เข้าสู่ระบบ“ปี๊น ปี๊น!”
เสียงแตรรถที่ดังมาจากหน้าบ้านทำให้ร่างบางที่กำลังแต่งตัวอยู่ถึงกับต้องชะโงกหน้าออกไปดูผ่านทางหน้าต่าง ก่อนจะรีบจัดเตรียมเอาสิ่งของที่จำเป็นและวิ่งลงมาจากบ้านด้วยท่าทางที่ดูรีบร้อน
“ป้าสายผมไปก่อนนะครับ”
ธีร์รันกึ่งเดินกึ่งวิ่งตรงมาที่รถ ซึ่งตอนนี้คนขับก็ได้นั่งรอพร้อมกับฟังเพลงที่เปิดคลอไว้อย่างสบายอารมณ์ภายในรถกระบะสีดำคันใหญ่ ที่วันนี้ได้ออกมาจากโรงจอดรถสักที
“พร้อมยัง” แดนดินที่ประจำตรงที่นั่งคนขับ ได้เอ่ยถามคนน้องออกไปเมื่อขึ้นมาบนรถเรียบร้อยแล้ว
“อื้อ”
วันนี้แดนดินต้องไปจัดการธุระให้พ่อในตัวอำเภอพอดี จึงถือโอกาสชวนคนน้องไปด้วย ตามคำสัญญาที่เคยให้ไว้
“นี่รถใครอะ”
ธีร์รันเอ่ยถามเมื่อคนพี่เริ่มออกรถไปได้สักพัก เพราะปกติเห็นคนพี่เอาแต่ขับรถมอเตอร์ไซค์อยู่ทุกวัน พอมาวันนี้กลับดูแปลกตาไปมาก ทั้งจากลักษณะและการแต่งตัวที่ดูมาดแมนไปซะหมด
“รถอ้ายนี่ล่ะ” แดนดินตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ในขณะที่สายตาก็กำลังจดจ้องไปข้างหน้าอย่างมั่นคง
“ทำไมไม่เคยเห็นเอามาขับเลยล่ะ”
“อยู่บ้านขี่แต่มอเตอร์ไซค์กะพอแล้ว”
ธีร์รันได้แต่อมยิ้มเบา ๆ เพราะการกระทำแบบนี้ก็ดูสมกับเป็นคนพี่ดี ก่อนที่ตนจะหันไปเลื่อนเปิดกระจกรถเพื่อชมบรรยากาศระหว่างทาง สายลมที่พัดเข้ามาทำให้ผมของธีร์รันปลิวลู่ไปตามแรงลม เผยให้เห็นหน้าผากนวลเล็กน้อย
“นั่งดี ๆ ปล่อยลงรถซะบ้อ”
แดนดินที่เห็นคนน้องเหมือนจะยื่นหน้าออกไปมากเกินสมควรก็ได้กล่าวเตือน พร้อมกับลดความเร็วลง ก่อนจะหันไปมองคนน้องที่ตอนนี้หันมายิ้มร่าให้อย่างกับไม่รู้ร้อนไม่รู้หนาว จนนึกอยากที่จะหยิกแก้มป่อง ๆ นั่นสักที
หลังจากขับมาสักพักทั้งคู่ก็มาถึงที่ตัวอำเภอ แดนดินที่ต้องเข้าไปจัดการธุระก่อน ก็ได้จอดเทียบรถไว้กับร่มไม้ใหญ่โดยไม่ดับเครื่องยนต์เพราะกลัวว่าเจ้าตัวเล็กจะร้อน พร้อมกับให้คนน้องนั่งรออยู่ที่รถซึ่งธีร์รันก็ทำตามอย่างว่าง่าย
ไม่นานหลังจากนั้นแดนดินก็ได้กลับมาที่รถพร้อมด้วยเอกสารเต็มมือ ก่อนที่เขาจะจัดการยัดมันเก็บเข้าไปในกระเป๋าแล้วโยนทิ้งไว้ที่เบาะหลัง
“อยากไปใสบ่”
