รางวัลที่อาจารย์ประจำคณะบอกมานั้นมันเหมือนเป็นอีกช่องทางให้เป็นที่พึ่งทางใจได้ ในยามสถานการณ์ชีวิตของเธอตอนนี้ หญิงสาวที่ถูกครอบครัวกดดันจนเกิดความเครียดสะสม เพราะการที่เธอมาเรียนสายนี้ก็เป็นเพราะพ่อของเธอนั้นทำงานเกี่ยวกับสายโบราณคดีเหมือนกัน ผู้เป็นพ่อจึงคาดหวังในตัวเธอเป็นอย่างมากที่จะให้เดินตามรอยของเขา และพี่ชายของเธอนั้นก็เอาตัวรอดหนีไปเป็นทหารอากาศ และกลับบ้านแค่ปีละสองครั้งเท่านั้น เท่ากับว่าเธอต้องตกอยู่ในสภาพนี้เป็นเวลาหลายปีแล้วตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย เธอต้องการที่พึ่งทางใจเพิ่มอีกทางในการมีชีวิตต่อ ถึงแม้กรีนเองจะมีเพื่อน ๆ ที่คอยให้กำลังใจเธออยู่ก็ตาม
“กรีนแกจะไปกับใคร” ทิชาถามขึ้นเมื่อรู้สึกว่าต้องแยกกันออกไปหา ถ้าไปด้วยกันโอกาสที่จะหาเจอนั้นน้อยมาก เพราะธงแดงนั้นมีเพียงผืนเดียว
“ฉันไปกับวินเทอร์ได้ไหม แกอยากไปกับฉันหรือเปล่า” กรีนหันไปถามเพื่อนหน้าหวานที่กำลังมองมาที่ตนเอง
“ไปด้วยกันก็ได้”
เมื่อตกลงกันได้แล้ว ทุกคนก็แยกกันออกไปค้นหา ทางด้านซ้ายจะเป็นไลอันนาและทิชาส่วนด้านขวานั้นคือกรีนและวินเทอร์ ระหว่างทางเดินนั้น ทั้งสองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่ที่ดูร่มรื่นในเวลากลางวัน และถ้าดูจากแผนที่ในมือที่ได้มา หากเดินไปอีกไม่ไกลก็จะเป็นลำธาร
“วินแกจะแยกกันอีกทีไหมเหมือนข้างหน้าจะเป็นทางแยก” กรีนเอ่ยถามเมื่อใกล้ถึงทางแยกตามที่เธออ่านจากแผนที่
“แกจะเอาไง แต่มันอันตรายอยู่นะจะแยกกันเหรอ” วินถามอย่างลังเลเพราะทางข้างหน้านั้นมันก็ดูน่ากลัวถ้าแยกกันก็น่าขนลุกอยู่ไม่น้อย
ขณะที่กำลังพูดคุยกันอยู่นั้นเสียงโทรศัพท์ของกรีนก็ดังขึ้นพร้อมกับปรากฏรายชื่อที่โทรเข้ามา ทำให้กรีนถึงกับขมวดคิ้วด้วยความสงสัยปนหงุดหงิดที่ปลายสายโทรมาในเวลานี้ ทั้งที่บอกแล้วว่ามาทำกิจกรรม
“ฮัลโหล ค่ะพ่อ” กรีนรับสายก่อนที่จะขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิดอีกครั้ง
“แกกลับบ้านเลยได้ไหม พ่อบอกกับอาจารย์แล้ว พ่อจะพาแกไปรู้จักกับคน ๆ หนึ่ง เขาเป็นคนที่จะพาแกไปเป็นมืออาชีพทางด้านนี้ได้เลย” คนเป็นพ่อเอ่ยออกมาด้วยความตื่นเต้นที่จะพาลูกสาวไปหาคนสำคัญ เพราะเขาคนนี้คือมือหนึ่งของการตรวจสอบวัตถุโบราณ และของที่มีอายุหลายร้อยปีซึ่งสามารถฝากงานให้ลูกสาวของตัวเองเข้าไปเรียนรู้วิชาได้
“พ่อหนูยังกลับไปไม่ได้หนูบอกพ่อแล้วไม่ใช่เหรอคะ ว่าครั้งนี้หนูขอออกมากับเพื่อน ๆ บ้าง” กรีนตอบกลับอย่างใจเย็นแต่ก็แอบปนเสียงหงุดหงิดเล็กน้อย
