Masukฮั่วหลินจ้องมองแมลงรูปร่างแปลกประหลาดที่อยู่ในจาน รู้สึกชาไปทั้งหัว[กลิ่นหอมเย้ายวนใจก็จริง แต่รูปร่างหน้าตาของมันน่ากลัวเกินไปจริงๆ…]ฮั่วหลินมองแมลงในจานที่ยังคงมีรูปร่างบิดเบี้ยว จากนั้นก็หันไปมองดวงตาที่เปล่งประกายคู่นั้นของเจียงหวน มนุษย์น้อยในตัวเขาเริ่มต่อสู้กันอีกครั้ง[กลิ่นหอมก็จริง แต่เจ้าสิ่งนี้กินได้จริงๆ หรือ?] [จะมีพิษหรือไม่นะ? กินแล้วคงไม่เป็นไรหรอกกระมัง][ข้าเป็นถึงโอรสสวรรค์ หากเรื่องที่ข้ากินแมลงแพร่ออกไปจะเหลือภาพพจน์อะไรอยู่อีกหรือ? แต่กลิ่นนี้จะหอมเกินไปแล้วกระมัง!!!]การต่อสู้ทางความคิดของเขายังคงดำเนินต่อไปอย่างดุเดือด เหงื่อเริ่มผุดซึมที่ขมับบางๆเจียงหวนได้ยินเสียงในใจที่ยังคงลังเลของเขา จึงถอนหายใจเบาๆนางวางจานลง จากนั้นก็หยิบล่ากู่ตัวหนึ่งขึ้นมาแกะเปลือกออกเนื้อขาวเนียนของล่ากู่ปรากฏสู่สายตา กลิ่นหอมฉุยลอยมาแตะจมูก“อ้าปาก อา”เจียงหวนยื่นเนื้อล่ากู่ตัวนั้นมาที่ริมฝีปากของฮั่วหลินโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงเนื้อของล่ากู่อยู่ใกล้แค่เพียงตรงหน้า กลิ่นหอมที่ผสมผสานกับกลิ่นของกระเทียมเจียวกำลังเริงระบำอยู่ตรงปลายจมูกของฮั่วหลิน เย้าแหย่ความมุ่งมั่นที
ฮั่วหลินขมวดคิ้ว มองดูล่ากู่สีดำทะมึนตัวนั้น หนังตากระตุกไม่หยุด[ไม่ได้เด็ดขาด ข้าไม่อยากเปลี่ยนจากคนรักกลายเป็นพี่น้องกับนาง][ช่างเถิดๆ ฝีมือของนางเคยทำให้ข้าผิดหวังเสียเมื่อใดกัน นางบอกว่ากินได้ก็ย่อมกินได้!]มนุษย์น้อยในใจฮั่วหลินต่อสู้กันอย่างดุเดือด เขามิอาจทำใจยอมรับแมลงนี้ได้ แต่เมื่อเห็นดวงตาที่เป็นประกายของเจียงหวน จึงทำใจปฏิเสธไม่ลง[ไม่ลังเลแล้ว อย่างมากข้าก็กินน้อยหน่อย]เขาสูดหายใจลึกๆ ราวกับตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแล้ว จากนั้นจึงหันไปโบกมือสั่งการขันทีผู้ดูแลที่ยังคงยืนอึ้งอยู่“ไม่ได้ยินที่พระสนมจวงเฟยพูดหรือ? ทำความสะอาดแมลงเหล่านี้ให้เรียบร้อย แล้วนำไปส่งที่ห้องครัวเล็กในตำหนักเว่ยยาง”ขันทีผู้ดูแลรีบรับคำ “บ่าวรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”ฮั่วหลินหันไปมองเจียงหวน น้ำเสียงแสดงออกถึงความห่วงใยระคนหน่ายใจ“เอาล่ะ วัตถุดิบก็เลือกเสร็จแล้ว ตามข้ากลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถิด ดูเจ้าสิเปียกไปทั้งตัวแล้ว ประเดี๋ยวเป็นหวัดขึ้นมาจะทำเช่นไร”เจียงหวนเห็นเขายอมรับปากแล้ว จึงยิ้มแย้มอย่างมีความสุขนางโยนล่ากู่ในมือตัวเองใส่ในน้ำในกะละมัง จากนั้นก็หันไปล้างมือข้างบ่อน้ำ แล้วจึงค่อยดึ
