“เอ่อ...ถ้างั้น...” เสี่ยเจ้าของผับเหมือนจะนึกได้ว่าพ่อเลี้ยงหนุ่มรูปงามเงินหนาเลิกสนใจผู้หญิงมาหลายปีแล้ว ข่าวน่ะทำไมจะไม่ได้ยิน แต่คิดว่าถ้าหาสาวที่ถูกใจให้ได้คงไม่ปฏิเสธ ทว่าชายหนุ่มมาดแมนเต็มพิกัดคนนี้อาจจะสิ้นไร้สมรรถภาพทางเพศไปแล้วก็ได้
เศร้าจนนกเขาเลิกขัน!!
“ผมขอนั่งคนเดียวดีกว่าครับ หรือถ้าไม่ควรนั่งคนเดียว ผมขอ...” ดรัณทำมือทำไม้ตรงไปยังประตูทางออก
“โอ๊ะ!!! เชิญครับเชิญ นั่งจิบเหล้าคนเดียวก็ไม่เลวหรอกครับ ถ้างั้นตามสบายนะครับ ผมขอตัวไปรับแขกคนอื่นก่อน"
ดรัณส่ายหน้าแล้วกระดิกนิ้วเรียกบาร์เทนเดอร์
“ขอวิสกี้ออนเดอะร็อค”
เพียงอึดใจเดียวเหล้าวิสกี้รสนุ่มราดบนก้อนน้ำแข็งไร้สิ่งเจือปนก็อยู่ตรงหน้า ดรัณรอครู่เดียวให้ความร้อนของเหล้านอกผสมกับความเย็นของน้ำแข็งจนลงตัว แล้วสาดลงกระเพาะอาหารให้ร้อนวูบวาบไปทั่วลำคอ เครื่องดื่มชนิดนี้ถ้าคอไม่แข็งจริงไม่ควรลองเพราะมันก็คือเหล้าเพรียวๆ ไม่มีส่วนผสมของโซดาหรือน้ำเปล่า
พ่อเลี้ยงหนุ่มคลึงแก้วในมือเล่นขณะสมองก็หวนคิดไปถึงอดีต ทุกครั้งที่อยู่ลำพังเขามักจะย้อนกลับไปคิดถึงเรื่องเก่าๆ แล้วก็ปล่อยให้ความเศร้าหมองยึดครองพื้นที่ในจิตใจเหมือนเคย
“เฮ้ย! ปล่อยให้รอแป๊บเดียวคิดถึงเรื่องเดิมๆ อีกแล้วสิไอ้พ่อเลี้ยง” แรงตบลงบนบ่าหนาที่มาพร้อมกับเสียงทุ้มของหนุ่มอารมณ์ดีกลั้วหัวเราะหน่อยๆ เหมือนลมที่พัดเอาความเศร้าถอยห่างไปจากพ่อเลี้ยงหนุ่ม
“ไอ้หมอ มาก็ดีแล้ว น้องๆ” ดรัณเรียกบาร์เทนเดอร์ “ขอแบบนี้อีก 2 ที่นะ”
“โอ้โห ตั้งใจจะมอมเหล้าฉันตั้งแต่เลิกงานเชียวหรือวะ ไอ้นี่เผลอนิดไม่ได้ทำตัวเป็นผู้สูงวัยอีกแล้ว”
“ผู้สูงวัยอะไรวะ”
“ก็พวกที่ชอบคิดถึงเรื่องเก่าๆ ในอดีตส่วนมากจะเป็นคนที่อายุเกิน 50 หรือที่ใครๆ เรียกว่าผู้สูงวัย หนุ่มๆ สาวๆ ไม่ค่อยมีใครเก็บเอามาคิดหรอกว่ะ”
“แกจะให้ฉันเลิกคิดได้ยังไง ในเมื่อเรื่องนั้นมันเกี่ยวกับฉันโดยตรง ไอ้หมอ ฉันก็อยากความจำเสื่อมถ้าทำได้ หรือแกจะช่วยสงเคราะห์ทุบหัวฉันจนสลบแล้วฟื้นขึ้นมาจำอะไรไม่ได้ล่ะวะ”
“เฮ้ย...”
“แต่สักวันฉันก็ต้องจำได้ แล้วเรื่องพวกนั้นก็ยังอยู่ในหัวเหมือนเดิม แกจะให้ฉันลืมคนที่ฉันรักมากที่สุดถึงสองคนไปได้ยังไงวะไอ้หมอ”
หมอปกรณ์สะเทือนใจทุกครั้งที่เพื่อนระบายทุกข์ออกมาให้ฟัง จนบางครั้งเขาก็ไม่อยากทนฟัง อยากปฏิเสธหรือไม่ก็หนีให้ห่าง แต่ถ้าทำแบบนั้นเพื่อนของเขาจะมีสภาพเป็นอย่างไร ดรัณคนนี้มีเพื่อนสนิทที่ไว้ปรับทุกข์อยู่คนเดียว นั่นก็คือเขา เพื่อนเขาคงเป็นบ้าถ้าไม่ได้ระบายออกซะบ้าง ทุกวันนี้ก็เปลี่ยนจากคนดีกลายเป็นคนร้ายกาจ ผู้ชายใจดีกลายเป็นคนใจร้าย เกลียดผู้หญิงทุกคนที่เข้าใกล้โดยไม่คำนึงว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร
“เออๆ ฉันขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจ ดื่มเถอะเพื่อน ถ้าเหล้าจะทำให้แกไม่คิดถึงเรื่องเดิมๆ ได้สักพักก็ดื่มเถอะ ถ้าแกเมาเดี๋ยวฉันจะขับรถไปส่งถึงบ้านเอง ไม่ต้องห่วงนะ”
ดรัณโคลงหัว ปกรณ์มักจะปลอบใจแบบนี้เสมอในพักหลังๆ เพื่อนสนิทของเขาก็คงเบื่อที่ต้องอธิบายหรือปลอบใจคนฟุ้งซ่าน เพราะไม่ว่าจะปลอบใจยังไงก็ไม่มีอะไรดีขึ้น ความทรงจำเหล่านั้นยังฝังลึกอยู่ในหัว ไม่มีวันลืมเลือน
สองหนุ่มนั่งดื่มกันไปคุยกันไปในเรื่องจิปาถะพยายามเบี่ยงเบนประเด็นที่อาจทำให้เพื่อนรักเจ็บช้ำ โดยไม่รู้ว่าบัดนี้ตรงประตูทางเข้ามีร่างหนุ่มสาวเคียงคู่กันเข้ามาในผับ
นฤดลแตะมือตรงกลางแผ่นหลังของพลับพลึงแล้วรุนนิดๆ ให้เธอเดินผ่านผู้คนเข้าไปนั่งในมุมสุด ผับของเสี่ยบัณฑูรเปิดเพลงหลากหลายแนวเอาใจผู้ฟังทุกกลุ่ม ทั้งวัยรุ่นหนุ่มสาวหรือแม้จะเป็นคนสูงวัยขึ้นมาอีกนิด ทั้งเพลงแดนซ์ เพลงช้า เพลงสากล ผู้คนในวันแรกก็แห่แหนเข้ามาเที่ยวนั่งดริ๊งค์กันเป็นกลุ่มบ้าง เป็นคู่บ้าง แทบจะไม่เห็นคนที่ฉายเดี่ยวเลย
พอเข้ามาในสถานที่แบบนี้ ทั้งควันบุหรี่ ทั้งเสียงเพลงอึกทึก ทั้งเสียงตะโกนพูดคุยกันแข่งกับเสียงเพลง ทำให้พลับพลึงเริ่มมึนหัวนึกในใจว่าคิดผิดหรือเปล่าที่ตัดสินใจมาเที่ยวกับนฤดล เธอเคยเที่ยวกลางคืนมาบ้างในสมัยที่ยังเรียนหนังสือ ตอนนั้นความซุกซนและอยากรู้อยากเห็นทำให้เธอและเพื่อนๆ ในกลุ่ม พากันหนีออกนอกหอเพื่อมาเที่ยวในสถานที่แบบนี้ แต่การเที่ยวกันเป็นกลุ่มๆ ไปไหนก็ไปด้วยกันไม่มีอะไรต้องกลัว เที่ยวกันไม่กี่ชั่วโมงแค่พอรู้ แค่ได้เห็นก็กลับหอ แล้วก็ถูกทำโทษด้วยการให้ล้างห้องน้ำ มันเป็นประสบการณ์ในวัยเรียนที่ไม่ทำให้พวกเธอเสียผู้เสียคน
