Share

บทที่ 10

Author: มาแล้วก็อยู่ต่อเถอะ
หลังจากได้วัตถุดิบมาจากห้องเครื่องแล้ว เสี่ยวเจาก็ไม่กล้าโอ้เอ้อยู่ข้างนอกนาน

นางกลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น แล้วจะเสียเสบียงอาหารเพียงหนึ่งเดียวนี้ไป

นางจะต้องชนะในสงครามปกป้องอาหารครั้งนี้ให้ได้!

อวี๋ผินพาชุ่ยอิงยืนอยู่หลังต้นไม้ต้นหนึ่ง เมื่อเห็นท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ เหมือนขโมยของเสี่ยวเจา ก็แค่นเสียงเย็น

นางแค่ไม่ได้จับตาดูเจียงหวนเพียงไม่กี่วัน คนของตำหนักรองฝั่งตะวันตกนี่ก่อเรื่องอะไรขึ้นอีกแล้ว!

“ชุ่ยอิง เจ้าไปดูสิว่า นางกำลังแอบทำอะไรอยู่?”

หลังจากชุ่ยอิงรับคำก็รีบตามไปทันที ไม่นานนัก ชุ่ยอิงก็กลับมา

“พระสนมเพคะ บ่าวเห็นนังเด็กเสี่ยวเจานั่น ไม่รู้ว่าไปเอาต้นหอมกับแป้งหมี่มาจากไหนเพคะ”

“อะไรนะ?”

อวี๋ผินอ้าปากค้างเล็กน้อย ไม่อาจปิดบังความประหลาดใจได้

“เจ้าดูชัดแล้วหรือ? นางระมัดระวังถึงเพียงนั้น ก็เพื่อของแค่นี้?”

ชุ่ยอิงพยักหน้า น้ำเสียงจริงจัง “บ่าวตามเสี่ยวเจาไปตลอดทาง เห็นกับตาว่านางนำวัตถุดิบไปซ่อน หลังจากนางไปแล้ว บ่าวยังเข้าไปดูอีกครั้ง ยืนยันว่าเป็นแค่ต้นหอมกับแป้งหมี่ธรรมดา ๆ ไม่มีแม้แต่เศษเนื้อเลยเพคะ”

ชุ่ยอิงเหลือบมองสีหน้าของอวี๋ผินอย่างประจบประแจง

“พระสนม จะให้บ่าวพาคนไปที่ตำหนักรองฝั่งตะวันตก สั่งสอนนางสักหน่อยหรือไม่เพคะ?”

ช่วงนี้พระสนมกำลังอารมณ์ไม่ดี ถือโอกาสนี้ระบายอารมณ์เสียเลย

อวี๋ผินหัวเราะเยาะ ในใจเต็มไปด้วยความดูถูก

ก่อนหน้านี้นางจงใจสั่งให้คนตัดส่วนแบ่งของเจียงหวน ตอนนี้ดูเหมือนจะได้ผลดีเยี่ยม

เมื่อนึกถึงภาพเจียงหวนหัวกระเซิงหน้าตามอมแมมแทะหมั่นโถวเย็นชืดแล้ว อวี๋ผินก็รู้สึกสะใจอย่างบอกไม่ถูก นาน ๆ ครั้งถึงจะ “ใจกว้าง” สักที

นางยกยิ้มมุมปากแล้วโบกมือ “ไม่ต้อง พวกนางอยากจะกินของที่พวกหมาแมวจรจัดกิน ก็ปล่อยให้พวกนางกินไป”

“พระสนมช่างมีจิตใจเมตตากรุณาเสียจริงเพคะ” ชุ่ยอิงยิ้มประจบ

อวี๋ผินแค่นเสียงหึหนึ่งครั้ง แล้วหันหลังเดินจากไป

เจียงหวนไม่รู้เรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย พอถึงเวลาอาหารเย็น ก็เริ่มเตรียมอาหารเย็นกับเสี่ยวเจา

โชคดีที่วัตถุดิบที่เต๋อซั่นให้มาแม้จะมีไม่กี่ชนิด แต่ปริมาณก็ไม่น้อย พอจะให้นางกับเสี่ยวเจาประทังชีวิตไปได้อีกสองสามวัน

ผัดต้นหอม ต้มเส้นบะหมี่ให้สุก ราดด้วยน้ำมันร้อน ๆ บะหมี่คลุกต้นหอมที่หอมกรุ่นก็เสร็จเรียบร้อย

เจียงหวนถือชามนั่งอยู่ที่โต๊ะ ซู้ดเส้นบะหมี่เข้าไป

ด้วยฝีมือของนาง การจะเอาวัตถุดิบจากขันทีน้อยคนนั้นเพิ่มอีกหน่อยคงไม่ใช่เรื่องยากเกินไป

ต่อไปพอสนิทกันแล้ว นี่ก็คือช่องทางนำเข้าของนางเลยนะ!

