Masukณ ตลาดทาสนคร ‘วาเซต’
... ... ... ...
เสียงกลองและพิณจากพื้นเมืองไอยคุปต์ดังคลอไปทั่วนครวาเซต เมืองหลวงเก่าแก่แห่งแคว้นบนของอียิปต์ ซึ่งตั้งอยู่ตามริมฝั่งแม่น้ำไนล์ พระอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำ รัศมีสีทองอ่อนเริ่มแต่งแต้มแนวเสาศิลาแห่งวิหารเพธา และกลิ่นกำยานลอยฟุ้งขจายไปในอากาศราวกับเป็นฤกษ์ยินดีได้ต้อนรับผู้มาใหม่
อัมพุชินีอยู่ในกลุ่มทาสชั้นสูงที่รอคอยการนำขึ้นประมูลในลานกลางของตลาด นครวาเซต นั้นขึ้นชื่อว่าเป็น นครแห่งการค้าขาย ทั้งทองคำ ไข่มุก เครื่องหอม และชีวิตมนุษย์
เหล่าทาสจากดินแดนต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นนูเบีย ลิเบีย ชาวฮิตไทต์ หรือ ชาวเปอร์เซีย ต่างก็ถูกจัดแบ่งโดยผู้ดูแลตลาดตามคุณลักษณะพิเศษ
อัมพุชินีมิใช่เพียงหญิงสาวผู้สูงศักดิ์ หากแต่กายเปล่งประกายด้วยความสง่างามที่ไม่อาจปฏิเสธ เส้นผมยาวดำขลับ ริมฝีปากชมพูอ่อนระเรื่อดั่งธรรมชาติ และเรียวดวงตาประดุจกลีบบัวบาน จึงมิอาจหลีกเลี่ยงสายตาของนายตลาดผู้มากอำนาจ
“นางคือ 'บรรณาการจากอารยัน' ใช่หรือไม่” เสียงชายวัยกลางคนกล่าวขึ้นพลางเดินสำรวจ
“ถูกแล้ว ขอรับ” เสียงผู้ดูแลคาราวานตอบ “ธิดาแห่งกัมโพชน์”
“จงอย่าทำร้ายผิวของนาง อย่าให้มีรอยช้ำแม้เพียงปลายนิ้ว” ชายผู้นั้นกล่าวอย่างเร่งร้อน
“นางจักขึ้นกลางลานในยามบ่าย แดดยามนั้นงามขับกับสีผิวนาง”
เหล่าทาสถูกแบ่งเข้าสู่คอกเล็กคอกน้อย อัมพุชินีถูกพาไปยังกระโจมประดับผ้ากรองแสงซึ่งใช้สำหรับการแต่งองค์ทรงเครื่อง เธอมิได้ขัดขืน หากแต่เพียงนิ่งเงียบขณะข้าหลวงรับใช้ชาวกัมโพชน์ต์สองคน กำลังล้างหน้าและจัดทรงผมให้อย่างเบามือ แต่เธอขอร้องให้ทั้งสองนางปกปิดรูปโฉมของใบหน้าอันงดงามด้วยปานดำจากดินหม้อ ขณะนี้เธอต้องการเข้ามาอยู่ในดินแดนแห่งนี้โดยปราศจากตัวตนแท้จริง
“อันใดจึงหลอกพระองค์เองด้วย” หญิงรับใช้กระซิบถามเบา ๆ ขณะเปลี่ยนเครื่องแต่งกายให้อัมพุชินีกลายเป็นคนธรรมดาสามัญ แถมยังมีใบหน้าไม่น่ามองอีก
“หากฝ่าบาททรงทอดพระเนตรเห็นพระองค์ในวันนี้ บางที...” อีกคนหนึ่งกล่าวยังไม่ทันจบ
พระธิดามิได้ตอบกลับ ได้แต่เหม่อมองออกไปยังเบื้องนอก ผ่านผ้าขาวบางที่พลิ้วไหวจากแรงลมทะเลทราย
ลานกลางตลาดเริ่มเต็มไปด้วยกลุ่มชนชั้นสูง พ่อค้า คหบดี และขุนนางต่างพากันจับจองที่นั่ง เพื่อประมูลทาสพิเศษประจำรอบวาระ จันทราเต็มดวง เสียงของนักบรรยายดังแว่วมาจากเวทีไม้ยกพื้นสูง
“...นางทาสผู้นี้ จากแดนฟากฝั่งตะวันออกไกล แม้ใบหน้าอัปลักษณ์ แต่มีความรู้สมุนไพร ศิลปะ และภาษาบูรพา นางยังสามารถจำแนกเสียงของ สายลม และกลิ่นของดอกไม้ เพียงแค่หลับตา...”
