Masuk“อาจารย์คะไนท์เดี๋ยวก่อนค่ะ” สุพิชฌาย์วิ่งตามปณัยกรมายังรถของเขา
“มีอะไรครับ”
“หนูขอแนะนำตัวอีกทีนะคะ หนูชื่อเปียโนค่ะ หนูเรียนกับอาจารย์เมื่อกี้”
“ครับคุณเปียโนมีอะไรครับ” ชายหนุ่มจำเธอได้เพราะทั้งสองครั้งที่มาสอนเธอก็เอาแต่นั่งจ้องหน้าเขาจนเกือบสมาธิหลุด เธอเป็นนักศึกษาที่มีใบหน้าสวยอีกทั้งรูปร่างก็ดีจนมีอยู่หลายครั้งที่เขาเผลอมอง
“อาจารย์เรียกหนูเปียโนเฉยๆ เถอะค่ะ อาจารย์กำลังจะไปเยี่ยมอาจารย์ทรงวุฒิใช่ไหมคะ” ปณัยกรมองหน้าเธอแล้วคิ้วขมวด เพราะไม่คิดว่าเธอจะรู้ว่าเขากำลังจะไปที่ไหน
“ใช่ครับมีอะไรหรือเปล่า”
“หนูอยากไปเยี่ยมอาจารย์ด้วยค่ะ วันศุกร์หนูไปทีหนึ่งแล้วค่ะ หนูคุยกับแฟนของอาจารย์แล้วบอกเธอจะไปเยี่ยมอีกและจะซื้อขนมไปฝาก อาจารย์ให้หนูติดรถไปด้วยคนนะคะ” สุพิชฌาย์รอฟังคำตอบด้วยใจที่เต้นแรง
“มันจะดีเหรอครับ” ปณัยกรไม่เคยให้นักศึกษาคนไหนขึ้นรถของเขามาก่อน
“ดีสิคะ เราไปเยี่ยมอาจารย์จะต้องดีใจมากๆ แน่เลยค่ะ”
“ผมไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น”
“แล้วอาจารย์หมายถึงเรื่องอะไรคะ”
“หมายถึงเรื่องที่คุณจะไปกับผม ผมเป็นอาจารย์คุณเป็นนักศึกษา ออกไปด้วยกันแบบนี้คงไม่ดีเท่าไหร่”
“อาจารย์คิดมากเกินไปแล้วค่ะ เราเลิกเรียนแล้วนะคะ แล้วอาจารย์ก็ไม่ใช่อาจารย์ประจำสักหน่อย ให้หนูไปด้วยนะคะ”
“ผมว่าคุณน่าจะขับรถมานะ ทำไมไม่ขับไปเองล่ะ”
“หนูไม่อยากเอารถไปเองค่ะ ที่นั่นหาที่จอดรถยากมากหนูขับรถไม่ค่อยเก่งด้วยค่ะ” สุพิชฌาย์อธิบายเหตุผล
“แต่....” ปณัยกรยังลังเล
“หรือที่อาจารย์ไม่ให้หนูไปด้วยเพราะรังเกียจนักศึกษาอย่างหนูที่จะนั่งรถไปด้วย” หญิงสาวทำเสียงให้ฟังดูน่าเห็นใจ
“ไม่ใช่แบบนั้นแต่ผมกลัวคนอื่นเห็นแล้วมันจะไม่เหมาะสมนะผมเป็นอาจารย์คุณเป็นนักศึกษานะครับ” ปณัยกรย้ำอีกครั้ง
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เราไปทำธุระด้วยกันนี่คะ การไปเยี่ยมอาจารย์ทรงวุฒิมันไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรเลยนะคะอาจารย์หนูขอไปด้วย” หญิงสาวพยายามตื๊อ
ปณัยกรมองหน้าเธออย่างลังเล เขารู้ว่าสุพิชฌาย์เป็นลูกสาวของดอกเตอร์สุชาติเจ้าของมหาวิทยาลัยที่นี่จึงไม่ค่อยอยากจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวแต่ถ้าหากครั้งนี้ปฏิเสธก็กลัวมันจะมีปัญหา สำหรับตนเองคงไม่ใช่เรื่องใหญ่เพราะไม่ใช่อาจารย์ประจำที่นี่
