ทันทีที่พ้นออกมาจากประตูคฤหาสน์สกุลเติ้ง ไป๋ซินซินก็รีบจับแขนของมารดา แต่ก็ถูกสะบัดออกอย่างแรง จึงได้แต่จับมือตัวเองอย่างหวาดหวั่นกระวนกระวาย
“ท่านแม่ ท่านจะให้ข้าแต่งงานกับผู้เฒ่าเสิ่นจริงหรือ”
จูอินคลี่ยิ้มอ่อนโยนให้ลูกสาว “ดีใจจนร้องไห้เลยหรืออาซิน”
“ข้าไม่ได้ดีใจนะท่านแม่”
“ไม่ต้องห่วง แม่คนนี้จะรีบไปเจรจาให้เจ้าเดี๋ยวนี้แหละ เจ้ากับน้องกลับบ้านไปก่อนนะ รอฟังข่าวดีจากแม่ได้เลย”
หญิงสาวรีบคุกเข่ากับพื้นถนน “ท่านแม่ได้โปรด อย่าให้ข้าแต่งงานกับท่านผู้เฒ่าเลยนะ”
“ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้!” จูอินรีบหันซ้ายแลขวาแล้วกระชากร่างเล็กขึ้นมา “หยุดร้องเดี๋ยวนี้!”
“เจ้าทำให้แม่โกรธอีกแล้วนะอาซิน!” จูอ้ายเหม่ยตะคอกเสียงเบา แล้วบิดเนื้อตรงต้นแขนของนางด้วยความเกลียดชังเป็นทุน “แต่งงานกับท่านผู้เฒ่าไม่ดีตรงไหน ฐานะท่านก็ดี เจ้าจะได้ไม่ต้องเหนื่อยมาช่วยท่านพ่อทำงานอีก”
“ใช่ พอเจ้าแต่งงานไปแล้วข้าก็ต้องมาเหนื่อยแทนเจ้าอีก ข้าเสียสละเพื่อเจ้าแค่ไหนคิดบ้างสิ”
“ข้ายอมเหนื่อย ยอมตื่นเช้านอนดึกกว่าเดิมก็ได้ ท่านแม่อย่าให้ข้าแต่งงานกับผู้เฒ่าเสิ่นเลยนะ”
“ไม่ได้ ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว อ้ายเหม่ยพานางกลับบ้านไปเดี๋ยวนี้”
“เจ้าค่ะท่านแม่” จูอ้ายเหม่ยกระชากแขนของอีกฝ่ายให้เดินตามโดยไม่พูดอะไรอีก “ถ้ายังไม่หยุดร้องข้าจะควักลูกตาของเจ้าออกมาเดี๋ยวนี้เลย แม่ให้เจ้าแต่งงานนะ ไม่ได้ให้เจ้าไปตายเสียหน่อย จะร้องทำไม ร้องเพื่ออะไร”
“อ้ายเหม่ย เจ้าอย่าใจร้ายกับข้านักเลย”
“ฮึ!” อ้ายเหม่ยสะบัดหน้าเดินจากไปไม่สนใจ
ร้านซาลาเปาสกุลจู
“ท่านพ่อ”
จูเกอละสายตาจากงาน มองลูกชายที่เรียกเขาด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก
“ข้าเห็นพี่ใหญ่ร้องไห้อยู่ด้านนอก พี่รองก็อยู่กับนางด้วย ท่านรีบออกไปดูหน่อยเถิด”
“เจ้าอยู่หน้าร้านก่อนนะ”
“ท่านพ่อ ๆ นางอยู่หน้าประตูเล็ก ท่านควรเดินอ้อมหลังห้องครัวออกไป จะได้แอบฟังว่าพวกนางทะเลาะอะไรกัน” ก่านต้งชี้แนะ
จูเกอทำตามที่ลูกชายแนะนำ เขาเดินไปทางหลังร้านแล้วเดินไปตามทางเล็ก ๆ ไปที่ประตูที่ใช้สำหรับเข้าออกบ้านโดยตรงโดยไม่ต้องผ่านร้านค้า