การแก่งแย่งชิงดีในวังหลังล้วนเป็นเรื่องไร้สาระ ก่อนทะลุมิติเข้ามาในนิยายก็เป็นแค่ทาสแรงงานที่สิ้นหวังคนหนึ่ง

จะแข่งขันไปเพื่ออะไร? เป็นคนขี้เกียจที่นอนกินบ้านกินเมืองไปวัน ๆ มันไม่ดีกว่าหรือ?

ไม่รู้ว่าเมื่อไรอวี๋ผินถึงจะมองเห็นจุดนี้ได้เสียที เลิกมาวอแวกับนางได้แล้ว

วันรุ่งขึ้น ณ ตำหนักหย่างซิน

ฟ้ายังไม่สว่างดี ฮั่วหลินก็ต้องตื่นบรรทมเพื่อไปว่าราชการแล้ว

หลังจากทรงล้างหน้าล้างตาแล้ว ก็มีข้ารับใช้เข้ามาช่วยสวมฉลองพระองค์ พอรัดเข็มขัดหยกแล้ว ในท้องก็ยิ่งว่างจนน่าใจหาย

ต้องไปว่าราชการทั้งที่ท้องว่างอีกแล้ว!

กฎของบรรพชนนี่จะฝึกเราให้เป็นอูฐหรืออย่างไร? ก่อนว่าราชการแม้แต่ข้าวสักคำก็ไม่ให้กิน!

เมื่อสวมฉลองพระองค์สำหรับว่าราชการเสร็จ ฮั่วหลินหันกลับมาก็เห็นตัวเองในกระจกทองสัมฤทธิ์พอดี

ในความเลือนรางนั้น ดูเหมือนว่าบนหัวของเขาจะมีตัวอักษรใหญ่ ๆ ลอยอยู่หลายตัว ยอดคนผู้หิวโหยอันดับหนึ่งแห่งต้าเหลียง

“ฝ่าบาท ได้เวลาเสด็จแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

หวังเต๋อกุ้ยปรากฏตัวขึ้นอย่างถูกเวลา น้ำเสียงของเขาดึงความคิดของฮั่วหลินกลับมา

ฮั่วหลินทอดพระเนตรลงต่ำ สีพระพักตร์เย็นชา แล้วก้าวเท้ายาว ๆ เสด็จไปว่าราชการ

ณ ท้องพระโรง ฮั่วหลินประทับอยู่บนบัลลังก์มังกร ฟังเหล่าขุนนางเบื้องล่างที่ผลัดกันพูดเรื่องหยุมหยิมไร้สาระ ก็ยิ่งรู้สึกรำคาญมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่ง...

“ฝ่าบาท!” รองผู้ตรวจการหลิวปิ่งจงก้าวออกมาอย่างกะทันหัน

“กระหม่อมขอถวายฎีกาฟ้องร้องเฉินเต๋อโส่วเจ้าเมืองเจียงโจว ยักยอกเงินซ่อมแซมเขื่อนสามแสนตำลึงพ่ะย่ะค่ะ!”

ภายในท้องพระโรงเงียบกริบในทันที

สามแสนตำลึง? นี่มันซื้อซาลาเปาได้กี่ลูกกัน! หากนำมากองรวมกันเกรงว่าจะฝังเฉินเต๋อโส่วจนกลายเป็นสุสานซาลาเปาได้เลย!

ฮั่วหลินทรงเหลือบพระเนตรขึ้น จ้องมองหลิวปิ่งจง

“มีหลักฐานหรือไม่”

“มีพ่ะย่ะค่ะ”

หลิวปิ่งจงค่อย ๆ ยืดตัวตรง ถวายหลักฐานที่สืบสวนมาได้ก่อนหน้านี้

ฮั่วหลินทรงรับมาทอดพระเนตรทีละอย่าง สีพระพักตร์ยิ่งดูยิ่งดำคล้ำ เหล่าขุนนางฝ่ายบุ๋นฝ่ายบู๊ทั้งหมดก้มหน้าลง ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง

นี่แหละขุนนางที่ดีแห่งต้าเหลียงของเขา!

เขาอุตส่าห์จัดการราชกิจอย่างขยันขันแข็งทุกวัน ในฐานะฮ่องเต้แล้วยามปกติแม้แต่ข้าวร้อน ๆ สักคำก็ยังไม่มี แต่ขุนนางเบื้องล่างกลับรู้จักเสพสุขกันดีนัก!

สู้สั่งตัดหัวพวกมันให้หมด ส่งไปให้ห้องเครื่องทำเป็นวัตถุดิบ รับรองว่าหอมกว่าเนื้อหมูแน่นอน!

ฮั่วหลินแค่นเสียงเย็น ประกายเย็นเยียบวาบผ่านลูกปัดหยกที่ประดับอยู่บนหมวกเหมี่ยน

“วันนี้ให้อธิบดีศาลต้าหลี่เป็นผู้รับผิดชอบการสืบสวน ให้เสนาบดีกรมอาญาช่วยในการไต่สวน สืบสวนคดีทุจริตเจียงหนานให้ถึงที่สุด หากหลักฐานแน่ชัด ให้ลงโทษตามกฎหมาย”

อธิบดีศาลต้าหลี่และเสนาบดีกรมอาญาเมื่อได้ยินดังนั้น ก็พากันก้าวออกมาข้างหน้า

“กระหม่อมรับพระบัญชา”

หลังจากเลิกว่าราชการแล้ว หวังเต๋อกุ้ยก็สั่งยกเครื่องเสวยตามปกติ

ฮั่วหลินประทับอยู่ที่โต๊ะ หยิบช้อนขึ้นมาตักโจ๊กเม็ดบัวไป่เหอ

โจ๊กเข้าพระโอษฐ์ อุณหภูมิเย็นเฉียบ ราวกับเพิ่งนำออกมาจากถ้ำน้ำแข็ง

สีพระพักตร์ของฮั่วหลินเย็นชา แต่ในพระทัยนั้นเดือดดาลจนแทบจะระเบิดออกมา

โจ๊กเม็ดบัวไป่เหอ! โจ๊กเม็ดบัวไป่เหออีกแล้ว!

ห้องเครื่องคิดว่าเขามีธาตุไฟในตัวขนาดไหนกัน! ถึงได้ทำแต่ของดับร้อนแบบนี้ทุกวัน!

แล้วก็ผักเคียงสีเขียวแถวนี้อีก!

ห้องเครื่องคิดว่าเขาเป็นกระต่ายหรือไร! เขากินผักจนลูกตาจะเขียวอยู่แล้ว!

แต่เพราะความหิวในท้อง ฮั่วหลินก็ยังคงเสวยโจ๊กทีละคำ ๆ จนหมดชาม

เพราะเรื่องทุจริตที่เจียงหนาน ฮั่วหลินงานยุ่งจนหัวหมุน ไม่มีเวลาเลยแม้แต่น้อย

หลายวันติดต่อกันที่ไม่ได้เรียกผู้ใดถวายตัว ในวังหลังก็มีข่าวลือใหม่แพร่สะพัดออกมา

พระสนมสองสามคนที่สนิทสนมกัน นั่งพูดคุยกันอยู่ในศาลากลางอุทยานหลวง

เฉินเต๋ออี๋โบกพัดกลมไปมา ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง

“เฮ้อ ก่อนหน้านี้ฝ่าบาททรงเรียกจวงฉางไจ้แล้ว ยังเรียกอวี๋ผินอีก ข้าก็นึกว่าฝ่าบาทจะทรงคิดได้แล้ว ยอมพักค้างคืนในวังหลังแล้วเสียอีก”

เมื่อเฉินเต๋ออี๋เอ่ยถึงเรื่องนี้ อันผินก็รู้สึกโมโหขึ้นมาในใจ

การที่ฝ่าบาททรงยอมโปรดปรานวังหลัง นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ใครจะไปรู้ว่ามันจะแค่เริ่มต้นจริง ๆ

“ทั้งหมดเป็นเพราะอวี๋ผินนั่นแหละ คราวก่อนถวายตัวทำเอาฝ่าบาททรงขยะแขยงพอแล้ว คราวนี้ดีเลย ทั้งวังหลังพลอยเสื่อมเสียชื่อเสียงไปกับนางด้วย!”