แต่ถ้าเกิดปัญหานี้มันลามไปถึงรุ่นพี่อย่างอาจารย์ทรงวุฒิก็คงไม่ค่อยดีสำหรับเขา
“เอาอย่างงั้นก็ได้คุณไปเยี่ยมอาจารย์ทรงวุฒิที่โรงพยาบาลกับผม เสร็จแล้วผมจะกลับมาส่งคุณเอารถที่นี่ตกลงไหม”
“ตกลงค่ะ อาจารย์ใจดีมากๆ” เลยหญิงสาวยิ้มก่อนจะรีบเปิดประตูขึ้นไปนั่งบนรถของเขาทันที
“คาดเบลท์ด้วยครับ” เขาบอกอย่างสุภาพ
“ค่ะ” สุพิชฌาย์คาดเข็มขัดจากนั้นก็นั่งเงียบจนกระทั่งรถออกมาจากมหาวิทยาลัยและใกล้จึงร้านเค้กที่เธอจะซื้อไปฝากภรรยาของอาจารย์ทรงวุฒิ
“อาจารย์ค่ะ ถ้าเลยไฟแดงนี้ไปแล้วอาจารย์ช่วยจอดที่หน้าร้านกาแฟได้ไหมคะ”
“ครับ” ปณัยกรไม่ถามเหตุผลเขาขับรถผ่านแยกไปที่เธอบอกก่อนจะจอดที่หน้าร้านกาแฟ
“อาจารย์จะเอากาแฟด้วยมั้ยคะ กาแฟร้านนี้รสชาติดีมาก ขนมก็อร่อยค่ะ”
“อ๋อ....คุณเองเหรอเปียโนที่เป็นคนเอากาแฟมาให้ผม”
“ค่ะ เป็นไงคะอร่อยถูกใจมั้ยคะ”
“ก็อร่อยดีนะแต่คราวหน้าไม่ต้องผมเกรงใจ”
“มันคงไม่มีคราวหลังแล้วค่ะเพราะวันนี้อาจารย์จะมาสอนที่นี่เป็นวันสุดท้ายใช่ไหมคะ”
“ครับ”
“น่าเสียดายจังเลยค่ะ หนูนึกว่าจะได้เรียนกับอาจารย์อีก”
หญิงสาวพูดด้วยความเสียดายจากนั้นเธอก็ลงไปจากรถซื้อขนมและกาแฟสำหรับฝากอาจารย์ทรงวุฒิกับภรรยาก่อนจะกลับขึ้นมาบนรถโดยไม่ได้ซื้อกาแฟของตนเองและปณัยกรมาเพราะเธอวางแผนไว้ว่าหลังจากเยี่ยมอาจารย์ทรงวุฒิเสร็จแล้วจะชวนเขาไปทานข้าว
เมื่อนึกถึงแผนการของตัวเองที่จะอยู่ใกล้ชิดกับอาจารย์ปณัยกรมากขึ้นก็อมยิ้มอย่างมีความสุข
“เรียบร้อยค่ะ” หญิงสาวบอกเมื่อขึ้นมานั่งและคิดเข็มขัดเรียบร้อยแล้ว
“ต้องแวะซื้ออะไรอีกไหม”
“ไม่แล้วค่ะเราไปโรงพยาบาลได้เลย”
เมื่อมาถึงโรงพยาบาลปณัยกรก็ให้สุพิชฌาย์ขึ้นไปข้างบนก่อนส่วนเขาเอารถไปจอดและแวะซื้อผลไม้ที่ร้านของโรงพยาบาลก่อนจะขึ้นไปบนห้องพักของอาจารย์รุ่นพี่
“สวัสดีครับพี่วุฒิเป็นยังไงบ้างครับ
“ดีขึ้นแล้ว ขอบใจนะไนท์ที่ไปสอนแทนแล้วยังมาเยี่ยมอีก”
“ไม่เป็นไรครับพี่ แล้วนี่พี่แก้วไปไหนแล้วล่ะครับ” ปณัยกรมองไปรอบห้องแล้วไม่เห็นภรรยาของรุ่นพี่แต่เห็นถุงขนมที่สุพิชฌาย์ซื้อมาเมื่อครู่วางอยู่
“แก้วไปติดต่อเรื่องเอกสารน่ะ การสอนนักศึกษาที่นี่แตกต่างจากที่เดิมไหม”
