LOGIN“แก๊ง...แก๊ง...แก๊ง”
เสียงระฆังจากหอระฆังดังก้องกังวานไปทั่วบริเวณวัด แสงแดดยามเช้าเริ่มจับขอบฟ้าสาดสีทองอ่อน ๆ ลงมากระทบกับพื้นดินที่ยังชื้นจากน้ำค้าง เสียงฝีเท้าของผู้คนที่เดินขึ้นศาลาวัดมาอย่างแผ่วเบา บวกกับกลิ่นหอมของข้าวเหนียวร้อน ๆ ที่มีควันสีขาวโพยพุ่งออกมาจากกระติบของชาวบ้าน ในขณะที่กำลังจับข้าวใส่ลงไปในบาตรพระ
วันนี้เป็นวันพระใหญ่ชาวบ้านต่างก็พากันมาทำบุญกันอย่างหนาแน่น ธีร์รันที่ได้ติดสอยห้อยตามมาวัดกับป้าสาย หลังจากที่ได้ใส่บาตรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ได้มานั่งรอพระอยู่บริเวณเกือบท้ายศาลา ซึ่งในระหว่างนี้ก็มีชาวบ้านทยอยกันมาเรื่อย ๆ
ป้าสายที่ปลีกตัวไปช่วยชาวบ้านเตรียมกับข้าวทำให้ตอนนี้ธีร์รันนั่งรออยู่เงียบ ๆ คนเดียวท่ามกลางผู้คนที่เหลือบมามองกันบ้างเป็นครั้งคราว
“ฟุบ!”
แดนดินที่เดินตามพ่อใหญ่คำเมืองและแม่เดือนขึ้นมาบนศาลาก็ได้ปลีกตัวมานั่งข้าง ๆ คนน้องอย่างหน้าตาเฉย ซึ่งพอแม่เดือนเห็นดังนั้นก็ได้สะกิดให้สามีดูพฤติกรรมลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของตัวเองคนนี้
“มาตะโดนแล้วเบาะ” (มานานแล้วเหรอ)
“อือ มาสักพักแล้วล่ะ”
“หน้าตาแบบนี่กะเข้าวัดเป็นอยู่เบาะ” (หน้าตาแบบนี้ก็เข้าวัดเป็นด้วยเหรอ)
“เอ๊อะ ๆ” (โอ๊ย ๆ) พอได้ทีแดนดินก็เอ่ยคำพูดแกล้งคนน้อง ก่อนจะโดนธีร์รันหยิกเข้าที่แขนอย่างจัง ซึ่งคนตัวเล็กที่เห็นคนพี่ทำท่าทางเจ็บปวด ก็อมยิ้มออกมาด้วยความสะใจ
ไม่นานพระก็ได้ขึ้นมาที่ศาลาก่อนจะเริ่มทำตามขั้นตอนพิธี ธีร์รันที่นั่งพับเพียบฟังพระสวดอยู่นานก็เริ่มที่จะเมื่อยขา เพราะเมื่อวานกว่าจะหัดขี่จักรยานเสร็จก็เล่นปาไปซะมืดค่ำ ทำให้วันนี้ตนนั่งขยุกขยิกอยู่ตลอดเวลา
“นั่งอยู่ซือ ๆ อย่าตีงดู๋” (นั่งอยู่เฉย ๆ อย่าขยับบ่อย) แดนดินที่เห็นว่าธีร์รันอยู่ไม่เป็นสุข จึงได้เอี้ยวตัวมากระซิบเบา ๆ ที่ข้างหูเพื่อเป็นการเตือนคนน้อง
“ก็เราเมื่อยขาอะ เจ็บเท้าไปหมดแล้ว”
“นั่งดี ๆ ก่อน ใกล้เสร็จแล้ว”
ชาวบ้านแถวนั้นที่มองมาเห็นทั้งคู่กำลังกระซิบกระซาบก็เผลออมยิ้มไปตาม ๆ กัน เพราะภาพที่คนโตกำลังสอนคนตัวเล็กนั้นมันช่างน่ารักน่าเอ็นดูเสียจริง