ท่ามกลางเสียงฮือฮาดังขึ้นในหมู่ผู้ชม ณ มุมสูงของอัฒจันทร์ ฟาโรห์เมเรนคาเรประทับอยู่ภายใต้ฉัตรทองคำ พระพักตร์ยังคงเคร่งขรึม ดวงเนตรจับจ้องเวทีเบื้องล่างเป็นระยะ
และในวินาทีนั้นเอง...เมื่อม่านไหมสีฟ้าถูกเปิดออก ร่างของอัมพุชินีปรากฏในแสงตะวันอ่อนยามบ่าย เสื้อผ้าเรียบง่ายมิได้มีอันใดที่จะเน้นความงามจับตาของพระธิดาจากแดนไกล ผ้าโพกศีรษะประดับด้วยดอกบัวอบแห้ง ผ้าสไบผืนโตสีอิฐหม่นคลุมชุดส่าหรีไว้ข้างใน กำลังพลิ้วไหวตามสายลมเอื่อยๆ ยามบ่าย
ทั้งตลาดเงียบกริบ แม้เสียงเบาๆ ยังมิอาจดังเล็ดลอดออกมา แม้สายลมก็ยังมิกล้าพัดแรง พระเนตรคมวาวของ ฟาโรห์ใจหิน… กำลังทอดทัศนาลงมาอย่างไม่ลดละ แล้วเสียงเริ่มประมูลก็ดังขึ้น ท่ามกลางความเงียบนั้น...
“สิบแท่งทองคำ”
“สิบสอง”
“สิบห้า กับแก้วผลึกจากฟินิเชีย”
เสียงประมูลกำลังดังเซ็งแซ่ทั่วทั้งลาน แต่แล้ว...เสียงหนึ่งจากเบื้องบนก็ผุดดังกังวานเหนือเสียงใดใด...
“หยุดประมูล!!!”
ทุกสายตาหันขึ้นไปยังเบื้องบน ฟาโรห์เมเรนคาเร ลุกประทับยืน พระหัตถ์ยกขึ้น พระพักตร์สงบนิ่ง
“ด้วยอำนาจของเราแต่เพียงผู้เดียว!!! นางผู้นี้จะถูกส่งไปยังตำหนักบูรพา”
เสียงอุทานดังครางในหมู่ฝูงชน แต่ไม่มีผู้ใดกล้าคัดค้าน นักบรรยายคุกเข่าทันที
“นางจะถูกนำทูลถวายฝ่าพระบาทตามพระราชประสงค์...พระเจ้าข้า”
... ... ... ...
เสียงกระซิบท่ามกลางหมู่นางทาสภายในบริเวณตำหนักหลวงประจำทิศตะวันออก อัมพุชินีก้าวเข้ามาอย่างเงียบเชียบพร้อมนางเฒ่าและสาวน้อยวัยสิบหกปี ที่ตามมาคอยปรนนิบัติรับใช้เจ้านาย
กลุ่มนางทาสในเรือนพักท้ายสุดภายในบริเวณตำหนักหลวงแห่งนี้ พากันเล่าขานว่า พระราชวังทองคำ แห่งนี้ดั่งฮาเร็มของเหล่านางสนมจากทั่วทุกมุมของทวีป ฐานะของพวกนางเหล่านั้นมีทั้งเป็น บรรณาการ ของกำนัล หรือ แม้แต่เป็นเชลยจากอาณาจักรที่พ่ายแพ้
สำหรับอัมพุชินีนั้นถูกจัดอยู่ในกลุ่มนางทาสถูกประมูลจากตลาดกลางนครวาเซต จึงถูกกำหนดให้เข้าพักอาศัยที่เรือนพักภายในตำหนักเย็น ด้านหลังพระราชวังทองคำ ตำหนักเย็นแห่งนี้จัดไว้เป็นที่พักสำหรับเหล่าสนมที่ถูกลงโทษ นางทาสในที่แห่งนี้ทุกคนจึงถูกจัดให้มีหน้าที่รับใช้บรรดาสนมต้องโทษทั้งหลาย
ภารกิจแม้ไม่ได้มีอะไรมากมาย แต่อัมพุชินีกลายเป็นเป้าสายตาของบรรดาสนมที่ต้องการจับผิดเหล่านั้น
“นางทาสคนนั้น ทำไมจึงมีคนติดตาม” สนมนางหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างสงสัย
“ข้าไม่เข้าใจที่เจ้าถาม” สนมอีกนางที่เป็นพวกพ้องถามอย่างลังเล
“นางต้องเป็นหญิงสูงศักดิ์” นางคนแรกคาดเดาจากสายตาที่เห็น
“ได้ยินนางทาสที่ถูกประมูลมา... เล่าว่า นางปฏิเสธเป็น บรรณาการ ช่างเขลายิ่งนัก!!! ไม่มีผู้ใดกล้าปฏิเสธเช่นนี้” นางคนต่อมาเอ่ยขึ้นอย่างเย้ยหยัน
... ... ... ...