พวกนางกำนัลกรีดร้องไม่ขาดสาย ขยับมือขยับไม้เป็นพัลวัน สถานการณ์โกลาหลอย่างมาก“กรี๊ด มันหนีบข้า มีพิษหรือไม่ ข้าจะตายหรือไม่?”“เรียกคนมาอีกสามคน ช่วยข้ากดมันไว้!”“พระสนม มันหนีไปแล้วเพคะ! มันไปทางนั้นแล้วเพคะ!”เจียงหวนยืนอยู่ท่ามกลาง ‘สมรภูมิรบ’ นางม้วนแขนเสื้อ ยืนเท้าสะเอว ชี้นิ้วสั่งการอย่างใจเย็น ราวกับแม่ทัพหญิงที่บุกตะลุยโจมตีข้าศึก“เสี่ยวเจา ยืนขวางประตูไว้”เมื่อเห็นว่าสถานการณ์พลิกผัน พวกนางใกล้จะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในสงครามระหว่างมนุษย์และล่ากู่ในครั้งนี้แล้วนางลงสนามด้วยตนเอง แสดงให้เห็นว่าต้องจับกระดองล่ากู่ด้วยความไวแสงเช่นไร และต้องหลบเลี่ยงก้ามที่แสนอันตรายคู่นั้นอย่างไรการเคลื่อนไหวนั้นทั้งว่องไวและคล่องแคล่ว ทำเอาขันทีผู้ดูแลและกลุ่มขันทีน้อยที่ยืนดูอยู่ข้างๆ ต่างตะลึงปากอ้าตาค้างพระ… พระสนมจวงเฟยจะร้ายกาจเกินไปแล้วกระมัง?แมลงพวกนี้แค่ดูก็น่ากลัวแล้ว ก้ามใหญ่ๆ ของพวกมันส่งเสียงกร๊อบแกร๊บ หากโดนหนีบจะไม่เห็นเลือดกันเลยหรือ?เหตุใดพระสนมจึงไม่กลัวแม้แต่น้อย? ยังเคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วขนาดนั้นอีก?ในขณะที่เหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวายอยู่นั้น แสงสว่างที่ประตูทางเข้
รอยยิ้มบนใบหน้าของลี่เฟยแข็งทื่อไปทันที หน้าเปลี่ยนสีจากเขียวสลับเป็นขาว หน้าอกกระเพื่อมขึ้นกระเพื่อมลงอย่างรุนแรงกล้านำพระพุทธศาสนามาข่มนาง ซ้ำยังปรักปรำนางว่าไม่ขอพรอย่างจริงใจ?มีอย่างเสียที่ไหน!ลี่เฟยขบกรามด้วยความโกรธจนฟันแทบแหลกละเอียด ทว่ากลับโต้เถียงไม่ออกแม้แต่คำเดียววาจาประโยคนี้ของเจียงหวน ทุกคำล้วนมีเหตุผล อีกฝ่ายยกเรื่องการขอพรของไทเฮามาอ้าง หากนางยังบังคับให้เจียงหวนทำอาหารอีก มิเท่ากับยอมรับความผิดฐานตะกละตะกลามหรอกหรือ?“ดูน้องสาวจวงเฟยพูดเข้า ข้าเพียงแต่เห็นเหล่าพี่น้องเหน็ดเหนื่อยแล้วก็เท่านั้น เหตุใดจึงถูกน้องสาวกล่าวบิดเบือนจนกลายเป็นเช่นนี้ไปได้?”นางพยายามกู้หน้ากลับมา ทว่าความโกรธเกรี้ยวในน้ำเสียงกลับมิอาจปิดบังไว้ได้ในเวลานี้เอง หลี่กูกู่ที่ยืนอยู่ด้านหลังเจียงหวนมาตลอดก้าวเท้าออกมาหนึ่งก้าว“บ่าวรับคำสั่งจากฝ่าบาทให้คอยจัดระเบียบกฎเกณฑ์ในวังหลัง จึงจำต้องตักเตือนพระสนม การคัดลอกพระคัมภีร์เพื่อขอพรนั้น ให้ความสำคัญเรื่องการถือศีลกินเจ ชำระจิตใจให้บริสุทธิ์ การพูดคุยเรื่องอาหารในเวลานี้ โดยเฉพาะการสั่งให้นางสนมเข้าครัวทำอาหาร เป็นเรื่องไม่เหมาะสมอย่างย