หลี่ไฉเหรินฟังอยู่ครู่หนึ่ง ก็อดไม่ได้ที่จะพูดแทรกขึ้นมา

“อวี๋ผินปรนนิบัติไม่ดีก็จริง แต่จวงฉางไจ้ก็ได้เลื่อนตำแหน่งมิใช่หรือ? ฝ่าบาทคงไม่ทรงพิโรธพวกเราหมดทุกคน เพียงเพราะอวี๋ผินคนเดียวหรอกกระมัง?”

เฉินเต๋ออี๋ไม่ได้ใส่ใจ “หลายวันมานี้ก็ไม่เห็นฝ่าบาททรงเรียกจวงฉางไจ้เลย จวงฉางไจ้ผู้นี้เห็นได้ชัดว่าสิ้นความโปรดปรานแล้ว”

อันผินแค่นหัวเราะเยาะ “จวงฉางไจ้เป็นคนในตำหนักของอวี๋ผิน ถ้าให้ข้าพูดนะ ต้องเป็นเพราะอวี๋ผินตัวซวยนั่นเลยทำให้ต้องเดือดร้อนไปด้วย”

...

หลายคนในศาลาผลัดกันพูดคุยเรื่องสัพเพเหระ หัวข้อสนทนาล้วนวนเวียนอยู่กับเรื่องน่าอับอายที่อวี๋ผินก่อไว้ในคืนที่ถวายตัว

พวกนางคุยกันอย่างสนุกสนาน มีเสียงหัวเราะดังขึ้นมาเป็นระยะ ๆ ไม่ได้สังเกตเลยว่าอวี๋ผินที่อยู่ไม่ไกลนัก ได้ยินคำพูดของพวกนางทั้งหมดแล้ว

อวี๋ผินโกรธจนตัวสั่นเทา หากเป็นปกติ นางคงจะเดินเข้าไปต่อว่าแล้ว

แต่ตอนนี้คนพวกนี้รวมตัวกันอยู่ หากนางเดินเข้าไปอีก ก็เท่ากับเดินเข้าไปให้คนด่า

ปกติแล้วอวี๋ผินมีเจียกุ้ยเฟยคอยหนุนหลัง เบื้องล่างก็ยังมีเจียงหวนนังคนอ่อนแอรังแกได้ง่ายนั่นให้ระบายอารมณ์ได้ เคยต้องมาทนรับความอัปยศเช่นนี้เมื่อไรกัน

ด้วยความโกรธแค้น อวี๋ผินจึงตรงไปยังตำหนักฉางเล่อของเจียกุ้ยเฟยทันที

หลังจากได้รับอนุญาตให้เข้าพบ อวี๋ผินก็เดินตรงเข้าไป เมื่อเห็นเจียกุ้ยเฟยที่กำลังเอนกายอยู่บนเตียงกุ้ยเฟย ริมฝีปากก็ขยับ แล้วก็ร้องไห้คร่ำครวญออกมา

“กุ้ยเฟย ท่านต้องให้ความเป็นธรรมกับหม่อมฉันนะเพคะ!”

เจียกุ้ยเฟยเหลือบพระเนตรขึ้น มองอวี๋ผินอย่างไม่ใส่ใจนัก

“น้องหญิงเป็นอะไรไปหรือ?”

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 386

    เจียงหวนเห็นท่าทางของเหอหลิงที่แปรเปลี่ยนจากเบิกบานใจเป็นทำตัวไม่ถูก จากนั้นก็มองไปที่ผ้าพันคอในมือของนาง อดกลั้นขำไม่ได้คราวที่แล้วนำยารักษาแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวกจากยุคปัจจุบันออกมายังไม่น่าหวาดเสียวพออีกหรือ?นึกไม่ถึงครั้งนี้จะทำผ้าพันคอมาให้อีก หรืออยากจะแสดงให้เห็นว่าข้าเป็นผู้นำแฟชั่นในยุคโบราณอย่างนั้นหรือภายนอก เจียงหวนพยายามรักษาสีหน้าให้ดูเป็นปกติ ไม่ได้คิดจะเปิดโปงนาง จึงแสร้งทำหน้าตาสงสัยในขณะที่จ้องมองผ้าพันคอผืนนั้น“ทำไมเล่า? เป็นของจากดินแดนตะวันตกอีกแล้วหรือ? ดูประณีตอย่างมากทีเดียว”นางกล่าว ซ้ำยังใช้นิ้วจิ้มไหมขนที่สัมผัสนุ่มนิ่มนั่นดูเหอหลิงมือสั่น เกือบขาอ่อนล้มลงไปกองบนพื้นพร้อมกับผ้าพันคอในมือแล้วนางรีบตอบคำอย่างติดๆ ขัดๆ ว่า “ทูล ทูลพระสนม นี่คือ… นี่คือสิ่งของเล็กๆ น้อยๆ ที่หม่อมฉันทำยามมีเวลาว่าง เรียก… เรียกว่าผ้าพันคอ! ใช่… เป็นงานฝีมือที่ได้รับความนิยมมาจากดินแดนตะวันตกเช่นกันเพคะ ฮ่าๆ…”[จบแล้วๆ พระสนมอุตส่าห์คิดพลิกแพลงไปเป็นอย่างอื่นได้ แต่ฉันยังทำผิดพลาดโง่ๆ อยู่อีก][ชื่อของมันจะทันสมัยเกินไปแล้ว พระสนมจะคิดว่าฉันกำลังแต่งเรื่องอยู่รึเปล่านะ?

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 385

    หัวหน้าขันทีตกใจตัวสั่น แทบจะมุดหน้าเข้าไปในพื้นแล้ว“ทูล ทูลไทเฮา บ่าวไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ จวนอ๋องส่งข่าวมา บอกเพียงว่าจู่ๆ ม้าของจวิ๋นอ๋องก็คลุ้มคลั่งระหว่างทาง จวิ้นอ๋องถูกเหวี่ยงตกจากหลังม้า ขาขวา… ขาขวาหักในที่เกิดเหตุทันที หมอหลวงบอกว่าอาการสาหัสมาก…”“ไม่รู้? แค่บอกว่าไม่รู้คำเดียวก็คิดจะบิดพลิ้วให้ผ่านไปได้งั้นหรือ?”ไทเฮาตบโต๊ะอย่างแรง โต๊ะสั่นสะเทือนจนเครื่องชากระแทกกันเสียงดัง“เมื่อวานเพิ่งเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นในพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา วันนี้เขาก็ประสบเหตุร้ายเช่นนี้แล้ว มีเรื่องบังเอิญอย่างนี้เสียที่ไหน! ไปสืบมาเดี๋ยวนี้! ทั้งม้า อานม้า และทุกคนที่สัญจรผ่าน ห้ามปล่อยให้เล็ดลอดไปได้แม้แต่คนเดียว! ข้าอยากรู้นัก ว่าใครกันที่กินหัวใจหมีดีเสือเข้าไป จึงได้กล้าลงมือกับคนในตระกูลฮั่วเช่นนี้!”เพลิงโทสะในดวงตาของนางลุกโชน ในใจเริ่มมีเค้าร่างของผู้อยู่เบื้องหลังแล้วเมื่อวานฮั่วถิงมีเรื่องกับจวงเฟยและเหอหลิง วันนี้ก็ตกม้าจนบาดเจ็บสาหัสมิหนำซ้ำยังบาดเจ็บจุดเดียวกับจวงเฟยอีก นี่ต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่นอนนี่เป็นฝีมือของฮั่วหลิน และเป็นคำเตือนสำหรับนางยิ่งคิด ไทเฮาก็ยิ่งบันดาล

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 384

    ประตูตำหนักถูกผลักเปิด ฮั่วหลินเดินเข้ามาเขาเห็นเจียงหวนที่นั่งอยู่ริมหน้าต่างด้วยใบหน้ากลัดกลุ้มตั้งแต่แวบแรกเจียงหวนสวมชุดนอนบางๆ เพียงชั้นเดียว เส้นผมเปียกชื้นแนบติดอยู่ที่ใบหน้าด้านข้าง ดูอ่อนโยนเปราะบางเป็นพิเศษเมื่ออยู่ภายใต้แสงจันทร์ ราวกับจะสามารถแตกสลายได้แม้เพียงสัมผัสเดียวหัวใจของฮั่วหลินบีบรัด ฝีเท้าแผ่วเบาลง ด้วยกลัวว่าจะรบกวนนางเข้า[เหตุใดจึงเหม่อลอยเช่นนั้น ตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้งั้นหรือ?]ฮั่วหลินโบกมือ สั่งให้เสี่ยวเจาถอยออกไปส่วนตนเองก็ถอดเสื้อคลุมออก คลุมที่ไหล่ของนาง“กลางคืนหนาว เหตุใดไม่สวมเสื้อผ้าให้หนาหน่อยเล่า?”เขานั่งลงข้างกายเจียงหวน ดึงมือที่เย็นเฉียบของนางมากุมไว้ในฝ่ามืออุ่นๆ ของตนเองความคิดที่ล่องลอยของเจียงหวนถูกการกระทำนี้ดึงให้กลับมา สัมผัสอ่อนโยนจากฝ่ามือและอุณหภูมิอบอุ่นที่ห่อหุ้มรอบกาย ราวกับได้ขับไล่ความหวาดกลัวในจิตใจให้หายไปไม่น้อยนางเงยหน้ามองฮั่วหลินเงาร่างของนางสะท้อนอยู่ในดวงตาดำขลับของฮั่วหลิน ลึกล้ำชัดเจน“ไม่ต้องกลัว” เขากล่าวเสียงแผ่วเบา กระชับนิ้วมือให้แน่นขึ้น “มีข้าอยู่ ไม่มีใครกล้าทำร้ายเจ้า”[ตกม้าหนึ่

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 383

    [หืม? ความผิดปกติอะไร?]「วันนี้ที่นอกห้องผลัดอาภรณ์ ตอนที่ผมส่งเสียงเตือนภัยระดับสูง พระสนมจวงเฟยหลุดปากออกมาว่า ‘หุบปาก’ อ้างอิงจากการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมในขณะนั้นแล้ว คำสั่งนั้นไม่เข้ากับบุคคลที่อยู่ในสถานการณ์ ณ ตอนนั้นแม้แต่คนเดียว หลังจากรวมตัวกันนางได้ชี้นำเบาะแสหลักฐานอย่างแม่นยำ ผมสงสัยเป็นอย่างสูงว่าเจียงหวนอาจได้ยินบทสนทนาระหว่างผมกับคุณ」เหอหลิงตะลึงงัน ไม่นานก็รีบโต้แย้งทันที[นายจะบอกว่าพระสนมมีวิชาอ่านใจงั้นเหรอ อย่าเหลวไหลไปหน่อยเลยน่า][อีกอย่างถึงนางจะได้ยิน ก็ยิ่งถือว่าเป็นเรื่องดีไม่ใช่เหรอ? นั่นหมายความว่าเรามีวาสนาต่อกัน]「โฮสต์ กรุณาตื่นตัวอยู่ตลอดเวลาด้วยครับ หากเป้าหมายเจียงหยวนรับรู้ถึงการมีอยู่ของผมจริง แรงจูงใจและท่าทีที่มีต่อโฮสต์ อาจมีอันตรายแฝงอยู่」[อันตราย? อันตรายอะไร? พระสนมจะมีเจตนาร้ายอะไรได้? วันนี้นางทุ่มสุดตัวเพื่อช่วยชีวิตฉันไว้เชียวนะ][หากไม่ได้พระสนมช่วยไว้ ตอนนี้ฉันคงเสียความบริสุทธิ์เสียชื่อเสียงไปแล้ว ไม่แน่อาจไม่เหลือรอดแม้แต่ชีวิตด้วยซ้ำ][ระบบ ฉันขอเตือนนายไว้ก่อนเลยนะ ห้ามใส่ร้ายพระสนมของฉัน แล้วก็ห้ามนายสงสัยพระสนมด้วย ได้ยินรึ

