“เหรินเหมยเขาเอาเงินที่ได้ไปทุ่มกับการรักษาคุณแม่ที่ป่วย คุณยอมให้เธอทำงานจึงถือว่าทำบุญ”เฉิงซีหยวนไม่ได้พูดว่าอะไร
ถงไฉ่ถอนหายใจยาวหนักใจไม่น้อยกับความสัมพันธ์ปรามเหรินเหมยว่าให้ยอมๆคุณเฉิงเขาหน่อยเพราเขาก็เท่ากับนายจ้าง เหรินเหมยรับปากมั่นเหมาะแต่ถงไฉ่รู้ดีว่าเหรินเหมยเป็นคนที่ชอบความยุติธรรมไม่เคยเอาเปรียบใคร แต่ถ้าอะไรไม่ถูกไม่ควรเหรินเหมยไม่มีทางยอม
เดินตามเฉิงซีหยวนไปติดๆ
เหรินเหมยโบกมือลาแม่หยอยๆเขาอนุญาตให้มาส่งได้แค่นี้เพราห่วงความปลอดภัยของครรภ์ที่ยังไม่แข็งแรง กลัวว่าจะแท้ง เพราะเป็นการฝังตัวอ่อนด้วยมือหมอไม่ได้ใช้วิธีธรรมชาติที่ถงไฉ่ใช้คำว่าเด็กจะหัวแข็งกว่าวิธีที่หมอทำ ฉะนั้นจะต้องดูแลสุขภาพร่างกายและจิตใจคนอุ้มท้องให้ดี
“ไปกันได้แล้ว”เสียงสั่งเบาๆข้างหลัง เหรินเหมยรีบปาดน้ำตา
“หยุดร้องได้แล้วนะ คนอุ้มท้องถ้าเอาแต่เศร้าโศก จะทำให้ลูกของผมในท้องกลายเป็นเด็กที่ร้องไห้โยเยและไม่ร่าเริง”
จีเหรินเหมยสูดลมหายใจเข้าลึกๆยิ้มกว้างสดใส
“ตกลงค่ะ”ถือกระเป๋าก้าวเดินนำแต่คนติดตามคุณเฉิงคนนั้นรีบมาแย่งกระเป๋าในมือไปถือเสียเอง
“คราวหลังจำไว้ห้ามใช้แรง คุณหมอถงต้งอาศัยคุณช่วยอธิบายกับคนอุ้มท้องด้วยว่าห้ามใช้แรง อะไรที่ทำได้และไม่ได้”ถงไฉ่ยิ้มพยักหน้าขึ้นลง
“ครับ คุณเฉิงไม่ต้องห่วงครับตอนนี้ยังใหม่จะต้องใช้เวลาปรับตัวกันอีกนิด”เฉิงซีหยวนเดินเข้าไปนั่งเบาะด้านหลัง
เหรินเหมยหยุดยืนตรงหน้าด้านข้างคนขับที่มองเหมือนอายุอานามไม่เท่าไหร่กำพวงมาลัยจนมือชื่นเหงื่อนี่หรือคนที่จะเช้าไปอยู่ในบ้านกับเหรินเหมยถอนหายใจยาวตั้งใจว่าจะเข้าไปนั่งด้านหน้าเสียงทุ้มก็พูดขึ้น
“นี่คนอุ้มท้องคุณต้องมานั่งเบาะหลังส่วนข้างหน้านั่นสำหรับคุณหมอถงถึงแม้รถคันนี้จะวิ่งได้เงียบนุ่มแทบไม่รู้สึกถึงแรงสะเทือนแต่ก็นั่นแหละเราต้องป้องกันไว้ก่อนเบาะหลังแรงกระแทกมันน้อยไม่กระทบต่อครรภ์อ่อนๆ”ร่างสูงที่นั่งไขว้ห้างพูดด้วยสีหน้าเย็นชาเรียบเฉย
หมอถงยกมือดันหลังเหรินเหมยให้เดินเข้านั่งลงข้างๆคุณเฉิงที่พูดแล้วก็นั่งนิ่งเหมือนหุ่นแล้วตัวหมอถงก็เข้าไปนั่งด้านข้างคนขับ
“ออกรถได้”
“บรี้นๆๆเอี๊ยดดดดดดดด”
รถกระชากอย่างแรงจีเหรินเหมยหัวคะมำไปด้านหน้าเฉิงซีหยวนยกมือคว้าเอวบางของจีเหรินเหมยแล้วโน้มกายกอดจีเหรินเหมยไว้สุดตัว เหรินเหมยตัวชาวาบ ใจเต้นตึกตักเมื่อใบหน้าอีกคนเกือบจะชิดใบหน้าของเหรินเหมย