เดินเกือบจะถึงก็ได้ยินเสียงของลูกสาวคนเล็กลอยเข้าหูชัดเจน
“จะร้องไห้จนตายไปเลยไหมอาซิน.. อาซิน! ถ้ายังไม่หยุดข้าจะตีเจ้าให้ตายเดี๋ยวนี้เลย”
“ตีข้าเลย ตายไปได้ก็ดี จะได้ไม่ต้องแต่งงาน”
“เจ้าอยากให้พ่อกับแม่ถูกตราหน้าว่าเลี้ยงลูกอกตัญญูนักใช่ไหม ถ้าอยากตายนักก็รอไปตายที่บ้านสามีของเจ้าโน่น ตอบแทนบุญคุณของพ่อแม่ข้าก่อนแล้วค่อยตาย แขวนคอในห้องหอเลยก็ได้”
“อากังอยู่ไหน มาหาข้าหน่อย” จูเกอแกล้งเรียกหาคนงานเสียงดัง เพื่อให้หญิงสาวที่อยู่ด้านนอกได้ยิน
เสียงของบิดาที่ดังออกมาจากด้านใน ทำให้สองสาวที่กำลังโต้เถียงกันอยู่ด้านนอกสะดุ้งตกใจจนตัวโยน รีบเก็บอาการให้เป็นปกติที่สุด แต่ยังไม่ทันได้แยกย้ายกันไปไหนประตูก็เปิดออก
“ท่านพ่อ” อ้ายเหม่ยรีบทักทาย
ไป๋ซินซินกลัวอีกฝ่ายจะเห็นความเสียใจที่ยังหลงเหลืออยู่บนใบหน้า จึงรีบก้มหน้าลงต่ำให้มากที่สุด
“พวกเจ้ามาทำอะไรตรงนี้” จูเกอแสร้งทำเป็นแปลกใจที่เห็นพวกนางอยู่ด้วยกัน
“พวกข้าเพิ่งกลับมาถึง กำลังจะเข้าบ้านก็เจอท่านพ่อออกมาพอดี”
“แล้วแม่ของเจ้าทำไมไม่กลับมาด้วยกัน”
“ท่านแม่บอกว่าจะแวะไปซื้อของ ให้พวกเรากลับกันมาก่อน”
“อือ” จูเกอเบี่ยงเบนความสนใจไปที่หญิงสาวที่เอาแต่ก้มหน้า “อาซิน เจ้าไม่สบายหรือ”
“เจ้าค่ะ ข้าปวดศีรษะมากท่านพ่อ ปวดจนน้ำตาไหลแล้ว”
“เช่นนั้นก็รีบไปนอนพัก วันนี้ไม่ต้องออกมาช่วยงานที่ร้านหรอก”
“ขอบคุณท่านพ่อ” แล้วรีบเดินเข้าบ้านไปทันที
“ส่วนเจ้าไปช่วยอาต้งที่หน้าร้าน”
“แต่ข้ากลับมาเหนื่อย ๆ อยากนอนพักสักหน่อย”
“อยากพักก็พักไป แต่ถ้าข้ากลับมาแล้วรู้ว่าเจ้าขัดคำสั่ง แม่เจ้าก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอกนะ”
“เจ้าค่ะ” อ้ายเหม่ยได้แต่เดินคอตกไปทางหน้าร้าน
คฤหาสน์สกุลเติ้ง
ซูฮวามองเถ้าแก่จูด้วยสายตาเรียบเฉย แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยคำถาม ไม่เข้าใจว่าคนบ้านนี้เล่นอะไรกันอยู่ ลูกเมียเพิ่งกลับไปคนเป็นผัวก็มาถึง
“ตอนนี้เป็นเวลาพักผ่อนของนายท่าน สาวใช้อย่างข้าไม่กล้าไปรบกวนนายท่านหรอก เถ้าแก่จูมีเรื่องด่วนหรือไม่ ถ้ามีก็ต้องรอจนกว่านายท่านจะตื่น แต่ถ้าไม่ใช่เรื่องด่วนค่อยกลับมาใหม่วันอื่น ข้าจะบอกนายท่านให้”