มาอีกครั้งแค่ได้กลิ่นบุหรี่ฟุ้งก็ฉุนจมูกหายใจไม่ออก แต่ตัดสินใจมาแล้วจะหนีกลับก็กระไรอยู่
“ดื่มอะไรดีครับน้องพลับ”
“ขอน้ำส้มก็แล้วกันค่ะ”
“น้ำส้ม! ฮ่ะ ฮ่ะ” นฤดลเผลอหัวเราะออกมาสุดเสียง “มาเที่ยวผับแต่ดื่มน้ำส้มน่ะเหรอครับ เอาอย่างนี้ดีกว่า ดื่มไวน์นุ่มๆ สักแก้วดีไหมครับ รับรองว่าไม่เมาแน่นอน”
“เอ่อ...แก้วเดียวนะคะ” พลับพลึงต่อรอง และคิดว่าแค่ไวน์เพียงแก้วเดียวคงไม่ทำให้เมามายไร้สติหรอกน่า
“ครับ แก้วเดียวเท่านั้น แล้วเราค่อยออกไปดิ้นด้วยกันนะครับ”
หญิงสาวพยักหน้าตอบรับ นฤดลจึงสั่งไวน์ให้เธอ ส่วนเขาขอเป็นเบียร์เย็นๆ ชายหนุ่มกระตุกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์มองหญิงสาวที่กำลังนั่งมองฟลอร์เต้นรำอย่างเพลิดเพลิน
“พี่ขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะครับน้องพลับ”
นฤดลเอ่ยขอตัวก่อนลุกขึ้นตรงไปยังบาร์เครื่องดื่มโดยไม่มองว่าตรงบริเวณนั้นจะมีใครนั่งอยู่บ้าง เขากระดิกนิ้วเรียกบาร์เทนเดอร์ให้ส่งแก้วเปล่ามาใส่น้ำแข็งแล้วใส่ไวน์สีแดงลงไป นั่นคงจะไม่เป็นที่สนอกสนใจจากคนข้างๆ ถ้าซองกระดาษสีขาวเล็กจิ๋วจะไม่ถูกฉีก แล้วผงละเอียดสีขาวจะไม่ถูกเทลงไปในน้ำสีแดง
“ผัวคิดถึงเมียจัง เมียจ๋า” พอกล้าหน่อยความคิดถึงก็ล้นทะลักเหมือนเขื่อนแตก อ้อมกอดรัดแน่นขึ้นก่อนโน้มหน้าลงจูบปากเมียรักด้วยความคะนึงหา “ฤาษีตนนั้นหายไปแล้วหรือคะ” พลับพลึงยิ้มแก้มปริ ลูกช่วยรักษาพ่อได้จริงๆ สามีของเธอหายจากอาการหวาดกลัวแล้วสินะ “หายไปแล้วเพราะคิดถึงเมียรัก ให้ผัวรักเมียนะ ให้พ่อบอกรักแม่ ได้มั้ยลูก” ไม่มีสัญญาณตอบรับจากลูกในท้อง แต่ดรัณและพลับพลึงก็แน่ใจว่าลูกต้องยินดี “ท้องพลับ 6 เดือนแล้ว ใหญ่พอจะไม่เป็นอันตรายแล้วนะ ถ้าจะรักพลับบ้าง” “ได้สิคะ ช่วยนี้ปลอดภัยแล้วค่ะ คุณหมอว่าอย่างนั้น” ร่างสูงช้อนภรรยาขึ้นแล้วพาไปวางไว้บนเตียง ก่อนจะช่วยปลดชุดคลุมท้องออกจากร่างอิ่มเปลือยเปล่า