ดีเหลือเกิน หลี่กูกู่ตัวดี จวงเฟยตัวดี อาศัยว่ามีฝ่าบาทคอยหนุนหลัง กล้ากำเริบเสิบสานถึงเพียงนี้หากไม่ให้บทเรียนแก่จวงเฟยสักหน่อย นางจะไม่เห็นว่าตนเองเป็นคนที่รังแกได้ง่ายๆ หรอกหรือลี่เฟยสูดหายใจลึกๆ จากนั้นก็ผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆนางข่มกลั้นไอสังหารที่แทบจะพวยพุ่งออกมาอย่างสุดความสามารถ จากนั้นก็ประดับรอยยิ้มที่ดูราวกับหน้ากากไว้บนใบหน้า ก่อนจะหันไปทางเจียงหวน“น้องสาวจวงเฟยช่างมีวาสนานัก” เสียงของลี่เฟยแฝงแววประชดประชัน “มีผู้อาวุโสที่จงรักภักดีอย่างหลี่กูกู่คอยปกป้องอยู่ข้างกาย มิน่าเล่าน้องสาวถึงได้ใช้ชีวิตในวังหลวงได้อย่างราบรื่นเช่นนี้”นางเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนหันไปยกน้ำชาที่วางอยู่ข้างมือขึ้นมาจิบหนึ่งคำ เพื่อระงับไฟโทสะข้างใน“แต่หากจะพูดถึงบุญวาสนา ย่อมหนีไม่พ้นฝีมือทำอาหารอันยอดเยี่ยมของน้องสาว”“วันนี้เหล่าพี่น้องมีโอกาสได้มารวมตัวกันอย่างหาได้ยาก และทุกคนก็ได้คัดลอกพระคัมภีร์จนเหน็ดเหนื่อยแล้ว มิสู้น้องสาวแสดงฝีมือทำกับแกล้มที่ถนัดสักสองสามอย่างให้ทุกคนได้ลองชิมดูหน่อยเป็นอย่างไร? เหล่าพี่น้องจะได้อาศัยบารมีของน้องสาวบ้าง?”ครั้นเอ่ยวาจานี้ออกไป บรรยากาศในตำหนักแปรเ
หลี่กูกู่ดุดันน่าเกรงขาม สีหน้าเคร่งเครียด กดดันจนนางสนมกลุ่มนั้นหน้าซีดเผือดนางตวัดสายตาดุจสายฟ้ามองไปยังเฉินกุ้ยเหริน รวมถึงสนมยศฉางไจ้ และตาอิ้งที่กล่าววาจาว่าร้ายเจียงหวนเมื่อครู่ทุกคนที่ถูกนางตวัดสายตามอง ล้วนหดคอและหลบเลี่ยงสายตาของนางโดยสัญชาตญาณหลี่กูกู่กลับไม่คิดจะปล่อยพวกนางไป นางก้าวเท้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าว จ้องมองไปที่เฉินกุ้ยเหริน“เฉินกุ้ยเหริน เมื่อครู่ท่านบอกว่ากวาดเรียบทั้งชายและหญิงใช่หรือไม่?”เฉินกุ้ยเหรินถูกขานชื่อ หน้าซีดเผือดเล็กน้อย นางกล่าวด้วยริมฝีปากที่สั่นเล็กน้อยว่า “ขะ… ข้าเพียง… ข้าเพียงแต่เลอะเลือนไปชั่วขณะ…”นางพูดผิดพูดถูก เหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้าผากในพริบตา“ยังมีท่านอีก หลี่ฉางไจ้”หลี่กูกู่หันไปมองด้านข้าง “กลางวันแสกๆ จับเนื้อต้องตัวกัน ไร้มารยาท? วาจานี้ท่านเป็นคนกล่าวกระมัง?”หลี่ฉางไจ้ตกใจตัวสั่น ผ้าเช็ดหน้าในมือถึงกับหลุดร่วง นางรีบโบกมือปฏิเสธ“ปะ… เปล่า… กูกู่หูฝาดแล้ว…”“หูฝาดหรือ?” หลี่กูกู่ยิ้มเย็น ตวัดสายตามองไปที่เหล่านางสนมที่หัวเราะเยาะเจียงหวนเมื่อครู่“พวกท่านเล่า เมื่อครู่ปิดปากหัวเราะอันใดกัน? พูดออกมาให้บ่าวฟังหน่อยเถิด