“นิดหน่อยครับพี่”
“ถ้าติดใจอยากมาสอนประจำก็บอกได้นะ ที่นี่ยังต้องการอาจารย์อีกมากอาทิตย์อยากมาสอนแทนอยู่ไหมล่ะ”
“ไม่ดีกว่าครับพี่ ถ้าผมไปสอนวันเสาร์อีกนักศึกษาคงได้บ่นเพราะไม่ได้พักทั้งที่เป็นวันหยุด”
“เรื่องนักศึกษาไม่เท่าไหร่หรอก อยู่ที่นายมากกว่าเสียเวลาพักผ่อนไปตั้งครึ่งวันคงเหนื่อยแย่”
“ไม่เหนื่อยหรอกครับปกติแล้ววันหยุดผมก็ไม่ค่อยได้ออกไปไหน”
“ก็เพราะเก็บตัวอยู่แบบนี้ถึงได้ยังไม่มีแฟน อายุก็ขึ้นเลขสามแล้วนะไนท์ไม่คิดจะมีครอบครัวกับเขาบ้างเหรอ”
“คิดสิครับพี่ แต่ยังไม่มีคนถูกใจแล้วผมก็จีบผู้หญิงไม่เก่งด้วย”
“หน้าตาหล่ออย่างนายพี่ว่าผู้หญิงน่าจะเป็นคนมาจีบมากกว่า”
“ถ้ามีก็ดีสิครับ”
“อยากให้พี่แนะนำให้ไหมล่ะ อาจารย์ที่คณะยังมีโสดอยู่หลายคนนะ”
“ไม่ดีกว่าครับพี่ ผมไม่อยากมีแฟนทำอาชีพเดียวกัน กลัวว่ากลับไปบ้านก็ยังคุยกันเรื่องงานชีวิตคงน่าเบื่อ”
“แล้วนายชอบผู้หญิงแบบไหนล่ะ”
“แบบไหนก็ได้ครับขอแค่เป็นตัวของตัวเองไม่เสแสร้งและที่สำคัญคืออยู่ด้วยแล้วมีความสุข”
ปณัยกรหยุดการสนทนาไว้แค่นั้นเมื่อประตูห้องพักเปิดออกและสุพิชฌาย์เดินเข้ามากับอาจารย์กิ่งแก้วรุ่นพี่ที่สอนอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกับเขา
“สวัสดีครับพี่แก้ว”
“สวัสดีค่ะอาจารย์ไนท์ มานานแล้วเหรอคะ”
“สักพักแล้วครับ”
“ทานข้าวกลางวันมาหรือยังล่ะ”
“ยังเลยครับ ผมว่ากลับจากที่นี่ค่อยไปหาอะไรทาน”
“หนูก็ยังไม่ได้กินข้าวเหมือนกันคะ หนูขอไปกินด้วยคนได้ไหมคะ”
“ให้น้องเปียโนไปด้วยนะไนท์ เมื่อก็เธอก็บ่นว่าหิวข้าวอยู่เหมือนกัน”
“ครับ” เพราะเห็นแก่รุ่นพี่ทั้งสองคนปณัยกรเลยตอบตกลง
“ขอบคุณนะคะอาจารย์”
“ผมขอตัวก่อนนะครับพี่แก้ว พี่วุฒิแล้วจะมาเยี่ยมใหม่”
ปณัยกรวางสายจากสุพิชฌาย์แล้วก็รีบตรงไปยังผับที่หญิงสาวบอก เขารู้สึกเป็นห่วงและกลัวว่าเธอจะเมาและกลับไปพร้อมกับรุ่นพี่ ตอนนี้ชายหนุ่มยอมรับแล้วว่าความรู้สึกที่มีต่อหญิงสาวนั้นไม่ใช่แค่เพื่อนบ้านหรือลูกศิษย์อย่างที่พยายามจะคิดแบบนั้นมาตลอด และเขาไม่สนใจแล้วว่าเธอจะเป็นลูกสาวของใคร