“ข้าจะรอ”
“อาจจะนานนะ”
“นานแค่ไหนข้าก็รอได้”
“เช่นนั้นก็เชิญรอตามสบาย” พูดจบก็สะบัดหน้าเดินจากไป แต่เพียงแค่ไม่กี่ก้าวก็ต้องยืนตัวแข็งทื่อ เสียววาบไปทั้งสันหลัง
“นายท่าน” เขามาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร ในเมื่อเขาไปที่ห้องทำงานใหญ่แล้ว
“เดี๋ยวนี้กล้าตัดสินใจแทนข้าแล้วหรือ”
น้ำเสียงเยียบเย็นของเขาทำนางตัวสั่น เพราะรู้ตัวดีว่าทำผิด
จูเกอได้ยินเสียงคุ้นหูที่แว่วเข้ามาก็รีบลุกไปหาด้วยความร้อนใจ
“ท่านเติ้ง”
“ออกไป” เติ้งอี้เทียนไล่สาวใช้แล้วจึงเชื้อเชิญให้จูเกอไปนั่งคุย เขามองอีกฝ่ายที่อยู่ในสภาพไม่เรียบร้อยนัก ตามตัวยังมีฝุ่นแป้งติดอยู่ “ดูเหมือนท่านจะรีบร้อนมาหาข้านะ”
“ขออภัยนายท่าน” จูเกอพยายามเอาผ้าที่พาดคอมาเช็ดฝุ่นแป้งที่ติดตามเสื้อผ้า
“ทำตามตัวสบาย มีอะไรร้อนใจก็พูดมาเถิด”
“เรื่องของอาซิน..” เขาอึกอักเพื่อหาคำพูดที่เหมาะสม “ข้ารู้สึกผิดต่อนาง อยากมาบอกปฏิเสธท่าน”
“เดี๋ยวก่อนนะเถ้าแก่จู ข้ารู้ว่าท่านร้อนใจ แต่ช่วยพูดให้มันชัดเจนกว่านี้หน่อยได้ไหม เกิดอะไรขึ้นกับนาง ทำไมถึงต้องปฏิเสธข้า”
“ขออภัยท่านเติ้ง ข้าร้อนใจจนอาจจะพูดจาไม่รู้เรื่องไปบ้าง ก่อนมาหาท่านที่นี่ข้าแอบได้ยินนางร้องไห้ นางไม่อยากแต่งงานถึงขั้นบอกว่าอยากตาย ข้ากลัวว่านาง..นางจะฆ่าตัวตายในวันเข้าหอ”
เห็นความห่วงใยจากพ่อเลี้ยงของนาง ก็ทำให้นึกถึงมารดาผู้ให้กำเนิดนางมา
ความรักที่มีให้นางช่างแตกต่างกันเหลือเกิน
“เจ้าคิดว่าที่นางเสียใจเป็นเพราะถูกบังคับให้แต่งงานกับข้า”
“ใช่”
“เข้าใจผิดแล้วเถ้าแก่จู วันนี้ฮูหยินจูพานางมาหาข้าก็จริง แต่นางมาบอกข้าว่าจะให้ซินซินแต่งงานกับผู้เฒ่าเสิ่นไม่ใช่ข้า เรื่องนี้ข้าอยากจะคุยกับท่านเหมือนกัน ว่าทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้”
สวัสดีค่ะ ขอให้นักอ่านทุกท่านสนุกและมีความสุขกับการอ่านนิยายเรื่องนี้นะคะ ฝากติดตามตอนต่อไป และผลงานอื่น ๆ ในนามปากกา ซินเหมย , ณศิกมล ด้วยนะคะ ขอบคุณมาก ๆ ค่ะ
