ส้มมองคู่รักหนุ่มสาวที่พากันมาลองชุดภายในร้านด้วยความรู้สึกจุกในอกระคนอิจฉา ผู้หญิงเหล่านั้นช่างโชคดีที่ได้แต่งงานกับคนที่รัก ใบหน้าของพวกเธออิ่มเอมไปด้วยความสุข ออร่าเจ้าสาวจับ
ต่างจากเธอที่ได้แต่งงานกับคนที่รักก็จริง แต่กลับไม่มีความสุขเลยเพราะเป็นการรักข้างเดียว หนำซ้ำการแต่งงานยังเกิดขึ้นเพราะถูกผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายบังคับ ภายในใจมันเต็มไปด้วยความทุกข์ระทมยิ่งเห็นว่าที่เจ้าบ่าวภายในร้านแสดงความรัก ความเอาใจใส่ต่อว่าที่เจ้าสาวของตัวเองก็ยิ่งตอกย้ำให้รู้สึกเจ็บ ขณะที่เธอต้องยืนโดดเดี่ยวคนเดียวได้แต่ถามตัวเองในใจว่าเธอมาทำอะไรที่นี่ "เชิญทางนี้ค่ะคุณส้ม" เสียงของพนักงานดังขึ้นทางด้านหลังเธอจึงละสายตาออกจากเหล่าคู่รักตรงหน้า หันมองเจ้าของเสียงแทน พยายามฝืนยิ้มให้พนักงานหญิงวัยยี่สิบต้น แล้วเดินตามเธอขึ้นไปยังชั้นสองของร้านซึ่งมีชุดเจ้าสาวแบบต่าง ๆ แขวนอยู่ในตู้โชว์จนลายตา แต่ละชุดสวยมาก ๆ เหมือนที่เธอเคยวาดฝันเอาไว้ว่าสักวันจะสวมใส่ให้ได้ ทว่าในตอนนี้เธอกลับไม่ได้ตื่นตาตื่นใจกับชุดสวย ๆ เหล่านี้สักนิดเธอไม่อยากจะใส่ด้วยซ้ำ มันจะมีประโยชน์อะไรต่อให้ใส่ชุดแต่งงานสวยแค่ไหนแต่ในใจเต็มไปด้วยความทุกข์ หรือต่อให้เธอสวยดั่งนางฟ้าลงมาโปรดก็ไม่สามารถทำให้เพื่อนชายเปลี่ยนมารักได้ การแต่งงานเกิดจากการถูกบังคับมันจะมีความสุขได้ยังไงกัน หนำซ้ำว่าที่เจ้ายังไม่มองหน้าเธอด้วยซ้ำ จะใส่ชุดยังไงมันก็มีค่าเท่ากัน "เลือกได้เลยนะคะว่าชอบชุดไหน หรืออยากได้แบบไหนก็สามารถสอบถามได้ค่ะ" พนักงานสาวเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้มทำให้ส้มต้องฝืนระบายยิ้มออกมาอีกครั้งทำเหมือนว่าตอนนี้เธอกำลังมีความสุข "ค่ะ" พยักหน้ารับน้อย ๆ แล้วทำเป็นเดินเข้าไปเลือกชุดแต่งงานใกล้ ๆ เดินวนไปมาสองสามครั้ง ก่อนชี้ชุดที่แขวนอยู่ริมสุดให้พนักงานดู เป็นชุดที่เธอเลือกไปแบบสง ๆ เท่านั้นเพื่อทำให้มันจบ ๆ ไป "ฉันขอลองชุดนี้หน่อยค่ะ" "ได้ค่ะ" พนักงานยิ้มรับ แล้วเดินเข้าไปหยิบชุดแต่งงานมายื่นให้พร้อมบอกกล่าว "ห้องลองชุดอยู่ทางนั้นนะคะ" "ค่ะ" ส้มยื่นมือไปรับชุดจากพนักงานสาวมาถือไว้พร้อมกับระบายยิ้มให้เธอน้อย ๆ แล้วหมุนตัวเดินตรงไปยังห้องลองชุด