เขาจะยอมทำตามหัวใจตัวเองสักครั้งจะทำทุกอย่างให้เต็มที่แล้วยอมรับผลที่จะตามมาอย่างไม่มีข้อแม้ชายหนุ่มเดินเข้ามาในผับและกวาดสายตาไปทั่วเมื่อเห็นสุพิชฌาย์กำลังยืนเต้นอยู่กับผู้ชายคนหนึ่งด้วยท่าทางสนิทสนมก็รีบตรงเข้าไปหาทันที“อาจารย์....” สุพิชฌาย์ทั้งดีใจและตกใจที่เห็นเขามาที่นี่“กลับเถอะเปียโน”“แต่หนูยังสนุกอยู่เลยนะคะ หนูยังไม่อยากกลับ”“แต่ผมบอกให้กลับก็ต้องกลับ”“นี่คุณ ผู้หญิงเขาไม่อยากกลับจะมาบังคับกันได้ยังไงแล้วคุณเป็นใครถึงมีสิทธิ์มาบังคับเปียโนแบบนี้” เพื่อนชายของสุพิชฌาย์พูดไปตามบทที่หญิงสาวเตี๊ยมเอาไว้“ผมเป็นแฟนเธอ คงจะพอบังคับได้นะ” ปณัยกรตอบกลับก่อนจะจูงมือสุพิชฌาย์ออกไปจากผับ“อาจารย์ปล่อยหนูได้แล้ว” หญิงสาวสะบัดมือออกเมื่อเดินมาถึงด้านหน้าผับ“ปล่อยเพื่อให้กลับเข้าไปเต้นยั่วผู้ชายข้างในอีกน่ะ
เช้าวันใหม่สุพิชฌาย์ยังไม่ยอมลุกจากที่นอนทั้งที่ตอนนี้เป็นเวลาเจ็ดโมงครึ่งแล้ว หญิงสาวอยากรู้ว่าถ้าปณัยกรเห็นว่าเธอยังนอนอยู่บนเตียงของเขาแล้วชายหนุ่มจะทำหน้ายังไงเธอยิ้มเมื่อนึกไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน การที่เขาจูบเธอแบบนั้นมันก็แน่ชัดแล้วว่าเขาต้องมีใจให้กับเธออย่างแน่นอนแต่ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงไม่ยอมตอบตกลง หญิงสาวคิดว่าวันนี้จะเธอต้องคุยกับปณัยกรเรื่องนี้ให้รู้เรื่องเพราะไม่อยากจะอยู่กับความอึดอัดนี้ได้อีกต่อไปขณะที่กำลังนอนคิดอยู่บนเตียงเสียงเคาะประตูห้องนอนก็ดังขึ้น“เปียโน คุณตื่นหรือยังผมขอเข้าไปนะ วันนี้ผมต้องไปทำงาน” ปณัยกรตื่นนอนตั้งแต่เช้าแต่รอให้สุพิชฌาย์ออกมาก่อนแต่แล้วก็ทนรอไม่ไหวเพราะถ้าช้ากว่านี้เขาคงต้องไปทำงานสายอย่างแน่นอน“ตื่นแล้วค่ะ อาจารย์เข้ามาได้เลย” หญิงสาวตะโกนตอบแต่ยังไม่ยอมลุกจากเตียง“สายแล้วนะเปียโน” ชายหนุ่มมองคนที่ยังนอนอยู่บนเตียงแล้วพูดขึ้น“หนูไม่ต้องไปเรียนแล้วนี่คะหนูสอบเสร็จแล้ว”“งั้นก็กลับห้องได้แล้ว ผมจะอาบน้ำแต่งตัว”“หนูก็ไม่ได้ห้ามอาจารย์สักหน่อย อาจารย์อายเหรอคะ”“ผมเป็นผู้ชายจะอายทำไม คุณมากกว่ามั้งที่ต้องอาย”“หนูไม่อายหรอกค่ะ
