เสียงเรียกของหัวหน้าโรงครัวดังราวกับฟ้าผ่า หยางจูผุดลุกขึ้นแล้วเดินตามแผ่นหลังกว้างไปท่ามกลางสายตาสอดรู้ของทุกคนในบริเวณนั้น
“ท่านเรียกข้า มีสิ่งใดจะให้ข้ารับใช้หรือขอรับ” “มีคำสั่งมาว่าให้เจ้านำอาหารไปให้ท่านแม่ทัพ” “จริงหรือ” นางร้องออกมาด้วยความดีใจ แต่พอเห็นสายตาตำหนิติเตียนก็รีบหุบยิ้ม “ขอรับ ข้าจะทำหน้าที่อย่างดีที่สุด” “เอาเกลือนี่โรยใส่น้ำแกงสักหน่อย แล้วก็ยกไปได้” “ขอรับ” นางได้แต่รับคำซ้ำ ๆ พูดอะไรไม่ออกเพราะความดีใจเอ่อล้นอยู่ในอก “ข้าไม่รู้หรอกนะว่าเจ้าเป็นใครมาจากไหน ถึงได้ตำแหน่งสำคัญถึงเพียงนี้ตั้งแต่วันแรก แต่ทำหน้าที่ให้ดีก็แล้วกัน” “ข้าน้อยจะไม่ทำให้ครัวของเราต้องขายหน้าเป็นอันขาด” “ดี” เมื่อสั่งงานเสร็จแล้ว เขาก็เดินนำนางไปยังจุดรับสำรับอาหารที่มีอาหารอยู่เพียงไม่กี่อย่าง หยางจูมองไก่ตุ๋นน้ำแกง เนื้อในชามเป็นแค่ชิ้นเล็ก ๆ ไม่ใช่ไก่ทั้งตัว ข้าวต้มเละ ๆ บดรวมกับหมูสับ ผักที่ผัดโดยไม่ใส่สิ่งใดเลย และของหวานที่นางมองไม่ออกว่าเป็นสิ่งใดกันแน่เพราะมันเหมือนกับการเอาแป้งมากวนแล้วจับปั้นเป็นก้อนกลม ๆ เมื่อมองจากภาระหน้าที่ของมู่หรงเซียวหนานและการกินอยู่ของเขา เทียบกับฐานะบุตรชายคนโตของแม่ทัพใหญ่แห่งจวนมู่หรงผู้ซึ่งได้รับการเลี้ยงดูมาเป็นอย่างดีตามประสาคุณชายใหญ่ของบ้าน นางนึกนับถือเขาอยู่ในใจที่สามารถใช้ชีวิตลำบากลำบนได้ถึงเพียงนี้ ก่อนหน้านั้น ตอนที่ชายแดนยังสงบดีอยู่ มู่หรงเซียวหนานมีโอกาสได้เข้าเมืองหลวงและพบปะพี่ชายของนางอยู่บ้าง นางจึงพอได้เห็นหน้าของเขาและได้ยินเสียงนุ่มทุ้มกล่าวถึงเรื่องน่าสนใจต่าง ๆ นานา บางครั้งบางคราวที่เขาแวะมา ก็ถึงกับเอาของสวยงามน่าสนใจมาฝากนางด้วย แต่เมื่อมีข่าวมาถึงเมืองหลวงเมื่อปีก่อน ว่าชนเผ่าที่อยู่หลังกำแพงเริ่มปีกกล้าขาแข็ง สร้างกองทัพอันเกรียงไกรขึ้นมาได้ แม่ทัพมากฝีมือเช่นเขาจึงถูกส่งมาประจำการอยู่ที่นี่ องค์หญิงหยางจูจึงไม่ได้เจอบุรุษหนุ่มท่าทางองอาจแต่แฝงไปด้วยความสุขุมอีกเลยนับตั้งแต่นั้นมา “อาหารนี่ถูกทดสอบหมดแล้วว่าไร้ยาพิษ เจ้าจะต้องเดินไปที่กระโจมท่านแม่ทัพกับลี่ถัง แต่เมื่อถึงตอนยกอาหารเข้าไป ให้พวกเจ้าคนใดคนหนึ่งเข้าไปเพียงผู้เดียว เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนท่านแม่ทัพจนเกินไป” “ข้าน้อยเข้าใจแล้วขอรับ” นางรับคำ แล้วรับถาดมาถือในมือ ขณะที่ลี่ถังก็กระหืดกระหอบเข้ามา ทั้งสองคนเดินเคียงกันไปตามทาง ท่ามกลางแสงแห่งรุ่งอรุณสีส้มทอประกายตรงปลายขอบฟ้า ลำแสงสาดส่องเข้ามาในค่ายขนาดใหญ่ที่แม้จะหันคอสำรวจโดยรอบ ก็ยังไม่สามารถมองให้ทั่วได้ ยิ่งแสงสาดส่องเข้ามามากเท่าได้ เสียงการเคลื่อนไหวของกองทัพมนุษย์ที่มีหน้าที่ร้อยแปดพันอย่างก็ยิ่งดังขึ้น “ข้าไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงได้รับหน้าที่ให้ยกสำรับมาให้ท่านแม่ทัพ” ลี่ถังเอ่ยด้วยความฉงน “เอ๋ ไม่ใช่หน้าที่ของเจ้ามาก่อนหรือ” หยางจูแปลกใจ “ไม่หรอก ตำแหน่งของข้าก็ไม่ได้ดีเด่ไปกว่าเจ้าในตอนแรกสักเท่าไหร่ แต่ตอนนี้เจ้าได้รับหน้าที่สำคัญแล้ว จากตอนแรกที่เจ้าต้องฝากเนื้อฝากตัวกับข้า เห็นทีต้องเป็นข้ากระมังที่ต้องทำเช่นนั้น” “โอ้ ไม่เลย อย่างไรเสีย ข้าก็นับว่ายังใหม่กับที่นี่ ข้าต้องการการชี้แนะจากเจ้าถึงจะถูก” หยางจูรู้ดีว่าเหตุใดลี่ถังถึงได้มากับนางด้วย จางซื่อหมิงรอบคอบและคิดมาอย่างดีแล้วว่านางจำต้องมีคนอยู่ด้วยเพื่อช่วยเหลือตลอดเวลา “เจ้านี่นิสัยน่าชื่นชม ไม่แปลกใจที่ท่านรองแม่ทัพจะเอ็นดู แต่ระวังให้ดี หากเจ้าเกินหน้าเกินตาผู้อื่น ก็อาจจะเป็นภัย” ลี่ถึงเตือนด้วยความหวังดี “ข้าจะจำไว้” ทั้งสองมาหยุดยืนอยู่หน้ากระโจมขนาดใหญ่ที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ด้านหน้าสุด ความจริงแล้ว มู่หรงเซียวหนานสามารถเลือกนอนในที่ที่สบายกว่านี้ได้ แต่เขากลับชอบที่จะได้ชิดกับนายทหารอื่น จึงให้ตั้งกระโจมขึ้นตรงกลางค่ายแทนห้องหับอันอบอุ่นสบายและเป็นส่วนตัวด้านหลัง “เจ้าเข้าไปเถอะ” ลี่ถังดันหลังนางเบา ๆ ทหารยามด้านหน้ากระโจมมองทั้งสองคนแล้วซักถามเพื่อความแน่ใจ จากนั้นก็แจ้งแก่ท่านแม่ทัพว่าอาหารมาแล้ว เมื่อได้รับอนุญาตให้เข้าไป หยางจูก็ค่อย ๆ สืบเท้าเข้าไปยังสถานที่ที่เรียกได้ว่าสุดแสนจะส่วนตัวของบุรุษที่นางหมายปอง ภายในอุ่นสบายกว่ากระโจมพักของนางมากนัก แต่ก็ไม่มีสิ่งใดหรูหราหรือแสดงฐานะของคนเป็นแม่ทัพเลยแม้แต่น้อย คงมีเพียงแต่กองตำราข้างเตียงแคบ ๆ กับหีบใบใหญ่ที่ปิดคล้องกุญแจเอาไว้เรียบร้อยด้านในสุด รวมถึงอาวุธหลากชนิดที่รวมกันอยู่อีกมุมหนึ่งของห้อง และแผนที่ภูมิศาสตร์จำลองเท่านั้น