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 382

    เจียงหวนเห็นท่าทางสับสนมึนงงของนาง ก็รู้สึกอดขำไม่ได้การตอบสนองนี้ ช้าจนอ้อมโลกได้สองรอบครึ่งแล้วกระมังแต่ดูจากที่เปลี่ยนเรื่องพูดแล้ว แสดงว่าไม่เป็นไรแล้วจริงๆ“อืม” เจียงหวนรับคำ “ฝ่าบาทเพิ่งมีราชโองการแต่งตั้งให้เจ้าเป็นหลินกุ้ยผิน รับสั่งให้ย้ายเข้าอยู่ในตำหนักฉางชุนตะวันตก ภายหน้าเจ้าก็รักษาตัวอยู่ที่นี่อย่างวางใจเถอะ”“ฮือ ๆ ๆ ขอบพระทัยฝ่าบาท ขอบพระทัยพระสนม”เหอหลิงหัวเราะทั้งน้ำตา นางกอดแขนของเจียงหวนไว้แน่น หากไม่ใช่ว่าอ่อนแรงไปทั้งตัว นางยังอยากคุกเข่าโขกหัวให้ด้วยซ้ำ“พระสนม พระสนมดีกับหม่อมฉันเหลือเกิน หม่อมฉัน… วันหน้าไม่ว่าสิ่งใดหม่อมฉันล้วนเชื่อฟังพระสนมเพคะ”เจียงหวนถูกนางกอดจนรู้สึกอึดอัด อยากดึงมือกลับ แต่กลับถูกกอดแน่นกว่าเดิมครั้นสัมผัสได้ถึงร่างกายของเหอหลิงที่สั่นเทาเล็กน้อย สุดท้ายนางจึงกอดตอบเบาๆเหมือนปลาหมึกน้อยขี้กลัวไม่มีผิดเลยกอดแน่นขนาดนี้ กระดูกแทบจะหักอยู่แล้วแต่เห็นแก่ที่นางเพิ่งผ่านเหตุการณ์ชวนขวัญหนีดีฝ่อมา ปล่อยให้กอดสักครู่ก็ได้ในขณะเดียวกัน เสียงรายงานของหวังเต๋อกุ้ยดังมาจากนอกตำหนัก“ฝ่าบาทเสด็จ!”ฮั่วหลินสะสางเรื่องราววุ่นวายใน

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 381

    [ฮั่วถิง! เจ้าปีศาจชั่วนั่น!] เหอหลิงจมอยู่ในความอัดอั้นตันใจและความหวาดผวาอย่างใหญ่หลวง น้ำตาเม็ดใหญ่ๆ พรั่งพรูไม่ขาดสาย“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” เจียงหวนเช็ดน้ำตาให้นาง พลางเอ่ยหยอกล้อจากนั้นก็ตักยาขึ้นมาหนึ่งช้อน เป่าให้หายร้อนเล็กน้อย ก่อนจะป้อนให้นาง “มีอะไรประเดี๋ยวค่อยว่ากัน ดื่มยาก่อนเถิด”เหอหลิงอ้าปากอย่างว่าง่าย ยาขมๆ ไหลลงคอ ทำให้นางอดขมวดคิ้วไม่ได้[ขมจัง][แต่พระสนมเป็นคนป้อน ต่อให้ขมอีกแค่ไหนก็กลายเป็นหวานแล้ว]นางดื่มยาทีละคำๆ ขณะที่น้ำตายังคงหลั่งไหลลงมาเป็นสาย ผสมเข้ากับยา ทั้งขมทั้งเค็มเจียงหวนเห็นท่าทางน่าสงสารของนาง ก็อดทอนถอนใจไม่ได้ร้องไห้จนหน้าลายเหมือนแมว น้ำหูน้ำตาไหลลงมาผสมกับยาแล้ว นี่คิดจะเพิ่ม ‘ประสิทธิภาพของยา’ หรืออย่างไรช่างเถิด อย่างไรก็ควรระบายออกมาบ้างหลังจากป้อนยาถ้วยหนึ่งหมดอย่างยากลำบาก สีหน้าของเหอหลิงคล้ายว่าดูดีขึ้นมาบ้างแล้ว ทว่าน้ำตายังคงไหลทะลักออกมาจนน่ากลัวนางมองเจียงหวน ริมฝีปากสั่นเทา คล้ายมีคำพูดในใจเป็นพันเป็นหมื่นคำ แต่กลับไม่รู้จะเริ่มจากตรงที่ใด“เอาล่ะๆ ร้องไห้จนตาบวมแล้ว เหมือนกบในอุทยานหลวงเลย”เจียงหวนวางถ้วยยาลง

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status