จังหวะที่พระท่านเดินมาพรมน้ำมนต์ให้กับชาวบ้าน ธีร์รันที่ไม่รู้ลำดับขั้นตอนจึงได้นั่งอยู่เฉย ๆ แดนดินที่เห็นดังนั้นจึงได้ใช้มือกดหัวคนน้องให้ก้มลงเบา ๆ
“ก้มลง หลวงพ่อสิรดน้ำมนต์ให้”
“ทำอะไรนะ...อุ๊ย!” ถามยังไม่ทันจบประโยคคนตัวเล็กก็ต้องสะดุ้งโหยง เมื่อมีน้ำจากไหนก็ไม่รู้กระเด็นมาโดนตัวเขาเต็ม ๆ ด้วยความตกใจบวกกับความเย็นทำให้ธีร์รันเผลออุทานออกมาอย่างลืมตัว
“คิก ๆ ๆ”
เสียงหัวเราะที่ดังขึ้นมาจากทางด้านหลังทำให้ธีร์รันต้องหันกลับไปดูอย่างไว ซึ่งก็พบกับเด็กน้อยอายุราว ๆ สิบขวบจำนวนสามคน กำลังนั่งหัวเราะคิกคักกันอย่างสนุกสนาน ซึ่งสาเหตุของอารมณ์ขบขันก็น่าจะเนื่องมาจากตน
“หัวเราะอะไร” ธีร์รันหันไปทำหน้าดุก่อนจะเอ่ยถามอย่างไม่สบอารมณ์
“คนกรุงเทพย่านน้ำมนต์ คิก ๆ ๆ” (คนกรุงเทพกลัวน้ำมนต์ คิก ๆ ๆ) เด็ก ๆ ยังคงล้อเลียนคนเมืองกรุงอย่างต่อเนื่อง ทำให้เขารู้สึกเจ็บใจนิด ๆ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกโกรธอะไร
“ฝากไว้ก่อนเถอะ”
แดนดินที่เห็นคนน้องหันไปทะเลาะกับเด็ก ๆ ก็อดที่จะหัวเราะไม่ได้จึงได้หลุดขำออกมาเบา ๆ ทำให้ธีร์รันที่หันกลับมาเห็นเข้าพอดี
“นี่ก็อีกคน ฮึ่ย!” ธีร์รันได้แต่มองค้อนใส่คนพี่พร้อมกับทำหน้ามุ่ย ถ้าไม่ติดว่าพระกำลังให้พรและชาวบ้านอยู่บนศาลากันเยอะ เขาคงจะหยิกแขนคนพี่ให้เขียวจนหายหมั่นไส้ไปเลย
“คอยดูเถอะ อย่าให้ถึงตาเราบ้างละกัน”
หลังจากทำพิธีเสร็จธีร์รันที่ลงมาจากศาลาก็ได้บ่นอุบอิบออกมาคนเดียว ก่อนจะเดินตรงมาหาจักรยานคู่ใจที่จอดไว้ข้าง ๆ ร่มไม้ ที่เขากล้านำมาวันนี้เพราะระยะทางจากบ้านมาถึงวัดก็ไม่ไกลมากนัก อีกอย่างคนพี่ก็บอกให้เขาขี่บ่อย ๆ จะได้คุ้นมือ
“พ่อ ๆ ขับรถกลับบ้านเองเด้อ”
แดนดินที่เห็นธีร์รันลงจากศาลาไปก่อนแล้วจึงได้หันมาคุยกับผู้เป็นพ่อด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลน พลางทำท่าชะเง้อชะแง้มองหาคนน้อง
“มึงสิไปใส”
“มีธุระ ไปก่อนเด้อ”
แดนดินว่าพลางยื่นกุญแจรถให้กับผู้เป็นพ่อ ก่อนจะลงศาลาไปด้วยความรีบร้อน ทำให้พ่อใหญ่คำเมืองทำได้เพียงแค่ส่ายหน้าเบา ๆ ให้กับพฤติกรรมของลูกชาย
“ฟุบ!”
คนตัวเล็กที่กำลังขึ้นคร่อมจักรยานเพื่อที่จะปั่นกลับบ้าน กลับรู้สึกว่ามีใครบางคนทิ้งน้ำหนักลงมาที่เบาะหลังจนทำให้รถไถลไปเล็กน้อย ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหนเป็นแดนดินนั่นเอง
“ไปส่งอ้ายแน”
“มายังไงก็กลับเองสิ หลบ...เราจะกลับบ้าน”
ธีร์รันที่กำลังหัวเสียอยู่ก็เริ่มที่จะหงุดหงิดเพราะคนพี่ไม่ยอมลงจากรถไปสักที ทำให้ใบหน้าเรียวสวยเริ่มที่จะมีรอยย่นที่หน้าผากนวลพร้อมกับคิ้วที่เริ่มจะขมวดเป็นปม
“ไปส่งอ้ายแน อ้ายบ่มีรถกลับเดี๋ยวอ้ายพาไปกินข้าวหลาม”
ธีร์รันหยุดชะงักเล็กน้อยและหูผึ่งขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินเรื่องของกิน จากที่เคยหงุดหงิดตอนนี้กลับยิ้มแป้นออกมาด้วยความตื่นเต้นเพียงเพราะว่าคนพี่เอ่ยถึงข้าวหลามขึ้นมา จนต้องพยายามเก็บอาการเอาไว้
“หืม ข้าวหลามเหรอ อย่าเอาของกินมาล่อหน่อยเลย”
“บ่กิน?”
“จับแน่น ๆ ละกัน”
“ป้าสายเดี๋ยวรันมานะครับ”
หลังจากที่ได้เอ่ยบอกกับผู้เป็นป้าเรียบร้อยแล้ว ธีร์รันก็ได้ออกแรงปั่นจักรยานที่มีคนตัวโตซ้อนท้ายอยู่ด้วยแรงทั้งหมดที่มี ก่อนที่จะมุ่งหน้าไปเส้นนอกหมู่บ้านซึ่งปลายทางก็คือบ้านของคนพี่นั่นเอง
กว่าจะมาถึงจุดหมายก็กินระยะเวลาไปพอสมควร เนื่องจากบ้านของคนพี่นั้นตั้งอยู่ท่ามกลางทุ่งนาท้ายหมู่บ้าน ทำเอาธีร์รันที่ใช้แรงปั่นจักรยานมาถึงกับเหนื่อยหอบจนเหงื่อไหลพราก อีกทั้งยังมีคนพี่ที่คอยถ่วงน้ำหนักอยู่ด้านหลังอีกต่างหาก
“แฮ่ก แฮ่ก”
“ถึงสักที” ร่างบางที่หมดแรงได้จอดรถจักรยานของตนไว้ที่ร่มไม้ข้างบ้าน ก่อนจะลากสังขารของตนไปนอนพักที่เปลใต้ถุนบ้านคนพี่
“เก่ง ๆ อ้ายวาแมนสิปั่นมาบ่ฮอดล่ะขาน้อยวาแมนตะเกียบ” น้ำในแก้วที่เย็นฉ่ำถูกยื่นให้กับคนน้องเพื่อช่วยดับกระหาย ก่อนที่คนตัวเล็กจะรับมาดื่มอย่างชื่นใจ
“ไหนล่ะข้าวหลาม”
ธีร์รันที่เหนื่อยหอบจนไม่มีแรงจะเถียงได้เอ่ยถามขึ้นมา เพราะสิ่งที่ทำให้ตนยอมปั่นจักรยานมาไกลขนาดนี้โดยไม่บ่นก็เพียงเพราะนึกอยากจะกินข้าวหลามที่คนพี่อ้างว่าจะพาไปกินหลังจากที่มาส่งแล้ว
“เดี๋ยวอ้ายพาเฮ็ด” (เดี๋ยวพี่พาทำ)
“ฮะ...ยังไม่ทำเหรอ”
เหมือนความหวังได้พังทลายลงมา เรี่ยวแรงที่มีเมื่อครู่นี้ก็เหมือนจะเหือดหายไปจนหมด ธีร์รันทำหน้าหมดอาลัยตายอยากก่อนจะฟุบลงไปนอนที่เปลเหมือนเดิม
ร่างสูงที่เห็นดังนั้นก็ได้แต่แอบหัวเราะให้กับท่าทีของคนน้อง ก่อนที่จะเดินเข้าไปในครัวเพื่อนำข้าวสารไปล้างแล้วจัดการแช่น้ำทิ้งไว้
“ปะ” แดนดินชวนคนน้องพลางขึ้นคร่อมรถมอเตอร์ไซค์คู่ใจของตน
“ไปไหนอีกล่ะ”
“อ้ายสิพาไปตัดไม้ไผ่ กินบ่ข้าวหลามน่ะ” ธีร์รันทำหน้ามุ่ยใส่คนพี่ ก่อนจะเดินขึ้นไปซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซค์อย่างเลี่ยงไม่ได้
ทั้งคู่มาถึงสวนที่เคยมาเอากล้วยเมื่อคราก่อน แดนดินพาคนน้องเดินลัดเลาะไปตามทางเดินก่อนจะมาถึงกอไผ่ขนาดกลางที่เรียงรายกันอยู่อย่างเป็นระเบียบ คนพี่เดินวนรอบกอไผ่อยู่สองสามรอบก่อนที่จะเลือกตัดไม้ไผ่ขนาดพอเหมาะมาสองลำ
แดนดินจัดการตัดกิ่งไผ่ออกจนเกลี้ยง ก่อนที่จะตัดไม้ไผ่ให้เป็นสองท่อนเพื่อให้ง่ายต่อการขนย้าย
“ขับรถมอเตอร์ไซค์เป็นบ่”
แดนดินที่ได้ไม้ไผ่มาพอสมควรแล้ว จึงได้หอบออกมาที่รถก่อนจะหันไปถามคนน้องที่กำลังเดินตามหลังมาต้อย ๆ
“…”
“ซั่นกะถือไม้ไผ่เด้อ” (งั้นก็ถือไม้ไผ่นะ) หลังจากที่ได้ความเงียบแทนคำตอบ แดนดินจึงยื่นไม้ไผ่ให้กับคนน้องก่อนจะจัดแจงที่นั่งให้เรียบร้อย
“หนักบ่”
“แค่นี้สบายมาก รีบไปเถอะ”
.
.
พอทั้งคู่กลับมาถึงบ้านแดนดินก็จัดการเตรียมกระบอกไม้ไผ่โดยหั่นเป็นท่อนขนาดพอเหมาะ ซึ่งมีคนน้องคอยนั่งมองอยู่ข้าง ๆ
“ปิ๊บ ปิ๊บ!”
“กะทิมาแล้วครับผม”
สิงหามาพร้อมกับเหนือที่เพิ่งสึกออกมาได้ไม่นาน ได้ขี่รถเข้ามาภายในบ้านพร้อมกับชูถุงที่มีน้ำกะทิอยู่ให้กับเพื่อนดู ซึ่งการทำข้าวหลามวันนี้แดนดินได้นัดกับทั้งคู่ไว้ก่อนหน้านี้แล้ว
“อืม พอดีเลยสูต้มกะทิแนเด้อ ต้มแล้วดังไฟไว้พร้อม” (อืม พอดีเลยพวกแกต้มกะทิหน่อยนะ ต้มเสร็จจุดไฟไว้ด้วย)
“ครับคุณเพื่อน ได้เลยครับผม” สิงพูดพลางทำท่าทีกวน ๆ ก่อนจะเดินหายเข้าไปในครัว
“นี่ ให้เราช่วยอะไรไหม?”
ธีร์รันที่เห็นว่าตัวเองว่างเกินไป ในขณะที่คนอื่นต่างก็เตรียมของกันคนละไม้ละมือจึงอยากจะช่วยหยิบจับอะไรบ้าง ก่อนที่จะเอ่ยถามคนพี่ออกไป
“มี เอาน้ำมาให้อ้ายกินแน”
“หมายถึงช่วยในการทำข้าวหลามอะ”
“นี่ล่ะ ถ้าอ้ายหิวน้ำตายไผสิตัดไม้ให้เฮ็ดข้าวหลามล่ะ”
“ฮึ่ย!” ธีร์รันเดินกระฟัดกระเฟียดไปหยิบน้ำมาให้คนพี่ ซึ่งแดนดินที่มองตามคนน้องก็แอบยิ้มมุมปากอยู่คนเดียว
“มึงวาคุณเพื่อนมึงอาการหนักบ่” เหนือเอ่ยถามกับสิงหาเมื่อเห็นท่าทางของเพื่อนที่แปลกไปจากเดิมหลังจากที่ได้มาเจอกับคนน้อง
“เดี๋ยวสิหนักกว่านี่อีกกูวา”
ไม่นานสิงและเหนือก็ได้ยกหม้อข้าวและหม้อกะทิออกมาตั้งไว้ที่แคร่ข้างบ้าน เพื่อเตรียมหยอดใส่กระบอกไม้ไผ่ทำข้าวหลาม
“มันทำยังไงอะ”
“นี่ หยอดข้าวเหนียวลงไปสลับกับหยอดน้ำกะทิ เฮ็ดแบบนี้จนกว่าใกล้สิเต็ม แล้วกะเอาใบกล้วยปิด” แดนดินว่าพลางทำให้คนน้องดูเป็นตัวอย่าง ก่อนที่ธีร์รันจะค่อย ๆ ทำตามอย่างตั้งใจ
“เป็นไงพอได้ไหม”
“อืม” แดนดินพยักหน้ารับเบา ๆ ก่อนที่ทั้งสามคนจะช่วยกันหยอดข้าวเหนียวลงกระบอกไม้ไผ่ ในขณะที่เหนือได้ปลีกตัวออกไปก่อไฟเพื่อเตรียมเผาข้าวหลาม
ข้าวหลามหลายกระบอกถูกตั้งเรียงรายกันอยู่ท่ามกลางกองไฟ กลิ่นหอมของข้าวและกะทิเริ่มโชยมาปะทะกับจมูก ทำให้ธีร์รันที่อดทนรอตั้งแต่เช้าถึงกับจ้องตาเป็นมัน
ข้าวหลามที่สุกได้ที่ถูกยกออกมาจากเตาให้เย็น ก่อนที่แดนดินจะใช้มีดมาผ่ากระบอกข้าวหลามเพื่อเอาเนื้อส่วนนอกออกให้เหลือแค่เนื้อไผ่บาง ๆ ก่อนจะยื่นให้คนน้อง
“เอ๋า ซิมเบิ่ง” (อะ ชิมดู)
“หืม อร่อยมากเลยอะ” ธีร์รันทำตาโตลุกวาวเพราะข้าวหลามที่ตนเพิ่งกินเข้าไปผลที่ได้คืออร่อยเกินคาด อร่อยกว่าที่ตนเคยซื้อกินเมื่อตอนอยู่กรุงเทพซะอีก
“แซ่บกะกินอีก”
“เอ้อบักแดน มื้อนั่นมึงกะพาน้องไปนำติ๊ล่ะ” (เออไอ้แดน วันนั้นมึงก็พาน้องไปด้วยสิ)
สิงหาที่กำลังกินข้าวหลามอยู่ก็นึกอะไรได้บางอย่างจึงเอ่ยแนะนำกับเพื่อนไป อีกอย่างที่ตนอยากให้เพื่อนพาคนน้องไปด้วยก็เพราะอยากจะเห็นบรรยากาศระหว่างสองคนนี้อีก
“ไปไหนอะ” ธีร์รันหันหน้ามองสลับไปมาระหว่างคนพี่ทั้งสองอย่างต้องการคำตอบ แต่ก็ได้เพียงความเงียบกลับมาแทน
“เป็นตะคือบ่น้อ”
แดนดินบ่นออกมาอุบอิบ พลางหันมามองคนตัวเล็กที่ตอนนี้กำลังเคี้ยวข้าวหลามจนแก้มตุ่ย พร้อมกับทำตาแป๋วไม่รู้เรื่องอะไร ก่อนที่จะส่ายหน้าออกมาเบา ๆ พร้อมกับนึกคิดไปว่าควรที่จะพาเจ้าตัวเล็กติดสอยห้อยตามไปด้วยดีหรือเปล่า
“ถ้าอ้ายพาไปนำ อ้ายสิบ่ได้เทียวเบิ่งตะคนนี่เบาะน้อ”
“บ่แมนมันคิดสั้นแล้วเบาะสิง” “ปากมึงเบาะนั่น” สิงและเหนือที่เห็นว่าสายแล้วยังไม่เจอเพื่อนมาหาสักที ก็เกิดความร้อนใจกลัวว่าเพื่อนจะคิดอะไรที่ไม่ดี ปกติบอกว่าจะมาก็คือมาคำไหนคำนั้น จึงได้รีบบึ่งรถมาหาที่บ้านเผื่อเกิดเหตุอะไรตนจะได้ช่วยเหลือทัน เพราะตั้งแต่เมื่อวานที่เพื่อนกลับไป ตนก็ไม่ได้ติดต่อกับเพื่อนอีก “กะมันวามันสิมาหาเฮา จนฮอดปานนี้กะยังบ่เห็น” “มื้อวานมันกะถืกสะกิดปมไปอีก” “บ่ดอก มันคงบ่คิดแบบนั้น” “มึงฟ่าวขับเร็ว ๆ แน กูใจบ่ดี” (มึงรีบขับเร็ว ๆ หน่อย กูใจไม่ดี) การโต้เถียงเกิดขึ
“อ๊ะ!” แดนดินได้ช้อนร่างของคนตัวเล็กให้ขึ้นมานั่งบนตัก พลางจับชายเสื้อของตนถอดผ่านศีรษะด้วยท่าทางที่ทะมัดทะแมง เผยให้เห็นร่างกายที่กำยำซึ่งยังคงเต็มไปด้วยมัดกล้ามและกลุ่มก้อนขนมปัง ก่อนที่จะไล่ไปถอดกางเกงของร่างบางออกจนหมดสิ้น สองมือได้ไปกอบกำเอาส่วนเนื้ออ่อนที่บริเวณก้นกลมของคนตัวเล็ก ขยำ ๆ อยู่นานจนเนื้อขาวนวลปลิ้นออกมาตามซอกนิ้ว ในขณะที่ริมฝีปากก็ยังคงเล็มเลียอยู่กับยอดปทุมสีหวาน จนธีร์รันต้องแอ่นอกสู้ด้วยความสาดเสียว “อ๊า! พี่” ร่องรอยสีกุหลาบที่เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ จนแทบที่จะไม่มีพื้นที่ว่าง ทั้งรอยขบกัดและรอยดูดดึง จากความปรารถนาที่มีอย่างมากล้น ซึ่งธีร์รันก็ไม่ได้ปัดป้องแต่อย่างใด ปล่อยให้คนพี่ทำอย่างที่ใจอยาก เพราะการที่คนพี่จะต้องอดกลั้นถึงเพียงนี้ ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะตนทั้งนั้น
บรรยากาศยามค่ำที่มีสายลมพัดมาเป็นระยะ ๆ เมื่อมาปะทะกับผิวกาย ก็พลอยทำให้รับรู้ได้ถึงความเย็นยะเยือกที่ถูกส่งมาเป็นอย่างดี ฤดูหนาวผ่านมาอีกครา ครั้งก่อนแดนดินยังจำได้ดี ตนเคยมีความสุขมาก ๆ ในช่วงนี้เมื่อปีที่แล้ว แต่ในขณะเดียวกันก็เจ็บปวดจนแทบเจียนตาย ความคิดถึงที่เขามีต่อคนรักอยู่ทุกวันก็แทบจะเป็นเรื่องปกติ เพียงแต่วันนี้ ความรู้สึกกลับยิ่งเพิ่มมากขึ้น อาจจะเพราะแอลกอฮอล์ที่อยู่ในร่างกายหรืออะไรก็ตามแต่ ซึ่งมันทำให้เขาไม่ทันมองว่ามีสิ่งแปลกตาเข้ามาอยู่ในบ้านของเขา รู้ตัวอีกทีก็ต่อเมื่อเดินลงจากรถมอเตอร์ไซค์มาแล้ว “รถไผวะ” (รถใครวะ) รถเก๋งคันหรูสีดำสวยที่จอดนิ่งสนิทอยู่ในบริเวณบ้านของเขา พอลองมองหาเจ้าของรถคันดังกล่าวก็เจอแต่ความเงียบสงบ ยิ่งพยายามนึกถึงที่มาที่ไปของรถคันนี้ก็ยิ่งทำให้สับสนขึ้นไปอีก ตนไม่รู้จักใครที่มีรถลักษณะแบบนี้ ยิ่งเป็นญาติยิ่งแล้วใหญ่ เมื่อลองเดินสำรวจรอบ ๆ ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติ
“ก๊อก...ก๊อก!” “คุณรัน คุณท่านให้มาตามไปทานข้าวค่ะ” “รันยังไม่หิวครับ” แม่บ้านต่างก็หันหน้ามามองกันด้วยความลำบากใจ หนึ่งสัปดาห์มาแล้วตั้งแต่ที่คุณหนูของบ้านเอาแต่ขังตัวเองอยู่ในห้อง ข้าวปลาก็กินแทบจะนับคำได้ ทำเอาทุกคนต่างพลอยเป็นห่วงกันไปหมด เมื่อการเรียกขานไม่เป็นผล แม่บ้านจึงได้ถอยหลังมาเพื่อเปิดทางให้กับหญิงสาวคนหนึ่งได้เดินไปที่หน้าประตูห้อง และทำการเรียกขานขึ้นอีกครั้ง “รัน...นี่ดาวเองนะ” “ดาวขอเข้าไปได้ไหม?” ความเงียบสงบมาเยือนอยู่สักพัก ก่อนที่ประตูบานใหญ่จะค่อย ๆ ถูกเปิดออก เผยให้เห
“สูกลับไปซะ” แดนดินเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้อง หลังจากที่พาเพื่อนกลับมาถึงบ้าน ในขณะที่จัดการทำแผลให้อยู่นั้น เหนือได้สังเกตสีหน้าท่าทางของเพื่อนที่ดูเลื่อนลอย แววตาดูหมดหวัง แม้ว่าจะเป็นเวลาที่สิงเช็ดแผลให้ ทั้ง ๆ ที่ควรจะเจ็บมากแท้ ๆ แต่แดนดิน กลับไม่มีแม้แต่จะส่งเสียงออกมา “กูวาเฮาต้องมาอยู่เป็นหมู่มัน” “กูย่านมันคิดสั้น เบิ่งทรงสิหนักกว่าตอนเลิกกับน้องวา” “อือ หนักกว่าหลายเลยล่ะ” เมื่อเห็นอาการของเพื่อนที่ไม่สู้ดีนักก็อดที่จะเป็นห่วงไม่ได้ ถ้าเจ็บป่วยทางกายยังพอหาทางรักษาให้ได้ แต่อาการทางใจตนคงต้องคอยดูอยู่ห่าง ๆ และรอเวลาที่จะคอยเยียวยาทำให้ทุกอย่างมันดีขึ้น&n
เมื่อใกล้ถึงฤดูเก็บเกี่ยว ท้องทุ่งนาถูกย้อมด้วยสีทองอร่ามของรวงข้าวที่โอนอ่อนลู่ลม เสียงรวงข้าวที่เสียดสีกันดังแผ่วเบายามเมื่อสายลมพัดผ่าน แสงแดดยามสายส่องกระทบไปทั่วผืนนาจนเกิดเป็นประกายระยิบระยับ “พี่จะเก็บเกี่ยวข้าวยังไงเหรอ” คำถามที่เอื้อนเอ่ยออกมา ในขณะที่กำลังเดินลัดเลาะอยู่บนคันนา ร่างสูงเดินนำและมีคนตัวเล็กเดินตาม การเดินสำรวจแปลงนาในทุก ๆ เช้า น่าจะเป็นกิจวัตรประจำวันของคนทั้งคู่ไปแล้ว “อ้ายวาสิเอารถเกี่ยวเอา” “แต่กะสิจ้างชาวบ้านเกี่ยวบางส่วน พอให้เพินมีรายได้” “แฟนใครใจดีจัง” แดนดินหันมายิ้มให้กับคนตัวเล็ก พร้อมกับแก้มบางที่ถูกเรียวนิ้วยาวหยิกให้เบ