“ตอนนี้ ต้องตอนนี้เท่านั้นพ่อจะให้คนไปรับแก” คนเป็นพ่อยังไม่ลดละความพยามในการให้ลูกสาวนั้นกลับบ้าน
“โอกาสหน้าถ้าเขามาเราค่อยไปเจอก็ได้นี่คะ” หญิงสาวเสนอทางให้กับพ่อที่ยังคงดั้นด้นจะให้เธอกลับไป
“อย่าดื้อได้ไหม บอกให้กลับก็กลับ !!” เสียงใหญ่ตะโกนอกมาจนสุดเสียง แต่สายก็ถูกตัดไปเสียก่อน
“หนูไม่กลับ !! พ่อไปหาเขาเองเถอะหนูไม่ไปไหนทั้งนั้น หนูจะอยู่ที่นี่ !!ถ้าพ่อยังบังคับหนูแบบนี้อีก พ่อจะไม่ได้เห็นหน้าของหนูอีกต่อไป” กรีนตะคอกคนเป็นพ่อกลับไปก่อนจะตัดสายทิ้งอย่างไม่เคยได้ทำมาก่อน
เธอนั้นเริ่มไม่อยากทำอีกต่อไปแล้ว ทุกวันนี้เธอเพียงอดทนให้ได้ผ่านไปได้แต่ละวันเพื่อจะได้หลุดพ้นและรอวันที่เธอจะได้เลือกทางของตัวเอง แต่เหมือนวันที่เธอรอกลับริบหรี่ลงเรื่อย ๆ เมื่อพ่อของเธอนั้นยังคอยควบคุมเธออย่างต่อเนื่อง ไม่เว้นที่ให้เธอได้หายใจเลยสักนิดแล้วแบบนี้เธอจะทนไหวได้แค่ไหนกัน
“แกไหวไหม กลับที่พักก่อนไหมกรีน” วินเทอร์ถามเพื่อนอีกครั้งหลังจากที่ได้ยินเสียงบทสนทนาของเพื่อนและพ่อ เขารู้ดีว่าเพื่อนของตัวเองนั้นผ่านอะไรมาบ้าง ตลอดเวลาสี่ปีที่รู้จักกันมาเพื่อนแต่ละคนก็ไม่ได้มีเส้นทางที่สวยหรูอย่างที่คนอื่นคิดสักเท่าไหร่
“ไม่เป็นไร เราไปกันต่อเถอะ” กรีนบอกกับวินเทอร์ก่อนจะพากันเดินไปจนถึงทางแยก ก่อนจะตัดสินใจที่จะแยกกันที่ทางเดิน
เสียงใบไม้ที่ในคราแรกไม่ได้ไหวติงตอนนี้มันกลับเคลื่อนไหวโดยที่ไม่ได้มีลมพัดผ่าน เสียงมวลสารบางอย่างกำลังหลอมรวมตัวกันอยู่ในที่มืดมิดและหนาวเย็นและอยู่ในส่วนลึกของที่แห่งหนึ่งเหมือนกำลังรอดูดกลืนบางสิ่งให้จมหายไป
กรีนที่เดินแยกออกมาจากเพื่อนหน้าหวานเดินตรงเข้าไปในป่าอีกฝั่งแต่ทางนั้นกลับเป็นทางที่เป็นเส้นทางนอกแผนที่อย่างไม่รู้ตัวเหมือนกับมีบางอย่างดึงดูดให้กรีนนั้นเดินเข้าไป และทางด้านหน้าของเธอนั้นก็พบกับธงสีแดงที่ปักอยู่เกาะกลางน้ำ ในใจก็นึกเพียงว่า เธอชนะแล้ว แต่กลับลืมคิดไปว่าทำไมมันถึงไปอยู่ในที่ตรงนั้นได้…
ท่ามกลางทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ ใบหญ้าเขียวขจีไหวเอนตามลมที่พัดผ่าน เสียงนกร้องเพลงอยู่ไกล ๆ และแสงแดดที่ส่องกระทบพื้นดินให้เกิดประกายอ่อน ๆ บรรยากาศรอบข้างเต็มไปด้วยความอบอุ่นและความสุขในวันหยุดที่สมบูรณ์แบบ บาบารัสและกรีนพาลูก ๆ ออกมาเที่ยวในธรรมชาติที่งดงาม