แม้ขณะท้องโตๆ พลับพลึงของเขาก็ยังสวย ผิวพรรณอิ่มเอิบนวลเนียนน่าสัมผัส ชายหนุ่มเปลื้องเสื้อผ้าตัวเองแล้วทิ้งตัวนอนเคียงข้าง เขาจูบเมียสาวอย่างดูดดื่มโหยหา มือฟอนเฟ้นร่างอิ่มนวดคลึงทรวงงามอวบใหญ่มากขึ้นหนักๆ คิดถึงปานขาดใจ หญิงสาวจูบตอบอย่างเร่าร้อนไม่แพ้กัน ลูบมือไปตามลำตัวหนาแกร่งของสามีอย่างรักใคร่ ล
เอากับเขาสิ เปลี่ยนเรื่องจริงจังให้กลายเป็นเรื่องชวนหัวไปได้หน้าตาเฉย แล้วพลับพลึงก็ยิ้มออกเสียด้วย คราวนี้เธอเป็นฝ่ายกอดเขา จูบปลายคางของเขาแล้วแถมด้วยแก้มทั้งสองข้าง แต่พอสามีจะกอดให้บ้างเธอกลับดันตัวออก “อย่ากอดแน่นนักนะคะ พลับอึดอัดและขี้ร้อนจริงๆ” “ทำไม เกิดอะไรขึ้น บอกอาซิ” พลับพลึงตัดสินใจเป็นครั้งสุดท้าย เธอถอนใจแล้วสูดลมกระตุ้นกำลังใจให้ตัวเองเต็มปอด เพื่อจะบอกเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิต “พลับ...ท้องค่ะ เรากำลังจะมีลูกด้วยกันนะคะ” สามีของเธอเงียบกริบ สีหน้ายิ้มๆ ดีใจก็พลันเปลี่ยนเป็นซีดเผือดราวกระดาษขาว เขาทิ้งมือลงสองข้างแล้วเซถอยหลังไปชนตู้กับข้าว พลับพลึงเห็นอาการนั้นก็หน้าเสีย ไม่คิดว่าสามีจะออกอาการขนาดนี้ให้เห็น ร่างของเขาสั่นเทิ้มคล้ายคนหวาดกลัวอะไรสักอย่าง เป็นผลให้เธอต้องพุ่งตัวเข้าไปประคองกลัวเขาจะล้มหงายตึงไปต่อหน้าต่อตา “อารัณ!!! เป็นอะไรไปคะ อารัณได้ยินพลับมั้ยคะ ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะคะ อารัณขา...ได้ยินพลับมั้ยคะ” “ปล่อย ปล่อยอา” เพียงแค่เธอยอมปล่อยมือจากเขา ดรัณก็วิ่งหาห้องน้ำทันควัน เส
‘ฉันตอบเมล์พี่ชายสุดที่รักของฉันเมื่อหลายวันก่อน ฉันเล่าเรื่องทุกอย่างให้เขาฟัง และวันนี้เขาก็บินมาหาฉัน ฉันอับอายมากที่มีสภาพเหมือนผีให้พี่ชายเห็น ฉันไม่มีเงินมากพอจะเช่าอพาร์ตเม้นท์ดีๆ อยู่ แต่พพี่ชายของฉันก็ยังอุตส่าห์ให้เงินจำนวนมาก ฉันขอร้องให้เขาช่วยปิดบังเรื่องนี้เป็นความลับ เขาจึงขอร้องให้ฉันกลับบ้าน แลกกัน ฉันขอเวลารักษาตัวเองให้เป็นผู้เป็นคนมากกว่านี้สักระยะ ซึ่งพี่ชายที่รักของฉันไม่ว่าอะไร ยอมให้ฉันอยู่ที่นี่ต่อสักระยะ ฉันสัญญากับเขาไว้แล้ว ฉันจะกลับบ้าน