คำตอบที่ได้ยินทำให้คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน ใบหน้าถมึงทึงด้วยความโมโหในการกระทำของภรรยา โมโหจนจุกอกจนต้องใช้มือช่วยขยี้“หรือเจ้าไม่รู้เรื่องนี้”“นางเคยพูดถึงผู้เฒ่าเสิ่นหลังจากที่ข้าบอกเรื่องที่ท่านจะแต่งอาซินเข้าบ้าน เราสองคนมีความเห็นที่ไม่ตรงกันเรื่องนี้ นางอยากให้อาซินแต่งเข้าสกุลเสิ่น แต่ข้าก็ปฏิเสธชัดเจน ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะให้อาซินแต่งงานกับท่าน นางก็รับปากข้าดิบดี ขอมาคุยเรื่องนี้กับพ่อบ้านโปเอง ดังนั้นที่ข้าเห็นอาซินร้องไห้วันนี้ ข้าจึงเข้าใจว่านางไม่อยากแต่งงานกับท่าน”“เหตุใดฮูหยินจูถึงอยากให้นางแต่งกับผู้เฒ่าเสิ่นมากกว่าข้า” แม้จะรู้เหตุผลแต่ก็อยากจะถามลองเชิงให้แน่ชัด เพราะอยากรู้ว่าคนผู้นี้มีความหวังดีและจริงใจ ให้หญิงสาวที่เป็นเพียงลูกเลี้ยงเพียงใด“ตามที่เราคุยกัน นางอยากให้อาซินได้แต่งกับผู้เฒ่าเสิ่น เพราะเขารับปากนางว่าจะแต่งอาซินเป็นเมียเอก ทำให้นางมั่นใจว่าอาซินจะมีอนาคตที่มั่นคงกว่าแต่งกับท่าน”“แล้วแต่งกับข้าไม่มั่นคงอย่างไร เจ้าก็เห็นว่าข้ามั่งคั่งเพียงใด”“.....”“พูดมาเถิด ผิดพลาดตรงไหนข้าจะได้แก้ต่างกับท่านวันนี้เลย ข้าสู้ผู้เฒ่าเสิ่นไม่ได้ตรงไหน”“ไม่ใช่เรื่อ
ทันทีที่พ้นออกมาจากประตูคฤหาสน์สกุลเติ้ง ไป๋ซินซินก็รีบจับแขนของมารดา แต่ก็ถูกสะบัดออกอย่างแรง จึงได้แต่จับมือตัวเองอย่างหวาดหวั่นกระวนกระวาย“ท่านแม่ ท่านจะให้ข้าแต่งงานกับผู้เฒ่าเสิ่นจริงหรือ”จูอินคลี่ยิ้มอ่อนโยนให้ลูกสาว “ดีใจจนร้องไห้เลยหรืออาซิน”“ข้าไม่ได้ดีใจนะท่านแม่”“ไม่ต้องห่วง แม่คนนี้จะรีบไปเจรจาให้เจ้าเดี๋ยวนี้แหละ เจ้ากับน้องกลับบ้านไปก่อนนะ รอฟังข่าวดีจากแม่ได้เลย”หญิงสาวรีบคุกเข่ากับพื้นถนน “ท่านแม่ได้โปรด อย่าให้ข้าแต่งงานกับท่านผู้เฒ่าเลยนะ”“ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้!” จูอินรีบหันซ้ายแลขวาแล้วกระชากร่างเล็กขึ้นมา “หยุดร้องเดี๋ยวนี้!”