“พาเราไปกดตังค์หน่อยสิ เราอยากจะซื้อของกลับบ้านไปฝากลุงกับป้าด้วย”
“อือ เว่าม่วน ๆ ก่อน” (อือ พูดเพราะ ๆ ก่อน)
แดนดินที่ไม่เคยได้ยินเจ้าตัวเล็กเรียกพี่ดี ๆ สักครั้ง ถึงการกระทำจะน่ารักเพราะเป็นเด็กที่ว่านอนสอนง่าย ไม่ดื้อ แต่ก็ติดตรงคำพูดถึงแม้ว่าจะเป็นคำพูดที่ไม่ได้หยาบอะไร แต่คงจะดีกว่านี้ถ้าคนน้องยอมเรียกตนดี ๆ สักครั้ง
ธีร์รันหันมามองคนพี่ด้วยความแปลกใจ พอลองนึกย้อนไปตั้งแต่วันที่มาแรก ๆ ก็นึกขึ้นมาได้ว่าตนก็ยังไม่เคยเรียกแทนพี่ดี ๆ เลยสักครั้ง แต่ไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตามที่ทำให้ตนรู้สึกเกร็ง ๆ แค่เฉพาะกับแดนดิน
“ซั่นกะกลับ” (งั้นก็กลับ)
“พะ...พี่พารันไปหน่อยนะ” ธีร์รันเห็นท่าทางคนพี่ที่ดูจริงจังสุดท้ายก็ยอมเอ่ยปากเรียกออกไป ก่อนที่แก้มบางจะเริ่มมีสีแดงระเรื่อฉายออกมา ทำให้คนพี่ที่เห็นดังนั้นถึงกับแอบอมยิ้มอย่างพอใจ
หลังจากที่พาคนน้องไปธนาคารตามต้องการแล้ว แดนดินก็ได้ขับรถมุ่งมายังตลาดที่มีทั้งของกิน ผลไม้ รวมไปทั้งเสื้อผ้าหรือของใช้ต่าง ๆ ทำให้ธีร์รันถึงกับตาลุกวาวเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น เพราะตั้งแต่มาอยู่ต่างจังหวัด นี่ก็นับเป็นครั้งแรกที่ตนได้ออกมาข้างนอกแบบนี้
“นี่ ๆ เข้าร้านนั้นกัน”
หลังจากที่เดินซื้อของจนคนพี่หิ้วพะรุงพะรัง ธีร์รันก็ได้เหลือบมองไปเห็นร้านขายเสื้อผ้าร้านหนึ่ง ด้วยความที่เป็นคนชอบเสื้อผ้าอยู่แล้วเป็นทุนเดิม จึงรีบดึงแขนคนพี่ให้เข้าไปดูด้วยแววตาที่เป็นประกาย
“เดี๋ยวอ้ายรออยู่นี่หละ อย่าซื้อโดนเด้อ”
ร่างสูงที่เริ่มเหนื่อยกับการเดินรอบตลาด จึงได้ปล่อยให้คนน้องเข้าไปเลือกซื้อคนเดียว โดยตนก็ได้นั่งรออยู่ที่บริเวณหน้าร้าน
“ซื้อของเก่งคัก บ่รู้จักเมื่อย” (ซื้อของเก่งมาก ไม่รู้จักเหนื่อย)
แดนดินได้บ่นพึมพำออกมาคนเดียว แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังตามใจคนน้อง ให้เข้าทุกร้านที่อยากจะเข้า เพราะนาน ๆ ถึงได้ออกมาครั้งหนึ่งและคิดว่าเจ้าตัวเล็กก็คงจะเก็บกดจากการอยู่แต่ในหมู่บ้าน
“นี่คุณ เอ่อ...พี่ รันอยากซื้อสกู๊ตเตอร์อะ แถวนี้มีไหม?”