เมื่อเข้ามาในห้องก็ทำการลองชุดอย่างไม่รอช้าเพราะต้องการให้เสร็จสิ้นโดยเร็วที่สุดไม่อยากอยู่ที่นี่นาน ๆ มันช้ำใจ หลังจากลองเสร็จเธอก็ตัดสินใจเลือกชุดนั้นเลย จากนั้นก็เลือกชุดไทยสำหรับใส่ในงานหมั้นช่วงเช้าต่อ การเลือกชุดของเธอใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมงก็เสร็จ "ลองชุดเสร็จแล้วใช่ไหม" ระหว่างที่เธอกำลังยืนคุยกับพนักงานเสียงทรงพลังก็ดังแทรกขึ้นจากด้านหลัง ซึ่งเธอจำได้ขึ้นใจว่าคือเสียงของเพื่อนชาย ทว่าครั้งนี้กลับดุดันจนเธอใจหวิว ค่อย ๆ หันกลับไปมองเจ้าของเสียงด้วยแววตาสงสัยไหนเขาบอกว่าต้องทำการทำงานแต่ทำไมถึงกลับมาโผล่ที่นี่ได้ แม้รู้สึกสงสัยแต่ไม่คิดจะถามไถ่เปล่งเสียงตอบเบา ๆ "เสร็จแล้ว" "เสร็จแล้วก็กลับ" แบงค์เอ่ยด้วยน้ำเสียงห้วนใบหน้าบึ้งตึงไม่สนใจสักนิดว่าตรงนั้นจะมีพนักงานอยู่ด้วยทำเอาส้มถึงกับหน้าเจื่อนรู้สึกเสียเซล์ฟไม่น้อยที่เพื่อนชายพูดจาไม่ไว้หน้ากันต่อหน้าคนอื่น ถึงเธอจะรักเขาก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะทำอะไรกับเธอก็ได้ กดเสียงตอบกลับไปพอได้ยินแค่สองคน "ถ้ารีบก็กลับก่อนได้เลย ส้มกลับเองได้" "ฉันบอกให้กลับก็กลับ อย่าให้ฉันโมโหเธอไปมากกว่านี้" ท่าทางต่อต้านของหญิงสาวยิ่งทำให้แบงค์มีน้ำโหมากกว่าเดิมเดินเข้าไปประชิดเธออีกนิด แล้วใช้มือบีบมือเรียวเบา ๆ หากคนนอกมองคงเหมือนเขาจับมือเธอเฉย ๆ แต่ความจริงคือกำลังบีบมือเรียวอยู่ต่างหากให้เธอรู้ว่าอย่าคิดแข็งข้อกับเขา แน่นอนว่าแรงบีบจากมือหนาสร้างความเจ็บให้ส้มไม่น้อยจนเผลอเบ้หน้าออกมา แต่เพียงเสี้ยวนาทีก็รีบปรับสีหน้าให้ราบเรียบ ไม่อยากให้พนักงานสาวเห็นความผิดปกติ ก่อนบอกกล่าวไปด้วยน้ำเสียงนุ่ม "งั้นฉันขอตัวก่อนนะคะ" "ค่ะ ขอบคุณคุณส้มมากนะคะที่มาใช้บริการร้านเรา ถ้าชุดแก้เสร็จเรียบร้อยแล้วทางร้านจะติดต่อไปนะคะ" พนักงานสาวน้อมรับด้วยใบหน้าเคลือบรอยยิ้ม ส้มเพียงยิ้มรับน้อย ๆ แล้วหมุนตัวเดินออกไปโดยมีร่างสูงเดินเคียงข้าง ขณะที่มือของเขายังคงกอบกำมือเธออยู่แบบนั้น ครั้นเธอจะดึงกลับเขาก็ยิ่งออกแรงบีบมากขึ้น "ปล่อยได้แล้วแบงค์ ส้มเจ็บ" เธอร้องท้วงทันทีที่เดินออกมาด้านนอกพลางพยายามสะบัดมือออกจากการจับกุม "ทำไมแบงค์ต้องทำรุนแรงด้วย กับไอ้แค่เรื่องแต่งงานแบงค์จำเป็นต้องทำกับส้มถึงขนาดนี้เลยเหรอ" "สำหรับเธอการแต่งงานที่เกิดขึ้นอาจจะเป็นเรื่องดี