มู่หรงเซียวหนานนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานขนาดใหญ่ บนโต๊ะกาง แผนที่เอาไว้ ดวงหน้าเข้มขรึมก้มลงไปมองสิ่งที่วางแผ่อยู่ตรงหน้า ไหล่กว้างหรุบลงเล็กน้อยจากการตรากตรำทำงานหนัก แต่เมื่อรู้ว่ามีคนเข้ามา เขาก็ยืดตัวตรงแบบคนอกผายไหล่ผึ่งทันที “อาหารขอรับ ท่านแม่ทัพ” หยางจูดัดเสียงให้แหบห้าว “เอาวางไว้ตรงนั้น” เขาพยักเพยิดไปทางโต๊ะที่เล็กกว่าโต๊ะทำงานทางขวามือโดยที่สายตาไม่ได้ละไปจากแผนที่ตรงหน้า “ขอรับ” หยางจูเดินเอาสำรับไปวางไว้แล้วลอบสังเกตเขาต่อ มู่หรงเซียวหนานยังคงรูปงามดังเดิม นางชอบคิ้วเข้มของเขา และสันกรามคมได้รูป หากจะให้นางมองเขาทั้งวัน นางก็คงไม่เกี่ยง แต่ตอนนี้ดูเหมือนเขาจะตัวใหญ่ล่ำขึ้นกว่าเดิม อาจเป็นเพราะการฝึกหนักกว่าตอนอยู่ที่จวนก็เป็นได้ “เจ้าไม่ใช่คนที่มาประจำนี่” เมื่อรู้ตัวว่าถูกมองมู่หรงเซียวหนานจึงเงยหน้าขึ้นมา สังเกตเห็นว่าเป็นนายทหารหน้าใหม่ “ขอรับ?” นางไม่คิดว่าเขาจะจำทหารชั้นผู้น้อยที่เป็นแค่คนส่งข้าวส่งน้ำให้ตัวเองได้ “เจ้าไม่ใช่ทหารคนเดิม เขาหายไปไหนกัน” ถามอย่างใส่ใจความเป็นไปของผู้ใต้บังคับบัญชาทุกคน “ข้าเองก็ไม่แน่ใจนักขอรับ แต่นับจากนี้ไป ข้าน้อยได้รับคำสั่งให้เป็นผู้ทำหน้าที่นี้แทนเขา” มู่หรงเซียวหนานทำเสียงอือออเป็นเชิงเข้าใจแล้วเดินมานั่งเก้าอี้หน้าโต๊ะอาหาร กวาดตามองอาหารแต่ละอย่าง นางคิดว่าเขาจะออกปากตำหนิในความธรรมดาและดูไม่ชวนกินเลย แต่ชายหนุ่มกลับใช้ตะเกียบคีบเนื้อไก่เข้าปากโดยไม่แสดงสีหน้าใด ๆ ราวกับเขากินเช่นนี้จนชาชิน หยางจูลอบถอนหายใจ เมื่อไม่มีอะไรให้ทำต่อ นางก็ทำท่าจะถอยออกจากห้อง ถ้าไม่ติดว่าคำพูดต่อมาของเขา ทำให้นางต้องยืนตัวลีบด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง “วันนี้น้ำแกงปรุงแปลก ๆ คนครัวใส่อะไรลงไปบ้าง”ลู่อิงหน้าแดงเรื่อเมื่อถูกถามอย่างตรงไปตรงมา เซี่ยหานปิงไม่เพียงอนุญาตแต่ยังค่อย ๆ ดึงลู่อิงให้เอนตัวขึ้นมา ก่อนจะลูบผมสลวยเพื่อให้คลายกังวล ไม่อยากให้คิดว่าเป็นการกระทำที่ยากหรือน่ากลัว“ข้า...ข้ามิเคยทำมาก่อน”“ข้ารู้ เจ้าแค่อ้าปากแล้วกินมันเข้าไปเท่านั้น” เขาส่งยิ้มบางเบาแล้วค่อย ๆ ประคองใบหน้างดงามให้เคลื่อนเข้ามาใกล้ ๆพอริมฝีปากแทบจะจ่ออยู่ปลายหัวของแก่นกายลู่อิงจึงค่อยยื่นลิ้นออกมา นางใช้ปลายลิ้นแตะลงบนปลายหัวสีแดงระเรื่อ แต่พอสัมผัสก็ได้ยินเสียงเซี่ยหานปิงครางต่ำออกมา นางจึงช้อนสายตาขึ้นไปมองก็“อืม...