ค่ำวันนั้น ภายในตำหนักหลวงประจำทิศตะวันออก เสียงน้ำไหลจากลำธารประสานเสียงใบไม้ร่วงหล่นลงพื้นเบาๆ ท่ามกลางความเงียบสงัด อัมพุชินียืนอยู่ตรงกอบัวศักดิ์สิทธิ์ ร่างของเธอค์สวมชุดผ้าฝ้ายสีขาวเรียบ ผมปล่อยทอดยาว ร่างสูงโปร่งบอบบางกำลังรอผู้ยิ่งใหญ่ของตำหนักแห่งนี้
ประตูตำหนักเปิดออกอย่างช้า ๆ ฟาโรห์เมเรนคาเรก้าวเข้ามาเพียงลำพัง ไม่มีข้าราชบริพาร ไม่มีสนม หรือผู้ติดตาม พระเนตรสีอำพันของพระองค์จ้องมองอัมพุชินีอย่างสงบนิ่ง ความรู้สึกเย็นชาของกษัตริย์หนุ่มผู้นี้แผ่ซ่านไปทั่วทุกอณูภายในตำหนัก
นางทาสเช่นเธอถูกเรียกหาให้เข้าเฝ้าเพื่อรับใช้พระองค์ เป็นคืนแรกที่พระธิดาพลัดถิ่นกลายมาเป็นทาสต่ำต้อยภายใต้เงาของพระราชวังอันใหญ่โตแห่งนี้
“ใช่...พระองค์ที่ประมูลข้ามา เพราะเหตุอันใดกัน!!!” อัมพุชินีพึมพำอย่างใจเย็น
“ในโถงท้องพระโรงเมื่อวันวาน พระเนตรของพระองค์ที่จ้องข้า...น่าจะมีความลับปิดบังไม่ให้ผู้ใดรับรู้”
อัมพุชินีย้อนนึกถึงเรื่องราวตั้งแต่เธอถูกประมูล มาจนถึงวันวานที่ถูกเรียกให้เธอเงยหน้าขึ้นกลางท้องพระโรง แล้วรับสั่งให้นางทาสเช่นเธอเข้ามารับใช้พระองค์ถึงตำหนักบรรทมชั้นใน
นางทาสที่มีรูปหน้าอัปลักษณ์เช่นเธอ ไม่น่าจะได้รับสิทธิ์อันใดเลย แต่กลับถูกเรียกให้มารับใช้ ท่ามกลางเสียงซุบซิบกล่าวอ้างว่า ฟาโรห์หัวใจหิน พระองค์นี้ไม่เคยให้โอกาสนางทาสคนใดได้เข้าใกล้...แม้เพียงปลายพระบาทมาก่อน แต่เพราะเหตุใดนางทาสอัปลักษณ์เช่นนางผู้นี้ จึงได้รับโอกาส ณ ราตรีจันทราเต็มดวงในคืนนี้
“ฝ่าพระบาท…เพคะ” เสียงของอัมพุชินีบางเบาราวสายลม หัวใจของเธอสั่นไหวหวาดหวั่น
“เหตุใด เจ้าจึงไปอยู่ที่ตลาดประมูลนั่น” ฟาโรห์หนุ่มเชยคางเธอขึ้นเพื่อสบพระเนตรสีอำพันของพระองค์ ความจริงจะต้องถูกเปิดเผยจากปากของเธอเอง พระองค์จะไม่บังคับ
“ข้า... ข้า อัปลักษณ์เช่นนี้ พระองค์จะยอมรับให้ข้าอยู่ตำหนักสนม...รึ!!!” น้ำเสียงตะกุกตะกักตอบไม่เต็มคำ
“ข้ามิได้มองเพียงรูปลักษณ์ แม้เจ้าจักอัปลักษณ์เพียงใด แต่ข้าอยากให้เจ้าช่วย” พระสุรเสียงนุ่มทุ้มเอ่ยขอร้องเรียบเฉย ไม่มีทีท่าต้องการเธอให้มาสนองอารมณ์แต่ประการใด
“ฝ่าพระบาท ให้ข้าช่วยอันใด... หากมิได้เกินพละกำลังของข้า” อัมพุชินีเหลือบเห็นดวงเนตรเต็มไปด้วยความอยากรู้บางอย่าง
