นางรีบยกมือห้าม “ฟังเหตุผลของข้าก่อนแล้วค่อยแย้ง”
“พูดมา”
“ท่านเติ้งแต่งเมียมาสามคนแล้ว แต่ทุกคนล้วนได้รับหนังสือหย่าเพราะไม่สามารถมีลูกให้เขาได้ ข้ายังรู้อีกว่าเขามีอนุอยู่ในบ้านอีกหลายคน พวกนางล้วนชิงดีชิงเด่น ใส่ร้ายป้ายสีกันไปมาเพื่อแย่งชิงความโปรดปราน”
“ข้าไม่เคยได้ยิน”
“เจ้าจะไปรู้อะไร วัน ๆ เอาแต่นวดแป้ง ถ้าไม่เชื่อก็ไปถามชาวบ้านดูก็ได้”
“เจ้าก็เชื่อข่าวลือไม่มีมูลพวกนั้น”
“ลูกของข้ากำลังจะแต่งงานกับเขานะ จะไม่ให้ข้าพูดได้อย่างไร หรือเพราะนางไม่ใช่ลูกของเจ้า แต่งไปแล้วจะเป็นอย่างไรก็ช่าง”
“ข้าไม่เคยคิดแบบนั้นเลยอาอิน..เอาเป็นว่ารอให้พ่อบ้านโปกลับมาก่อนก็แล้วกัน ข้าจะคุยกับเขาอีกที”
“ท่านต้องถามเขาว่าที่ชาวบ้านพูดกันเป็นความจริงไหม” เรื่องที่นางพูดไปใช่ว่าจะเป็นจริงทั้งหมด แต่ถ้านางไม่ยอมรับว่าแต่งขึ้นมาเองใครจะรู้
“บุรุษมีอนุมันก็ไม่ผิด แต่งกับท่านเติ้งนางคงไม่ลำบาก”
“นั่นลูกข้าทั้งคนนะ โง่ ๆ เซื่อง ๆ อย่างนางไม่กลายเป็นที่ระบายอารมณ์ของพวกอนุหรือ”
“แล้วเจ้าจะให้ข้าทำอย่างไร”
“ต้องให้เขาแต่งอาซินเป็นเมียเอก”
“เจ้าอย่าเพ้อฝันไปหน่อยเลย แค่ได้แต่เข้าสกุลเติ้งก็โชคดีของลูกเราแล้ว” เรื่องนี้เขาเองก็ผิดที่ไม่ได้ถามพ่อบ้านโปให้ละเอียดตั้งแต่แรก แต่ด้วยฐานะทางครอบครัวของเขา ถึงอย่างไรนางก็คงไม่ได้แต่งเข้าไปเป็นภรรยาเอก
“ถ้าไม่ได้ก็ปฏิเสธเขาไป ข้าจะเลือกสามีให้นางเอง เพราะข้าก็มีตัวเลือกเอาไว้ในใจแล้วเหมือนกัน เขามาทาบทามอาซินกับข้าก่อนท่านเติ้งเสียอีก”
“ใครกัน ทำไมเจ้าถึงไม่บอกข้า”
“ตอนนั้นข้ายังไม่มั่นใจในตัวเขา แต่ตอนนี้เขารับปากกับข้าแล้วว่าจะแต่งอาซินเป็นภรรยาเอก และจะไม่รับอนุเพิ่มถ้านางไม่อนุญาต”
“ใคร บุตรชายบ้านไหนกัน” ข้อเสนอของนางทำให้เขาสนใจ
“นายท่านสกุลเสิ่น”
“บ้าบอ!!” ผู้เฒ่าที่อายุอานามก็น่าจะหกสิบปีไปแล้วคนนั้น จะดีกว่าท่านเติ้งได้อย่างไร
“โมโหใส่ข้าทำไม”
“ไม่อยากให้แต่งกับท่านเติ้ง แต่ให้ไปแต่งกับผู้เฒ่าเสิ่น เจ้าคิดอะไรของเจ้าอาอิน”
“ข้าไม่ได้คิดอะไรซับซ้อนเลย แค่ท่านเสิ่นรับปากจะแต่งนางเป็นเมียเอก แค่นี้ข้าก็พอใจแล้ว”
ประมาณครึ่งเดือนก่อน ผู้เฒ่าเสิ่นได้มาซื้อซาลาเปาที่ร้าน และบังเอิญได้เจอไป๋ซินซินที่ออกจากครัวมาช่วยที่หน้าร้านพอดี