หลังจากที่เลือกซื้อเสื้อผ้าเสร็จธีร์รันก็ได้เดินมาหาคนพี่ที่กำลังนั่งรออยู่ พร้อมกับถามหาร้านขายสกู๊ตเตอร์ เพราะทุกวันนี้จะไปไหนทีก็ต้องคอยให้คนพี่มารับ ตนจึงอยากจะมีไว้อำนวยความสะดวกให้กับตนเองบ้าง
“ซื้อมาหยังสกู๊ตเตอร์”
“ก็...เผื่อไปซื้อของที่ร้านค้า วันไหนที่พี่ไม่ว่างไง”
“อ้ายว่างตลอดล่ะ เดี๋ยวอ้ายพาไป”
“นะ ๆ ๆ พารันไปซื้อหน่อยนะ” ธีร์รันที่เห็นว่าคนพี่น่าจะไม่ยอมง่าย ๆ จึงส่งสายตาออดอ้อนเพื่อทำให้แดนดินใจอ่อนและพาตนไปซื้อ
“ซั่นเอาแค่จักรยานพอ” แดนดินรู้ว่าคนน้องมีเงินเยอะมากพอที่จะซื้อสกูตเตอร์ แต่เขาเพียงอยากให้ธีร์รันได้ลองใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายดูบ้างเท่านั้นเอง
“แต่เราขี่ไม่เป็นนะจักรยานอะ”
“บ่เป็นหยัง เดี๋ยวอ้ายสอน”
หลังจากที่ตกลงกันอยู่นาน เมื่อคนน้องไม่สามารถขัดคนพี่ได้ สุดท้ายทั้งคู่ก็ได้มาหยุดอยู่ที่ร้านขายจักรยานแห่งหนึ่ง ซึ่งได้มีจักรยานอยู่หลายแบบหลายขนาด
แดนดินจัดการเลือกรถจักรยานที่ดูเหมาะกับคนน้องอยู่นานสองนาน จึงได้จักรยานสีขาวคันหนึ่ง ที่มีตะกร้าอยู่ด้านหน้าเผื่อคนน้องไปซื้อของจะได้ไม่ต้องถือ
“นี่หละ คันนี่เหมาะสุด” แดนดินพูดพลางตบเบาะด้วยท่าทางที่มั่นใจให้คนน้องดู
ธีร์รันที่ทำหน้างออยู่ก็ได้แต่ถอนหายใจ ก่อนเดินไปลองขึ้นรถจักรยานดูเพื่อวัดความสูงของเบาะอย่างจำยอม ซึ่งก็พบว่ามันพอดีอย่างคาดไม่ถึง
“งั้นเอาคันนี้ก็ได้”
“ซั่นถ่าอ้ายอยู่นี่ล่ะ เดี๋ยวอ้ายมา”
คนตัวเล็กพยักหน้ารับตอบ ก่อนที่แดนดินจะเดินไปจัดแจงนำรถจักรยานคันดังกล่าวขึ้นที่ท้ายกระบะ ใช้เวลาอยู่สักพักก็ได้เดินกลับมาหาคนน้องที่กำลังนั่งรออยู่
“ปะ”
“เดี๋ยวก่อน เรายังไม่ได้จ่ายเงินเลย” ธีร์รันรีบวิ่งตามมาเกาะแขนคนพี่ไว้ เพราะตนเพิ่งนึกได้ว่ายังไม่ได้จ่ายค่ารถจักรยานเลย แต่คนพี่กลับพาเดินออกมาจากร้านเอาเสียดื้อ ๆ
“บ่เป็นหยังอ้ายจ่ายแล้ว คันนี้อ้ายซื้อให้”
“เดี๋ยวเราจ่ายเอง เท่าไหร่เหรอเดี๋ยวคืนเงินให้”
“ผู้ใหญ่ให้ของ แค่ขอบคุณกะพอ”
ธีร์รันชะงักกับคำพูดของแดนดินไปครู่หนึ่ง พลันทำหน้าหงอยเพราะรู้สึกผิด ไม่ใช่ว่าตนดูถูกแต่เพราะตนไม่อยากทำตัวให้เป็นภาระจนเผลอมองข้ามน้ำใจของคนพี่ไป
“ขอบคุณนะ”
แดนดินที่กำลังเดินกลับไปขึ้นรถก็เผลอยกยิ้มมุมปากออกมาด้วยความพอใจ ถึงแม้ว่าบางทีคนน้องจะหัวดื้อไปบ้าง แต่เวลาบอกเวลาสอนก็พร้อมที่จะทำตามอย่างว่าง่าย
“หิวข้าวไป๊?” (หิวข้าวหรือยัง)
“อยากกินหยังบ่?”
“อะไรก็ได้ที่ไม่เผ็ด แล้วก็ไม่ใช่อาหารแปลก ๆ นะ” ธีร์รันเน้นย้ำเพราะกลัวว่าคนพี่จะพาไปลองกินอะไรที่ตนไม่เคยกินอีก ส่วนแดนดินได้แต่ยิ้มแล้วส่ายหัวเบา ๆ
ทั้งคู่ได้มาถึงร้านอาหารแห่งหนึ่งซึ่งเป็นร้านอาหารตามสั่ง แดนดินเดินนำคนน้องไปนั่งที่โต๊ะไม้ภายในร้านอย่างคุ้นเคย ราวกับว่าเคยมากินแล้วหลายครั้งหลายหน
“กินหยัง” แดนดินว่าพลางยื่นเมนูให้คนน้องดูรายการอาหาร ก่อนจะสังเกตท่าทีคนน้องว่าจะกินอาหารข้างทางแบบนี้ได้ไหม
“เอากะเพราหมูสับไข่ดาว ไม่เผ็ดนะ”
“ป้าครับเอากะเพราหมูสับไข่ดาวบ่เผ็ดหนึ่งที่ ต้มยำหนึ่ง ลาบหนึ่ง ส้มตำบ่เผ็ดหนึ่งครับ”
“โห จะกินหมดไหมเนี่ย” หลังจากที่ได้ยินคนพี่สั่งกับข้าวรายการยาวเหยียดก็กับอุทานออกมา เพราะวันนี้มากินข้าวกันแค่สองคน แต่สั่งเยอะเหมือนมากันหลายคน
“อ้ายอยากให้ลองกินหลาย ๆ อย่าง”
“แล้วสิติดใจ”
ไม่นานนักอาหารทั้งหมดก็ถูกนำมาวางให้กับคนทั้งสอง ธีร์รันจัดการกับกะเพราหมูสับอย่างเอร็ดอร่อย เคี้ยวตุ่ย ๆ จนแก้มป่องทั้งสองข้าง ซึ่งแดนดินพอเห็นดังนั้นก็ได้เลื่อนกับข้าวเข้าไปใกล้ ๆ กับคนน้องเพื่อให้เอื้อมได้สะดวก
“ลองชิมอย่างอื่นเบิ่ง กับข้าวร้านนี้แซ่บทุกอย่างเด้”
“อื้ม” ธีร์รันตอบในขณะที่กำลังเคี้ยว ก่อนที่จะเริ่มลงมือชิมอาหารทีละอย่างตามที่คนพี่บอก
“อร่อยทุกอย่างจริง ๆ”
แดนดินเห็นท่าทีของคนน้องที่มีความสุขกับการกิน ถึงแม้ว่าจะเริ่มมีเหงื่อไหลตามไรผมเป็นเม็ด ๆ จากความร้อนก็ตาม แต่ก็ไม่ได้ยินคำบ่นจากเจ้าตัวเล็กให้ได้ยินเลย ทำให้แดนดินแอบมุดหน้าอมยิ้มอยู่คนเดียวก่อนที่จะเก็บสีหน้าแล้วหันกลับไปทานข้าวต่อ
หลังจากที่ทานข้าวเสร็จแดนดินจึงได้เดินไปจ่ายค่าอาหาร ส่วนธีร์รันที่อิ่มมาก ๆ จนจะนั่งไม่ไหวจึงได้มารอคนพี่ที่รถพร้อมกับนั่งลูบพุงกะทิที่ตอนนี้ก็ได้นูนขึ้นมาหน่อย ๆ ไม่นานคนพี่ก็เดินตามมาก่อนที่จะออกรถเพื่อกลับบ้าน
“สิซื้ออิหยังอีกบ่”
“ไม่มีแล้ว”
แดนดินที่เห็นคนน้องทำตาปรือก็ได้เคลื่อนรถออกไปช้า ๆ ธีร์รันที่กินอิ่มท้องตึงบวกกับความเย็นจากแอร์รถยนต์ที่ลอยมาปะทะกับร่างกาย ส่งผลให้รู้สึกเคลิ้มจนเกิดความง่วง จึงได้ผล็อยหลับไประหว่างทาง
แดนดินที่เห็นดังนั้นก็ได้ชะลอรถและจอดข้างทาง พลางเอื้อมมือไปหยิบเสื้อแขนยาวของตนจากเบาะหลังมาคลุมไหล่ไว้ให้ ก่อนจะค่อย ๆ ขับรถออกไปอย่างนิ่มนวล
ไม่นานทั้งคู่ก็ได้มาถึงบ้านของแดนดิน โดยเขาเลือกที่จะขับรถมาที่บ้านของตนแทนที่จะไปส่งคนน้อง พอเห็นว่าคนน้องยังไม่ตื่นจึงได้นั่งรออย่างใจเย็น
“อื้อ~...”
“ถึงนานแล้วเหรอ” ธีร์รันที่เริ่มรู้สึกตัวจึงได้ยันกายขึ้นมาพลางใช้มือขยี้ตาทั้งสองข้างเพื่อสลัดความง่วงออกไป
“บ่โดนปานได๋” (ไม่นานเท่าไหร่)
“…”
“ตื่นแล้วกะมา อ้ายสิพาไปปั่นจักรยาน” แดนดินว่าพลางลงจากรถก่อนที่จะไปเตรียมรถจักรยานลงมาเพื่อให้คนน้องได้หัดขี่ โดยมีธีร์รันคอยเดินตามต้อย ๆ ด้วยความกังวล
คนตัวเล็กสูดหายใจเข้าลึกเต็มปอดก่อนจะยกขาขึ้นคร่อมจักรยาน แต่ยังไม่ทันไรจักรยานก็โงนเงนเหมือนจะล้ม ทำให้แดนดินหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะเดินไปจับท้ายเบาะไว้ให้
“บ่ต้องย่าน” (ไม่ต้องกลัว) แดนดินเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลก่อนที่จะพยายามประคองรถเอาไว้
“ขี่จักรยานกะคือหัดยาง ก่อนสิยางเป็นกะต้องล้มมาก่อน” (ขี่จักรยานก็เหมือนหัดเดิน ก่อนจะเดินเป็นก็ต้องล้มมาก่อน)
“แต่เราไม่อยากล้มนี่นา”
“ถ้าบ่ลองขี่กะบ่รู้ดอก มาลองอีกเทือ”
ธีร์รันเม้มปากก่อนจะเริ่มถีบเท้าช้า ๆ ส่วนแดนดินยังคงจับเบาะช่วยประคองเอาไว้แน่น พอเห็นคนน้องเริ่มทรงตัวได้เขาก็แอบปล่อยมือเบา ๆ
“ไปเลย”
ธีร์รันเริ่มขยับไปข้างหน้า ลมที่พัดมาเอื่อย ๆ เริ่มปะทะกับใบหน้าของเขา หัวใจที่เต้นแรงและถี่ด้วยความตื่นเต้น แต่ไม่ทันไรก็เผลอเสียหลักโอนเอนจะล้ม แดนดินจึงรีบวิ่งเข้าไปคว้าตัวเอาไว้ก่อนที่คนน้องจะลงไปกองกับพื้น
“ขี่ดี ๆ แน”
“ก็ใครบอกให้พี่รีบปล่อยมือล่ะ” ธีร์รันหันไปทำหน้ามุ่ยใส่คนพี่ที่เกือบทำให้ตนเองได้ลงไปคุยกับรากมะม่วง
“บ่ปล่อยมือแล้วมื้อได๋สิขี่เป็น”
“งั้นขอลองอีกที ครั้งนี้อย่าเพิ่งปล่อยมือนะ”
ธีร์รันว่าพลางขึ้นคร่อมจักรยานอีกครั้งด้วยท่าทางที่มุ่งมั่น แดนดินที่เห็นดังนั้นก็ยกยิ้มก่อนจะเดินมาจับท้ายเบาะไว้อีกครั้ง และคราวนี้เขาตั้งใจว่าจะไม่ปล่อยให้คนน้องล้มง่าย ๆ อีกแล้ว...