กลับไปกราบคุณแม่ กลับไปหาหลาน พลับพลึงหลานตัวน้อยโตขึ้นแค่ไหนแล้วนะ พี่ชายฉันหล่อ หลานฉันคงต้องสวยมากแน่ๆ เลย ฉันจะกลับไปหาทุกคน รอหน่อยนะครอบครัวที่รักของฉัน’ พลับพลึงปิดสมุดไดอารี่แค่นั้น เธอไม่อ่านอีกแล้ว เรื่องราวหลังจากนี้จะเป็นยังไงไม่อยากรับรู้อีกแล้ว พอกันที! การอ่านไดอารี่อันเต็มไปด้วยความรู้สึกของอาสาว ทำให้หญิงสาวฮึดสู้ขึ้นมาบ้าง ถ้าอารัณไม่อยากมีลูกเพราะการตายของอาอิง เธอจะทำให้เขาเปลี่ยนความคิดใหม่ อดีตจะถูกลบเลือน แม้มันจะยากเย็นแสนเข็ญเพียงใดก็ตาม เธอจะทำให้ได้ ไม่มีวันที่เธอจะคิดสั้นๆ
หญิงสาวถอนหายใจเอื่อยเฉื่อย เธอกำลังตัดสินใจว่าควรกลับไปบอกเรื่องลูกดีหรือไม่ เขาเคยบอกยังไม่พร้อมจะมีลูก สาเหตุเพราะอะไรเธอก็คิดว่ารู้แล้ว อารัณเผชิญกับความสูญเสียมานับครั้งไม่ถ้วน การสูญเสียเมียและลูกไปพร้อมกันก็เป็นเรื่องยากจะทำใจให้ลืม เธอเข้าใจดีทุกอย่างถึงต้องมานั่งถอนใจอยู่นี่ไง ร่างอวบอิ่มเดินเข้าไปในห้องหนังสือของคุณย่า เธอตั้งใจจะหาหนังสือธรรมะมาอ่านเป็นที่พึ่งของจิตใจ มือบางไล้ไปตามสันหนังสือหาเล่มที่อยากอ่าน แต่แล้วสายตาก็เหลือบขึ้นไปเห็นกล่องกระดาษใบหนึ่งวางอยู่ข้างบนสุดของชั้นหนังสือ ร่างอวบอิ่มเอื้อมมือหยิบกล่องใบนั้นลงมาอย่างทุลักทุเลเนื่องจากความสูงที่ต้องเขย่งปลายเท้าแล้วเหยียดแขนให้ตรงถึงจะหยิบได้ กล่องใบนั้นขนาดไม่ใหญ่และไม่หนักถูกยกลงมาปัดฝุ่นออกแล้วเปิดดูข้างใน ภายในมีรูปของอาอิงฟ้าหลายรูป เป็นรูปที่ถ่ายในต่างประเทศทั้งหมด ว่าที่คุณแม่มือใหม่ทอดสายตามองรูปถ่ายแต่ละรูปอย่างสังเกต อาอิงเป็นคนสวยมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว รูปหลังๆ ก็เหมือนอาอิงจะสวยขึ้น อวบขึ้นด้วย อวบเหมือน...เธอในตอนนี้ คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากันเมื่อสายตาปะทะ