ตั้งแต่วันนั้นเขาก็มาที่ร้านบ่อย ๆ และจะถามหาไป๋ซินซินทุกครั้ง บ่งบอกให้รู้เลยว่าเขาถูกใจนางมาก
เมื่อรู้ว่าท่านเติ้งอยากสู่ขอไป๋ซินซินเป็นภรรยา ก็ทำให้ริษยาในวาสนาของนาง
ไป๋ซินซินจะได้ดีกว่าจูอ้ายเหม่ยได้อย่างไร
ต่อให้ท่านเติ้งจะพิการเดินไม่ได้ แต่เขาก็ยังเป็นบุรุษรูปงามและมั่งคั่งที่สุดในเทียนสิน คนที่ได้แต่งงานกับเขาก็ควรจะเป็นจูอ้ายเหม่ย
ส่วนไป๋ซินซินนั้นเหมาะสมกับผู้เฒ่าเสิ่นผู้มักมากที่สุดแล้ว
ดังนั้นเมื่อเจอกับผู้เฒ่าเสินในวันนี้ นางจึงได้ทำข้อตกลงบางอย่างกับเขา
คฤหาสน์สกุลเติ้ง
จูอ้ายเหม่ยถึงกับตะลึงตาค้างเมื่อเห็นบุรุษที่นั่งอยู่บนรถเข็น ถึงแม้เขาจะเป็นคนพิการ ถึงแม้เขาจะอยู่ในวัยที่เหมาะจะเป็นน้าเป็นอาของนางแล้ว แต่เขาก็มีใบหน้าและรูปร่างราวเทพบุตรอย่างที่มารดาบอกไว้ไม่ผิด
ใบหน้าที่ตกตะลึงเปลี่ยนเป็นคลี่ยิ้มหวานส่งให้เขา รีบย่อกายคารวะอย่างชดช้อย
“อ้ายเหม่ยคารวะท่านเติ้งเจ้าค่ะ” เปล่งน้ำเสียงอ่อนหวานนุ่มนวลออกไป
เติ้งอี้เทียนมองนางเพียงเล็กน้อยแล้วหันไปมองอีกนาง
ไป๋ซินซินตกประหม่า ไม่กล้าแม้แต่จะสบตากับเขา รู้สึกเหมือนเขาผู้นี้มีแสงแห่งความน่าเกรงขามแผ่ออกมาจากตัว
ที่สำคัญที่สุดคือนางเคยเจอเขามาแล้วครั้งหนึ่ง
“คารวะท่านเติ้ง ข้าน้อยไป๋ซินซินเจ้าค่ะ” เอ่ยวาจาฉะฉานแต่นอบน้อม ไม่ได้แสดงตัวว่าเคยเจอกันมาก่อน เพราะไม่อยากตอบคำถามของมารดา ไม่อยากสร้างความไม่พอใจต่ออ้ายเหม่ย
พวกนางทั้งสองเป็นพี่น้องแม่เดียวกัน แต่เมื่อยืนคู่กันแบบนี้กลับเห็นความแตกต่างราวฟ้าดิน
คนน้องโฉมงามล่มเมือง ใบหน้าแต่งแต้มไว้อย่างประณีตงดงาม เสื้อผ้าและเครื่องประดับล้วนเป็นของใหม่มีราคา
คนพี่แต่งหน้าและทาชาดเพียงบางเบา เสื้อผ้าราคาถูกเป็นแบบเรียบง่ายไม่ได้หวือหวา เครื่องประดับบนศีรษะมีเพียงปิ่นไม้กับผ้ามัดผมเส้นหนึ่ง.. แต่นางกลับงดงามดั่งหงส์ น่าทะนุถนอมกว่ามาก
“นั่งสิ”
ซูฮวาเดินเข้าไปรินน้ำชาให้ทุกคน เสร็จแล้วจึงถอยกลับไปยืนเยื้องทางด้านหลังรถเข็นของเจ้านาย
“นิ้วมือแบบเจ้าเหมาะกับการเล่นกู่ฉินนัก”
“อ้ายเหม่ยเล่นกู่ฉินเก่งมากเจ้าค่ะ ถ้าท่านเติ้งชอบฟัง โอกาสหน้าอ้ายเหม่ยจะเล่นให้ท่านฟังดีหรือไม่”
อี้เทียนอมยิ้มเล็กน้อย “แล้วเจ้าถนัดดนตรีชนิดไหน”
จูอินแอบแสยะยิ้มสะใจเมื่อได้ยินคำถามของเขา
“อาซิน ท่านเติ้งพูดกับเจ้าไม่ได้ยินหรือ”
ไป๋ซินซินตกใจกับรอยยิ้มและน้ำเสียงที่มารดามอบให้ เพราะเพิ่งได้ยินเป็นครั้งแรกในชีวิต แต่ก็แทบสะดุ้งเมื่อถูกนางแอบบิดเนื้อเรียกสติ
“ข้าน้อยเล่นไม่เป็นสักอย่างเจ้าค่ะ” นางเล่นเป็นสิ นางทั้งรู้หนังสือและเล่นผีผาเป็นอย่างแตกฉานทีเดียว เพราะพี่ว่านแอบสอนให้นานแล้ว แต่ก็ต้องปกปิดเป็นความลับไม่ให้ที่บ้านรู้
นอกจากผีผาแล้วนางยังพอเล่นเครื่องดนตรีอื่นได้อีกหลายอย่าง
“ข้าละอายใจนักที่ทำให้ท่านเติ้งผิดหวัง ซินซินเป็นคนทึ่มทื่อหัวอ่อน ไม่ฉลาดเหมือนอ้ายเหม่ย ให้เรียนก็ยังไม่ได้เรื่อง ข้าเองก็จนปัญญาจะส่งเสริมนางแล้ว นางคงเกิดมาเพื่อนวดแป้งเท่านั้น” จูอินโกหกคำโต
“จริงเจ้าค่ะ” ไป๋ซินซินก้มหน้ายอมรับคำพูดปรักปรำของมารดาเมื่อถูกบิดเนื้ออีกครั้ง
นางข่มความเจ็บปวด เก็บซ่อนความน้อยใจไว้อย่างมิดชิด แต่ความอับอายกลับปกปิดเอาไว้ไม่ได้ ใบหน้าของนางในตอนนี้จึงแดงก่ำ และอยากจะลุกหนีไปจากตรงนี้ให้พ้น ๆ
“คนเรามีความชอบไม่เหมือนกัน เล่นดนตรีไม่เป็นก็น่าจะถนัดทำอย่างอื่น”
“ข้าน้อยถนัดทำซาลาเปากับเกี๊ยวมากที่สุดแล้วเจ้าค่ะ”
“เก่งเรื่องอาหารก็ดีจะได้ไม่อด หิวแล้วหรือยัง”
ไป๋ซินซินอึก ๆ อัก ๆ เมื่อถูกถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน จึงหันไปมองมารดา
“ท่านแม่หิวหรือยังเจ้าคะ”
“ดูสิดู แค่ตอบคำถามของท่านเติ้งก็ยังไม่กล้า นางขลาดเขลาถึงเพียงนี้ ท่านจะไม่ให้แม่อย่างข้าทุกข์ใจได้อย่างไร”
คำตอบที่ได้ยินทำให้คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน ใบหน้าถมึงทึงด้วยความโมโหในการกระทำของภรรยา โมโหจนจุกอกจนต้องใช้มือช่วยขยี้“หรือเจ้าไม่รู้เรื่องนี้”“นางเคยพูดถึงผู้เฒ่าเสิ่นหลังจากที่ข้าบอกเรื่องที่ท่านจะแต่งอาซินเข้าบ้าน เราสองคนมีความเห็นที่ไม่ตรงกันเรื่องนี้ นางอยากให้อาซินแต่งเข้าสกุลเสิ่น แต่ข้าก็ปฏิเสธชัดเจน ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะให้อาซินแต่งงานกับท่าน นางก็รับปากข้าดิบดี ขอมาคุยเรื่องนี้กับพ่อบ้านโปเอง ดังนั้นที่ข้าเห็นอาซินร้องไห้วันนี้ ข้าจึงเข้าใจว่านางไม่อยากแต่งงานกับท่าน”“เหตุใดฮูหยินจูถึงอยากให้นางแต่งกับผู้เฒ่าเสิ่นมากกว่าข้า” แม้จะรู้เหตุผลแต่ก็อยากจะถามลองเชิงให้แน่ชัด เพราะอยากรู้ว่าคนผู้นี้มีความหวังดีและจริงใจ ให้หญิงสาวที่เป็นเพียงลูกเลี้ยงเพียงใด“ตามที่เราคุยกัน นางอยากให้อาซินได้แต่งกับผู้เฒ่าเสิ่น เพราะเขารับปากนางว่าจะแต่งอาซินเป็นเมียเอก ทำให้นางมั่นใจว่าอาซินจะมีอนาคตที่มั่นคงกว่าแต่งกับท่าน”“แล้วแต่งกับข้าไม่มั่นคงอย่างไร เจ้าก็เห็นว่าข้ามั่งคั่งเพียงใด”“.....”“พูดมาเถิด ผิดพลาดตรงไหนข้าจะได้แก้ต่างกับท่านวันนี้เลย ข้าสู้ผู้เฒ่าเสิ่นไม่ได้ตรงไหน”“ไม่ใช่เรื่อ
ทันทีที่พ้นออกมาจากประตูคฤหาสน์สกุลเติ้ง ไป๋ซินซินก็รีบจับแขนของมารดา แต่ก็ถูกสะบัดออกอย่างแรง จึงได้แต่จับมือตัวเองอย่างหวาดหวั่นกระวนกระวาย“ท่านแม่ ท่านจะให้ข้าแต่งงานกับผู้เฒ่าเสิ่นจริงหรือ”จูอินคลี่ยิ้มอ่อนโยนให้ลูกสาว “ดีใจจนร้องไห้เลยหรืออาซิน”“ข้าไม่ได้ดีใจนะท่านแม่”“ไม่ต้องห่วง แม่คนนี้จะรีบไปเจรจาให้เจ้าเดี๋ยวนี้แหละ เจ้ากับน้องกลับบ้านไปก่อนนะ รอฟังข่าวดีจากแม่ได้เลย”หญิงสาวรีบคุกเข่ากับพื้นถนน “ท่านแม่ได้โปรด อย่าให้ข้าแต่งงานกับท่านผู้เฒ่าเลยนะ”“ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้!” จูอินรีบหันซ้ายแลขวาแล้วกระชากร่างเล็กขึ้นมา “หยุดร้องเดี๋ยวนี้!”“เจ้าทำให้แม่โกรธอีกแล้วนะอาซิน!” จูอ้ายเหม่ยตะคอกเสียงเบา แล้วบิดเนื้อตรงต้นแขนของนางด้วยความเกลียดชังเป็นทุน “แต่งงานกับท่านผู้เฒ่าไม่ดีตรงไหน ฐานะท่านก็ดี เจ้าจะได้ไม่ต้องเหนื่อยมาช่วยท่านพ่อทำงานอีก”“ใช่ พอเจ้าแต่งงานไปแล้วข้าก็ต้องมาเหนื่อยแทนเจ้าอีก ข้าเสียสละเพื่อเจ้าแค่ไหนคิดบ้างสิ”“ข้ายอมเหนื่อย ยอมตื่นเช้านอนดึกกว่าเดิมก็ได้ ท่านแม่อย่าให้ข้าแต่งงานกับผู้เฒ่าเสิ่นเลยนะ”“ไม่ได้ ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว อ้ายเหม่ยพานางกลับบ้านไปเดี๋ย
อี้เทียนมองหญิงสาวเล็กน้อย “ข้าต้องกินข้าวตรงเวลาเพราะต้องกินยา กินข้าวด้วยกันนะ”ซินซินยังไม่ทันตอบอะไร อ้ายเหม่ยก็รีบเดินไปยืนใกล้รถเข็นของเขา“ให้อ้ายเหม่ยช่วยนะเจ้าคะ”“ให้เป็นหน้าที่ของบ่าวดีกว่าคุณหนู” ซูฮวาพูดอย่างนอบน้อม แล้วเบียดอีกฝ่ายให้หลุดไปจากตำแหน่งคนเข็นรถ“เชิญ” เติ้งอี้เทียนทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นความไม่พอใจของแม่ลูกกับสาวใช้ แต่แอบสนใจความสงบเสงี่ยมเจียมตัวของหญิงสาวที่ตัวเองหมายตาที่โต๊ะอาหารจูอ้ายเหม่ยตื่นเต้นกับอาหารหลากชนิดที่วางอยู่บนโต๊ะขนาดใหญ่ หลายอย่างล้วนเป็นอาหารที่ไม่เคยกิน ส่วนที่เคยกินก็ดูพิถีพิถันกว่ามาก“ท่านแม่ โต๊ะนี่หมุนได้ด้วย ข้าไม่เคยเห็นมาก่อนเลย”“สำรวมกิริยาหน่อยอ้ายเหม่ย” จูอินรู้สึกเสียหน้าอย่างมาก แต่ก็ต้องฝืนยิ้มอ่อนหวานมองไปทางเจ้าของคฤหาสน์ “ท่านเติ้งอย่าถือสานางเลยนะ ต้องโทษข้าที่เลี้ยงดูนางอย่างเคร่งครัดเกินไป แทบไม่เคยให้ออกจากบ้านไปไหน พอเจออะไรแปลกตาจึงมักจะตื่นเต้นเกินงาม”“กินข้าวกันเถิด ถ้าไม่ถูกปากหรืออยากได้อะไรเพิ่มก็บอกได้นะ ข้าจะให้ห้องครัวทำมาให้” พูดเสร็จเขาก็หมุนฐานไม้บนโต๊ะอาหาร “ตรงหน้าเจ้าคือเนื้อตุ๋นลิ้นจี่ ลองตักกินส
นางรีบยกมือห้าม “ฟังเหตุผลของข้าก่อนแล้วค่อยแย้ง”“พูดมา”“ท่านเติ้งแต่งเมียมาสามคนแล้ว แต่ทุกคนล้วนได้รับหนังสือหย่าเพราะไม่สามารถมีลูกให้เขาได้ ข้ายังรู้อีกว่าเขามีอนุอยู่ในบ้านอีกหลายคน พวกนางล้วนชิงดีชิงเด่น ใส่ร้ายป้ายสีกันไปมาเพื่อแย่งชิงความโปรดปราน”“ข้าไม่เคยได้ยิน”“เจ้าจะไปรู้อะไร วัน ๆ เอาแต่นวดแป้ง ถ้าไม่เชื่อก็ไปถามชาวบ้านดูก็ได้”“เจ้าก็เชื่อข่าวลือไม่มีมูลพวกนั้น”“ลูกของข้ากำลังจะแต่งงานกับเขานะ จะไม่ให้ข้าพูดได้อย่างไร หรือเพราะนางไม่ใช่ลูกของเจ้า แต่งไปแล้วจะเป็นอย่างไรก็ช่าง”“ข้าไม่เคยคิดแบบนั้นเลยอาอิน..เอาเป็นว่ารอให้พ่อบ้านโปกลับมาก่อนก็แล้วกัน ข้าจะคุยกับเขาอีกที”“ท่านต้องถามเขาว่าที่ชาวบ้านพูดกันเป็นความจริงไหม” เรื่องที่นางพูดไปใช่ว่าจะเป็นจริงทั้งหมด แต่ถ้านางไม่ยอมรับว่าแต่งขึ้นมาเองใครจะรู้“บุรุษมีอนุมันก็ไม่ผิด แต่งกับท่านเติ้งนางคงไม่ลำบาก”“นั่นลูกข้าทั้งคนนะ โง่ ๆ เซื่อง ๆ อย่างนางไม่กลายเป็นที่ระบายอารมณ์ของพวกอนุหรือ”“แล้วเจ้าจะให้ข้าทำอย่างไร”“ต้องให้เขาแต่งอาซินเป็นเมียเอก”“เจ้าอย่าเพ้อฝันไปหน่อยเลย แค่ได้แต่เข้าสกุลเติ้งก็โชคดีของลูกเราแล้ว”