“ปี๊น ปี๊น!” เสียงแตรรถที่ดังมาจากหน้าบ้านทำให้ร่างบางที่กำลังแต่งตัวอยู่ถึงกับต้องชะโงกหน้าออกไปดูผ่านทางหน้าต่าง ก่อนจะรีบจัดเตรียมเอาสิ่งของที่จำเป็นและวิ่งลงมาจากบ้านด้วยท่าทางที่ดูรีบร้อน “ป้าสายผมไปก่อนนะครับ” ธีร์รันกึ่งเดินกึ่งวิ่งตรงมาที่รถ ซึ่งตอนนี้คนขับก็ได้นั่งรอพร้อมกับฟังเพลงที่เปิดคลอไว้อย่างสบายอารมณ์ภายในรถกระบะสีดำคันใหญ่ ที่วันนี้ได้ออกมาจากโรงจอดรถสักที “พร้อมยัง” แดนดินที่ประจำตรงที่นั่งคนขับ ได้เอ่ยถามคนน้องออกไปเมื่อขึ้นมาบนรถเรียบร้อยแล้ว “อื้อ” วันนี้แดนดินต้องไปจัดการธุระให้พ่อในตัวอำเภอพอดี จึงถือโอกาสชวนคนน้องไปด้วย ตามคำสัญญาที่เคยให้ไว้ “นี่รถใครอะ” ธีร์รันเอ่ยถามเมื่อคนพี่เริ่มออกรถไปได้สักพัก เพราะปกติเห็นคนพี่เอาแต่ขับรถมอเตอร์ไซค์อยู่ทุกวัน พอมาวันนี้กลับดูแปลกตาไปมาก ทั้งจากลักษณะและการแต่งตัวที่ดูมาดแมนไปซะหมด “รถอ้ายนี่ล่ะ” แดนดินตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ในขณะที่สายตาก็กำลังจดจ้องไปข้างหน้าอย่างมั่นคง “ทำไมไม่เคยเห็นเอามาขับเลยล่ะ” “อยู่บ้านข
บรรยากาศงานบุญวันนี้เป็นไปอย่างครึกครื้น บุญบวชมักจัดเป็นงานใหญ่ มีการเลี้ยงอาหารแขกที่มาร่วมงาน ช่วงเช้าจะมีการตักบาตรและถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์ ญาติผู้ใหญ่จะทำพิธีผูกข้อมือให้พรนาค จากนั้นจึงจะเข้าสู่พิธีการบวชซึ่งชาวบ้านก็จะช่วยกันในทุกขั้นตอน ทั้งการเตรียมอาหาร และการเตรียมขบวนแห่ที่จะเกิดขึ้นในช่วงบ่าย เช้านี้ธีร์รันได้มาช่วยงานบุญกับป้าสาย ภายในครัวหลังบ้านจะมีชาวบ้านที่มาช่วยกันทำอาหารหลายอย่าง หน้าที่ของเขาคือการยกถาดกับข้าวมาให้แขกภายในงานที่เริ่มทยอยกันมาเรื่อย ๆ เริ่มแรกธีร์รันก็ช่วยงานแบบทุลักทุเลเพราะเป็นครั้งแรกที่ตนทำอะไรแบบนี้ แต่โชคดีที่มีป้าเดือนคอยสอน ทำให้เขาเริ่มที่จะทำงานได้คล่องมากขึ้น หลังจากที่เดินช่วยงานจนเหนื่อย ตนจึงได้หลบออกมานั่งพักที่แคร่ใต้ร่มไม้ ธีร์รันที่ไม่ค่อยได้เดินระยะทางไกล ๆ ทำเอาวันนี้เขาเมื่อยขาไปหมด “เมื่อยบ่” (เหนื่อยไหม) ธีร์รันที่ก้มนวดขาตัวเองอยู่ก็ได้เงยหน้าขึ้นมามองตามเจ้าของเสียง ซึ่งเป็นแดนดินที่เดินมานั่งบนแคร่ข้าง ๆ พร้อมกับยื่นน้ำในมือมาให้คนน้อง “ขอบคุณนะ” ธีร์รันกล่าวข
