LOGINยามเมื่อทินกรโผล่พ้นขอบฟ้า หมอกบาง ๆ ยามเช้าเริ่มจางหายไปพร้อมกับแสงของดวงตะวันที่สาดส่องลงมาทดแทน สายลมที่โชยมาเบา ๆ พัดพาต้นหญ้าสีเขียวขจีให้โอนเอนไปตามแรงลม ธีร์รันที่โดนคนพี่ไปรับมาตั้งแต่เช้าก็ได้นั่งงัวเงียอยู่ที่เปลใต้ถุนบ้าน ซึ่งตอนนี้มันได้กลายเป็นที่ประจำของเขาไปแล้ว
“วันนี้เราจะไปไหนกันอะ”
ธีร์รันเอ่ยถามขึ้นหลังจากที่นั่งรออยู่นานสองนานก็ยังไม่ได้ไปไหนสักที ซึ่งคนพี่เอาแต่หยิบจับนู่นนี่อยู่ตั้งแต่เช้า พอจะเข้าไปช่วยก็โดนไล่ให้กลับมานั่งรออยู่แบบนี้
“อ้ายบ่ทันได้บอกเบาะ”
แดนดินว่าพลางหยิบเสื้อแขนยาวของตนพร้อมกับผ้าขาวม้าผืนหนึ่งยื่นให้กับคนน้อง ก่อนที่ธีร์รันจะรับมาพลางส่ายหัวเล็กน้อยจนเส้นผมนุ่มสลวยไหวติงไปตามแรงส่าย
“มื่อนี้อ้ายสิพาไปสาปลา บักสิงกับบักเหนือซื้อสระไว้” (วันนี้พี่จะพาไปจับปลา)
แดนดินว่าพลางจัดเตรียมอุปกรณ์ที่จำเป็นออกมารอเพื่อนไว้ตรงบริเวณใต้ถุนบ้าน ในขณะที่คนน้องกำลังพยายามจัดแจงตัวเองจากเสื้อที่คนพี่ยื่นมาให้
“แล้วจะได้ไปตอนไหน นี่ก็นานแล้วนะ” ธีร์รันถามพลางใช้มือม้วนแขนเสื้อที่ยาวเกินไปขึ้นเล็กน้อยจนเห็นข้อมือขาว
“รอบักสิงกับบักเหนือก่อน มันไปเอาพญานาคอยู่”
“ฮะ พญานาค มันมีจริง ๆ ด้วยเหรอ”
ธีร์รันทำท่าทางแปลกใจ เพราะตั้งแต่เกิดมาตนก็ได้ยินเรื่องของพญานาคที่เป็นแค่เรื่องเล่าเท่านั้น เคยเจอก็เพียงแค่ในละคร ไม่นึกไม่ฝันว่ามันจะมีอยู่จริง ๆ แบบนี้คงจะได้ออกทีวีแน่ ๆ
“กะมีอิหลีตั๊ว อ้ายสิตั๋วเฮ็ดหยัง” (ก็มีจริง ๆ พี่จะโกหกทำไม)
แดนดินที่เห็นท่าทางของคนน้องก็ได้แต่กลั้นขำอยู่ในใจ เพราะคนน้องคงกำลังเข้าใจผิดเป็นตุเป็นตะไปแล้วแน่ ๆ
“แต๊ก แต๊ก แต๊ก!”
ไม่นานสิงและเหนือก็ได้ขี่รถอีแต๊กหรือรถไถนาเดินตามเข้ามาจอดภายในบริเวณบ้าน ธีร์รันที่กำลังรออย่างใจจดใจจ่อเพราะจะได้เจอกับพญานาค ก็รีบวิ่งไปยังรถที่มีพี่ทั้งสองคนอยู่พลางใช้สายตาสอดส่องไปทั่ว
“พี่สิงพี่เหนือ ที่นี่มีพญานาคจริง ๆ เหรอพี่”
ธีร์รันที่มองหาอยู่นานสองนานก็ไม่เจอสิ่งที่จะเรียกว่าพญานาคได้เลย จึงได้เกาะรถพลางเอ่ยถามกับคนพี่ทั้งสองด้วยความตื่นเต้น
“มีอิหลี ของพ่ออ้าย”
เหนือตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบก่อนจะหันมามองคนน้องที่ตอนนี้แววตาได้ฉายแววส่องประกายออกมาอย่างชัดเจน
“ไหนอะ รันขอดูเป็นบุญตาหน่อยได้ไหม”
“น้องรันอยากเบิ่งหยังเดี๋ยวอ้ายสิงคนนี้สิพาไปเบิ่งเอง”
“พี่สิงรันอยากเห็นพญานาคอะ”
“นี่เดะ” สิงตอบพลางชี้มือไปบนรถอีแต๊กที่มีเครื่องสูบน้ำขนาดใหญ่วางพาดอยู่กับรถ ซึ่งวันนี้พวกเขาจะนำไปสูบน้ำออกเพื่อที่จับปลาในสระ
“นี่เหรอ...พญานาค”
“นี่ท่อพญานาคโตจริงเสียงจริงเลยล่ะ”
แดนดินที่กำลังขนอุปกรณ์ขึ้นรถก็ได้หลุดหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ เพราะเป็นอย่างที่ตนนึกไว้ไม่มีผิด ที่คนเมืองกรุงจะคิดว่าที่นี่มีพญานาคตัวเป็น ๆ อยู่
“ฮึ่ย” ธีร์รันที่รู้ตัวว่าโดนหลอกเลยหันกลับไปมองค้อนใส่คนพี่พร้อมกับเม้มปากแน่น พลางยกมือขึ้นมาเท้าเอวเล็กน้อย พร้อมกับรอยย่นที่เป็นแนวอยู่ระหว่างคิ้ว
“พญานาคกะเห็นแล้ว ไปขึ้นรถ” เมื่อเตรียมอุปกรณ์ขึ้นรถเรียบร้อยแล้วแดนดินก็ได้หันมาบอกกับคนน้องแต่ก็ยังไม่วายที่จะแกล้งเล่นอีกตามเคย
ธีร์รันที่เริ่มจะหน้าแดงเพราะความอายจึงได้เดินขึ้นไปนั่งบนรถซึ่งมีคนพี่ตามขึ้นมาติด ๆ โดยมีเหนือที่เป็นคนขับส่วนสิงหาที่ต้องคอยบอกทางจึงได้นั่งอยู่คอกไม้ของรถอีแต๊กบริเวณด้านข้างของเหนือ
แสงแดดที่สาดส่องลงมาอย่างแรงกล้าทำให้บรรยากาศดูร้อนระอุ แต่ถึงกระนั้นลมที่พัดผ่านใบหน้าระหว่างรถเคลื่อนตัวก็ทำให้ธีร์รันรู้สึกเย็นสบาย ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีความเร็วเหมือนรถยนต์แต่ก็ให้ความรู้สึกที่เพลิดเพลินไปกับจังหวะของธรรมชาติ แม้ว่าตนจะรู้สึกกลัวในช่วงแรกจังหวะที่รถโยกโคลงเคลงแต่ไป ๆ มา ๆ กลับรู้สึกสนุกไปโดยไม่รู้ตัว
“คลุมไว้มันฮ้อน” แดนดินเอ่ยหลังจากที่หันไปหยิบผ้าขาวม้าที่ธีร์รันถือไว้มาคลุมหัวให้กับคนน้อง
“แค่นี้เราทำเองก็ได้”