แต่สำหรับฉันมันโคตรเป็นเรื่องที่เฮงซวย ฉันไม่ได้อยากแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รักอย่างเธอได้ยินไหม" ความโกรธทำให้แบงค์พรั่งพรูคำพูดออกไปโดยไม่คิดสักนิดว่าคนฟังจะรู้สึกอย่างไร เขารู้สึกโกรธมากที่ถูกผู้เป็นแม่โทรมาต่อว่าเรื่องที่เขาปล่อยให้เธอเข้าไปลองชุดแต่งงานคนเดียว ซึ่งหากหญิงสาวไม่ได้เป็นคนโทรไปฟ้อง แม่ของเขาไม่มีทางรู้แน่ ๆ ทั้งที่สั่งห้ามแล้วแท้ ๆ ถือว่าเธอท้าทายเขามากเหลือเกิน เพราะเหตุนี้ยังไงล่ะเขาถึงต้องกลับมาหาเธออีกครั้ง ขณะที่คนฟังอย่างส้มถึงกับสะอึก คำพูดแสนร้ายกาจของคนที่รักเหมือนเข็มทิ่มแทงลงในอก กี่ประโยคที่เขาพูดจายังไม่เจ็บเท่าเขาบอกว่าการแต่งงานกับเธอเป็นเรื่องเฮงซวย ถึงเขาจะไม่รักก็ไม่จำเป็นต้องใช้คำพูดแรงขนาดนี้ มือเรียวกำหมัดแน่นพยายามเก็บขมขืนเอาไว้ เอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงอ่อน "ส้มรู้แบงค์ไม่ต้องย้ำ แบงค์ช่วยทนหน่อยแล้วกันช่วยแต่งงานกับส้มเพื่อรักษาหน้าครอบครัวของส้ม หลังจากส้มคลอดแล้วเราค่อยเลิกกัน" "เธอต้องการแค่นี้จริง ๆ เหรอ หรือเพียงพูดให้ตัวเองดูดี ไม่ใช่ว่าเธออยากแต่งงานกับฉันจนยอมตลบหลังฉัน นำเรื่องที่เธอท้องกับฉันไปบอกพ่อแม่ฉันจนท่านจับให้แต่งงานกันหรอกเหรอ แล้วเธอคิดว่าการเลิกกันมันง่ายนักเหรอเธอคิดว่าพ่อแม่เธอกับพ่อแม่ฉันจะยอมงั้นเหรอ" สำหรับคนมีอคติอย่างแบงค์ต่อให้หญิงสาวพูดอะไรไปก็เหมือนเป็นการแก้ตัวไม่คิดจะเก็บมาไตร่ตรองว่าเป็นเช่นไร ปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล "ตลบหลังอะไรส้มไม่รู้เรื่อง ส้มไม่ได้บอกพ่อแม่แบงค์ส้มจะทำอย่างนั้นไปทำไมในเมื่อเราคุยกันรู้เรื่องแล้ว" ส้มขมวดคิ้วเป็นปมมองหน้าเพื่อนชายอย่างไม่เข้าใจกับคำพูดของเขา ตลบหลังอะไรกันเธอไม่รู้เรื่องสักนิดจู่ ๆ เขาก็มากล่าวหากันโดยไม่คิดจะถามกันสักคำ และอย่างน้อยเขาก็ควรจะรู้สิว่าเธอนิสัยยังไงเพราะคบกันมานาน คนอย่างเธอไม่มีทางตลบหลัง หรือหักหลังเพื่อนแน่นอน "ตลอดเวลาที่เป็นเพื่อนกันมานานหลายปีไม่ได้ทำให้แบงค์รู้เลยเหรอว่าส้มเป็นคนยังไง" "เป็นเพื่อนกันมานานก็ไม่ได้หมายความว่าจะรู้จักกันดี ขึ้นชื่อว่ามนุษย์สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา หรือบางทีสิ่งที่เธอแสดงออกมาอาจจะเป็นแค่ด้านเดียวไม่ใช่ทั้งหมด" "งั้นก็แล้วแต่แบงค์จะคิดเลยเพราะตอนนี้ส้มไม่ดีในสายตาแบงค์ไปแล้ว ต่อให้ส้มพูดอะไร หรืออธิบายอะไรไปก็คงไม่มีประโยชน์" ส้มได้แต่ลอบถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยใจ เลือกจะไม่พูดอธิบายอะไรอีกเห็นแล้วว่าเขาคงไม่เชื่อ เมื่อเขาตัดสินใจไปแล้วว่าเธอไม่ดี มองสบแววตาเย็นชานิ่ง ๆ นานนับนาที ก่อนเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยว "แต่แบงค์ช่วยแต่งงานรักษาหน้าให้ส้มหน่อย อดทนแค่แปดเดือน และเมื่อถึงตอนนั้นส้มจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยเอง แบงค์ไม่ต้องกลัวหรอกว่าจะต้องทนอยู่กับส้มไปตลอดชีวิต เพราะส้มก็ไม่ได้อยากอยู่กับคนไร้หัวใจ และใจร้ายแบบแบงค์เหมือนกัน" "คำพูดของเธอมันเชื่อได้ด้วยเหรอส้ม ขนาดตลบหลังฉันเธอยังทำมาแล้วเลย" ทว่าเหมือนเพื่อนชายยังไม่ยอมจบพูดจาจิกกัดเธอไม่เลิก แน่นอนว่าเธอย่อมรู้สึกแต่พยายามอดทนไว้ขืนตอบโต้ไปอีกเกรงว่าวันนี้ก็คงไม่จบ เธอรู้สึกเหนื่อยทั้งกายและใจอย่างจะกลับบ้านเต็มทีแล้ว "ส้มเหนื่อยอยากกับไปพักผ่อนแล้ว เราแยกกันตรงนี้แล้วกัน" พูดตัดบทแล้วหันหลังเดินจากไปทันทีไม่รอให้อีกคนพูดจาจิกกัดอะไรได้อีก "อ๊ะ!" ก้าวเดินได้เพียงไม่กี่ก้าวเธอก็ต้องหลุดร้องด้วยความตกใจกับแรงดึงจากด้านหลังทำให้ตัวเธอเซเล็กน้อย ครั้นตั้งตัวได้ก็หันกลับไปถามไถ่ด้วยน้ำเสียงไม่พอใจพลางดึงแขนออกจากการจับกุม "อะไรอีกแบงค์" "กลับเองงั้นเหรอ ไม่ใช่ว่าพอห่างจากฉันหน่อยเธอก็โทรไปฟ้องแม่ฉันอีกเหรอว่าฉันไม่ยอมไปส่ง เหมือนที่โทรไปฟ้องว่าฉันไม่อยู่ลองชุดแต่งงานด้วย" แบงค์เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว จับจ้องใบหน้าเรียวด้วยแววตาวาวโรจน์ "อะไรกันอีกส้มไม่รู้เรื่อง ส้มไม่ได้โทรฟ้องแม่แบงค์" คนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอย่างส้มได้แต่หน้านิ่วคิ้วขมวดรู้สึกงุนงงกับสิ่งที่ได้ยิน คำถามมากมายผุดขึ้นเต็มสมองไปหมดว่านี่มันเกิดบ้าอะไรกัน ทั้งเรื่องที่เพื่อนชายหาว่าเธอตลบหลังบอกเรื่องท้องกับพ่อแม่เขา ไหนจะเรื่องที่โทรฟ้องนี่อีก เธอไม่ได้เป็นคนทำ ทว่าแล้วใครกันที่เป็นคนทำเพราะเรื่องพ่อของลูกในท้องมีแค่เธอกับเพื่อนชายที่รู้ ซึ่งไม่แปลกเลยถ้าเขาจะคิดว่าเป็นเธอ แต่เขาก็ควรฟังเธออธิบายบ้างไม่ใช่คิดเองตัดสินเองแบบนี้ บอกตามตรงว่าเจอแบบนี้ก็เหนื่อยเหมือนกัน.. "ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นมีแค่ฉันกับเธอ ถ้าไม่ใช่เธอแล้วจะเป็นใคร หรือเธอคิดว่าฉันจะทำให้ตัวเองเดือดร้อนเอง" "แบงค์จะให้ส้มเป็นคนผิดให้ได้เลยใช่ไหม งั้นก็ได้ใช่ส้มเป็นคนทำเอง พอใจรึยัง" เมื่ออีกคนยังคงพยายามยัดเยียดให้เธอเป็นคนผิดให้ได้เธอก็ยอมรับไปหวังว่ามันจบ ๆ สักที ตะเบ็งเสียงใส่หน้าเขาดังลั่น จากนั้นก็สะบัดแขนออกจากการจับกุม แล้วรีบสาวเท้าเดินหนี ขณะที่แบงค์ได้แต่กำหมัดแน่นมองร่างบางที่เดินจากไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย คำพูดของหญิงสาวทำให้เขาสับสนชั่วขณะไม่คิดว่าเธอจะยอมรับง่าย ๆ แต่เหมือนเป็นการยอมรับที่ทำให้มันปล่อย ๆ ไปมากกว่า สรุปแล้วเธอเป็นคนทำหรือเปล่า ถ้าไม่ใช่เธอแล้วจะเป็นใครในเมื่อเรื่องนี้มีแค่เธอกับเขาที่รู้ ทุกอย่างมันบ่งชี้ไปที่เธอหมด แรงจูงใจคือเธอแอบรักเขา เรื่องนี้เขารู้มานานแล้ว แต่แสร้งทำเป็นไม่รู้เพราะคนที่เขาชอบคือนับดาว และต้องการรักษามิตรภาพอันดีเอาไว้ แต่ไม่ว่ายังไงเขาก็จะไม่ยอมทนอยู่กับเธอถึงแปดเดือนแน่ ๆ เขาจะทำทุกทางให้เธอถอยออกไปจากชีวิตของเขาโดยเร็วที่สุด จะทำหน้าที่พ่อของลูกเพียงเท่านั้น@บ้านวิสุทธิ์ภักดี"ว้าย!" ส้มร้องอุทานด้วยความตกใจเมื่อจู่ ๆ ก็ถูกพ่อของลูกยกขึ้นอุ้มในท่าเจ้าสาวขณะที่กำลังจะก้าวเท้าเดินเข้าไปในบ้านวิสุทธิ์ภักดี "จะอุ้มทำไมแบงค์ส้มก็กำลังจะเดินเข้าบ้านอยู่นี่ไง" ครั้นตั้งตัวได้เธก็โวยวายใส่ร่างสูงพลางใช้มือทุบอกเขาแรง ๆ ไม่เข้าใจว่าเขาจะมาอุ้มทำไมกันในเมื่อเธอก็ยอมเดินเข้าบ้านดี ๆ ไม่ได้จะวิ่งหนีกลับบ้านสักหน่อยแบงค์เพียงยิ้มให้เพื่อนสาวเล็กน้อยไม่ได้ตอบอะไรตั้งหน้าอุ้มเธอเดินดุ่ม ๆ เข้าบ้าน ก่อนจะพาเดินตรงขึ้นไปยังชั้นสองของบ้านทำเอาส้มต้องขมวดคิ้วเป็นปม รีบเปล่งเสียงถามทันที "แบงค์จะพาส้มไปไหน ปล่อยส้มลงเดี๋ยวนี้นะ""พาขึ้นไปดูทะเบียนสมรส แล้วก็ใบหย่าไงเพื่อยืนยันว่าแบงค์ยังไม่ได้เซ็นมันจริง ๆ เพราะฉะนั้นเรายังเป็นสามีภรรยากันอยู่" สิ้นประโยคใบหน้าหล่อเหลาก็เคลือบไปด้วยรอยยิ้มกรุ่มกริ่ม แววตาทอประกายเจ้าเล่ห์จนส้มอดหัวใจเต้นแรงไม่ได้รู้สึกว่ามันไม่น่าไว้ใจเอาเสียเลย พยายามข่มอาการเอาไว้แล้วเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงดุหวังว่าอีกคนจะเกรงขึ้นมาบ้าง "แบงค์ก็ขึ้นไปหยิบลงมาให้ดูสิ จะอุ้มส้มขึ้นไปด้วยทำไม" "อยากพาขึ้นไปดูให้ถึงที่ไง" "มันใช่เรื่องไหม