“หยงซือนายขับรถประสาอะไร ฉันไล่นายออก”มือยังกอดเหรินเหมยไว้แน่น
“ขะขะขอโทษครับ ยะยะไล่ผมออกเลยครับ”
“นายกำลังจะทำให้เกิดอันตราย ต้นสังกัดนายไม่ได้บอกนายหรือว่าให้ขับรถและออกตัวแบบไหนในการขับรถให้ระดับผู้บริหาร”หยงชือหน้าจืดนั่นเสียงสั่นเหมือนกำลังจะร้องไห้
“ขอโทษครับผม ได้โปรดครับผม เพิ่งจะเคยขับรถหรูๆแบบนี้ครั้งแรก ได้โปรดครับบอสอย่าไล่ผมออกเลยผมจะระวังให้มากกว่านี้ผมตื่นเต้นไปหน่อยครับ ผมยังไม่อยากตกงานตอนนี้ในวันแรกที่มาทำงาน พ่อกับแม่ผมจะต้องเสียใจพอรู้ว่าจะได้งานขับรถให้คุณเฉิง พ่อกับแม่ผมก็เลี้ยงฉลองงานใหม่ให้ผมทุกคนคาดหวังในตัวผมมากทีเดียว ได้โปรดอย่าไล่ผมออกเลยครับ”หมอถงถอนหายใจยาว
“นายเกือบทำให้คนอุ้มท้องลูกของฉันหัวคมำและ หากว่าฉันกอดไว้ไม่ทันท้องของเขากระแทกกับอะไรสักอยา่งลูกของฉันในท้องของเขาจะไม่ได้รีบอันตรายหรอกหรือ” เหรินเหมยปวดหัวไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องพูดเหมือนพยายามท่องเรื่อ
งลูกของเขาในท้องของเหรินเหมยคนอะไรจะเปะขนาดนั้น
หยงซือกลืนน้ำลายลงคอยากเย็น
“คือคุณเฉิงคะอย่าหาว่าฉันก้าวก่ายเลย ฉันคิดว่า เขาแค่ตื่นเต้น หากอยู่ๆกันไปอาจจะพอใช้ได้ อีกอย่างฉันก็ไม่ได้เจ็บตรงไหนยังสบายดี”
“ที่ไม่เจ็บเพราะฉันคว้าตัวเธอไว้ทันต่างหากเล่า”เสียงเรียบเฉย
“อย่างนั้นฉันขอร้องแทนเขาได้ไหมไหนคุณบอกว่าไม่อยากให้คนอุ้มท้องเครียดอย่างนั่นคุณก็อย่าคาดโทษเขาลูกของคุณในท้องส่งผลให้ฉันมีจิตใจเมตตา เห็นหรือไม่ปกติแล้วฉันน่ะใครๆก็บอกว่าร้ายกาจ”เฉิงซีหยวนถอนหายใจส่ายหน้าไปมา
“ก็ได้แต่ถ้ามีครั้งที่สองนายตกงานแน่”
“ขอบคุณ ขอบคุณขอบคุณครับคุณผู้หญิง”หันมาขอบคุณจีเหรินเหมย
คนรวยจะเข้าใจอะไรคนอย่างจีเหรินเหมยคนที่ต้องปากกัดตีนถีบแบบหยงซือนั่นต่างหากจึงจะเข้าใจความลำบากและแบกรับความคาดหวังของคนในครอบครัว
“ไม่ใช่คุณผู้หญิง ผู้หญิงคนนี้อืมมมไม่สำคัญหรอกฉันไม่จำเป็นต้องอธิบายกับนายขับรถไปและจำไว้ว่าต่อไปหากเป็น คุณ…คุณจีมานั่งบนรถคันนี้เขาคือคนที่นายต้องขับรถให้นั่งและระวังให้มากเท่าชีวิตของนาย”รถเคลื่อนตัวออกช้าๆ
จีเหรินเหมยถอนหายใจ