และวันนี้ก็เป็นวันที่ทั้งครอบครัวได้มาพักผ่อนในทุ่งหญ้ากว้างที่มีต้นไม้ใหญ่และดอกไม้หลากสีบาบารัสยิ้มอย่างมีความสุขขณะเล่นกับลูก ๆ ของเขา ลูกสาวคนโต บริสตัน วัย 4 ขวบ กำลังวิ่งไล่จับลูกบอลที่เขากลิ้งไปมาในสนาม เธอมีท่าทางฉลาดแฉลบและคล่องแคล่ว ทำให้บาบารัสรู้สึกภูมิใจในตัวลูกสาวมาก ส่วนกราเซีย ลูกสาวแฝดของเธอที่มีอายุเท่ากันกำลังวิ่งตามพี่สาวไป และในขณะเดียวกันลูกชายคนเล็ก บรากัส ที่มีอายุแค่ 3 ขวบก็วิ่งไป ๆ มา ๆ ไม่หยุด เขามักจะล้มตัวลงไปบ่อย ๆ แต่ก็ไม่เคยทำให้เขาหยุดยิ้ม“เร็ว ๆ หน่อย ! บรากัส !” บาบารัสตะโกนด้วยเสียงแหบ ๆ ขณะที่เขาวิ่งตามลูกชายที่ขำ ๆ กระโดดไปชนต้นไม้ จนเสียงดัง “โครม !” บรากัสล้มลงไปกองกับพื้น“โอ๊ะ ! บรากัส !” กรีนที่นั่งอยู่ห่าง ๆ ก็รีบลุกขึ้นมามอง แต่เมื่อเห็นลูกชายหัวเราะอย่างมีความสุขและไม่เป็
ในเมือง Sunthawarm ที่เต็มไปด้วยความสวยงามและความอบอุ่น แสงแดดที่ทอแสงอ่อน ๆ ปล่อยแสงทองสว่างไสวลงมาบนพื้นดินอันเขียวขจี ใบไม้ไหวเอนในลมอ่อน ๆ ที่พัดผ่านมา ทุกสิ่งดูเหมือนจะเปล่งประกายขึ้นด้วยความสุขและความมหัศจรรย์ การแต่งงานระหว่างบาบารัส มีเสน่ห์และความกล้าหาญกับกรีนผู้มีความใจดีและแข็งแกร่ง ทั้งสองเป็นคู่รักที่สมบูรณ์แบบ และวันนี้พวกเขาจะได้ประกาศความรักและผูกพันไปตลอดกาลในพิธีแต่งงานที่แสนพิเศษครั้งนี้เมือง Sunthawarm เป็นสถานที่ที่ได้รับการกล่าวถึงว่าเป็นเมืองที่มีพลังมหัศจรรย์อันล้ำค่า โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่พระอาทิตย์ขึ้นในตอนเช้า แสงแดดที่สัมผัสกับท้องฟ้าจะเปล่งประกายราวกับมีการเวทมนตร์แฝงอยู่ในนั้น พิธีการทั้งหมดจัดขึ้นในลานกว้างกลางเมือง ภายใต้ต้นไม้ใหญ่ที่มีกิ่งก้านสาขากว้างขวาง ดอกไม้สีทองอร่ามกระจายทั่วทุกมุม ลมอ่อน ๆ พัดผ่านลอยกลิ่นหอมจากดอกไม้หลากหลายชนิด ขนาบข้างไปกับเสียงร้องของนกที่บินอยู่เหนือท้องฟ้าและเสียงของแม่น้ำใสสะอาดที่ไหลผ่านตามธรรมชาติทุก ๆ คนที่มาร่วมงานในวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้คนจากหมู่บ้านใกล้เคียง สัตว์ต่าง ๆ ที่อาศัยอยู่ในป่า แพะมังกรปีกสีน้ำเงิน หรือม