หลายปีต่อมา"คุณพ่อคะเมื่อวานตอนไปห้างมีหนุ่ม ๆ มาจีบคุณแม่ด้วยค่ะ" ทันทีที่แบงค์ย่างกรายเข้ามาภายในบ้านเอกวิโรจน์บุตรสาวที่นั่งรอการมาของเขาในห้องโถงก็รีบเอ่ยฟ้องเสียงเจื้อยแจ๋ว"จริงเหรอครับ" ทำเอาแบงค์ถึงกับหูผึ่งรีบเดินเข้าไปหย่อนก้นนั่งข้างบุตรสาว ถามไถ่ด้วยความร้อนรนใจ "แล้วผู้ชายคนนั้นหล่อไหม แล้วแม่เขาตอบผู้ชายคนนั้นไปว่ายังไงบ้าง""เขาก็หล่อนะคะ แต่น้อยกว่าคุณพ่อ" ภริตาเด็กน้อยวัยย่างเข้าเก้าขวบตอบไปตามความจริงเพราะสำหรับเธอแล้วไม่มีใครหล่อกว่าพ่อตัวเอง "ส่วนคุณแม่แค่ยิ้มหวานให้ผู้ชายคนนั้นค่ะไม่ได้ตอบอะไร น้องริตาเลยตอบแทนคุณแม่ไปว่ามีลูกแล้วผู้ชายคนนั้นก็เดินหนีไปเลย""ทำดีมากลูกรัก ไม่เสียแรงที่พ่อให้ลูกช่วยดูแลแม่จากผู้ชายคนอื่น" ใบหน้าหล่อเหลาที่เคยบึ้งตึงก่อนหน้านี้เริ่มมีรอยยิ้มปรากฏให้เห็นเมื่อได้ยินประโยคต่อมาจากบุตรสาว ก่อนเขาจะเอื้อมมือไปหยีเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนเบา ๆ ด้วยความมันเขี้ยว ตอนนี้เวลาก็ผ่านมาสี่ปีเกือบห้าปีแล้วอีกแค่วันเดียวเท่านั้นก็จะคบห้าปีพอดี บุตรสาวของเขาอายุย่างเข้าเก้าปีเริ่มเติบโตเป็นสาวแล้วรู้เรื่องทุกอย่างจึงเป็นตัวช่วยของเขาได้ดีงานที่เขามอ
จากวันนั้นเวลาก็ดำเนินมาหนึ่งปีเต็ม ๆแบงค์ยังคงคอยดูแลลูกในฐานะคุณอาที่แสนดี ซึ่งเขาก็เต็มใจยอมรับไม่คิดเรียกร้องอะไรแค่ได้อยู่ในชีวิตผู้หญิงที่รักทั้งสองคนเขาก็มีความสุขแล้วครืดดด~สายเรียกเข้าจากโทรศัพท์ดังขึ้นทำให้แบงค์ที่กำลังเดินไปขึ้นรถเพื่อเดินทางไปหาบุตรสาวที่บ้านเอกวิโรจน์เหมือนเช่นทุกวันต้องหยุดชะงัก ก่อนจะล้วงไปหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงออกมาดูคิ้วเข้มพลันขมวดชนกันเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าสายที่โทรเข้ามาคือแม่ของลูกอดแปลกใจไม่ได้เพราะปกติเธอจะไม่โทรมาแต่เช้าแบบนี้ จึงกดรับสายด้วยความอยากรู้"โทรมาแต่เช้าเลยมีอะไรรึเปล่าส้ม"(ส้มจะโทรมาบอกว่าวันนี้ให้มาหาลูกตอนเย็น