“คุณเฉิง…อย่า…อย่าทำแบบนี้” เหรินเหมยร้องเสียงสั่น“ทำไมเธออยากให้ฉันเป็นสามีไม่ใช่เหรอ ฉันมานี่แล้วไงมาเป็นสามีอย่าที่เธอต้องการ” เขากระซิบที่ข้างหู ก่อนจะบดริมฝีปากลงอย่างรุนแรง เหรินเหมยส่ายหน้าไปมาจูบแสนวาบหวาม รุนแรงจนแทบขาดใจ…มือของเขาลูบไล้แผ่นหลังเธอ ไล่ต่ำลงเรื่อย ๆ จนหญิงสาวสะท้านเฮือก น้ำตาร่วงทั้งที่ริมฝีปากยังจูบถูกรุกล้ำเธอสั่นไปทั้งตัว ทั้งกลัว ทั้งเจ็บเฉิงซีหยวนล้วงมือเข้าไปในกระโปรงดึงกางเกงในตัวจิ๋วทิ้งไปเหรินเหมยสะดุ้งเฺฮือก“คุณเฉิงได้โปรดอย่าทำแบบนี้…” เธอร้องไห้เบาๆเฉิงซีหยวนลากเหรินเหมยขึ้นไปบนเตียง กดข้อมือตรึงร่างอวบไว้ใต้ร่างแกร่งของเขา“อย่าทำแบบนี้ ฉันมีลูกของคุณในท้อง” เฉิงซีหยวนยิ้มหยันกดปิดริมฝีปากแดงไม่สนใจรอยน้ำตา“ได้โปรด” เหรินเหมยสะอื้นอย่างหนัก“จะร้องทำไมกำลังจะสมใจแล้วเธออยากให้เป็นแบบนี้นี่ อยากเป็นเมียฉันจนตัวสั่นลงทุนอุ้มท้อง”“ไม่…ฉันเกลียดคุณไม่ได้อยากเป็นของคุณ” เฉิงซีหยวนก้มลงปิดปากบางไว้เสียเหรินเหมยทุบกำปั้นลงบนอกแกร่งดังหินผาที่ไม่ยอมขยับเขยื้อนแม้แต่น้อยจังหวะนั้นเองเหรินเหมยกำลังจะกรีดร้องด้วยความกลัวประตูถูกผลักเข้ามาอีกครั้ง ร่า
เสียงฝนตกพรำลงบนกระจกหน้าต่างของบ้านเฉิงอย่างช้า ๆ แต่ไม่มีเสียงใดดังเท่ากับเสียงลมหายใจหอบถี่ของหญิงสาวที่นอนแน่นิ่งอยู่ในห้องนอนชั้นบนสุดซูจ๋ายกำมือแน่นเมื่อความปวดหนึบแล่นไปทั่วช่องท้อง เธอก้มลงกอดตัวเอง ร่างบางสั่นสะท้าน ริมฝีปากซีดเผือด มือที่เคยประณีตประดับแหวนเพชรในอดีตบัดนี้เย็นเฉียบและไร้เรี่ยวแรง“ซูจิง… ซูจิง…!” เสียงแหบพร่าเรียกน้องสาวของตนเบา ๆ ก่อนที่ร่างจะทรุดลงกับพื้นพรมในห้องนอนอย่างหมดแรงเสียงเรียกรถพยาบาลด่วน เสียงฝีเท้าของคนรับใช้ และเสียงร้องไห้ของซูจิงประสานกันกลายเป็นฉากโกลาหลในค่ำคืนอันหนาวเหน็บเมื่อเฉิงซีหยวนมาถึงโรงพยาบาล เขาถอดสูทลวก ๆ แล้วรีบตรงไปยังห้องฉุกเฉิน ร่างสูงหยุดชะงักที่หน้าประตู ดวงตาเขามืดมน ดวงใจหนักอึ้งเหมือนมีหินพันก้อนถ่วงไว้“ซูจ๋ายเป็นยังไงบ้าง” น้ำเสียงของเขาแหบพร่า ถามซูจิงที่หน้าตาเต็มไปด้วยคราบน้ำตา“หมอบอกว่าเธอเครียดเกินไป... ทั้งเรื่องอาการป่วยและเรื่องของพี่เขย... ทั้งหมดพี่สาวเขาเก็บไว้คนเดียวหมดเลย” ซูจิงพูดเสียงสั่น “พี่เขยรู้ไหม...ช่วงนี้พี่เขยไม่เคยมองพี่ซูจ๋ายเลย ไม่แม้แต่จะถามว่าพี่ซูจ๋ายกินข้าวหรือยัง...”เฉิงซีหยวนกำมื