คนตัวเล็กว่าพลางก้มหน้ามุดต่ำและใช้ผ้ามาปิดบังแก้มนวลเอาไว้ เพราะกลัวว่าคนพี่จะเห็นสีหน้าที่ตอนนี้ก็เริ่มมีจะแดงระเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย
ขับรถมาได้สักพักก็มาถึงที่จุดหมาย ซึ่งลักษณะเป็นบ่อดินธรรมชาติที่ล้อมรอบไปด้วยทุ่งนา สิงและเหนือต่างไปจัดการเตรียมอุปกรณ์สำหรับสูบน้ำออกจากบ่อ โดยประกอบเครื่องยนต์ของรถอีแต๊กเข้ากับท่อพญานาคก่อนที่จะใช้ปลายท่อด้านหนึ่งจุ่มลงไปในบ่อเพื่อสูบน้ำออก
ในระหว่างที่รอแดนดินก็ได้นำเสื่อมาปูให้คนน้องนั่งที่บริเวณใต้ร่มไม้ ใช้เวลาสักพักน้ำก็ถูกสูบออกจนแห้งเหลือเพียงปลักโคลนที่น่าจะลึกอยู่พอสมควร
“ปะ ได้เวลาทำงานแล้ว”
แดนดินเอ่ยชวนคนน้องพลางม้วนขากางเกงขึ้นจนถึงบริเวณเหนือเข่า ก่อนที่จะหยิบสวิงและถังน้ำสำหรับลงไปจับปลาในบ่อ ซึ่งเหนือและสิงได้ลงไปก่อนหน้านี้แล้ว
ร่างบางยืนลังเลอยู่ริมบ่อพักหนึ่ง มองดูเหล่าพี่ ๆ ที่กำลังใช้สวิงช้อนหาปลาเล็กปลาน้อยตามโคลน ซึ่งมีทั้งปลาช่อน ปลาดุก และปลาหมอ ในบางจังหวะก็ใช้มือเปล่าจับปลากันอย่างคล่องแคล่ว
“ลงมาโลด บ่ต้องย่าน” (ลงมาเลย ไม่ต้องกลัว) แดนดินที่เห็นว่าคนน้องยังไม่ลงมาในบ่อสักทีจึงได้หยุดมือจากการจับปลาแล้วหันขึ้นไปเอ่ยชวนคนน้องอีกครั้ง
“ไม่ได้กลัวสักหน่อย”
ธีร์รันตัดสินใจถลกขากางเกงขึ้นก่อนที่จะก้าวลงบ่ออย่างระมัดระวัง น้ำโคลนที่เย็นเฉียบปะทะเข้ากับข้อเท้า ความลึกที่ค่อย ๆ ลึกลงเรื่อย ๆ จนถึงหัวเข่า คนตัวเล็กเริ่มรู้สึกถึงโคลนลื่น ๆ ใต้เท้า แต่ก่อนที่จะถอยกลับแดนดินก็ได้เอื้อมมือมาจับแขนของคนน้องเอาไว้
“ลุยเลยบ่ต้องย่านเลอะ เดี๋ยวอ้ายพาไปล้างโตดอก”
คนตัวเล็กพยักหน้ารับคำอย่างเลี่ยงไม่ได้ ก่อนที่จะลองพยายามจับปลาอยู่หลายคราแต่ก็ยังจับไม่ได้สักตัว ในขณะที่คนพี่ก็จับได้ครึ่งค่อนถังแล้ว
“โอ๊ย! ทำไมปลามันเร็วกันจัง” ธีร์รันบ่นพลางมองปลาที่มุดหนีหายเข้าไปในโคลนอย่างหัวเสีย
ร่างสูงที่เห็นคนน้องหงุดหงิดก็ได้ยิ้มขำก่อนที่จะเดินเข้ามาใกล้ แล้วโอบรอบตัวคนน้องจากทางด้านหลัง มือใหญ่จับมือของคนตัวเล็กไว้แน่นก่อนจะไปช้อนเอาตัวปลาที่กำลังมุดโคลนหนีขึ้นมา
“บ่ต้องฟ่าว จับแบบนี้ ใจเย็น ๆ” (ไม่ต้องรีบ จับแบบนี้ใจเย็น ๆ)
แดนดินกระซิบที่ข้างหูคนน้องด้วยน้ำเสียงที่นุ่มและชิดจนรับรู้ได้ถึงอุ่นไอของคนพี่ ทำให้ธีร์รันเผลอสะดุ้งด้วยความตกใจ
อ้อมแขนที่โอบอยู่ทำให้หัวใจของธีร์รันเต้นแรงโดยไม่รู้ตัว แม้ขาจะปะทะอยู่กับน้ำโคลน แต่ทว่าตอนนี้เขากลับรู้สึกร้อนวูบวาบอย่างประหลาด กลิ่นดินและเสียงหายใจยิ่งทำให้รู้สึกว่าทุกอย่างใกล้ชิดจนเกินไป
“นี่จะมาช่วยหรือมาแกล้งกันแน่”
ธีร์รันเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สั่นเล็กน้อย แดนดินที่ยกยิ้มมุมปากก็ไม่ได้ตอบในทันที เขาเพียงกระชับมือให้แน่นขึ้นก่อนจะนำปลาไปปล่อยไว้ในถังที่ตั้งอยู่ด้านข้าง จากนั้นก็ใช้มือขุดในโคลนจนเจอปลาขนาดเขื่องตัวหนึ่ง
“นั่นปลา ลองจับเบิ่ง” (นั่นปลา ลองจับดู)
แดนดินกระซิบอีกครั้งก่อนที่ธีร์รันจะใช้สองมือน้อย ค่อย ๆ จับปลาขึ้นมาตามแบบที่คนพี่สอน แต่แทนที่จะดีใจที่จับปลาได้ ร่างบางกลับรู้สึกว่าสิ่งที่ทำให้หัวใจเขาเต้นแรงอยู่ตอนนี้ไม่ใช่เพราะปลาเลยสักนิด
“ขอบคุณนะ”
“บ่เป็นหยัง ถ้าจับบ่ได้อีกกะบอกอ้าย” แดนดินเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ชวนให้รู้สึกหวั่นไหว ก่อนที่จะหันกลับไปจับปลาตามเดิม
“มึงวามันยังเห็นเฮาอยู่นี่บ่วะ”
หลังจากที่ชำเลืองมองดูเพื่อนรักกับคนน้องอยู่สักพักเหนือก็ได้ขยับเข้ามาใกล้กับสิงหาก่อนจะเอ่ยกระซิบถามขึ้น
“กูวามันคงเห็นเฮาเป็นอากาศ” สิงมองซ้ายมองขวาก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงที่ยียวน พลางส่งยิ้มกวน ๆ ให้กับเหนือ
“ตุบ!”
แดนดินที่เห็นเพื่อนสองคนกำลังกระซิบกระซาบกันอยู่ และเรื่องราวที่คุยกันก็คงไม่พ้นเรื่องของตน จึงได้โยนโคลนไปใส่เพื่อนทั้งสอง ก่อนที่ทั้งคู่จะหันกลับมามองพลางหัวเราะคิกคัก แล้วแยกกันไปจับปลาเหมือนเคย
.
.
“ปะ ขึ้นหาเฮ็ดแนวกินเถาะ” (ปะ ขึ้นไปหาทำอะไรกินเถอะ)
เมื่อตะวันคล้อยไปแดดก็เริ่มร้อนและตอนนี้ก็จับปลาได้เยอะมากพอแล้ว บวกกับจวนจะได้เวลากินข้าว สิงหาจึงได้เอ่ยชวนเพื่อนขึ้นจากบ่อเพื่อไปหาอะไรกิน
“อืม ปะอ้ายพาไปล้างโต”
แดนดินหันไปพยักหน้าให้เพื่อน ก่อนที่จะหันกลับมามองคนน้องที่ตอนนี้ก็มีสภาพที่เลอะไปด้วยโคลนเหมือนลูกหมาตัวน้อย
“อ๊ะ! ช่วยหน่อย”
ธีร์รันที่ยืนจับปลาอยู่ที่เดิมนานจึงโดนโคลนดูดขาไว้ทำให้ก้าวขาไม่ออกจนเกือบจะล้ม จึงได้ร้องขอความช่วยเหลือจากคนพี่ ซึ่งแดนดินก็ไม่ได้ตอบกลับอะไรเพียงแค่ยื่นลำแขนแกร่งมาให้คนน้องเกาะก่อนจะพยุงกันขึ้นไปบนฝั่ง
ทั้งคู่พากันเดินลัดเลาะตามคันนามาไม่ไกล ก็เจอเข้ากับคลองน้ำขนาดเล็กที่พอจะสามารถลงไปล้างตัวได้ ธีร์รันจึงได้จัดการล้างโคลนที่ติดตามเนื้อตามตัวออก
“ฮึ่ย! ใช้งานหนักขนาดนี้ไปซื้อครีมกันแดดมาให้เลยนะ”
หลังจากที่จัดการล้างตัวเสร็จ ธีร์รันก็พบว่าตรงข้อมือของตนในส่วนที่พ้นเสื้อแขนยาวออกมา มีรอยคล้ำจากการโดนแดดจนผิวแยกเป็นสองสี จึงได้หันไปโวยวายใส่คนพี่ที่พาตนมาทำงานจนผิวต้องไหม้เสียแบบนี้
“หึ ส่ำนี้นึงเดี๋ยวอ้ายเหมามาให้เลย” (หึ แค่นี้เองเดี๋ยวพี่เหมามาให้เลย) แดนดินว่าพลางยกยิ้มยียวนใส่คนน้องที่ตอนนี้กำลังทำหน้าบึ้งตึงอยู่
“พูดแล้วนะ” ธีร์รันกระแทกเสียงพลางวิดน้ำใส่คนพี่ ก่อนจะรีบเดินปลีกตัวออกมาโดยมีแดนดินวิ่งตามมาติด ๆ
เมื่อกลับมาจากล้างตัวก็พบกับสิงที่กำลังจัดการก่อไฟเผาปลาอยู่ ถัดไปก็พบกับเหนือที่กำลังเขย่ารังมดแดงใส่ลงไปในหม้อต้มปลาอย่างเมามัน
“พี่เขาใส่มดแดงทำไม มันกินได้เหรอ” ธีร์รันที่ไม่เคยเห็นอาหารลักษณะนี้จึงได้เอ่ยถามกับคนพี่ไป
“นี่ล่ะแนวแซ่บ” แดนดินว่าพลางเดินไปสมทบกับเพื่อนที่กำลังทำกับข้าวอยู่
“เอ๋านี่ ถอนก่อน”
สิงที่เห็นเพื่อนเดินมาจึงได้ยื่นแก้วน้ำสีใสเหมือนน้ำเปล่าให้ ก่อนที่แดนดินจะยกขึ้นมาดื่มด้วยสีหน้าที่เรียบเฉยราวกับกำลังดื่มน้ำเปล่าอย่างไรอย่างนั้น
“นั่นเหล้าขาวเหรอ?”
ธีร์รันที่เดินตามมาหยุดยืนมองด้วยความสนใจ กลิ่นแอลกอฮอล์ที่ฉุนลอยขึ้นมาแตะจมูกทำให้ไม่ต้องตอบก็พอจะรู้ว่าน้ำในแก้วนั้นคืออะไร
“โห...คลาสสิกสุด ๆ” ธีร์รันพูดก่อนที่จะเดินไปช่วยสิงเผาปลา โดยปล่อยให้พี่ ๆ นั่งจิบเหล้าขาวกันอย่างสบายอารมณ์
ไม่นานกับข้าวทั้งหมดก็ถูกจัดเตรียมจนเสร็จ กลิ่นหอมที่เย้ายวนชวนให้ธีร์รันรู้สึกหิวมากขึ้น ถ้าไม่ติดตรงที่ว่ามีมดที่เหนือใส่ลงไปลอยอยู่เต็มในชามต้มปลา
“พี่สิงแล้วปลาที่เหลือจะเอาไปทำอะไรอะ” หลังจากที่กินข้าวไปได้สักพักธีร์รันก็ได้เอ่ยถามขึ้น เพราะปลาที่พวกเขาจับได้วันนี้ก็ถือว่าเยอะอยู่พอสมควร
“ส่วนหนึ่งกะแบ่งไว้ถ่าเฮ็ดกิน อีกส่วนหนึ่งเดี๋ยวอ้ายพาเอาไปขาย”
“ขาย...ขายที่ไหนอะ?”
“ตลาด...ไปบ่” แดนดินเอ่ยแทรกในขณะที่คนน้องทำท่าทางสนอกสนใจเป็นอย่างมาก
“อื้อ...ไปสิ”
“ไปกะฟ่าวกินข้าว กินแล้วสิพาไป”
ธีร์รันที่ได้ยินดังนั้นก็หันกลับมากินข้าวพลางเคี้ยวตุ่ย ๆ จนแก้มป่อง ทำให้แดนดินที่มองอยู่ถึงกับส่ายหัวเบา ๆ พลางยกยิ้มมุมปากขึ้นมาเล็กน้อย
ซึ่งสิงและเหนือที่เห็นดังนั้นก็ได้หันมามองหน้ากันอย่างมีเลศนัย...
“บ่แมนมันคิดสั้นแล้วเบาะสิง” “ปากมึงเบาะนั่น” สิงและเหนือที่เห็นว่าสายแล้วยังไม่เจอเพื่อนมาหาสักที ก็เกิดความร้อนใจกลัวว่าเพื่อนจะคิดอะไรที่ไม่ดี ปกติบอกว่าจะมาก็คือมาคำไหนคำนั้น จึงได้รีบบึ่งรถมาหาที่บ้านเผื่อเกิดเหตุอะไรตนจะได้ช่วยเหลือทัน เพราะตั้งแต่เมื่อวานที่เพื่อนกลับไป ตนก็ไม่ได้ติดต่อกับเพื่อนอีก “กะมันวามันสิมาหาเฮา จนฮอดปานนี้กะยังบ่เห็น” “มื้อวานมันกะถืกสะกิดปมไปอีก” “บ่ดอก มันคงบ่คิดแบบนั้น” “มึงฟ่าวขับเร็ว ๆ แน กูใจบ่ดี” (มึงรีบขับเร็ว ๆ หน่อย กูใจไม่ดี) การโต้เถียงเกิดขึ
“อ๊ะ!” แดนดินได้ช้อนร่างของคนตัวเล็กให้ขึ้นมานั่งบนตัก พลางจับชายเสื้อของตนถอดผ่านศีรษะด้วยท่าทางที่ทะมัดทะแมง เผยให้เห็นร่างกายที่กำยำซึ่งยังคงเต็มไปด้วยมัดกล้ามและกลุ่มก้อนขนมปัง ก่อนที่จะไล่ไปถอดกางเกงของร่างบางออกจนหมดสิ้น สองมือได้ไปกอบกำเอาส่วนเนื้ออ่อนที่บริเวณก้นกลมของคนตัวเล็ก ขยำ ๆ อยู่นานจนเนื้อขาวนวลปลิ้นออกมาตามซอกนิ้ว ในขณะที่ริมฝีปากก็ยังคงเล็มเลียอยู่กับยอดปทุมสีหวาน จนธีร์รันต้องแอ่นอกสู้ด้วยความสาดเสียว “อ๊า! พี่” ร่องรอยสีกุหลาบที่เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ จนแทบที่จะไม่มีพื้นที่ว่าง ทั้งรอยขบกัดและรอยดูดดึง จากความปรารถนาที่มีอย่างมากล้น ซึ่งธีร์รันก็ไม่ได้ปัดป้องแต่อย่างใด ปล่อยให้คนพี่ทำอย่างที่ใจอยาก เพราะการที่คนพี่จะต้องอดกลั้นถึงเพียงนี้ ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะตนทั้งนั้น
บรรยากาศยามค่ำที่มีสายลมพัดมาเป็นระยะ ๆ เมื่อมาปะทะกับผิวกาย ก็พลอยทำให้รับรู้ได้ถึงความเย็นยะเยือกที่ถูกส่งมาเป็นอย่างดี ฤดูหนาวผ่านมาอีกครา ครั้งก่อนแดนดินยังจำได้ดี ตนเคยมีความสุขมาก ๆ ในช่วงนี้เมื่อปีที่แล้ว แต่ในขณะเดียวกันก็เจ็บปวดจนแทบเจียนตาย ความคิดถึงที่เขามีต่อคนรักอยู่ทุกวันก็แทบจะเป็นเรื่องปกติ เพียงแต่วันนี้ ความรู้สึกกลับยิ่งเพิ่มมากขึ้น อาจจะเพราะแอลกอฮอล์ที่อยู่ในร่างกายหรืออะไรก็ตามแต่ ซึ่งมันทำให้เขาไม่ทันมองว่ามีสิ่งแปลกตาเข้ามาอยู่ในบ้านของเขา รู้ตัวอีกทีก็ต่อเมื่อเดินลงจากรถมอเตอร์ไซค์มาแล้ว “รถไผวะ” (รถใครวะ) รถเก๋งคันหรูสีดำสวยที่จอดนิ่งสนิทอยู่ในบริเวณบ้านของเขา พอลองมองหาเจ้าของรถคันดังกล่าวก็เจอแต่ความเงียบสงบ ยิ่งพยายามนึกถึงที่มาที่ไปของรถคันนี้ก็ยิ่งทำให้สับสนขึ้นไปอีก ตนไม่รู้จักใครที่มีรถลักษณะแบบนี้ ยิ่งเป็นญาติยิ่งแล้วใหญ่ เมื่อลองเดินสำรวจรอบ ๆ ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติ
“ก๊อก...ก๊อก!” “คุณรัน คุณท่านให้มาตามไปทานข้าวค่ะ” “รันยังไม่หิวครับ” แม่บ้านต่างก็หันหน้ามามองกันด้วยความลำบากใจ หนึ่งสัปดาห์มาแล้วตั้งแต่ที่คุณหนูของบ้านเอาแต่ขังตัวเองอยู่ในห้อง ข้าวปลาก็กินแทบจะนับคำได้ ทำเอาทุกคนต่างพลอยเป็นห่วงกันไปหมด เมื่อการเรียกขานไม่เป็นผล แม่บ้านจึงได้ถอยหลังมาเพื่อเปิดทางให้กับหญิงสาวคนหนึ่งได้เดินไปที่หน้าประตูห้อง และทำการเรียกขานขึ้นอีกครั้ง “รัน...นี่ดาวเองนะ” “ดาวขอเข้าไปได้ไหม?” ความเงียบสงบมาเยือนอยู่สักพัก ก่อนที่ประตูบานใหญ่จะค่อย ๆ ถูกเปิดออก เผยให้เห
“สูกลับไปซะ” แดนดินเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้อง หลังจากที่พาเพื่อนกลับมาถึงบ้าน ในขณะที่จัดการทำแผลให้อยู่นั้น เหนือได้สังเกตสีหน้าท่าทางของเพื่อนที่ดูเลื่อนลอย แววตาดูหมดหวัง แม้ว่าจะเป็นเวลาที่สิงเช็ดแผลให้ ทั้ง ๆ ที่ควรจะเจ็บมากแท้ ๆ แต่แดนดิน กลับไม่มีแม้แต่จะส่งเสียงออกมา “กูวาเฮาต้องมาอยู่เป็นหมู่มัน” “กูย่านมันคิดสั้น เบิ่งทรงสิหนักกว่าตอนเลิกกับน้องวา” “อือ หนักกว่าหลายเลยล่ะ” เมื่อเห็นอาการของเพื่อนที่ไม่สู้ดีนักก็อดที่จะเป็นห่วงไม่ได้ ถ้าเจ็บป่วยทางกายยังพอหาทางรักษาให้ได้ แต่อาการทางใจตนคงต้องคอยดูอยู่ห่าง ๆ และรอเวลาที่จะคอยเยียวยาทำให้ทุกอย่างมันดีขึ้น&n
เมื่อใกล้ถึงฤดูเก็บเกี่ยว ท้องทุ่งนาถูกย้อมด้วยสีทองอร่ามของรวงข้าวที่โอนอ่อนลู่ลม เสียงรวงข้าวที่เสียดสีกันดังแผ่วเบายามเมื่อสายลมพัดผ่าน แสงแดดยามสายส่องกระทบไปทั่วผืนนาจนเกิดเป็นประกายระยิบระยับ “พี่จะเก็บเกี่ยวข้าวยังไงเหรอ” คำถามที่เอื้อนเอ่ยออกมา ในขณะที่กำลังเดินลัดเลาะอยู่บนคันนา ร่างสูงเดินนำและมีคนตัวเล็กเดินตาม การเดินสำรวจแปลงนาในทุก ๆ เช้า น่าจะเป็นกิจวัตรประจำวันของคนทั้งคู่ไปแล้ว “อ้ายวาสิเอารถเกี่ยวเอา” “แต่กะสิจ้างชาวบ้านเกี่ยวบางส่วน พอให้เพินมีรายได้” “แฟนใครใจดีจัง” แดนดินหันมายิ้มให้กับคนตัวเล็ก พร้อมกับแก้มบางที่ถูกเรียวนิ้วยาวหยิกให้เบ