ในหลายวันถัดมา ภายในห้องนอนของบาบารัสที่เต็มไปด้วยบรรยากาศอันเงียบสงบและอบอุ่น ทั้งสองคนกลับมาอยู่ร่วมกันอีกครั้งหลังจากเวลานานที่ห่างหายไป ความรู้สึกหลากหลายที่เคยปะปนกันในใจของบาบารัส ตอนนี้ได้ถูกละลายไปแล้วด้วยอ้อมกอดและสายตาของกรีนที่เต็มไปด้วยความรักและความห่วงใย ที่แม้กระทั่งบาบารัสยังไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าความอบอุ่นแบบนี้จะเข้ามาทำให้เขารู้สึกอ่อนลงจนแทบจะไม่สามารถต้านทานได้เขาค่อย ๆ ทอดตัวลงบนเตียงที่ถูกจัดวางอย่างสวยงามด้วยผ้าห่มหนานุ่ม มีแสงจันทร์ที่ทอดส่งลงมาอ่อน ๆ ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาทำให้ห้องนอนดูสงบและน่าหลงใหลยิ่งขึ้น ทุกครั้งที่บาบารัสหันไปมองกรีน ความรู้สึกที่ตื่นเต้นและเต็มไปด้วยความรักจะกลับมาโหมกระหน่ำในหัวใจของเขา กรีนยังคงความงามที่ทำให้หัวใจของเขากระตุกทุกครั้งที่เห็น เธอมีดวงตาที่เปล่งประกายเหมือนดวงดาวในยามค่ำคืน ผมยาวสีดำที่สยายไปบนหมอนกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของเธอปลุกความรู้สึกอบอุ่นในตัวเขาให้ลุกโชนขึ้นอีกครั้งหลายครั้งที่บาบารัสนั่งอยู่ข้าง ๆ กรีน ขณะที่เธอกำลังอ่านหนังสือหรือนั่งทำอะไรบางอย่าง บาบารัสมักจะมองเธอด้วยความเงียบงัน การมองเธอในทุก ๆ การเคลื่อนไหวท
บรรยากาศในห้องสมุดใหญ่ของปราสาทหลากหลายสีสันยังคงเงียบสงัดเหมือนเคย สองมือของบาบารัสจับแน่นกับตำรามหาวิทยาลัยเก่าแก่เล่มหนึ่งที่อยู่ตรงหน้า เขาไม่ยอมละสายตาจากหน้าเรียบ ๆ ของมัน แม้จะเป็นตำราที่เต็มไปด้วยตัวอักษรที่ทับซ้อนจนยากจะเข้าใจ ความมุ่งมั่นและความหลงใหลในเป้าหมายของเขายังคงท่วมท้น มันไม่ใช่แค่การค้นหาความรู้ทางเวทมนตร์ แต่เป็นการค้นหาทางสู่คนที่เขารัก และเขาคิดว่าไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม เขาก็จะทำเพื่อเธอให้ได้ตั้งแต่วันนั้นที่เขาได้รู้ว่าเธอได้จากไปที่โลกมนุษย์ เขาแทบจะไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ เขาหมกมุ่นกับการฝึกฝนเวทมนตร์ที่เขาเชื่อว่าจะพาเขากลับไปหากรีนได้ ไม่ว่าโลกนี้จะให้ราคาต่ำกับความพยายามของเขามากแค่ไหน เขาก็จะไม่ยอมแพ้ เพราะเขาเชื่อมั่นว่ามีบางอย่างในเวทมนตร์ที่จะทำให้เขาได้กลับไปหาคนที่เขารักหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เขาแทบจะไม่ได้พักผ่อนเลย แม้กระทั่งในยามค่ำคืนที่ปราสาทเงียบสงัด เขาก็ยังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน ยกแก้วสุราเข้าปากเพื่อทำให้ความมึนเมาสามารถกลบเสียงในหัวที่กระซิบถึงชื่อของเธอได้บ้าง แต่ก็ทำไม่ได้ ความคิดถึงของกรีนยังคงกัดกร่อนในจิตใจของเขาอยู่เสมอ
