“โอ๊ย ! ปล่อยฉันนะ !”
พิมภาสะบัดข้อมือออกจากการเกาะกุมของอรุณ เมื่ออีกฝ่ายบันดาลโทสะจนฉุดกระชากข้อมือเธออย่างแรง ด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์และถูกหักหน้ามาตั้งแต่ตอนเช้าจนกระทั่งถึงตอนนี้ ทำให้ชายคนนั้นควบคุมตัวเองไม่ได้อีกต่อไป เขาโกรธจัด และเมื่อเธอสามารถสะบัดหลุดออกจากการเกาะกุมได้ ร่างสูงก็ยิ่งรู้สึกพ่ายแพ้ ดูถูกว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ทำเป็นเย่อหยิ่งทระนง ทั้ง ๆ ที่นอกจากสวยแล้วก็ไม่เห็นจะมีอะไรดี
“ทำเป็นหยิ่งนักนะมึง ไปอยู่เมืองนอกเมืองนาผ่านผู้ชายมาแล้วกี่คนอย่าคิดว่ากูไม่รู้นะ”
“ทุเรศ หยาบคาย เราไม่ได้รู้จักกัน คุณไม่มีสิทธิ์มาพูดจากับฉันแบบนี้”
“ทำไมกูจะไม่มีสิทธิ์ ผู้หญิงอย่างมึงกูเห็นมาเยอะแล้ว ทำเป็นวางท่ามากอยากจะเรียกราคาให้สูงละสิ”
“ไปให้พ้น เมาแล้วก็กลับไปนอนอย่ามาระรานคนอื่น เกลียดจริง ๆ ผู้ชายสันดานเสียแบบนี้”
พิมภาเองก็ใช่ว่าจะเป็นคนที่ยอมใครง่าย ๆ แม้ที่ผ่านมาเธอจะเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีเป็นส่วนใหญ่และค่อนข้างจิตใจดีไม่ค่อยยุ่งกับใคร แต่หญิงสาวไม่ชอบผู้ชายแบบนี้ ไม่ชอบคนที่ใจร้อนและพูดไม่รู้เรื่องอีกทั้งยังดื่มจนเมาขนาดที่ประคองสติตัวเองไม่ได้ เอาง่าย ๆ ตอนนี้แค่ประคองร่างตัวเองให้ยืนตัวตรงยังทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
ผู้ชายแบบนี้น่ารังเกียจที่สุดสำหรับเธอ พิมภาตั้งหน้าตั้งตาต่อปากต่อคำโดยที่ไม่ได้คำนึงถึงอันตรายใด ๆ ที่จะมาถึง ลืมตัวไปชั่วขณะว่าตนเองก็เป็นเพียงผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง การยืนประจันหน้ากับผู้ชายอยู่ในลานจอดรถที่ไร้ผู้คน แน่นอนว่าไม่เป็นสิ่งที่ดี แต่ก่อนที่หญิงสาวจะทันได้รู้ตัว อีกฝ่ายก็เงื้อมือขึ้นสูงก่อนที่จะตวัดลงมาอย่างรวดเร็ว เธอหลับตาปี๋คิดว่าอย่างไรก็โดนแน่ ๆ
ผัวะ !!
“อัก… เชี่ย ! มึงเป็นใครวะ !?”
แทนที่จะรู้สึกเจ็บหรือว่าได้ยินเสียงของการถูกตบหน้า เธอกลับรู้สึกว่าตัวเองไม่มีความเจ็บปวดตรงไหนเลย จึงค่อย ๆ ลืมตาขึ้นช้า ๆ มีผู้ชายร่างสูงใหญ่ยืนอยู่ตรงหน้า ส่วนคนที่เพิ่งจะปากดีและง้างมือเพื่อตบตีกลายเป็นฝ่ายลงไปนอนกองอยู่กับพื้นพร้อมทั้งมีเลือดที่มุมปาก ผู้ชายร่างสูงขยับเอียงกายออกเล็กน้อยหันมามองร่างอรชร ก่อนที่เขาจะยกหมัดของตัวเองขึ้นมาดู พอเห็นว่ามือของตนเองเปื้อนเลือด เจ้าตัวก็หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดตามเรียวนิ้วช้า ๆ อย่างใจเย็น สายตาเย็นชามองไปที่ชายคนนั้นที่นอนอยู่บนพื้นและเลือดอาบใบหน้า อีกฝ่ายยันกายลุกขึ้นมาและพยายามจะเข้ามาต่อยร่างสูงให้ได้ แต่กลับถูกสวนจนลงไปกองอีกครั้งหนึ่ง ความอับอายส่งผลให้อรุณลุกขึ้นยืนชี้หน้าอัศวินซึ่งเขาจำได้ดีว่าเป็นใคร ถ้อยคำที่สาดออกมานั้นทำเอาร่างสูงอยากจะกระทืบมันให้จมดินตรงนี้
“ถุย กูก็นึกว่าใคร ที่แท้ก็ลูกเมียเก็บนี่เอง !”
“…”
อัศวินยืนข่มอารมณ์เพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องกลายเป็นฆาตกรฆ่าคนเมาให้ตายคามืออยู่ตรงนี้ ชายหนุ่มอดทนและข่มกลั้นอารมณ์อย่างเต็มที่
“กับอีแค่ลูกเมียเก็บที่ไม่มีทะเบียนสมรส ทำตัวกร่างใหญ่โตคิดว่าเก่งมาจากไหน ทุเรศฉิบหาย ทำเป็นโชว์เหนือต่อหน้าผู้หญิง ที่แท้ก็แค่ไอ้หน้าตัวเมีย มึงรู้ไหมว่ากูเป็นลูกใคร เดี๋ยวกูจะฟ้องพ่อให้จัดการมึง เตรียมตัวได้เลย”
ในที่สุดแล้วอัศวินก็รู้สึกเริ่มทนไม่ไหว ความหงุดหงิดรำคาญใจราวกับแมลงวันกำลังบินอยู่ใกล้ ๆ หลังจากที่ยืนระงับอารมณ์และคิดว่าจะเข้ามาช่วยหญิงสาวคนหนึ่งเอาไว้จากการถูกรังแก เขาไม่ชอบเห็นผู้ชายรังแกผู้หญิง ตัวเองตัวสูงใหญ่กว่า แรงเยอะกว่า มีอย่างที่ไหนเงื้อมือจะตบคนที่อ่อนแอกว่า ทำให้ชายหนุ่มอดทนไม่ได้ต้องสอดมือเข้ามาแทรก แต่พอเอาตัวเข้ามาแทรกแล้วไอ้เจ้านี่ดันปากดีเสียนี่ ระหว่างที่มันกำลังพูดพล่ามและชี้หน้าด่าร่างสูงไปพลางถอยหลังไปพลาง อัศวินก็ประเคนหมัดใส่ปากของอรุณอีกครั้งจนมันล้มลงไปกองเป็นครั้งที่สาม
ท่ามกลางความตกตะลึงของพิมภา เขาตั้งท่าจะเข้าไปซ้ำมันโดยไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายลุกขึ้นมายืน กะว่าครั้งนี้จะเอาให้หมอบหรือไม่ก็ให้ฟันหลุดไปเลยจะได้เลิกพูดมากสักที ทว่าขณะที่อัศวินกำลังง้างหมัดเตรียมจะปล่อยมันไปปะทะใบหน้าของชายคนนั้นอีกครั้ง หญิงสาวก็ได้สติและดึงรั้งท่อนแขนแกร่งเอาไว้ ก่อนจะออกแรงฉุดกระชากลากถูแล้วพูดจาดึงสติชายหนุ่ม
พิมภาพยายามเกาะแขนเขาไว้ให้แน่นที่สุด แล้วก็ลากอีกฝ่ายไปจนถึงหน้าร้าน การกระทำของหญิงสาวและเรี่ยวแรงที่มีไม่ได้ทำให้ร่างสูงสั่นสะเทือนสักเท่าไรนัก แต่ที่ยอมเดินตามไปก็เพราะอยากรู้ว่าเธอจะทำอย่างไรต่อ อีกประเด็นหนึ่งก็คือถ้าเกิดว่าอัศวินขืนตัวเอาไว้เต็มแรงคนตัวเล็กก็อาจจะเสียหลักล้มลงไปกองได้
“นี่คุณเป็นบ้าอะไร เอะอะก็ใช้กำลังเอะอะก็ต่อยตี ไม่มีวิธีแก้ปัญหาทางอื่นแล้วหรือไง บ้าจริง ๆ”
“อะไรของคุณ อุตส่าห์ช่วยไว้ไม่ให้ถูกผัวตบ แทนที่จะขอบคุณดันมาปากดีใส่ แบบนี้ไม่น่าช่วยเลยนะ น่าผิดหวังจริง ๆ ผู้หญิงสมัยนี้ไม่สำนึกบุญคุณ”
“ไอ้บ้านั่นไม่ใช่ผัวฉัน พูดให้มันดี ๆ หน่อย”
“ใครจะไปรู้ล่ะ ก็นึกว่าผัว ใครเห็นก็ต้องนึกว่าผัวเมียทะเลาะตบตีกันทั้งนั้นแหละ เข้าไปช่วยก็ไม่อยากให้หน้าเธอมีรอยแผล ที่ไหนได้ทำคุณบูชาโทษ”
“แล้วใครใช้ให้นายมาช่วย ใครร้องขอ ฉันช่วยเหลือตัวเองได้อยู่แล้วต่อให้นายไม่ยื่นมือมาช่วยก็เถอะ”
“เก่งจริงนะแม่คุณ”
“แน่นอน คนอย่างฉันไม่ต้องพึ่งพาผู้ชายหรอก”
“หึ พวกอวดเก่งแบบนี้ไม่ตายดีมาหลายรายแล้วนะ ที่เห็น ๆ ก็ดีแต่ปากทั้งนั้นแหละ”
หนุ่มสาวทั้งสองคนยืนเถียงกันราวกับโกรธแค้นกันมาตั้งแต่ชาติปางไหน ทั้ง ๆ ที่ฝ่ายชายเข้ามาช่วยให้เธอรอดพ้นจากอันตราย แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรหญิงสาวถึงทำปากดีใส่ร่างสูงแทนที่จะเอ่ยขอบคุณ กลายเป็นว่าทั้งสองคนยืนเถียงกันเสียงดัง พิมภาหัวเสียอย่างหนัก ในที่สุดก็รู้สึกว่าไม่อยากจะเถียงกับผู้ชายคนนี้ให้เสียเวลาอีกต่อไป ร่างอรชรจึงสะบัดหน้าและกลับหลังหันเตรียมจะเดินหนีอีกครั้ง แต่เส้นทางที่เธอกลับหลังหันแล้วเดินลงไปดันกลายเป็นถนน ซึ่งกำลังมีรถที่แล่นมาด้วยความเร็วสูงทั้ง ๆ ที่มันผิดกฎหมายเนื่องจากแถวนี้มันเป็นสถานที่ที่มีผู้คนและนักท่องเที่ยวพลุกพล่าน มีกฎหมายกำหนดชัดเจนว่าสามารถขับรถได้ไม่เกินเท่าไร เท่าที่เห็นมันมาด้วยความแรงที่เกินกว่ากฎหมายกำหนดอย่างแน่นอน ถึงแม้จะรู้และเห็นได้ชัดเจนว่ามีแสงไฟจากรถกำลังพุ่งตรงมาที่เธอ แต่เพราะพิมภาใส่ส้นสูงและด้วยความตกใจด้วยทำให้หญิงสาวตัวแข็งทื่ออยู่แบบนั้น
“ระวัง !!”
เป็นอัศวินอีกเช่นเคยที่กระโดดเข้าไปรั้งร่างเล็กเอาไว้อย่างรวดเร็ว วงแขนกว้างฉุดกระชากตัวเธอเข้ามาอย่างสุดแรงจนตัวเขาเองก็สะดุดพื้นกระเบื้องที่ไม่เสมอตรงนั้น ทำให้เสียหลักล้มลงไปกองกับพื้นซึ่งชายหนุ่มพลิกสถานการณ์ให้ตัวเขาเองลงไปอยู่ที่พื้น แผ่นหลังกว้างกระแทกกับพื้นฟุตพาทอย่างรุนแรงจนเจ้าตัวรู้สึกจุกและหน่วง แต่ก็รู้สึกโล่งอกที่ร่างบอบบางนั้นไม่เป็นฝ่ายเอาหลังลงเสียเอง เพราะถ้าหากเป็นเธอเอาหลังลงไปแบบนั้นน่าจะต้องเจ็บหนัก และหากคนตัวโตทับลงไปอีกก็คงแย่แน่ ๆ ระหว่างนั้นสองหนุ่มสาวก็กอดกันหลับตาปี๋อยู่บนพื้น โดยที่พิมภาเป็นฝ่ายอยู่ด้านบนและอัศวินนอนอยู่ที่พื้นด้านล่าง เพราะเสียงเบรกที่ดังสนั่นทำให้ทุกคนหันมามองและเห็นภาพนั้น เมื่อลืมตาขึ้นและพบว่าตัวเองกำลังอยู่ในอ้อมกอดของชายที่ตนยืนเถียงฉอด ๆ เมื่อกี้เธอก็รีบลุกขึ้นในทันที…
เมื่อเรื่องราวทุกอย่างคลี่คลายลงและผ่านไปด้วยดีแล้ว กิตติภพเองก็กลับมาในร่างกายที่แข็งแรงหลังจากทำการกายภาพบำบัดอยู่สองเดือน เขาสามารถกลับมาช่วยเหลือตัวเองได้ในเบื้องต้นถึงแม้จะยังเดินไม่ค่อยคล่อง แต่ในที่สุดก็ได้กลับบ้านเสียที คณินกับอัศวินก็มาเยี่ยมถึงที่บ้านและรับประทานอาหารเย็นร่วมกัน หลังมื้อค่ำจบลงชายหนุ่มก็ขอคุยกับกิตติภพเป็นการส่วนตัว “เดี๋ยวผมจะเซ็นโอนหุ้นคืนให้กับคุณพ่อนะครับ ตอนนี้สถานการณ์ทุกอย่างและผู้ถือหุ้นทุกคนก็กลับมากันหมดแล้ว หลังจากนี้ไม่มีอะไรน่าห่วงแล้วครับ” “ไม่ต้องโอนคืนมา เก็บเอาไว้อย่างนั้นแหละ พ่อก็แก่มากแล้ว เก็บเอาไว้ดูแลลูกเมียให้ดีก็พอ ตอนนี้พ่ออยากอุ้มหลานมาก” “ถ้าอย่างนั้นผมจะโอนกลับคืนให้เป็นชื่อของน้องนะครับ พิมจะต้องดีใจแน่ ๆ” “ก็ลองคุยกันดูว่าใครจะดูแลหรือถือหุ้นมากที่สุด พ่อยกให้ไปแล้วก็ไปจัดการกันเอาเอง อย่าลืมเรื่องที่พ่อพูดล่ะ พ่ออยากอุ้มหลาน…” แกร๊ก ! “คุณผู้ชายคะ คุณอัศวิน คุณหนูเป็นอะไรก็ไม่ทราบค่ะ อยู่ดี ๆ ก็วิ่งไปอาเจียนบอกว่าหน้ามืดเหมือนจะเป็นลมแล้วค่ะ” พ่อตากับลูกเขยถึงกับหันมองหน้ากัน กิตติภพกวักมือเรียกสาวใช้ให้เข้ามาเข็นรถเข็
“คุณดูลูกคุณนะ เดี๋ยวนี้ปีกกล้าขาแข็งกล้าทำร้ายลูกชายของเรา เป็นแค่เห็บหมัดมาเกาะครอบครัวคนอื่นไปวัน ๆ แท้ ๆ กล้าดียังไง…” เพียะ !! คณินเดินไปตบหน้าเขมกรฉาดใหญ่ก่อนหันไปพูดกับเมียในสมรสอย่างมยุเรศแบบใส่อารมณ์ เขาอดทนเพราะเห็นแก่พ่อตามาตลอด แต่วันนี้ความอดทนได้สิ้นสุดแล้ว “หยุดสักทีคุณมยุเรศ ผมทนมาพอแล้ว ผมฟังคุณมาสิบกว่าปีมีแต่เรื่องเดิม ๆ ยังไงเขาก็เป็นลูกชายของผม ขณะที่ลูกของคุณไม่เคยได้เรื่องได้ราวอะไร คอยแต่ให้อัศวินตามเช็ดตามล้างให้ตลอด ยังกล้าที่จะเอามาเปรียบเทียบกันอีกเหรอ” “คุณพูดเรื่องอะไร นี่คุณกล้าตีลูกได้ยังไง” “คุณไม่เคยรับรู้เลยหรือยังไงว่าลูกชายของคุณไปก่อเรื่องอะไรไว้ลับหลังคุณบ้าง มันทำผู้หญิงท้องแล้วไม่ยอมรับมิหนำซ้ำยังไปทำร้ายร่างกายเขา เอาที่ดินที่ผมแค่เปรยว่าจะยกให้ มันก็ขโมยโฉนดที่ดินปลอมลายเซ็นผมไปขายทั้งที่ผมยังไม่ได้ยกอำนาจให้ เดือดร้อนต้องให้อัศวินไปตามกลับคืนมา ติดหนี้บ่อนอีกร้อยกว่าล้านคุณรู้หรือเปล่า ทุกเรื่องถ้าไม่ได้อัศวินคอยวิ่งเต้นปิดข่าวให้ ทั้งบริษัทและตระกูลนี้จะล่มจมก็เพราะลูกของคุณ”“ไม่จริง !” “จริง คุณคิดว่าอัศวินมันเดินทางบ่อยเพราะอะไร ม
วันหนึ่งอัศวินหายเงียบไปทั้งวันไม่มีการแชตหาหรือโทร.หาใด ๆ ทั้งสิ้น เธอกำลังจะต่อสายหาเขาเพราะรู้สึกว่าทนรอต่อไปไม่ไหว แต่ก็มีสายเรียกเข้าแทรกเข้ามาเสียก่อนที่จะทันได้โทร.ออก“สวัสดีค่ะ” “สวัสดีค่ะ โทร.จากโรงพยาบาลนะคะ พอดีในประวัติของคนไข้ที่ชื่อว่าอัศวิน แจ้งเอาไว้ว่าเบอร์ติดต่อฉุกเฉินคือเบอร์ของคุณพิมภาผู้เป็นภรรยา ไม่ทราบว่าคุณเป็นภรรยาของคุณอัศวินหรือเปล่าคะ” “ใช่ค่ะ เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ” “คุณอัศวินประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ตอนนี้อาการค่อนข้างสาหัสอยากให้คุณเดินทางมาที่โรงพยาบาลโดยด่วนค่ะ” ราวกับมีสายฟ้าผ่าลงกลางใจ ความรู้สึกเดียวกับตอนที่เธอเห็นภาพของพ่อล้มคว่ำอยู่กับพื้น คราวนี้หญิงสาวพยายามตั้งสติวิ่งไปคว้ากุญแจรถ แล้วเดินทางไปที่โรงพยาบาลด้วยตัวเอง ภาวนาไปตลอดทางขอให้เขาไม่เป็นอะไรมากณ โรงพยาบาลหน้าห้องฉุกเฉิน พิมภามองไปทางไหนก็มีแต่ความหดหู่ ใบหน้าสวยนองไปด้วยน้ำตา เธอไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าขับมาด้วยความเร็วเท่าไร มาถึงก็วิ่งมาที่หน้าห้องแห่งนี้พร้อมทั้งเซ็นเอกสารได้ทันเวลาพอดี เพราะต้องส่งอัศวินเข้าห้องผ่าตัดด่วน หญิงสาวรออย่างใจจดใจจ่อ ถึงจะร้องไห้แต่ก็พยายามห้ามตัวเองไม่ให
เวลาผ่านไปเดือนกว่าที่มาอยู่ที่บ้านของอัศวิน พิมภากลับรู้สึกว่าสิ่งที่เขาพูดก่อนหน้านั้นไม่มีอะไรเป็นจริงเลยสักอย่าง อีกฝ่ายพูดราวกับว่าที่นี่น่ากลัวและมีคนจ้องจะรังแกเธออยู่ตลอด แต่พอมาอยู่เข้าจริง ๆ บ้านหลังนี้ดูเหมือนทุกคนจะต่างคนต่างอยู่ มีเพียงแค่วันอาทิตย์วันเดียวที่ทุกคนจะต้องไปนั่งรับประทานอาหารร่วมกัน เหมือนตอนที่อัศวินเคยพาเธอมากินมื้อค่ำที่นี่เป็นครั้งแรกนอกจากนั้นก็ตัวใครตัวมัน ที่สำคัญสิ่งที่ทำให้เธอโล่งอกที่สุดก็คือไม่ได้เจอกับเขมกรผู้เป็นพี่เขย เพราะสำหรับพิมภาแล้วผู้ชายคนนี้น่ากลัวที่สุด ตอนแรกหญิงสาวรู้สึกเกร็งนิดหน่อยไม่รู้จะต้องทำตัวอย่างไร เพราะส่วนใหญ่แล้วอัศวินไปทำงานนอกบ้านแล้วเขาก็ไม่ค่อยให้ภรรยาเข้าไปที่บริษัทด้วยตัวเองสักเท่าไร เธอจึงใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ที่บ้านหลังนี้เขมนัฏฐ์คนที่ดูเงียบและไม่ค่อยสุงสิงกับใครที่สุดกลับเป็นคนเดียวที่คุยกับเธอมากที่สุด ช่วยให้หญิงสาวคลายเหงาลงไปได้บ้าง พิมภาไม่รู้ว่าช่วงนี้อัศวินกำลังทำอะไร เขาดูยุ่งและเดินทางไปต่างจังหวัดบ่อยมาก ๆเขมนัฏฐ์อายุน้อยกว่าอัศวินถึงห้าปี แต่กลับคุยกับเธอได้อย่างสนิทสนม ตอนแรกพิมภาเห็นเขามาแอบมองบ่
หลังจากที่อัศวินเดินทางออกจากบ้านไปแล้ว พิมภามานั่งทบทวนตัวเอง เมื่อคืนนี้เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้าง พยายามคิดอยู่ว่าตัวเองทำอะไรน่าอายไปบ้างหรือเปล่า ขณะที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ภาพริมฝีปากนุ่มของใครบางคนลอยมา จนเธอสะดุ้งสุดตัวเพราะมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น แววตาหวานเบิกโพลงเมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์ที่โทร.มาจากโรงพยาบาล “สวัสดีค่ะ” พิมภารับสายด้วยหัวใจที่เต้นระรัวภาวนาขอให้เป็นข่าวดี แล้วหญิงสาวก็ยิ้มออกมาทั้งน้ำตาและรีบไปโรงพยาบาลทันที พ่อของเธอฟื้นแล้วตอนนี้ เป็นข่าวดีที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้ ใช้เวลาไม่นานก็มาอยู่ข้างเตียงของกิตติภพ ซึ่งผ่ายผอมลงไปมากแต่แววตาของเขามีแววของนักสู้อยู่เต็มเปี่ยม “ดีใจจังเลยที่พ่อไม่เป็นอะไรแล้ว ขอบคุณนะคะที่ไม่ทิ้งหนูไป หนูคิดถึงพ่อมากเลยรู้ไหมคะ” “พ่อขอโทษนะลูก ขอโทษที่ทำให้ทุกอย่างมันยุ่งยากไปหมด ถ้าพ่อไม่ดึงผู้หญิงคนนั้นมาในชีวิต โลกของพ่อก็คงไม่เปลี่ยนไป” “ไม่เป็นไรค่ะพ่อ แต่พ่อดีขึ้นแล้วจริง ๆ ใช่ไหมคะไม่ได้มีอะไรปิดบังหนูใช่ไหม” พิมภากลัวว่าในระหว่างที่เธออยู่ต่างประเทศ บิดาอันเป็นที่รักเกิดเป็นโรคอะไรที่หญิงสาวไม่เคยรู้มาก่อน“ไม่มีหรอกลูก” “ไม่มี
อัศวินไม่รู้ตัวเลยว่าทำไมถึงได้โกรธขนาดนั้น เขาประคองร่างบางไปที่รถของตนเอง ขณะที่ชายหนุ่มโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเจ้าตัวกลับหลับไม่รู้เรื่องรู้ราว รถแล่นไปได้ชั่วครู่เดียวพิมภาก็เริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้นเพราะฝันร้าย ละเมอขอให้พ่ออย่าทิ้งตนไปเหมือนแม่ ขาดแม่ไปเธอก็เคว้งคว้างพอแล้วไม่อยากจะเสียพ่อไปอีก ความสงสารทำให้อารมณ์โมโหที่คุกรุ่นก่อนหน้านี้หมดไป ดวงตาคมดุเหลือบมองริมฝีปากนุ่มละมุนที่ยังคงมีสีชมพูระเรื่อน่าจูบ มองแล้วก็อดใจไม่ไหวจึงกดปิดม่านฝั่งคนขับแล้วก้มลงจูบเธอครั้งแล้วครั้งเล่า รุ่งเช้า พิมภาค่อย ๆ ลืมตาพร้อมกับความรู้สึกที่มึนหัวนิด ๆ เธอกำลังแฮงก์และรู้ตัวดี ใบหน้าสวยขมวดคิ้วยุ่งในตอนนี้อีกทั้งยังรู้สึกมึนงงไปหมดจนกระทั่งพยายามนึกย้อนไปว่าเมื่อคืนนี้เกิดอะไรก่อนที่หญิงสาวจะภาพตัด ดวงตากลมเบิกโพลงเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเห็นอัศวินกำลังต่อยพี่ชายของเขาก่อนที่เธอจะไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรอีก หัวใจดวงน้อยเต้นระรัวเพราะไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะหากันเจอ เมื่อคิดได้ว่าชายหนุ่มเป็นคนไปรับจึงมองไปรอบ ๆ ห้อง กลับไม่เห็นแม้แต่เงา เธอเลยคิดว่าเขาน่าจะไปทำงานแล้วเมื่อคิดได้ดังนั้นร่างบางจึงลุกพรวดพราดจากเต