ค่ำคืนในบ้านตระกูลเฉิงเงียบสงบจนน่าประหลาด แสงไฟสีอุ่นในห้องนั่งเล่นสาดส่องเงาบางๆ บนผนังที่เคยมีแต่เสียงหัวเราะของครอบครัว…บัดนี้มีเพียงเสียงถอนหายใจสลับกับกลิ่นบรั่นดีเจือจางในอากาศเฉิงซีหยวนนั่งกอดอกบนโซฟา แก้วบรั่นดีอยู่ในมือ สายตาเหม่อลอยไปยังเงาสะท้อนในกระจกข้างห้อง ข้างกายเขาคือชาไช้…ซึ่งนั่งเงียบๆ อยู่อีกมุมหนึ่ง มือถือแก้วบรั่นดีที่เกือบหมดแก้วแน่นราวกับยึดเหนี่ยวความอดทนของตัวเองไว้"นายเชื่อชาไช้…" เสียงเฉิงซีหยวนขาดห้วงเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่ออย่างแผ่วเบา “…ว่าคนอย่างฉันจะหวั่นไหวกับใครบางคนได้อีกคนในเมื่อตลอดมาฉันมีแต่ซูจ๋ายคนเดียวในใจ"ชาไช้หันมองพี่ชาย ความรู้สึกประหลาดเกิดขึ้นกับเขาเฉิงซีหยวนหลับตาแล้วพูดต่อ “จีเหรินเหมย…เธอไม่ได้พยายามทำอะไรเลย แค่ยืนอยู่ตรงนั้น เงียบๆ …แต่ใจฉันมันโคลงเคลงทุกครั้งที่เห็นเธอเจ็บ หรือแม้แต่ยิ้ม...นายว่ามันเป็นไปได้หรือ"น้ำเสียงเขาแผ่วลงอีกขณะสบตากับชาไช้ที่เอาแต่ถอนหายใจ ยกแก้วบรั่นดีในมือขึ้นกระดกราวกับจะกลั่นความจริงจากความเมา"บางคืน…ที่ฉันสะดุ้งตื่นเพียงแค่อยากจะไปที่บ้านบนเขา ไปหาเหรินเหมย อยากจะบอกว่าฉันที่กลับทำเหมือนเป็นหน้าที
“ผมขอโทษ ผมสัญญาจะไม่ทำให้คุณต้องคิดมากอีกแล้ว ขอโทษที่ทิ้งคุณให้จมอยู่กับความเศร้า” ซูจ๋ายยิ้มบางๆ ยกมือเฉิงซีหยวนขึ้นแนบที่แก้มขาวซีด“ไม่ต้องขอโทษ ฉันต่างหากที่ต้องขอบคุณที่คุณยังอยู่ด้วยกันคุณยังไม่ทิ้งกัน” เฉิงซีหยวนกลืนน้ำลายลงคอช้าๆ ก้มลงจูบที่หน้าผากของซูจ่ายเบาๆ“ไม่มีทางผมไม่มีทางจะทิ้งคุณ เชื่อเถอะผมยังมีคุณคนเดียวในใจ” กอดรวบร่างซูบซีดของซูจ่ายไว้ในอ้อมแขนซูจ๋ายปล่อยน้ำตาไหลรินในแบบที่ไม่ต้องกักเก็บมันอีกต่อไปณ บ้านบนเขา ชาไช้กำลังช่วยเหรินเหมยรดน้ำดอกไม้วันนี้เหรินเหมยไม่มีอาการแพ้ท้องตื่นมาด้วยสีหน้าสดใส หรืออาจเพราะทำใจได้บ้างแล้วว่าเฉิงซีหยวนไม่มา บัวรดน้ำอยู่ในมือ ชาไช้รีบคว้าบัวรดน้ำไว้เพราะกลัวว่าจะหนักเกินไปเกินกว่าคุณแม่อุ้มท้องจะยกไหวมือของทั้งสองเกือบจะสัมผัสกันในจังหวะหนึ่ง เหรินเหมยชะงัก แต่ก็ไม่ได้ดึงมือกลับในทันที ชาไช้ยิ้ม“เฮ้อ ….กลัวผมขนาดนั้นเลยหรือ” ชาไช้พูดขึ้นดังๆ“คุณน่ากลัวนี่” พูดยิ้มๆ“เอาน่าถือว่าช่วยๆ กันงานดูแลคุณนี่คืองานแรกของผมเลยนะ” เหรินเหมยอมยิ้ม“จะไม่ผ่านโปรเอาน้าาา” เหรินเหมยยิ้ม รู้สึกผ่อนคลายเวลาที่ผ่านมาและกำลังจะผ่านไป มีเพียงชาไ