เสียงดนตรีในผับดังเป็นจังหวะเร้าใจ สุพิชฌาย์กับเพื่อนๆ สนุกสนานกันอย่างสุดเหวี่ยง หญิงสาวดื่มไปหลายแก้วแต่ก็ไม่ได้ทำให้เธอเมาเพราะที่ผ่านมาก็เป็นสายปาร์ตี้และดื่มจนชินแล้ว“แกจะไม่กลับไปนอนหอฉันจริงๆ เหรอรถแกก็อยู่ที่นั่นนะ”“ฝากไว้ที่นั่นก่อน พรุ่งนี้ฉันค่อยกลับไปเอานะ”“แล้วแกจะไม่ให้ฉันสองคนนั่งรถส่งเหรอกลับคนเดียวมันอันตรายนะยิ่งเมาอยู่ด้วย” เจนิตาพูดด้วยความเป็นห่วง“ฉันเมาที่ไหนล่ะแก”“เปียโนฉันอยากรู้ว่าทำไมถึงอยากกลับคอนโดถ้าเดาไม่ผิดเพราะอยากจะไปหาอาจารย์ไนท์ใช่ไหม”“แกนี่สมกับเป็นเพื่อนรักของฉันจริงๆ นะใบตอง”“แต่แกบอกว่าไม่อยากให้อาจารย์เขาเห็นตอนแกเมานี่”“นั่นสิ หรือแกกำลังคิดจะทำอะไรอยู่”“ฉันมีแผนนิดหน่อยน่ะเจน”“บอกฉันสองคนได้ไหม” ณัฐมลอยากรู้ว่าเพื่อนกำลังจะทำอะไรและถ้ามันเสี่ยงเกินไปเธอจะได้เตือน“ฉันจะไปขอนอนห้องอาจารย์ไนท์”“อย่านะเปียโนแกเมาแบบนี้ถ้าเกิดอาจารย์เขาฉวยโอกาสกับแกขึ้นมาล่ะ” เจนิตารีบร้องห้าม“แต่ฉันว่าอาจารย์ไม่ใช่คนแบบนั้น”“แต่เขาก็เป็นผู้ชายนะแก แล้วดูชุดที่แกใส่วันนี้สิ มันใช่ชุดธรรมดาที่ไหน” ณัฐมลเตือนอีกคนเพราะวันนี้สุพิชฌาย์ใส่นั้นมันเซ็กซี่มาก
สุพิชฌาย์ยังคงมาอ่านหนังสือที่ห้องของปณัยกรทุกวัน มันกลายเป็นความเคยชินอีกอย่างนอกจากการทานอาหารเย็นด้วยกัน การได้นั่งมองหน้าชายหนุ่มและอ่านหนังสือไปด้วยก็เป็นความสุขอีกอย่างของหญิงสาวส่วนปณัยกรเองนั้นการได้มองหน้าสุพิชฌาย์ขณะที่นั่งทำงานไปด้วยมันทำให้กำแพงในใจของชายหนุ่มละลายลงไปอย่างช้าๆ แต่ก็ยังไม่กล้าจะบอกความรู้สึกของตนเองออกไป เพราะมันมีอุปสรรคหลายอย่างเหลือเกินที่เขาไม่รู้ว่าจะสามารถจับมือหญิงสาวก้าวข้ามมันไปได้หรือเปล่า“พรุ่งนี้ก็สอบวันสุดท้ายแล้วใช่ไหมเปียโน”“ใช่ค่ะ”“แล้วที่ผ่านมาคิดว่าตัวเองทำข้อสอบได้ดีหรือเปล่า” เขาชวนคุยเพื่อให้เธอได้พักสายตาบ้าง“หนูคิดว่าหนูทำเต็มที่ทุกวิชานะคะ ส่วนคะแนนจะได้มากจะได้น้อยมันเป็นเรื่องของอาจารย์ที่จะต้องจัดการเองค่ะ” หญิงสาวหัวเราเพราะมั่นใจในระดับหนึ่งว่าตนเองทำข้อสอบได้“ปกติแล้วผลการเรียนคุณเป็นยังไงบ้าง”“ที่ผ่านมาก็ได้ประมาณสามกว่าๆ ค่ะ หนูหัวขี้เลื่อยมาตั้งแต่เด็กแล้วค่ะ ไม่เคยหวังเรื่องเกียรตินิยมเลย” สุพิชฌาย์ตอบแบบไม่เครียด“ทำไมไปว่าตัวเองแบบนั้นล่ะ เกรดเฉลี่ยมันไม่ได้วัดนะว่าเราเก่งหรือเปล่ามันอยู่ที่การนำเอาความรู้นั้นมาใช