ๆ นะ เพราะช่วงเช้าพ่อกับแม่ส้มจะพาน้องริตาไปข้างนอก)พอได้ฟังประโยคจากปลายสายเขาก็หน้าหงอยลงฉับพลันรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยเพราะกะไว้ว่าจะไปรับสองแม่ลูกไปทำบุญด้วยกันที่วัดสักหน่อยเนื่องในวันนี้เป็นวันเกิดของเขา อดคิดไม่ได้ว่าเพื่อนสาวคงจะลืมไปแล้วว่าวันนี้เป็นวันเกิดของเขาเพราะเป็นเวลาหลายปีแล้วที่ทั้งสองไม่ได้ฉลองวันเกิดด้วยกันตั้งแต่เกิดเรื่องนั่น"อ๋อ..ได้ ๆ" เขาได้แต่เก็บความเศร้าไว้ในใจแล้วเปล่งเสียงตอบปลายสายไ
ส้มทอดสายตามองบรรยากาศยามค่ำคืนริมระเบียงห้องพักด้วยความรู้สึกผ่อนคลายหลังจากที่พาบุตรสาวเข้านอนเรียบร้อยแล้ว ขณะที่ในสมองก็ครุ่นคิดอะไรเรื่อยเปื่อยเกี่ยวกับเรื่องชายหนุ่มและลูก ไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่เธอจมดิ่งอยู่ในห้วงความคิดจนสายลมเย็นยะเยือกลอยสัมผัสผิวเรียบเนียนทำให้เธอต้องรีบยกมือขึ้นโอบกอดตัวเอง ก่อนจะแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีดำนิลที่มีดวงดาวน้อยใหญ่ลอยประดับประดาอย่างสวยงาม แต่นาทีต่อมาเธอก็ต้องสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อสัมผัสได้ถึงอะไรนุ่ม ๆ อุ่น ๆ ที่คลุมลงมาบนไหล่ ครั้นเอี่ยวหน้ามองก็พบว่าเป็นพ่อของลูกนั่นเองที่เอาผ้ามาคลุมไหล่ให้เธอ จึงเอ่ยขอบคุณไปตามมารยาท "ขอบคุณ"แบงค์เพียงยกยิ้มให้เพื่อนสาวบาง ๆ แล้วเดินไปยืนริมระเบียงข้าง ๆ ทอดสายตามองออกไปนอกท้องทะเลอันมืดสลัวโดยไม่พูดอะไรออกมา เฉกเช่นเดียวกับส้มที่มองออกไปยังทะเลอีกครั้งโดยไม่พูดอะไรทำให้บรรยากาศรอบ ๆ ปกคลุมไปด้วยความเงียบมีเพียงเสียงคลื่นกระทบฝั่งดังแว่วมาเป็นระยะไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่ต่างคนต่างตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง ก่อนแบงค์จะเป็นฝ่ายเปิดประเด็นชวนคุยขณะที่สายตายังคงจดจ่อกับทะเลเบื้องหน้า "บรรยากาศดีเนาะ ส้มว่าไหม