บ้านสกุลจูไป๋ซินซินกลับเข้ามาในบ้าน เห็นทุกคนกำลังกินข้าวพร้อมหน้า ทุกสายตาหันมาจับจ้องก่อนจะเมินกลับอย่างไม่ใส่ใจ ทำให้นางรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นส่วนเกินแต่นางจะรู้สึกให้เปลืองความรู้สึกไปทำไม เพราะถึงอย่างไรนางก็ไม่เคยได้กินข้าวร่วมโต๊ะกับพวกเขาอยู่แล้ว“มานั่งกินข้าวด้วยกันสิ”“ท่านพ่อ!”“หุบปาก” เอ่ยเสียงเย็นพอ ๆ กับสายตาอ้ายเหม่ยเม้มปากด้วยความขัดใจ ถลึงตามองพี่สาวต่างบิดาอย่างเกลียดชัง มองไปทางมารดาก็เห็นท่านปรามด้วยสายตา จึงได้แต่ข่มกลั้นความโมโหเอาไว้“ผู้ใหญ่เรียกไม่ได้ยินหรือ” จูอินมองลูกสาวคนโตด้วยสายตาที่ว่างเปล่า“เจ้าค่ะ” ซินซินจำใจเดินไปนั่งร่วมโต๊ะจูก่านต้งลุกไปตักข้าวและหยิบตะเกียบส่งให้หญิงสาว แล้วนั่งลงกินต่อโดยไม่พูดอะไร“ขอบใจ” บอกน้องชายแล้วมองกับข้าวบนโต๊ะ แต่ไม่กล้าเอื้อมตะเกียบออกไปคีบ จึงคีบข้าวเปล่าใส่ปาก“แม่ของเจ้าได้บอกอะไรกับเจ้าหรือยัง”“ข้ายังไม่ได้บอกนาง” จูอินไม่คาดคิดว่าสามีจะพูดเรื่องนี้ขึ้นมา “ท่านพ่อบ้านไม่อยู่ เห็นว่ารีบกลับบ้านเกิดไปดูใจน้องชาย ต้องรอให้เขากลับมาก่อน ข้าจึงยังไม่ได้พูดอะไรกับนาง”“แล้วเขาจะกลับมาเมื่อไหร่”“อีกประมาณครึ่งเดื
ความโอหังของจูอ้ายเหม่ยหายไปเกินครึ่งเมื่อถูกเอ่ยถึงบิดา ใบหน้าที่เชิดขึ้นอย่างท้าทายไม่เกรงกลัวใคร เริ่มมีความกังวลอย่างเห็นได้ชัด“ข้านึกออกแล้ว” เฟิงเมี่ยนชี้หน้าอ้ายเหม่ยพร้อมทำตาโต “เจ้าคือลูกสาวคนรองของร้านซาลาเปาสกุลจู” เขาปรบมือรัว ๆ ทำท่าภูมิใจกับความฉลาดของตัวเอง “ในเมื่อถูกตราหน้าว่าเป็นขอทานแล้ว ข้าไปเล่าให้เขาฟังว่าโดนอะไรบ้าง แล้วขอค่ายาจากเขาสักหน่อยดีกว่า”จูอ้ายเหม่ยหน้าซีดด้วยความกลัว รู้สึกเหมือนจะเป็นลมเมื่อนึกถึงบิดา.. แม้ท่านจะดูใจดี แต่เมื่อใดที่ท่านโกรธขึ้นมา มารดาก็ยังไม่กล้าต่อกร แล้วนางเป็นแค่ลูกจะรอดได้อย่างไร“จะไปไหน” เฟิงเมี่ยนสะใจเมื่อเห็นนางสะดุ้งสุดตัว “จะจากไปง่าย ๆ แบบนี้ไม่ได้นะ เจ้ายังไม่ได้ขอโทษพวกเราเลย”“ทำไมข้าต้องขอโทษ” แม้จะขัดขืนแต่เสียงก็อ่อนลงเกินครึ่ง ความมั่นอกมั่นใจลดเหลือแค่หนึ่งส่วนจากสามส่วน“เช่นนั้นก็รีบกลับไปเถิด ข้าไปคุยกับเถ้าแก่จู พ่อของเจ้าง่ายกว่า”“ข้าขอโทษ! ขอโทษ ๆ ๆ ข้าขอโทษ!” ตะคอกใส่หน้าบุรุษทั้งสอง ถลึงตาใส่เฟิงเมี่ยนอย่างอาฆาตแค้น “พอใจหรือยัง”“ถ้าขอโทษไม่เต็มใจแบบนี้ก็จ่ายเจ็บหน้าข้ามาด้วยก็แล้วกัน”“ข้าไม่มี”“ไม่เ