บรรยากาศตอนเช้าของหมู่บ้านยังคงเหมือนเดิมเฉกเช่นทุกวัน สายลมเย็นฉ่ำบวกกับเสียงระฆังที่ดังแววมาจากวัดที่ อยู่ไม่ไกล พระสงฆ์เดินบิณฑบาตไปตามทางของหมู่บ้าน ในขณะที่ชาวบ้านบางคนต่างพากันเตรียมอุปกรณ์ไปไร่ไปนา เสียงวัวเสียงควายที่ถูกจูงออกจากคอกดังก้องประสานกับเสียงพูดคุยทักทายกัน ธีร์รันที่คิดว่าตนเองตื่นเช้ามากแล้ว แต่สำหรับคนที่นี่เวลานี้ก็ถือว่าสายจนตะวันโด่ง ตนจึงรีบลุกมาจัดแจงตัวเอง หลังจากที่ธีร์รันไปช่วยแดนดินซ่อมรั้ววันนั้น นี่ก็ผ่านมาสองวันแล้ว ทันทีที่ลงมาจากบ้านก็ใช้สายตามองหาลุงกับป้า แต่พบเพียงกับข้าวที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้เป็นอย่างดี หลังจากที่ทานข้าวเสร็จ ตนก็ได้มานั่งเล่นที่เปลใต้ถุนบ้าน บรรยากาศเย็นสบายที่ลมพัดผ่านบวกกับความเงียบสงบ ทำให้ธีร์รันหวนนึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมา ธีร์รันหยิบโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาดู หลังจากมาที่นี่ก็ไม่มีเหตุให้ได้ใช้เท่าไร เลื่อนดูรูปภาพเก่า ๆ ตอนที่ครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้า ดูไปหวนระลึกถึงไป ครั้งก่อนมันเคยดีกว่านี้ แต่ไม่รู้เพราะอะไรทุกอย่างจึงกลับตาลปัตรไปหมด ก่อนที่ความคิดจะฟุ้งซ่านกระเ
สายลมที่พัดผ่านท้องนาเริ่มแผ่วลง เหลือเพียงไอแดดที่เต้นระยิบระยับเหนือผืนดิน แสงแดดส่องลงมาในมุมสูงตรงทำให้เงาของต้นไม้ใหญ่สั้นลงเรื่อย ๆ จนแทบจะแนบกับโคนลำต้น เช่นเดียวกับเงาของแดนดินที่ดูเหมือนจะถูกอัดแน่นเข้ากับตัวเอง แดนดินจัดการซ่อมรั้วท่ามกลางแดดที่เริ่มร้อน ถึงแม้จะมีเหงื่อไหลชุ่มตามขมับและลำคอ แต่เขายังคงมีสีหน้าที่สงบนิ่ง ไม่แสดงความรู้สึกหงุดหงิดแต่อย่างใด “หิวข้าวหรือยัง” หลังจากรีบทำจนเสร็จจึงได้เดินมาถามคนน้องที่ตอนนี้ก็เริ่มมีเม็ดเหงื่อซึมตามหน้าผากและไรผมแล้ว “โครก~” “อุบ...” แดนดินหลุดเสียงหัวเราะออกมาเล็กน้อย แม้ว่าจะพยายามกลั้นเสียงเอาไว้แล้วก็ตาม เพราะความน่ารักของคนน้อง ที่ตอนนี้เสียงท้องก็ได้ตอบคำถามแทนเจ้าตัวแล้ว “หัวเราะอะไรเนี่ย...หยุดเลยนะ” ธีร์รันคิ้วขมวดเล็กน้อยและทำปากย่น พร้อมกับแก้มที่เริ่มแดงระเรื่อ อาจจะด้วยความร้อนและอายที่คนพี่หัวเราะคิกคัก “หึ...ปะ อ้ายสิพาไปกินข้าว” (หึ...มา พี่จะพาไปกินข้าว) แดนดินจัดการเก็บอุปกรณ์ใส่กล่องโดยมีธีร์รันรีบไปช่วยเก็บให้เสร็จเร็ว ๆ เพราะตอนนี้ตนหิวถ
ท้องฟ้ายามรุ่งสาง เริ่มเปลี่ยนเป็นสีทองอมชมพู สายลมบาง ๆ ในตอนเช้า ได้พัดผ่านหน้าต่างที่แง้มอยู่เพียงเล็กน้อย ลอยผ่านมาปะทะร่างบางที่กำลังนอนขลุกอยู่บนเตียง เสียงไก่ขันในตอนเช้าปลุกให้ธีร์รันที่กำลังนอนอยู่ ยันกายขึ้นมาจากเตียงพร้อมกับบิดขี้เกียจ ก่อนที่จะเดินไปเปิดหน้าต่างเพื่อรับลมยามเช้า บรรยากาศของที่นี่เงียบสงบ แตกต่างจากความวุ่นวายที่เมืองกรุง ทุกเช้าของคนที่นี่เป็นไปอย่างเรียบง่าย เสียงพูดคุยทักทายกันยามเช้าแว่วมาตามสายลมอยู่เป็นระยะ ๆ แม้ว่าจะแตกต่างจากที่ที่ตนเคยอยู่มาก แต่ก็เป็นวิถีชีวิตที่เรียบง่าย และรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก ตั้งแต่วันนั้นหลังจากตนมาอยู่ที่นี่ ก็ไม่ได้รับการติดต่อจากผู้เป็นพ่อเลย แม้แต่ข้อความที่ถามไถ่ก็ไม่มีแม้แต่ข้อความเดียว จะมีก็เพียงแค่นับดาวเพื่อนสนิทของเขา ที่โทรมาไม่เว้นเช้าเย็น ตนไม่เคยคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างตนและคุณพ่อจะแย่ลงถึงเพียงนี้ แต่ก่อนก็ถือได้ว่าเป็นครอบครัวที่อบอุ่นเลยทีเดียว แต่หลังจากที่เสียคุณแม่ไป พ่อก็เข้มงวดมากขึ้น จนตนไม่สามารถที่จะเลือกอะไรได้เลย มีเพียงพ่อที่คอยจัดแจงให้ทุกอย่าง
“ทำไมพ่อต้องบังคับรันด้วย” “รันแค่อยากทำงานที่รันชอบ รันผิดตรงไหน” การโต้เถียงเกิดขึ้นมาระยะหนึ่งแล้ว บรรยากาศภายในบ้านก็ดูตึงเครียด เหล่าคนงานต่างพากันทำตัวไม่ถูก จนต้องหาที่หลบไปจากตรงนี้ สาเหตุก็เนื่องมาจาก “ธีร์รัน” ลูกชายคนเดียวของบ้านที่เพิ่งกลับมาจากเรียนที่ต่างประเทศ และตั้งใจจะมาทำธุรกิจ นั่นก็คือการเปิดแบรนด์เสื้อผ้าเป็นของตัวเอง แต่ผู้เป็นพ่ออย่าง “ธานินทร์” กลับไม่เห็นด้วย เพราะอยากที่จะให้ลูกได้รับช่วงต่อธุรกิจที่ตนสร้างขึ้นมา “แกต้องรับช่วงต่อธุรกิจของครอบครัว” “ไอ้การออกแบบเสื้อผ้าบ้า ๆ นี่ ล้มเลิกไปซะ” แผ่นกระดาษที่อยู่ในมือของธานินทร์ได้ถูกปาออกไปยังคนตรงหน้า ธีร์รันมองแผ่นกระดาษที่กำลังค่อย ๆ ร่วงหล่นกระจายไปตามพื้น มันเป็นแผ่นงานร่างแบบเสื้อผ้าที่ตนทุ่มเทให้กับมันมาก เพราะตอนเป็นเด็กตนเคยได้ลองทำกับคุณแม่ที่เสียไปเมื่อหลายปีมาแล้ว มันจึงเป็นงานที่ตนรักมากและเป็นความทรงจำเดียวที่หลงเหลืออยู่กับคุณแม่ “แล้วไอ้ธุรกิจของพ่อมันมีดีอะไรนักหนา” “พ่อชอบมันนักหนา พ่อก็ทำไปเองคนเดียวสิ”


![นายบำเรอของมาเฟีย [Mpreg]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)