ในเช้าวันฝนตกพรำๆ เธอกำลังเลือกดอกคาร์เนชั่นสีขาวเพื่อนำไปเยี่ยมสุสานของแม่ มือหนึ่งถือร่ม อีกมือแตะกลีบดอกอย่างอ่อนโยน“เหรินเหมย”เสียงเรียกที่คุ้นหูดังขึ้นจากข้างหลัง เสียงทุ้มต่ำที่ทำให้ขมวดคิ้วเฉิงซีหยวนอย่างนั้นหรือ เธอหันกลับมา พลันสบตากับชาไช้ในชุดสูทที่เปียกฝนเล็กน้อยจากการวิ่ง“คุณมาที่นี่ได้ยังไง” เหรินเหมยถามน้ำเสียงแผ่ว“ผมแวะผ่านมา…และคิดว่าคุณน่าจะอยู่ตรงนี้” เขาตอบเรียบง่าย ก่อนจะเดินเข้ามากางร่มให้เธอแทน“คุณมาคนเดียวอีกแล้ว” เขาว่า พลางช่วยถือช่อดอกไม้จากมือเธอเหรินเหมยไม่ตอบ แค่ยิ้มบาง ๆ ก่อนจะเบือนหน้าไปอีกทาง“คุณมาคนเดียวใช่ไหม” เธอพูดเบา ๆ เหมือนกับบอกกับตัวเองมากกว่าตอบเขาชาไช้ไม่ซักถาม ไม่ตำหนิ ไม่แม้แต่จะปลอบประโลมด้วยถ้อยคำพร่ำเพรื่อ เขาแค่ยืนข้างเธอ ยื่นร่มให้ครอบหัวทั้งสองไว้ไม่ให้เปียกฝน“ผมจะอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนคุณ” เขาพูดเบาๆ“ไม่จำเป็นหรอกค่ะ…”“แต่ผมอยากจะยืนข้างๆ คุณ” ชาไช้พูด สีหน้าของเขานิ่งแต่ชัดเจนเหรินเหมยมองเขาอย่างลังเล ก่อนจะยอมปล่อยให้เขายืนเคียงข้างที่หน้าหลุมศพเรียบง่ายในสุสานชานเมือง สองคนยืนเงียบงัน ฝนยังโปรยปราย ราวกับท้องฟ้าเองก็รั
เหรินเหมยเดินช้าๆ มาตามทางดินปูด้วยหินเล็ก เสียงรองเท้ากระทบพื้นแผ่วเบา ในมืออุ้มกล่องพัสดุที่คนส่งไม่ได้ลงชื่อ แต่เธอรู้ทันทีตั้งแต่เห็นลายมือบนโน้ตแผ่นเล็ก“ดื่มก่อนนอน สบายท้องดี”ข้อความสั้นๆ แต่ทำให้หัวใจเหรินเหมยไหววูบกล่องใบนี้คือหนึ่งในหลายกล่องที่ส่งมาทุกๆวัน บ้างเป็นขนมที่เธอชอบ บ้างเป็นผลไม้ที่เหมาะสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ บางครั้งเป็นหมอนรองขา หรือเทียนหอมกลิ่นลาเวนเดอร์ที่ช่วยให้นอนหลับง่ายยามแพ้ท้องหนักเขาไม่เคยมาด้วยตัวเองอีกเลยนับจากคืนนั้นแต่การหายไปของเขา ไม่เคยทำให้เธอรู้สึกว่าเขา หายไปจริงๆทุกกล่อง ทุกข้อความ ทุกความใส่ใจจากระยะไกล คือหลักฐานว่าหัวใจของเขายังวนเวียนอยู่รอบเธอไม่ห่าง“คุณจีขา คุณเฉิงส่งของมามากขนาดนี้เกือบจะเต็มบ้านแล้ว คุรเแิงเขาห่วงคุณจีจริงๆนะคะ”เสี้ยวจี้พูดขึ้น เหรินเหมยถอนหายใจยาว“เขาแค่ทำไปตามหน้าที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉันใช้จริงหรือเปล่ามีเงินก็แค่ซื้อแล้วก็ส่งเงินเขาเยอะอยู่แล้วเรื่องแค่นี้ขนหน้าแข้งเขาไม่ร่วงหรอก”“แต่คุณจีขาเขาใจดีจริงๆนะคะแต่ก่อนเสี่ยวจี้ตกงานเขาก็รับอย่างไม่ลังเลทั้งที่ไม่รู้ว่าจะรับไปทำไมด้วยซ้ำ”เหรินเหมยพักหน้าขึ้นลงอี