ดี ดียิ่งนัก” เซี่ยหานปิงก้มมองคนเบื้องล่างที่เรียนรู้ว่องไว เขารู้อยู่แล้วนางจะทำได้เพราะเรื่องแบบนี้มันอยู่ในสัญชาตญาณ แม้ว่าแรก ๆ ลู่อิงจะเคลื่อนไหวติด ๆ ขัด ๆ ไปบ้าง แต่ไม่ได้ทำให้อารมณ์หยุดชะงักลู่อิงตาลอยเล็กน้อย รู้สึกถึงความยาวดุนดันอยู่ในลำคอของนาง น้ำตาหยดเล็ก ๆ เปียกชื้น ทว่านางก็กลืนกินมันจนเกิดเสียงหยาบโลน เซี่ยหานปิงลูบผมนาง ก่อนจะสาวเอวสอบเข้าออกช้า ๆ และจากจังหวะเนิบช้าก็เริ่มเปลี่ยนเป็นเร็ว
ลู่อิงนั่งอยู่ในเกี้ยวหามที่โคลงเคลงไปมาตลอดทาง นางพยายามสงบจิตใจของตัวเอง แต่ก็ไม่อาจห้ามหัวใจที่เต้นแรงด้วยความตื่นเต้นได้ เสียงตีฆ้องร้องป่าวจากด้านนอกบ่งบอกว่าขบวนแห่นำเจ้าสาวกำลังเดินทางมาถึงจวนของเซี่ยหานปิง ผู้ที่วันนี้ไม่ใช่เพียงแค่ราชองครักษ์ แต่เป็นเจ้าบ่าวของนางจวนหลังนี้ไม่ใช่จวนธรรมดา เพราะเป็นจวนที่ได้รับพระราชทานจากองค์หญิงหยางจู และองค์ชายชาง ว่าที่องค์รัชทายาท ผู้เป็นพระเชษฐาขององค์หญิงหยางจู และเป็นผู้ให้การช่วยเหลืออย่างลับ ๆ ตอนที่องค์หญิงหยางจูปลอมตัวไปอยู่ในค่ายทหาร เพื่อเป็นของขวัญสำหรับการที่เซี่ยหานปิงรับใช้และปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์มาโดยตลอด จวนนี้แม้อยู่ในเมืองหลวง แต่ค่อนไปทางชานเมือง เนื่องจากเซี่ยหานปิงและลู่อิงชอบความเรียบง่าย มิอยากเผชิญความวุ่นวายในตัวเมือง แต่แม้จะห่างไกลออกมา จวนแห่งนี้ก็ยังโดดเด่น สง่างาม สมกับตำแหน่งขุนนางขั้นสี่ของเขาเมื่อขบวนเจ้าสาวไปถึงหน้าจวน เกี้ยวได้ถูกวางลงบนพื้นช้า ๆ ลู่อิงไม่คุ้นเคยกับพิธีการเหล่านี้มากนัก เพราะเป็นเพียงนางกำนัลที่เติบโตอยู่ในวังหลวงมาตลอด ไม่มีครอบครัวที่ไหนจะส่งตัวนางออกมาเช่นนี
เมื่อเซี่ยหานปิงกลับถึงเมืองหลวง เขาถูกภารกิจมากมายถาโถมเข้ามาจนแทบไม่มีเวลาหยุดพัก แต่ละวันเต็มไปด้วยเรื่องที่ต้องจัดการอย่างไม่หยุดยั้ง จนเวลาผ่านไปหลายวันโดยที่เขาไม่ได้พบกับลู่อิงเลยสักครั้งแม้ตนจะเป็นองครักษ์ประจำตัวขององค์หญิงหยางจูก็ตามในหัวใจเขานั้นเต็มไปด้วยความคิดถึง ไม่เพียงแต่งานที่ทำให้เหนื่อยล้า แต่ความรู้สึกโหยหาสตรีนางหนึ่งที่เขาใส่ใจมากขึ้นทุกวันก็ทำให้จิตใจของเขายิ่งเหน็ดเหนื่อยยิ่งขึ้นไปอีก แต่ก็พยายามข่มใจ ไม่อยากเร่งรีบอะไรจนเกินไป เพราะเขาต้องการจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อนจะไปหานางฝ่ายลู่อิงเองก็เฝ้ารอคอยการกลับมาของเซี่ยหานปิงด้วยใจจดจ่อ แต่หลายวันผ่านไปแล้วนางก็ยังไม่เห็นหน้าเขา จิตใจที่เคยสงบสุขจึงเริ่มร้อนรุ่มขึ้นมา นางไม่อาจห้ามความคิดถึงเขาได้ ทุกคืนที่หลับตานอน ก็ได้แต่ครุ่นคิดถึงว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ จนหัวใจเต็มไปด้วยความกังวลและโหยหาสุดท้าย ความคิดถึงของทั้งสองก็ถึงจุดที่ไม่อาจต้านทานได้ เซี่ยหานปิงอดทนไม่ไหวอีกต่อไป จนในคืนนั้นเขาตัดสินใจว่าอย่างไรจะต้องเจอหน้านางให้จงได้ลู่อิงที่นอนหลับตาอยู่บนเตียงกลับสะดุ้งตื่นขึ้
เมื่อเซี่ยหานปิงกลับถึงบ้าน พอเปิดประตูเข้าไปก็เห็นลู่อิงนั่งกระวนกระวายใจอยู่ ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความกังวล“ท่านหายไปไหนมาเสียตั้งนาน” ลู่อิงรีบถลาเข้ามาหาเขา ดึงตัวเขาเข้าไปในบ้านพร้อมกับปิดประตูแน่นหนา นางดูร้อนรนเกินปกติ หัวใจของนางเต้นระส่ำ ไม่คิดว่าเขาจะหายไปโดยไม่บอกกล่าวเช่นนี้“เกิดอะไรขึ้นหรือ” เซี่ยหานปิงถามด้วยเสียงนุ่ม พยายามไม่ให้ดูผิดปกติเกินไป แต่ก็เห็นชัดว่าลู่อิงไม่ได้สงบอย่างที่ควรจะเป็น“องค์หญิงทรงเป็นอย่างไรบ้าง ท่านเห็นนางกับตาหรือไม่ หรือเพียงไต่ถามสายข่าวของท่านเท่านั้น” ลู่อิงถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ นางไม่อาจปิดบังความวิตกกังวลในใจได้ การที่เขาหายตัวไปเช่นนี้ทำให้นางคิดว่าเรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับองค์หญิงหยางจูโดยตรง“องค์หญิงถูกจับไป”เซี่ยหานปิงตอบด้วยเสียงสงบนิ่ง ใบหน้าไร้ความตระหนก และเตรียมพร้อมยอมรับปฏิกิริยาตอบสนองทุกรูปแบบของลู่อิงสิ้นคำพูดนั้น ลู่อิงราวกับถูกทุบเข้าที่ศีรษะ นางนิ่งไปชั่วขณะ พยายามเรียบเรียงคำพูด แต่สิ่งที่ได้มีเพียงความหวาดกลัวจับใจเสียจนพูดไม่ออก เซี่ยหานปิงจึงพูดต่อ“พวกกบฏกับห
