นของสายลมแห่งทะเลทรายพัดเบา ๆ ผ่านซุ้มไม้ดอกของพระตำหนักทิศตะวันออก ขับเอากลิ่นบัวหลวงหอมกรุ่นละมุนชวนให้จิตได้เพลิดเพลินผ่อนคลายอัมพุชินี นางทาสจากแดนชมพูทวีป ยังคงดำรงตนอย่างเรียบง่ายในสถานะอันต่ำต้อย หากแต่ในค่ำคืนนี้ เธอกลับได้รับพระบัญชาให้เข้าเฝ้าฟาโรห์เมเรนคาเร ณ ห้องบรรทมส่วนพระองค์ด้วยเหตุผลหนึ่ง…“ฝ่าพระบาท คืนนี้ทรงบรรทมไม่หลับอีกหรือ...เพคะ” เธอเอ่ยเสียงแผ่วเบาขณะก้มกราบแนบพื้นหินอ่อนเบื้องหน้าฟาโรห์เมเรนคาเร มิได้ทรงสนพระทัยในความอ่อนน้อมนั้นนัก พระวรกายอันสูงสง่าเอนพิงแท่นหินสลักรูปเทพอนูบิส พระเนตรหม่นหมองยิ่งนักจนแลคล้ายแสงเปลวเทียนริบหรี่ใกล้ดับ“ข้าหลับตาลงมิได้… แม้นหลับลงได้คราใด ดวงจิตกลับกระตุกหวั่นไหวดั่งถูกปีศาจร้ายไล่ล่าในความฝัน”“ขอพระองค์...รับการถวายพระโอสถสมุนไพร จักชะลอความว้าวุ่นในพระทัยลงได้...เพคะ” อัมพุชินีกล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉยอัมพุชินีมิได้รอช้า นางเปิดหีบยาไม้จันทน์หอมที่นำติดตัว
ณ ตลาดทาสนคร ‘วาเซต’... ... ... ...เสียงกลองและพิณจากพื้นเมืองไอยคุปต์ดังคลอไปทั่วนครวาเซต เมืองหลวงเก่าแก่แห่งแคว้นบนของอียิปต์ ซึ่งตั้งอยู่ตามริมฝั่งแม่น้ำไนล์ พระอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำ รัศมีสีทองอ่อนเริ่มแต่งแต้มแนวเสาศิลาแห่งวิหารเพธา และกลิ่นกำยานลอยฟุ้งขจายไปในอากาศราวกับเป็นฤกษ์ยินดีได้ต้อนรับผู้มาใหม่อัมพุชินีอยู่ในกลุ่มทาสชั้นสูงที่รอคอยการนำขึ้นประมูลในลานกลางของตลาด นครวาเซต นั้นขึ้นชื่อว่าเป็น นครแห่งการค้าขาย ทั้งทองคำ ไข่มุก เครื่องหอม และชีวิตมนุษย์เหล่าทาสจากดินแดนต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นนูเบีย ลิเบีย ชาวฮิตไทต์ หรือ ชาวเปอร์เซีย ต่างก็ถูกจัดแบ่งโดยผู้ดูแลตลาดตามคุณลักษณะพิเศษอัมพุชินีมิใช่เพียงหญิงสาวผู้สูงศักดิ์ หากแต่กายเปล่งประกายด้วยความสง่างามที่ไม่อาจปฏิเสธ เส้นผมยาวดำขลับ ริมฝีปากชมพูอ่อนระเรื่อดั่งธรรมชาติ และเรียวดวงตาประดุจกลีบบัวบาน จึงมิอาจหลีกเลี่ยงสายตาของนายตลาดผู้มากอำนาจ“นางคือ 'บรรณาการจากอารยัน' ใช่หรือไม่” เสียงชายวัยกลางคนกล่าวขึ้นพลางเดินสำรวจ“ถูกแล้ว ขอรับ” เสียงผู้ดูแลคาราวานตอบ “ธิดาแห่งกัมโพชน์”“จงอย่าทำร้ายผิวของนาง อย่าให้มีรอยช้ำแม้เพียงป
“พระธิดา!!! เสด็จเร็วเพคะ ประตูทิศตะวันตกพังแล้ว…!!!”... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ...เสียงกลองศึกดังกึกก้องไปทั่วพื้นพสุธา ราวฟ้าระเบิดกลางวันแสกๆ สายลมตะวันตกพัดแรง กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งปะปนกับกลิ่นธูปหอมจากวิหารกลางนคร เสียงสวดบวงสรวงของพราหมณ์มิอาจกลบเสียงคำรามของศัตรูที่กำลังไล่บดขยี้เข้าใกล้กำแพงหลวงพระราชวังสุบรรณนาฏราช แห่งนครทวารกะ ซึ่งตั้งอยู่เหนือเนินศิลาทอง คือ ศูนย์กลางแห่ง ราชอาณาจักรกัมโพชน์ ดินแดนแห่งอารยธรรมชมพูทวีปอันรุ่งโรจน์ สง่างดงามราวภาพวาดแห่งห้วงจินตนาการ ทว่าบัดนี้ ทั้งสายน้ำ ศิลา และวังหลวงกลับต้องสะท้านสะเทือนด้วยรอยเท้าของม้าศึกแห่งกองทัพอารยัน“ขอประทานอภัยเพคะ พระธิดาอย่าเสด็จไปด้านนอกเลยเพคะ ภายนอกนั่นหาใช่ที่สำหรับพระองค์ไม่…!!!”เสียงวิงวอนของนางข้าหลวงผู้ชราสั่นเครือขณะหมอบกราบอยู่แทบบาทของ พระธิดา อัมพุชินี พระธิดาองค์สุดท้องใน ราชาธิบดีสิวราช แห่งกัมโพชน์พระธิดามิได้ตรัสตอบ ดวงเนตรอ่อนละมุนดำขลับเต็มไปน้ำพระเนตร แต่ดำเนินอย่างสง่างามประหนึ่งนางอัปสรบนชั้นฟ้า เส้นพระเกศาดำยาวดุจใยไหมสะบัดตามแรงลม ส่า