แม่เลี้ยงกาญจนาเคยคิดจะบอกลูกสาวเพราะถึงยังไงอิงฟ้าก็เป็นอาแท้ๆ ของเธอ ลูกในท้องของอิงฟ้าก็คือหลานแท้ๆ ของเธอ แต่สามีสั่งห้ามด้วยเห็นใจอดีตน้องเขยของตน ดังนั้นทุกคนจึงพากันเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับอยู่ในใจ เวลาผ่านพ้นไปก็ยังไม่มีใครพลั้งปากพูดให้พลับพลึงได้ยิน “เห็นทีคงต้องบอกแดนนี่แล้วล่ะ ผมคิดว่าแดนนี่แข็งแกร่งพอจะรับเรื่องนี้ไหว แม้ว่าตอนนี้เขาจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหนก็ตาม” “น่าเห็นใจนายรัณนะคะ เขาตามหาเมียไม่เจอเสียที นี่ก็เห็นว่ากินแต่เหล้าจนเมาไม่เป็นผู้เป็นคนแล้ว ร่างกายผ่ายผอมจนน่าเป็นห่วงว่าจะทรุดเอาดื้อๆ” แม่เลี้ยงกาญจนาเห็นใจลูกเขยมาก ทั้งสงสารและเห็นใจ แต่ยังต้องลุ้นว่าหากดรัณรู้จะเป็นยังไงต่อ “ถ้างั้นเดี๋ยวรอแดนนี่ลงมา พวกเราก็บอกแกพร้อมกันดีมั้ยคะ” คุณดวงหทัยตัดสินใจ ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วยกับการตัดสินใจนี้ ทว่า...ภายในห้องนอนที่เต็มไปด้วยขวดเหล้า ร่างสูงผ่ายผอมซูบลงไปมากกำลังสร่างเมาคว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทร.หานักสืบเอกชนที่เขาจ้างวานให้ตามหาเมียรักให้เจอ “ได้เรื่องหรือยัง” “อ้อ...พ่อเลี้ยงโทร.มาพอด
“เมื่อเช้าดิฉันได้ยินเสียงคุณหนูอาเจียนนะคะคุณท่าน อาการเหมือนคนท้องเลยค่ะ” ทิพามารดาของกรรชัยตั้งข้อสังเกต คุณย่าขมวดคิ้ว คนแต่งงานมีครอบครัวจะตั้งครรภ์ก็ไม่เห็นแปลก แต่ตอนนี้พ่อของเด็กยังไม่รู้เลยว่าเมียอยู่ไหน ถ้าพลับพลึงท้องจริงๆ เรื่องที่คิดจะปิดบังจนกว่าหลานเขยจะตามหาเมียเจอ ก็คงต้องมีคนยื่นมือเข้าช่วยเสียแล้ว ไม่งั้นจะเป็นการพรากลูกพรากพ่อเสียเปล่าๆ ทว่า...คุณย่ายังไม่ลืมอดีตของหลานเขย ท่านจึงไม่แน่ใจว่าเรื่องนี้จะทำให้เขาดีใจหรือเสียใจกัน “พายัยพลับไปโรงพยาบาลที ไปทั้งๆ ไม่มีแรงอย่างนี้แหละดี ยัยพลับกลัวโรงพยาบาลจะได้ดื้อไม่ออก” สิ้นคำสั่งคุณย่า กรรชัยก็เป็นคนขับรถพาหญิงสาวและคุณย่าไปโรงพยาบาล ผลการตรวจออกมาเป็นไปตามที่คิด พลับพลึงท้อง!!!พ่อเลี้ยงรุ่งโรจน์เดินตามหาภรรยาทั่วไร่เพื่อจะบอกข่าวสำคัญข่าวด่วนของบุคคลอันเป็นที่รักคนหนึ่งให้บุคคลอันเป็นที่รักอีกคนได้ฟัง ร่างสูงหนาก้าวยาวๆ เร่งรีบเท่าที่จะทำได้ถามหาภรรยาสุดที่รักกับทุกคนที่เจอหน้า เกือบทุกคนชี้บอกไปในทิศทางเดียวกัน พ่อเลี้ยงก็แทบจะวิ่งตรงไปหาด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความยินดี