หยางจูสะดุ้งตื่นเพราะเสียงตีเกราะดังระรัว นางรีบร้อนแต่งตัวด้วยชุดไร้สีสันที่ตระเตรียมมา สวมทับด้วยเครื่องแบบของกองทัพ และพบว่าแม้จะไม่สวยงามสะดวกสบายอะไรนัก แต่ก็ใช้เวลาน้อยกว่าตอนที่นางเป็นองค์หญิงถึงสิบเท่า จากนั้นนางก็ต้องขมวดปอยผมของตัวเองให้ดีขณะที่เสียงเรียกหน้าประตูยังดังไม่หยุด
“หยางหยาง หากไปช้าเราจะถูกลงโทษเอานะ” คนที่อยู่หน้ากระโจมตะโกนเข้ามา หยางจูจึงรีบตอบกลับ เกรงว่าหากขืนชักช้าเขาจะเปิดประตูเข้ามาเรียกถึงด้านในแล้วความจะแตกเอาได้ “เข้าใจแล้ว ๆ” นางเปิดประตูแล้วก้าวตามชายหนุ่มรูปร่างผอมสูงที่ก้าวเดินด้วยความรวดเร็วไปในความมืด ฟ้ายังไม่สว่างดีนัก แต่รอบค่ายก็มีเสียงพูดคุย เสียงของผู้คนที่ทำงานไม่หยุดหย่อน เสียงโลหะกระทบกัน เสียงกวาดถู และกลิ่นที่ผสมปนเปกันไปในอากาศจนยากจะบอกได้ว่าเป็นกลิ่นของสิ่งใดกันแน่ ตะเกียงและคบเพลิงถูกจุดให้แสงสว่างเป็นระยะ นางเห็นเรือนนอนเรียงกันเป็นแถบ ซึ่งเป็นของทหารที่พอจะมียศศักดิ์เท่านั้น ทหารชั้นเลวหรือทหารรับใช้จะได้นอนในกระโจมรวม ซึ่งนางเองถ้าไม่อาศัยความช่วยเหลือของรองแม่ทัพจางซื่อหมิงก็คงจะไปลงเลยในสถานที่แบบนั้นเช่นกัน “นี่ เจ้าชื่ออะไร” นางเอ่ยถามอย่างคนมีอัธยาศัยดี และสงสัยว่าจางซื่อหมิงบอกกับชายหนุ่มว่าอย่างไรบ้าง “ลี่ถัง” “ท่านรองแม่ทัพบอกอะไรแก่เจ้าบ้าง” “บอกเพียงแต่ว่าเจ้าถูกฝากมาให้ฝึกทำงานในโรงครัว” ลี่ถังคนนี้พูดน้อยนัก เห็นทีจะผูกมิตรด้วยไม่ง่าย หยางจูครุ่นคิด นางมาอยู่ที่นี่ ก็จำเป็นที่จะต้องมีมิตรสหายเอาไว้บ้าง “เจ้าต้องคนเป็นคนที่ท่านรองแม่ทัพไว้ใจมากแน่ ถึงได้ถูกส่งมาให้ช่วยเหลือข้า” “ใช่แล้ว ข้ารับใช้ใกล้ชิดท่านรองแม่ทัพเลยทีเดียว” คราวนี้เสียงของเขาเป็นมิตรมากขึ้นเมื่อถูกยกย่อง “ถ้าเช่นนั้นข้าฝากตัวด้วย” นางกล่าวอย่างอ่อนน้อม ทั้งสองมาถึงโรงครัวที่วุ่นวายจนไม่รู้ว่าควรจะเริ่มตรงไหนก่อน ลี่ถังพาหยางจูไปแนะนำตัวต่อหัวหน้าโรงครัว ซึ่งก็ไม่ได้สงสัยอะไร กลับดีใจด้วยซ้ำที่จะได้ลูกมือมาช่วยทำงานมากขึ้น เพราะในทุก ๆ วัน การทำอาหารเลี้ยงคนทั้งกองทัพไม่ใช่เรื่องง่ายเลยแม้แต่น้อย “เอ้า มัวแต่ยืนรีรออะไรอยู่อีก เจ้าไปถอนขนไก่เข้าสิ” เขาออกคำสั่ง “ถอนขนไก่!” หยางจูเผลอร้องเสียงดัง “ก็ใช่น่ะสิ รีบไปได้แล้ว หรืออยากให้ข้าตบสักฉาดสองฉาด จะได้มีสติ” “ไม่ขอรับ ๆ” นางรีบวิ่งออกมาจากตรงนั้น แล้วตามลี่ถังไปทางด้านหลัง ตรงนี้มีไก่ตัวอ้วนพีนอนเรียงกันเป็นแพ ไก่พวกนั้นคอพับและตายสนิท กระนั้นนางก็ยังไม่กล้าที่จะเข้าไปจับ ท่าทางกล้า ๆ กลัว ๆ ของนางเป็นจุดสนใจของทหารคนอื่นให้หันมามอง บ้างก็หัวเราะเยาะ บ้างก็รู้สึกขัดตา “ลงมือสิหยางหยาง” ลี่ถังกระตุ้นแล้วถอนขนไก่กระจุกหนึ่งที่หางให้ดูเป็นตัวอย่าง จากนั้นก็เริ่มดึงขนปีกอย่างชำนาญ หยางจูเบ้หน้า นี่แทบไม่ต่างจากการถลกหนังโดยแท้ “หยางหยาง” คราวนี้เสียงของเขาเข้มขึ้น หยางจูจำต้องนั่งลง ถลกแขนเสื้อขึ้นถึงข้อพับแล้วจับไก่ที่น่าสงสารมาไว้ในมือข้างหนึ่ง แล้วลองดึงตามที่ลี่ถังทำให้ดู “ฮืออ ข้าขอโทษนะเจ้าไก่น้อย อภัยให้ข้าด้วยเถอะ” “คร่ำครวญอะไรของเจ้า ไก่นี่มันตายแล้ว โธ่เอ๊ย มัวแต่ดึงทีละเส้นแบบนั้นเมื่อไหร่จะเสร็จ เดี๋ยวก็ได้โดนหัวหน้าฟาดเอาหรอก” “ข้าทำไม่ได้ ดูสิ ดวงตาของมันจองข้าไม่เลิกเลย มันต้องกำลังอาฆาตข้าแน่ ๆ” หยางจูจับคอไก่บิดไปอีกทาง เพื่อจะได้ไม่เห็นใบหน้าและดวงตาของมัน ลี่ถังถอนหายใจเฮือกใหญ่ ตอนนี้ทั้งสองคนยิ่งถูกมองมากขึ้น เพราะพฤติกรรมแปลกประหลาดของทหารใหม่ท่าทางอ้อนแอ้นราวสตรี ผู้นี้ “เจ้าลองไปเตรียมวัตถุดิบน่าจะดีกว่า อยู่ทางนั้นแน่ะ” นางได้ยินก็ผุดลุกขึ้นด้วยความดีใจ คิดว่าอย่างไรเสีย การเตรียมวัตถุดิบก็ต้องง่ายกว่าอยู่แล้ว ร่างเล็กจึงกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาหยุดยังส่วนที่เต็มไปด้วยผักมากมาย รวมถึงสมุนไพรและของแห้งที่เก็บอยู่บนชั้นด้านหลัง หยางจูอ้าปากค้าง แม้จะเป็นการหั่นผักแค่อย่างเดียว ก็ต้องใช้คนถึงสิบคน และทุกคนก็ทำอย่างพร้อมเพรียงกัน เสียงหั่นดัง ฉับ ๆ ๆ เหมือนเสียงเชือดเนื้อเถือหนังเลยทีเดียว “เอ้า เจ้านั่นน่ะ มาทางนี้เร็วเข้า ได้ยินหรือเปล่า” หยางจูหันซ้ายหันขวา เมื่อไม่เห็นใครที่ยืนอยู่เปล่า ๆ นอกจากตัวเอง ก็ต้องรีบวิ่งไปหาคนเรียก “ไปสับหมูเร็วเข้า” “สะ...สับหมู!!” “เจ้าสับหมูไม่เป็นรึ” ถามเมื่อเห็นหน้าตาตื่นของนาง “แล้วมาอยู่ในครัวได้อย่างไร” “เป็นขอรับ ข้าแค่ตื่นเต้นไปหน่อย วันนี้เป็นวันแรกของข้า” นางรีบละล่ำละลักบอก “เช่นนั้นก็รีบไปทำงานเข้า ก่อนที่มันจะกลายเป็นวันสุดท้ายของเจ้าเช่นกัน” เขามองนางตั้งแต่หัวจรดเท้า นึกแปลกใจกับร่างเล็กและท่าทางบอบบาง แต่ในเมื่อนางแต่งกายและพูดจาเฉกเช่นชายชาตรี เขาก็ ขี้คร้านจะสงสัย จึงโบกมือให้นางไปทำงานตามที่ได้รับมอบหมาย หยางจูต้องเดินไปอีกฝั่ง เนื่องจากอาหารส่วนที่ปรุงด้วยเนื้อและผักนั้นอยู่แยกจากกัน ที่เขียงสับนี้ มีคนยืนอยู่ประจำที่เพียงสองคน แสดงว่ากองทัพคงไม่ค่อยมีเนื้อให้กินมากนัก นางหยิบมีดขนาดใหญ่ที่หนักจนเกือบจะทำร่วงจากมือเพียงแค่ยกขึ้น แล้วเริ่มสับตามคนข้าง ๆ เสียงดังลั่นไปหมด “นี่เจ้า สับเช่นนั้นมันจะละเอียดได้เยี่ยงไร” ชายหนุ่มอ้วนฉุหันมามองราวกับนางโง่เง่าเสียเต็มประดา ซ้ำยังทำเสียงดูถูกดูแคลนและเลียนแบบท่าทางยกมีดขึ้นสับของนางเสียอีก หยางจูคิดว่าในกองทัพมีแต่คนผอม หรือหุ่นสมส่วนเพราะทำงานหนัก เจ้านี่คงจะแอบขโมยอาหารของเพื่อนในค่ายเป็นแน่ เฮอะ กล้าดีอย่างไรมามององค์หญิงของแผ่นดินเช่นนี้กัน “ว่าแล้วยังจะมามองตาขวางอีก” นางอยากจะเถียงใจแทบขาด แต่ก็จำคำของรองแม่ทัพจางได้ จึงได้แต่กัดปาก แล้วหลุบตาต่ำ “เอาเถอะ ข้าเดาว่าเจ้าคงจะเป็นเด็กใหม่ เช่นนั้นข้าจะสอนเจ้าเอง” “ขอบคุณพี่ใหญ่” นางรีบพูด “เจ้านี่ท่าทางนุ่มนิ่มและพูดการจาเหมือนพวกสตรีไม่มีผิด” คนถูกกล่าวหาว่าเป็นสตรีรีบยืดหลังตรงแล้วกล่าวเสียงเข้ม แบบที่ต้องดัดให้แหบห้าวขึ้นอีกหลายเท่า “พี่ชายอย่าได้คิดเช่นนั้น แม้ร่างกายข้าจะไม่ได้บึกบึนเช่นท่านแต่ก็แข็งแรงทำงานหนักได้สบาย” เมื่อได้ยินคำว่าบึกบึนก็ยิ้มขึ้นมาเชียว หยางจูนึกในใจ “เอาเถอะ ๆ เลิกพูดความจริงที่ไม่จำเป็นสำหรับงานเสียที มานี่ ข้าจะสอนเจ้าเอง” เจ้าหมูตอนยืดอกยิ้มเผล่แล้วอาสาสอนงานให้นาง หยางจูเรียนรู้วิธีการสับหมูได้เป็นอย่างดี แต่เนื้อมากมายขนาดนั้น นางทำไปได้ไม่เท่าไหร่ก็ปวดเมื่อยไปทั้งตัว จึงหาทางเลี่ยงออกมา แล้วก็โดนเรียกไปทาเกลือเพื่อถนอมอาหาร ซึ่งใช้เป็นเสบียงของกองทัพ นางได้แต่นั่งหลังขดหลังแข็ง อดทนสู้งานเพียงเพื่อจะได้พบมู่หรงเซียวหนานเพียงสักครั้ง หากแต่จนแล้วจนรอด ก็ยังไม่มีวี่แววว่าวันนี้นางจะได้พบเขา “เจ้าคนไหนชื่อหยางหยาง ตามมานี่”ลู่อิงหน้าแดงเรื่อเมื่อถูกถามอย่างตรงไปตรงมา เซี่ยหานปิงไม่เพียงอนุญาตแต่ยังค่อย ๆ ดึงลู่อิงให้เอนตัวขึ้นมา ก่อนจะลูบผมสลวยเพื่อให้คลายกังวล ไม่อยากให้คิดว่าเป็นการกระทำที่ยากหรือน่ากลัว“ข้า...ข้ามิเคยทำมาก่อน”“ข้ารู้ เจ้าแค่อ้าปากแล้วกินมันเข้าไปเท่านั้น” เขาส่งยิ้มบางเบาแล้วค่อย ๆ ประคองใบหน้างดงามให้เคลื่อนเข้ามาใกล้ ๆพอริมฝีปากแทบจะจ่ออยู่ปลายหัวของแก่นกายลู่อิงจึงค่อยยื่นลิ้นออกมา นางใช้ปลายลิ้นแตะลงบนปลายหัวสีแดงระเรื่อ แต่พอสัมผัสก็ได้ยินเสียงเซี่ยหานปิงครางต่ำออกมา นางจึงช้อนสายตาขึ้นไปมองก็“อืม...ดี ดียิ่งนัก” เซี่ยหานปิงก้มมองคนเบื้องล่างที่เรียนรู้ว่องไว เขารู้อยู่แล้วนางจะทำได้เพราะเรื่องแบบนี้มันอยู่ในสัญชาตญาณ แม้ว่าแรก ๆ ลู่อิงจะเคลื่อนไหวติด ๆ ขัด ๆ ไปบ้าง แต่ไม่ได้ทำให้อารมณ์หยุดชะงักลู่อิงตาลอยเล็กน้อย รู้สึกถึงความยาวดุนดันอยู่ในลำคอของนาง น้ำตาหยดเล็ก ๆ เปียกชื้น ทว่านางก็กลืนกินมันจนเกิดเสียงหยาบโลน เซี่ยหานปิงลูบผมนาง ก่อนจะสาวเอวสอบเข้าออกช้า ๆ และจากจังหวะเนิบช้าก็เริ่มเปลี่ยนเป็นเร็ว
ลู่อิงนั่งอยู่ในเกี้ยวหามที่โคลงเคลงไปมาตลอดทาง นางพยายามสงบจิตใจของตัวเอง แต่ก็ไม่อาจห้ามหัวใจที่เต้นแรงด้วยความตื่นเต้นได้ เสียงตีฆ้องร้องป่าวจากด้านนอกบ่งบอกว่าขบวนแห่นำเจ้าสาวกำลังเดินทางมาถึงจวนของเซี่ยหานปิง ผู้ที่วันนี้ไม่ใช่เพียงแค่ราชองครักษ์ แต่เป็นเจ้าบ่าวของนางจวนหลังนี้ไม่ใช่จวนธรรมดา เพราะเป็นจวนที่ได้รับพระราชทานจากองค์หญิงหยางจู และองค์ชายชาง ว่าที่องค์รัชทายาท ผู้เป็นพระเชษฐาขององค์หญิงหยางจู และเป็นผู้ให้การช่วยเหลืออย่างลับ ๆ ตอนที่องค์หญิงหยางจูปลอมตัวไปอยู่ในค่ายทหาร เพื่อเป็นของขวัญสำหรับการที่เซี่ยหานปิงรับใช้และปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์มาโดยตลอด จวนนี้แม้อยู่ในเมืองหลวง แต่ค่อนไปทางชานเมือง เนื่องจากเซี่ยหานปิงและลู่อิงชอบความเรียบง่าย มิอยากเผชิญความวุ่นวายในตัวเมือง แต่แม้จะห่างไกลออกมา จวนแห่งนี้ก็ยังโดดเด่น สง่างาม สมกับตำแหน่งขุนนางขั้นสี่ของเขาเมื่อขบวนเจ้าสาวไปถึงหน้าจวน เกี้ยวได้ถูกวางลงบนพื้นช้า ๆ ลู่อิงไม่คุ้นเคยกับพิธีการเหล่านี้มากนัก เพราะเป็นเพียงนางกำนัลที่เติบโตอยู่ในวังหลวงมาตลอด ไม่มีครอบครัวที่ไหนจะส่งตัวนางออกมาเช่นนี
เมื่อเซี่ยหานปิงกลับถึงเมืองหลวง เขาถูกภารกิจมากมายถาโถมเข้ามาจนแทบไม่มีเวลาหยุดพัก แต่ละวันเต็มไปด้วยเรื่องที่ต้องจัดการอย่างไม่หยุดยั้ง จนเวลาผ่านไปหลายวันโดยที่เขาไม่ได้พบกับลู่อิงเลยสักครั้งแม้ตนจะเป็นองครักษ์ประจำตัวขององค์หญิงหยางจูก็ตามในหัวใจเขานั้นเต็มไปด้วยความคิดถึง ไม่เพียงแต่งานที่ทำให้เหนื่อยล้า แต่ความรู้สึกโหยหาสตรีนางหนึ่งที่เขาใส่ใจมากขึ้นทุกวันก็ทำให้จิตใจของเขายิ่งเหน็ดเหนื่อยยิ่งขึ้นไปอีก แต่ก็พยายามข่มใจ ไม่อยากเร่งรีบอะไรจนเกินไป เพราะเขาต้องการจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อนจะไปหานางฝ่ายลู่อิงเองก็เฝ้ารอคอยการกลับมาของเซี่ยหานปิงด้วยใจจดจ่อ แต่หลายวันผ่านไปแล้วนางก็ยังไม่เห็นหน้าเขา จิตใจที่เคยสงบสุขจึงเริ่มร้อนรุ่มขึ้นมา นางไม่อาจห้ามความคิดถึงเขาได้ ทุกคืนที่หลับตานอน ก็ได้แต่ครุ่นคิดถึงว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ จนหัวใจเต็มไปด้วยความกังวลและโหยหาสุดท้าย ความคิดถึงของทั้งสองก็ถึงจุดที่ไม่อาจต้านทานได้ เซี่ยหานปิงอดทนไม่ไหวอีกต่อไป จนในคืนนั้นเขาตัดสินใจว่าอย่างไรจะต้องเจอหน้านางให้จงได้ลู่อิงที่นอนหลับตาอยู่บนเตียงกลับสะดุ้งตื่นขึ้
เมื่อเซี่ยหานปิงกลับถึงบ้าน พอเปิดประตูเข้าไปก็เห็นลู่อิงนั่งกระวนกระวายใจอยู่ ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความกังวล“ท่านหายไปไหนมาเสียตั้งนาน” ลู่อิงรีบถลาเข้ามาหาเขา ดึงตัวเขาเข้าไปในบ้านพร้อมกับปิดประตูแน่นหนา นางดูร้อนรนเกินปกติ หัวใจของนางเต้นระส่ำ ไม่คิดว่าเขาจะหายไปโดยไม่บอกกล่าวเช่นนี้“เกิดอะไรขึ้นหรือ” เซี่ยหานปิงถามด้วยเสียงนุ่ม พยายามไม่ให้ดูผิดปกติเกินไป แต่ก็เห็นชัดว่าลู่อิงไม่ได้สงบอย่างที่ควรจะเป็น“องค์หญิงทรงเป็นอย่างไรบ้าง ท่านเห็นนางกับตาหรือไม่ หรือเพียงไต่ถามสายข่าวของท่านเท่านั้น” ลู่อิงถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ นางไม่อาจปิดบังความวิตกกังวลในใจได้ การที่เขาหายตัวไปเช่นนี้ทำให้นางคิดว่าเรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับองค์หญิงหยางจูโดยตรง“องค์หญิงถูกจับไป”เซี่ยหานปิงตอบด้วยเสียงสงบนิ่ง ใบหน้าไร้ความตระหนก และเตรียมพร้อมยอมรับปฏิกิริยาตอบสนองทุกรูปแบบของลู่อิงสิ้นคำพูดนั้น ลู่อิงราวกับถูกทุบเข้าที่ศีรษะ นางนิ่งไปชั่วขณะ พยายามเรียบเรียงคำพูด แต่สิ่งที่ได้มีเพียงความหวาดกลัวจับใจเสียจนพูดไม่ออก เซี่ยหานปิงจึงพูดต่อ“พวกกบฏกับห
เซี่ยหานปิงนอนกอดลู่อิงไว้ภายใต้แสงจันทร์ ทว่าเขากลับต้องตื่นขึ้นเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเบา ๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้ แม้ผู้มาเยือนจะระมัดระวังเพียงใด แต่ก็ไม่อาจรอดพ้นสัญชาตญาณฉับไวขององครักษ์ผู้ชำนาญได้ เขาลุกขึ้นจากเตียงอย่างเงียบเชียบที่สุดเพราะเกรงว่าคนข้างกายจะรู้สึกตัวตื่น หยิบดาบของตนติดมือไปด้วย แล้วเปิดประตูออกไปเผชิญหน้ากับผู้มาเยือนชายในชุดดำคลุมหน้าปรากฏตัวอยู่ในลานบ้าน พอเห็นเซี่ยหานปิงเดินออกมาพร้อมดาบ ชายผู้นั้นรีบคุกเข่าลงในทันทีเพื่อแสดงความเคารพ“หัวหน้าเซี่ย!” ชายคนนั้นเอ่ยด้วยเสียงเบาแต่ชัดเจนเซี่ยหานปิงจำเสียงนี้ได้ทันทีว่าเป็นไป๋ซื่อเซิง ลูกน้องคนสนิทที่เขาส่งไปสังเกตการณ์ใกล้ค่ายทหาร“ไป๋ซื่อเซิง...เจ้าทำอะไรดึกดื่นเช่นนี้”“ขออภัยขอรับ ข้ามีองค์หญิงหยางจูมารายงาน พระองค์ถูกกบฏจับตัวไปขอรับ!”เซี่ยหานปิงนิ่งเงียบครู่หนึ่ง ใบหน้าของเขาตึงเครียดขึ้นในทันที เขาพยักหน้าให้ไป๋ซื่อเซิงลุกขึ้น ก่อนจะผายมือเชิญให้อีกฝ่ายเข้าไปด้านใน “ไปคุยกันข้างในเถอะ” เมื่อทั้งสองนั่งที่โต๊ะน้ำชาภา
ยามเช้า พิษในตัวนางถูกถอนออกไปหมดดังคาด หมอจางเข้ามาดูอาการ เขียนเทียบยาบำรุงร่างกายอีกเล็กน้อยแล้วก็ขอตัวลากลับออกไปหลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ เซี่ยหานปิงก็ประคองนางเดินมายังลานหน้าบ้าน ตอนนี้ย่างเข้าฤดูร้อน ใบหลิวปลิวไสวงดงาม อำลาฤดูใบไม้ผลิ“มาเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปที่หนึ่ง” เซี่ยหานปิงยื่นมือไปให้นาง ก่อนทั้งสองจะเดินไปยังเนินเขา ที่ตรงนั้นเป็นทุ่งดอกไม้ รอบด้านจึงเต็มไปด้วยดอกไม้หลากสีลู่อิงรู้สึกผ่อนคลาย นางเดินจูงมือใหญ่ของเซี่ยหานปิงไปเรื่อย ๆ ยามนี้ดวงตะวันสาดแสงอ่อน ๆ ลงมาจากฟากฟ้า แม้จะย่างเข้าฤดูร้อน แต่อากาศยังไม่ร้อนนัก ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าใสปนขาว เมฆลอยละล่องราวกับสำลีเบาบาง ยิ่งเมื่อได้ยินเสียงลำธารไหลเอื่อย ๆ อยู่ใกล้ ๆ ยิ่งทำให้นางรู้สึกสงบและสบายใจเป็นที่สุดความเงียบสงบรายล้อมอยู่โดยรอบ ทั้งสองก้าวเดินช้า ๆ ในทุ่งดอกไม้ ลู่อิงรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นจากมือของเซี่ยหานปิงที่ประสานกันอย่างแนบแน่น ใบหน้าของนางระบายด้วยรอยยิ้มบางเบา มองไปยังดอกไม้ที่เบ่งบานและสายลมที่พัดเอื่อย กลิ่นหอมของดอกไม้ป่าผสมกลิ่นต้นไม้ใบหญ้า ทำให้หัวใจนางเบาสบายแ