เช้าวันต่อมาหลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จทั้งสามคนพ่อแม่ลูกก็พากันลงไปทานอาหาร ครั้นทานอาหารเสร็จก็เช่ารถของโรงแรมพาบุตรสาวไปเล่นที่สวนน้ำกระทั่งเที่ยงจึงพากันไปทานอาหารที่ร้านอาหารชื่อดังของภูเก็ต"กินข้าวเสร็จคุณอาใจดีจะพาน้องริตาไปเที่ยวไหนต่อคะ" เด็กน้อยภริตาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ๋วระหว่างที่นั่งรออาหารมาเสิร์ฟพร้อมกับเอียงหน้าขึ้นมองคุณอาใจดีที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ขณะที่ส้มนั้นนั่งอยู่บนเก้าอี้อีกฝั่งจ้องมองบุตรสาวด้วยความรู้สึกเอ็นดูระคนมันเขี้ยวเพราะยิ่งนับวันบุตรสาวก็ยิ่งติดคนเป็นพ่อมากขึ้น ดูอย่างตอนนี้สิแทนที่จะนั่งข้างเธอ กลับเลือกไปนั่งข้างชายหนุ่มแต่ก็คงไม่แปลกอะไรเพราะเขาเล่นตามใจบุตรสาวไปเสียทุกอย่างไม่ว่าบุตรสาวจะบอกจะขออะไรก็ทำให้หมดไม่เคยขัดจึงทำให้บุตรสาวชอบอยู่กับเขา"อืม..เราไปดูเครื่องบินที่หาดไม้ขาวกันไหมครับ พอแดดร่มหน่อยเดี๋ยวเราค่อยไปเล่นน้ำทะเลกัน" คนถูกถามอย่างแบงค์นั่งใช้ความคิดชั่วครู่ ก่อนเสนอความคิดเห็นให้บุตรสาวพร้อมกับยกมือลูบเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนเบา ๆ ด้วยความรักใคร่เอ็นดู"ได้ค่ะ"เด็กน้อยภริตายิ้มรับจนตาหยีพลอยทำให้คนเป็นพ่อแม่ยิ้มตามไปด้วย ก่อนแบงค์จะเล
นับจากวันนั้นเวลาก็ผ่านมาหนึ่งเดือนเต็ม ๆ แล้วที่แบงค์ได้กลับเข้ามาในชีวิตเพื่อนสาวกับลูกอีกครั้ง ตอนเช้าของทุกวันก่อนไปทำงานเขาจะแวะมาหาบุตรสาวก่อนเสมอ และหลังเลิกงานตอนเย็นก็แวะมาเล่นกับบุตรสาวอีกครั้ง หากเป็นวันหยุดเขาก็จะมารับบุตรสาวพาไปเที่ยวเป็นประจำ บางครั้งก็พาไปนอนค้างคืนที่บ้านด้วยกัน ส่วนความสัมพันธ์กับแม่ของลูกก็ไม่มีอะไรคืบหน้ามากกว่าเดิมเพราะเธอปิดกั้นเขาทุกทางคงจะมีแค่เรื่องลูกที่ทำให้เธอยอมเกี่ยวข้องกับเขา ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่ถอดใจหวังว่าสักวันจะแทรกซึมเข้าไปในใจเธอได้อีกครั้งวันนี้เป็นวันหยุดเขาเลยชวนบุตรสาวไปเที่ยวทะเลตามที่ได้บอกไว้ก่อนหน้านี้ และเขายังแอบพูดกับบุตรสาวว่าให้ชวนแม่ไปด้วยเพราะหวังว่าจะได้สร้างโมเม้นท์ดี ๆ กับแม่ของลูกเผื่ออะไร ๆ จะดีขึ้นกว่าเดิม และทุกอย่างก็เป็นไปตามแผนส้มยอมไปเที่ยวทะเลด้วยเพราะทนแรงออดอ้อนจากบุตรสาวไม่ไหว ทะเลที่เขาจะพาสองแม่ลูกไปเที่ยวก็คือภูเก็ตนั่นเองเพราะเขาไปมาครั้งที่แล้วมันสวยมาก ที่เที่ยวก็มีเยอะแยะจึงอยากให้บุตรสาวได้เที่ยวบ้าง ทั้งสามออกเดินทางจากกรุงเทพตั้งแต่เช้าตรู่ด้วยรถส่วนตัวโดยแบงค์ทำหน้าที่เป็นคนขับ เขาอยากจะ