“เจ้ารู้จักวาดภาพ ใช่หรือไม่ ข้าสนใจลายเส้นบนแผ่นภาพ” พระพักตร์สีน้ำผึ้งมีสีเปลี่ยนไปเล็กน้อย เธอไม่รู้ว่าในใจของพระองค์กำลังคิดอะไรอยู่ หรือว่ากำลังอยากได้ความรู้ใหม่จากสาวดินแดนตะวันออก
“ข้าสนใจวาดภาพมาตั้งแต่เล็ก หากพระองค์อยากให้ข้าช่วย ข้ายินดีรับใช้...เพคะ” ขณะตอบดวงตาของสาวน้อยหลุบต่ำมองพื้นห้องหินอ่อนสีเทาหม่นดั่งฟ้าเยี่ยมยามโพล้เพล้
“เอ่อ...ข้ายังมิได้รู้ชื่อแท้จริงของเจ้าเลย” คำถามนี้ทำเอาเธอสะดุ้ง แล้วที่ตลาดประมูลนั่นเธอได้ยินประกาศชื่อนั้น... เป็นนามแฝงที่เธอจงใจ อัมพุชินีกำลังลังเลว่าจะยอมให้พระองค์เรียกเธอเช่นไรดี หรือว่า ... ทูลพระองค์ไปตามตรง
“พระองค์ เรียกชื่อข้าตามที่ประกาศกลางการประมูลนั่นเถิด...เพคะ”
“ข้าจักเรียกเจ้า... อัมพุ นับแต่คืนนี้ ข้าจักให้เจ้ามาที่ห้องบรรทมทุกคืน เว้นเสียแต่ว่า...” ฟาโรห์ร่างสูงโปร่งกำยำกำลังนึกไปถึงอะไรบางอย่าง
“อันใดรึ... ที่พระองค์ทรงห้ามข้า...” เธอยังต้องการข้อมูลบางอย่างเพิ่มเติมให้จบความในประโยคนั้น
“เว้นแต่... คืนที่ข้าหลับตั้งแต่ยามแรก” พระองค์มองปฏิกิริยาของหญิงสาวที่ก้มหน้าเพื่อรอคำรับสั่ง
“เพคะ... ข้ายินดีรับใช้ หากให้ข้ามาสอนวาดภาพ ข้าจักต้องไปหากระดาษและสี จากแห่งใด”
“ข้าจักหาให้เจ้าเอง” พระองค์ยังไม่ได้ไขปัญหาที่อยู่เบื้องลึกในใจ
“พระองค์มีปัญหาบรรทมไม่หลับ ใช่หรือไม่” เป็นคำถามที่ทำให้พระองค์นิ่ง ก่อน ตัดสินใจกล่าวอะไรออกมาบางอย่าง
“นี่คือความลับของข้า...” สีพระพักตร์ดูเจื่อนไป
“วางพระทัยเถิด... ข้าจักสอนพระองค์วาดภาพ เพื่อให้พระทัยได้พักผ่อน…เพคะ”
และในราตรีอันยาวนาน ณ ตำหนักทิศตะวันออกของฟาโรห์ แสงโคมน้ำมันสะท้อนผนังที่มีภาพของดอกบัว ภูเขา และจันทรา
สตรีผู้เคยเป็นพระธิดาแห่งแคว้นที่ล่มสลาย…
จะเริ่มต้นบทบาทใหม่ในฐานะ ‘นางทาสผู้วาดฝันขององค์ราชัน’
ยามราตรีในนครวาเซตเงียบสงัดกว่าทุกคืนที่ผ่านมา แสงจันทร์เต็มดวงทอดเงาแสงสีเงินงามลงบนกลีบบัวหลวงที่ลอยอยู่เหนือผิวน้ำแห่งสระบัวข้างพระตำหนักทรงบรรทม สายลมบางเบาหอบไออบอุ่นจากแม่น้ำไนล์ พัดโชยเอากลิ่นดอกบัวนิลุบลสีฟ้าครามลอดผ่านม่านประตูด้านหน้าของของตำหนักชั้นในเคล้ากลิ่นสมุนไพรให้ลอยตลบอยู่ภายในห้องนอนของอัมพุชินีภายในห้องเล็กของตำหนักเคยเป็นที่ประทับรับรององค์ฟาโรห์ยามดึกสงัดคราพระองค์ทรงกลัดกลุ้มในพระทัย