เซี่ยหานปิงนอนกอดลู่อิงไว้ภายใต้แสงจันทร์ ทว่าเขากลับต้องตื่นขึ้นเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเบา ๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้ แม้ผู้มาเยือนจะระมัดระวังเพียงใด แต่ก็ไม่อาจรอดพ้นสัญชาตญาณฉับไวขององครักษ์ผู้ชำนาญได้ เขาลุกขึ้นจากเตียงอย่างเงียบเชียบที่สุดเพราะเกรงว่าคนข้างกายจะรู้สึกตัวตื่น หยิบดาบของตนติดมือไปด้วย แล้วเปิดประตูออกไปเผชิญหน้ากับผู้มาเยือนชายในชุดดำคลุมหน้าปรากฏตัวอยู่ในลานบ้าน พอเห็นเซี่ยหานปิงเดินออกมาพร้อมดาบ ชายผู้นั้นรีบคุกเข่าลงในทันทีเพื่อแสดงความเคารพ“หัวหน้าเซี่ย!” ชายคนนั้นเอ่ยด้วยเสียงเบาแต่ชัดเจนเซี่ยหานปิงจำเสียงนี้ได้ทันทีว่าเป็นไป๋ซื่อเซิง ลูกน้องคนสนิทที่เขาส่งไปสังเกตการณ์ใกล้ค่ายทหาร“ไป๋ซื่อเซิง...เจ้าทำอะไรดึกดื่นเช่นนี้”“ขออภัยขอรับ ข้ามีองค์หญิงหยางจูมารายงาน พระองค์ถูกกบฏจับตัวไปขอรับ!”เซี่ยหานปิงนิ่งเงียบครู่หนึ่ง ใบหน้าของเขาตึงเครียดขึ้นในทันที เขาพยักหน้าให้ไป๋ซื่อเซิงลุกขึ้น ก่อนจะผายมือเชิญให้อีกฝ่ายเข้าไปด้านใน “ไปคุยกันข้างในเถอะ” เมื่อทั้งสองนั่งที่โต๊ะน้ำชาภา
ยามเช้า พิษในตัวนางถูกถอนออกไปหมดดังคาด หมอจางเข้ามาดูอาการ เขียนเทียบยาบำรุงร่างกายอีกเล็กน้อยแล้วก็ขอตัวลากลับออกไปหลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ เซี่ยหานปิงก็ประคองนางเดินมายังลานหน้าบ้าน ตอนนี้ย่างเข้าฤดูร้อน ใบหลิวปลิวไสวงดงาม อำลาฤดูใบไม้ผลิ“มาเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปที่หนึ่ง” เซี่ยหานปิงยื่นมือไปให้นาง ก่อนทั้งสองจะเดินไปยังเนินเขา ที่ตรงนั้นเป็นทุ่งดอกไม้ รอบด้านจึงเต็มไปด้วยดอกไม้หลากสีลู่อิงรู้สึกผ่อนคลาย นางเดินจูงมือใหญ่ของเซี่ยหานปิงไปเรื่อย ๆ ยามนี้ดวงตะวันสาดแสงอ่อน ๆ ลงมาจากฟากฟ้า แม้จะย่างเข้าฤดูร้อน แต่อากาศยังไม่ร้อนนัก ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าใสปนขาว เมฆลอยละล่องราวกับสำลีเบาบาง ยิ่งเมื่อได้ยินเสียงลำธารไหลเอื่อย ๆ อยู่ใกล้ ๆ ยิ่งทำให้นางรู้สึกสงบและสบายใจเป็นที่สุดความเงียบสงบรายล้อมอยู่โดยรอบ ทั้งสองก้าวเดินช้า ๆ ในทุ่งดอกไม้ ลู่อิงรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นจากมือของเซี่ยหานปิงที่ประสานกันอย่างแนบแน่น ใบหน้าของนางระบายด้วยรอยยิ้มบางเบา มองไปยังดอกไม้ที่เบ่งบานและสายลมที่พัดเอื่อย กลิ่นหอมของดอกไม้ป่าผสมกลิ่นต้นไม้ใบหญ้า ทำให้หัวใจนางเบาสบายแ