“ก็ตามที่ข้าคุยกับเจ้าไว้ว่าเจ้าต้องกลับบ้านแบบที่ไม่ได้กลับจริง ๆ ข้าจะพาเจ้าไปอยู่ที่หนึ่งก่อน เหมือนเจ้าได้หายตัวไปจากพวกเราจริง ๆ” รอยยิ้มได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าสวยเมื่อได้เวลาเล่นสนุกกับบางสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น“จะพาฉันไปไหน” กรีนมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยความกลัวเพราะถึงเธอจะดูน่ารักแต่ก็เจ้าแผนการณ์ไม่ใช่น้อย“เชื่อใจข้าเถอะแค่ไปอยู่ที่นั่นเดี๋ยวเดียวก็กลับ” มิสไวท์ลุกขึ้นพร้อมกับจูงมือหญิงสาวเดินออกจากห้องหมากรุกและสั่งเหล่าทหารให้พากันเตรียมตัวออกเดินทางส่งนางเอกกลับโลกมนุษย์โดยที่ยังไม่บอกบาบารัสทุกอย่างเตรียมการณ์อย่างรวดเร็วและทุกอย่างถูกปกปิดไว้ไม่ให้ผู้ปกครองเมืองอย่างบาบารัสให้ได้รู้เพราะตอนนี้มิสไวท์ได้ให้ทหารคอยจับตาดูบาบารัสไว้ เมื่อถึงเวลาที่ได้กำหนดกันไว้ค่อยปล่อยข่าวไปถึงหูสหายของตน“เจ้าพร้อมแล้วใช่ไหม ถ้าพร้อมแล้วก็ขึ้นรถม้าคันนั้นไปได้เลย” มิสไวท์เอ่ยพร้อมพาตัวหญิงสาวมายังรถม้าที่จะออกเดินทาง และมันไม่ได้ไปไกลจากที่นี่มากนักคิดเสียว่าให้หญิงสาวได้ออกมาพักผ่อนจิตใจ“อื้ม...ข้าฝากด้วยนะ” กรีนเดินขึ้นรถม้าที่ไม่เป็นที่สะดุดตาพร้อมเดินทางออกจากคฤหาสน์ไปทางด้านหลังโดยมีทห
กรีนตื่นขึ้นมาด้วยความงัวเงีย ร่างเปลือยเปล่าขยับตัวเล็กน้อยก่อนจะสัมผัสได้ถึงแขนแกร่งที่ยังคงโอบรัดเธอไว้ เหตุการณ์ก่อนหน้านี้เธอไม่น่าให้มันเกิดขึ้นเสียด้วยซ้ำ หากใจอ่อนแผนที่ได้วางไว้คงได้พังลงแน่ ๆ ความเหนียวหนึบตามตัวทำให้เธอนั้นขยับตัวได้อย่างยากลำบาก ก่อนจะคว้าผ้ามาคลุมตัวไว้เพื่อไปชำระร่างกาย เสียงน้ำที่ตกกระทบทำให้อสรพิษหนุ่มตื่นขึ้น ใบหน้าคมหันมองคนข้างกายแต่กลับไม่พบกายหนาย่างกายไปตามเสียงของน้ำด้วยสภาพเปลือยเปล่า เขามองเห็นกรีนที่กำลังอาบน้ำอยู่ หากแบบนี้อาจจะเรียกว่าถ้ำมองหรือไม่ก็ไม่แน่ใจ แต่เขาไม่ใช่ใครที่ไหนเขาคือคนรักของเธอคงไม่เป็นอะไร“เจ้า…” บาบารัสเอ่ยด้วยเสียงนุ่มนวล“นาย !!” กรีนร้องออกมาด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบคว้าผ้ามาห่อตัวเอาไว้“เจ้าจะอายอะไรข้าอีก เห็นกันมานักต่อนักแล้ว” เสียงราบเรียบเอ่ยขึ้นพร้อมยื่นแขนแกร่งไปสัมผัสที่หญิงสาวเสียงของชายหนุ่มดูหยอกล้อเมื่อเห็นหญิงสาวทำท่าทางกลัวเขาเห็นของรัก ในเมื่อเห็นมากันทุกซอกทุกมุมแล้วจะไปกลัวอะไร แปลกคนยิ่งนัก “ออกไป...” กรีนเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบเช่นกัน พร้อมกับเห็นสีหน้าที่ทำเขานิ่งอึ้งไป“ไม่...ข้าไม่ไป” อสรพิษหนุ