หลังจากทานข้าวกับเพื่อนอาจารย์ในคณะเสร็จแล้วปณัยกรก็ขับรถกลับคอนโดมิเนียมในเวลาเกือบจะห้าทุ่ม เมื่อมาถึงที่จอดรถก็เห็นไม่เห็นรถของสุพิชฌาย์ ชายหนุ่มรู้สึกแปลกใจเพราะปกติเวลานี้หญิงสาวควรจะกลับมาถึงที่พักแล้ว เขาเดินดูทั้งลานจอดรถเพราะคิดว่าเธอจะเอาไปจอดที่อื่นแต่เดินดูจนทั่วก็ไม่เห็นชายหนุ่มรีบเดินขึ้นมาบนห้องแล้วเคาะประตูห้องตรงข้ามและยืนรออยู่พักใหญ่แต่ก็ไม่มีใครมาเปิดประตูปณัยกรรู้สึกเป็นห่วงเขาจึงตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดโทรหาเธอทันที แม้รู้ว่าสุพิชฌาย์โตเป็นผู้ใหญ่แล้วแต่ก็อดไม่ได้ที่จะเป็นห่วง ชายหนุ่มมองว่าเธอเป็นคนน่ารัก สดใส และเข้ากับคนอื่นง่ายและบางครั้งหญิงสาวก็เหมือนเด็กในร่างของผู้ใหญ่คนหนึ่งชายหนุ่มรอไม่นานนักปลายสายก็กดรับพร้อมกับเสียงที่เต็มไปด้วยความสดใสเหมือนกับทุกครั้ง“สวัสดีค่ะอาจารย์”“คุณอยู่ไหนเปียโน ทำไมผมถึงไม่เห็นรถคุณอยู่ที่คอนโดเลย” ปณัยกรถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วง“หนูอยู่หอพักเพื่อนค่ะอาจารย์ พอดีว่าอ่านหนังสือสอบกับเพื่อนแต่ก็กำลังจะกลับแล้วค่ะ”“จะกลับตอนนี้เลยเหรอ มันดึกมากแล้วนะขับรถกลับคนเดียวได้หรือเปล่า” เขาเหลือบมองนาฬิกา
สุพิชฌาย์ตื่นขึ้นมาบนเตียงนอนของปณัยกรในเช้าของวันใหม่หญิงสาวยิ้มอย่างมีความสุขถึง แม้เขาจะไม่ได้นอนกับเธอในห้องนี้แต่ก็เห็นถึงความมีน้ำใจและเขาก็ไม่ได้รังเกียจที่ถึงขั้นไล่กลับให้ไปนอนที่ห้องของตัวเองหญิงสาวค่อยๆ ย่องออกจากห้องของเขาอย่างเบาที่สุดเพื่อกลับมาที่ห้องของตนเอง เธออาบน้ำแต่งตัวและไปเรียนโดยลืมไปว่าแท็ปเล็ต โทรศัพท์มือถือและหนังสือยังอยู่ในห้องของเขาเมื่อมาถึงที่มหาวิทยาลัยและเดินไปหาเพื่อนที่โรงอาหารสุพิชฌาย์เปิดสะพายข้างขึ้นมาแล้วจึงนึกขึ้นได้ว่าตัวเองไม่ได้หยิบของออกมาจากห้องของอาจารย์ปณัยกรเลยสักอย่าง“เป็นอะไรเปียโนทำไมทำหน้าแบบนั้น”“ฉันลืมโทรศัพท์มือถือ”“อ้าวแล้วแกไปลืมทิ้งไว้ที่ไหน ลืมไว้ในรถหรือเปล่า ไม่เป็นไรจะกินอะไรเอาโทรศัพท์ฉันไปสแกนจ่ายก็ได้” ณัฐมลเสนออย่างใจดี“ฉันลืมไว้ในห้องอาจารย์ไนท์”“อะไรนะเปียโนแกไปลืมโทรศัพท์ไว้ในห้องเขาได้ยังไง ปกติแกเป็นคนติดมือถือจะตาย เกิดอะไรขึ้นเมื่อคืนเล่าให้ฉันฟังเดี๋ยวนี้นะ” เจนิตาตกใจเพราะกลัวว่าความสัมพันธ์ของเพื่อนกับอาจารย์หนุ่มจะไปไกลเกินกว่าที่พวกเธอคิดไว้“แกไม่ต้องทำหน้าตกใจแบบนั้นหรอกน่าเจน เมื่อคืนฉันไปอ่านหนัง