และเป็นที่ซึ่งเพลงรักของพระองค์กับอัมพุชินีได้บรรเลงขึ้นอย่างไพเราะผสมผสานเสียงพิณซึ่งขับขานอยู่ทุกชั่วยามในทุกราตรีอันแสนหวานแต่มาบัดนี้เต็มไปด้วยความหม่นหมองตรอมตรมของการจากลา แม้ไม่มีถ้อยคำใดเปล่งออกมา แต่กลับดังอยู่ในทุกจังหวะเต้นกลางหัวใจของหญิงสาวบนโต๊ะไม้หอมมีจดหมายผืนเล็กพับวางอยู่ข้างแท่นประทีป ด้านบนเขียนด้วยลายมือที่สั่นเทา“ขอทรงประทานอภัย ที่ข้ากระหม่อมจากไปโดยมิได้ทูลลา”หยาดน้ำตาหลายหยดร่วงลงประทับบนลายหมึกนั้น คือเครื่องหมายแทนหัวใจที่แสนทุกข์ทรมานยากต่อการจากลาเสียเหลือเกินณ ราตรีนั้น การตัดสินใจของอัมพุชินีเด็ดเดี่ยว ยากจะฉุดรั้ง...ก่อนหน้าเพียงไม่กี่ชั่วยาม
รุ่งอรุณแห่งวันใหม่งดงามด้วยแสงสีทองซึ่งปกคลุมขอบฟ้าเหนือบริเวณพระราชวังหลวง เสียงสวดสรรเสริญพระนามเทพเจ้าดังกังวานจากลานหินกว้างหน้าวิหาร ‘เมเนเฟอร์' วิหารศักดิ์สิทธิ์ภายในเขตชั้นในของพระราชวังของนครวาเซตแห่งนี้ อันเป็นที่ประดิษฐานรูปเคารพของ 'เทพเฮกา' เทพแห่งเวทมนตร์และพลังชีวิตกลิ่นหอมจากยางไม้เมอร์และอบเชยลอยตลบอบอวล แสงประทีปพันดวงสะท้อนบนกำแพงหินแกะสลักลวดลายเทพผู้ถือคทาเวท ด้านในสุดของวิหารเป็นบัลลังก์ศิลาสำหรับประกอบพิธี เรียก ‘กะ’ พลังแห่งชีวิตคืนสู่ร่างของผู้ที่ผ่านพ้นความเจ็บป่วยหรือภัยร้ายพระมารดาเงา ‘ติเยนา’ ซึ่งป่วยด้วยพิษสะสมมานานหลายเดือน วันนี้ลุกขึ้นได้ด้วยกำลังใจ และความช่วยเหลือจากอัมพุชินี นางผู้ถูกกล่าวหาแต่กลับมอบทั้งแรงกายและความรักอันซื่อบริสุทธิ์เพื่อเยียวยาเสียงฆ้องดังขึ้นเป็นจังหวะ ข้าราชบริพารสวมผ้าลินินสีขาวเดินเรียงแถวเข้าไปภายในวิหาร กลีบดอกบัวหลวงสีฟ้าเข้มแกมชมพูอ่อนถูกวางเรียงรายตามทางลาดพระบาท ประดุจลานเคลือบเงาสีฟ้าเจือชมพูสลับไปตลอดเส้นทางอัมพุชินี กำลังจัดเตรียมโถน้ำปรุงจากผงบดละเอียดของไพรเวชศักดิ์สิทธิ์ของ ดอกมะลิ ดอกบัว และใบมะตูมจากดินแดนต
แม้ลมราตรี ณ ยามค่ำคืนนี้ จะพัดหอบไอเย็นเอื่อยๆ ลอดตามบานประตูหน้าต่างของราชวังทองคำแห่งนี้ แต่ภายในหทัยร้อนรุ่มของ ฟาโรห์เมเรนคาเร นั้น...ยังหาความสงบลงมิได้เลยแม้แต่น้อยภัยในเงามืดยังคงแทรกซึมอยู่ อันตรายคืบคลานมาจากคนใกล้ตัว ไม่ว่าจากสนม เสนาบดี ขุนนาง และแม้กระทั่งนางกำนัลในตำหนัก ขณะที่พระมารดาเงายังคงอ่อนแรงด้วยพิษสะสม ซึ่งยังไม่รู้ว่าเป็นฝีมือของนางใด พระองค์ทรงรับรู้แน่ชัดแล้วว่า ศึกครั้งนี้มิใช่ศึกประจัญหน้ากับคมดาบของศัตรู แต่คือศึกพิษร้ายที่แฝงเงาลับไว้ในทุกย่างก้าวภายในห้องทรงอักษร แสงประทีปพลิ้วไหวลู่ไปตามแรงลมโชยมาอ่อนๆ เงาที่ปรากฎบนผนังโยกคล้ายอำนาจลึกลับกำลังเริงระบำอย่างปรีดา อัมพุชินีนิ่งเงียบหมอบอยู่เบื้องพระบาทหน้าแท่นประทับขององค์ฟาโรห์ มือเรียวประคองพู่กันไม้ ดวงตาเธอเหลือบไปยังผืนผ้าเปลือกไม้ที่ยังมิได้แต้มสีใดใด ด้วยในใจของเธอยังเต็มไปด้วยความว้าวุ่นหาความสงบลงไม่ได้เฉกเช่นกัน“ฝ่าพระบาท... ข้ากระหม่อมเกรงว่าข่าวลือทั้งหลายจักก่อภัยใหญ่หลวง” เสียงสั่นแผ่วเบาเอ่ยขึ้นเมเรนคาเรทอดพระเนตรมายังสาวน้อยที่บัดนี้ได้กำหทัยของพระองค์ไปหมดแล้ว แววพระเนตรแสนเหนื่อยล้าแต
แสงตะวันสีทองอมส้มคล้อยต่ำบนเหนือแม่น้ำไนล์ ต้องผิวน้ำเปล่งประกายระยิบระยับ แต่ในความสงบแห่งยามเย็นนั้นกลับเต็มไปด้วยความกังวลสุมอยู่กลางพระทัยของฟาโรห์เมเรนคาเร มานานหลายคืนแล้วข่าวลือภายในตำหนักพระมารดาเงา...แม่นมผู้เก็บงำความลับของราชวงศ์ฟาโรห์แห่งธีบส์ มีอาการอ่อนแรงลงอย่างผิดปกติวิสัย อาการนั้นมิอาจอธิบายได้ว่ามาจากโรคหรือเหตุอันใดภายในห้องโอสถแห่งวังหลวง สมุนไพรและเครื่องยาปรุงโชยกรุ่นกลิ่นจากความหอมอ่อนๆ ของบัวหลวงที่เคยเป็นเครื่องหมายแห่งความสงบ แต่มาบัดนี้กลับกลายเป็นกลิ่นที่นำพาความหวาดระแวงมาเกาะกุมในหทัย ฟาโรห์ทอดพระเนตรไปยังอัมพุชินี เธอหมอบหน้าลงกับพื้นเบื้องพระบาท มิได้เอื้อนเอ่ยสิ่งใดนอกจากนิ่งเงียบ ปล่อยให้หัวใจเต้นระส่ำไปตามแรงกดดันค่ำคืนนี้พระองค์เสด็จมาทอดพระเนตรการปรุงโอสถด้วยพระองค์เอง และทรงรับน้ำปรุงโอสถจากบัวหลวงต้ม และยังทรงสำรวจการต้มโอสถสมุนไพรที่นำมาจากดินแดนตะวันออก ซึ่งชาวกัมโพชน์ใช้รักษาโลหิตเป็นพิษ เปลือกจากต้นไม้นามว่า ‘จามูน’ นำมาบดผสมกับโกฐน้ำเต้าเจือความหอมละมุนของไม้กฤษณา เพื่อรักษาโรคพิษคั่งค้างสะสมของพระมารดาเงาอัมพุชินีได้เดินตามฟาโรห์ออกมา
ดวงจันทร์เสี้ยวลอยเด่นเหนือหอคอยศิลาสูงตระหง่าน ได้ทอดเงาพระราชวังทองคำอันงดงามลงบนผืนทรายกว้างใหญ่ สายลมพัดพาความหนาวเย็นเข้ามาภายในราชวังหลวง ในค่ำคืนเงียบสงัดยามนี้...ดูผิดไปจากทุกวัน ฟาโรห์เมเรนคาเรประทับอยู่ภายในพระตำหนักทรงบรรทม พระพักตร์นิ่งสงบ พระเนตรฉายแววความกังวลในพระทัย ราตรีนี้พระองค์ทรงรับสั่งให้อัมพุชินีกลับไปยังตำหนักของเธอทันที หลังจากทรงรับน้ำปรุงโอสถต้มจากดอกบัวหลวงแล้ว ทั้งยังทรงปฏิเสธการเรียนวาดภาพศิลปะอัมพุชินีเข้าใจถึงหทัยที่ทรงแบกรักอย่างหนักหน่วง ด้วยข้อท้วงติงว่า...เข้าข้างเธอโดยไม่ฟังคำเตือนจากเหล่าเสนาบดี และ สนมเอกอย่าง ...เนเฟรตารี นางผู้มาจากตระกูลสูงศักดิ์ มีสายเลือดใกล้ชิดฟาโรห์ เป็นธิดาฝ่ายพระญาติผู้น้องทางพระชนนีของพระองค์หลังจากที่นาเยรีสนมคนโปรดผู้เคยถวายงานพัด ได้สารภาพว่าผู้วางแผนลอบทำร้ายอัมพุชินี คือพระมารดาเงา...แม่นมผู้บริบาลองค์ฟาโรห์ตั้งแต่ทรงพระเยาว์ ฟาโรห์จึงได้ทรงบัญชาให้จับตัวพระมารดาเงาไปคุมขังไว้ในห้องใต้ดินลับเฉพาะสำหรับสมาชิกราชวงศ์ เพื่อป้องกันภัยจากผู้ที่กำลังวางแผนร้ายแอบอ้างชื่อนางอีก และเพื่อสืบหาความจริงเบื้องหลังเหตุการณ์ใน
การกล่าวโทษเริ่มต้นอย่างเข้มข้น ... แม้สายพระเนตรของฟาโรห์ที่เพ่งมองไปยังเหล่าอาณาบริวารทั้งหลายภายในท้องพระโรงทอง จะเต็มไปด้วยความเคลือบแคลง แต่พระองค์ทรงมีหทัยตั้งมั่นไม่ได้หวั่นไหวไปกับคำกล่าวโทษเหล่านั้น ทว่าอัมพุชินีซึ่งกำลังหมอบลงกับพื้นก้มหน้าต่ำมองพื้นหินทรายสีชมพูประดับประดาด้วยลวดลายสีน้ำเงินจากพลอยลาปิสลาซูลี กำลังวิตกกังวลถึงเรื่องโจษขานจะทำลายพระเกียรติขององค์ฟาโรห์ให้เสื่อมเสียเนเฟรตารีก้าวออกมายืนอยู่ด้านหน้าของอัมพุชินี ชุดลินินขาวประดับคาร์เนเลียนสีแดงรอบคอ แสงของพลอยราวพร้อมใจกันส่องประกายลุกโชน ประดุจหัวใจของนางที่เต็มไปด้วยเพลิงริษยา นางประนมมือขึ้นต่อหน้าฟาโรห์เมเรนคาเร ทูลด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล แต่แฝงจริตที่หมายมุ่งร้าย“โอ...ข้าแต่เทพรา องค์ฟาโรห์ทรงจุติจากองค์อะมุน ข้ากระหม่อมทั้งหลายกังวลยิ่งนัก… สมุนไพรที่หายไปจากห้องของอัมพุ...หาใช่ความเพียงเท่าฝ่ามือนางไม่ หากนำมาใช้โดยมิได้รู้นัยยะ อาจทำให้โลหิตเป็นพิษ ทำลายครรภ์ หรืออาจทำให้บุรุษสูญสิ้นพละ พระองค์กำลังตกอยู่ในเงาแห่งคำสาปของเทพีไอซิสด้วยเหตุเพราะนาง หากบัลลังก์ไร้รัชทายาท ใครเล่าจะสืบราชวงศ์ต่อไป”เสียงฮือ