“เจ้าทำให้แม่โกรธอีกแล้วนะอาซิน!” จูอ้ายเหม่ยตะคอกเสียงเบา แล้วบิดเนื้อตรงต้นแขนของนางด้วยความเกลียดชังเป็นทุน “แต่งงานกับท่านผู้เฒ่าไม่ดีตรงไหน ฐานะท่านก็ดี เจ้าจะได้ไม่ต้องเหนื่อยมาช่วยท่านพ่อทำงานอีก”“ใช่ พอเจ้าแต่งงานไปแล้วข้าก็ต้องมาเหนื่อยแทนเจ้าอีก ข้าเสียสละเพื่อเจ้าแค่ไหนคิดบ้างสิ”“ข้ายอมเหนื่อย ยอมตื่นเช้านอนดึกกว่าเดิมก็ได้ ท่านแม่อย่าให้ข้าแต่งงานกับผู้เฒ่าเสิ่นเลยนะ”“ไม่ได้ ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว อ้ายเหม่ยพานางกลับบ้านไปเดี๋ย
อี้เทียนมองหญิงสาวเล็กน้อย “ข้าต้องกินข้าวตรงเวลาเพราะต้องกินยา กินข้าวด้วยกันนะ”ซินซินยังไม่ทันตอบอะไร อ้ายเหม่ยก็รีบเดินไปยืนใกล้รถเข็นของเขา“ให้อ้ายเหม่ยช่วยนะเจ้าคะ”“ให้เป็นหน้าที่ของบ่าวดีกว่าคุณหนู” ซูฮวาพูดอย่างนอบน้อม แล้วเบียดอีกฝ่ายให้หลุดไปจากตำแหน่งคนเข็นรถ“เชิญ” เติ้งอี้เทียนทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นความไม่พอใจของแม่ลูกกับสาวใช้ แต่แอบสนใจความสงบเสงี่ยมเจียมตัวของหญิงสาวที่ตัวเองหมายตาที่โต๊ะอาหารจูอ้ายเหม่ยตื่นเต้นกับอาหารหลากชนิดที่วางอยู่บนโต๊ะขนาดใหญ่ หลายอย่างล้วนเป็นอาหารที่ไม่เคยกิน ส่วนที่เคยกินก็ดูพิถีพิถันกว่ามาก“ท่านแม่ โต๊ะนี่หมุนได้ด้วย ข้าไม่เคยเห็นมาก่อนเลย”“สำรวมกิริยาหน่อยอ้ายเหม่ย” จูอินรู้สึกเสียหน้าอย่างมาก แต่ก็ต้องฝืนยิ้มอ่อนหวานมองไปทางเจ้าของคฤหาสน์ “ท่านเติ้งอย่าถือสานางเลยนะ ต้องโทษข้าที่เลี้ยงดูนางอย่างเคร่งครัดเกินไป แทบไม่เคยให้ออกจากบ้านไปไหน พอเจออะไรแปลกตาจึงมักจะตื่นเต้นเกินงาม”“กินข้าวกันเถิด ถ้าไม่ถูกปากหรืออยากได้อะไรเพิ่มก็บอกได้นะ ข้าจะให้ห้องครัวทำมาให้” พูดเสร็จเขาก็หมุนฐานไม้บนโต๊ะอาหาร “ตรงหน้าเจ้าคือเนื้อตุ๋นลิ้นจี่ ลองตักกินส
นางรีบยกมือห้าม “ฟังเหตุผลของข้าก่อนแล้วค่อยแย้ง”“พูดมา”“ท่านเติ้งแต่งเมียมาสามคนแล้ว แต่ทุกคนล้วนได้รับหนังสือหย่าเพราะไม่สามารถมีลูกให้เขาได้ ข้ายังรู้อีกว่าเขามีอนุอยู่ในบ้านอีกหลายคน พวกนางล้วนชิงดีชิงเด่น ใส่ร้ายป้ายสีกันไปมาเพื่อแย่งชิงความโปรดปราน”“ข้าไม่เคยได้ยิน”“เจ้าจะไปรู้อะไร วัน ๆ เอาแต่นวดแป้ง ถ้าไม่เชื่อก็ไปถามชาวบ้านดูก็ได้”“เจ้าก็เชื่อข่าวลือไม่มีมูลพวกนั้น”“ลูกของข้ากำลังจะแต่งงานกับเขานะ จะไม่ให้ข้าพูดได้อย่างไร หรือเพราะนางไม่ใช่ลูกของเจ้า แต่งไปแล้วจะเป็นอย่างไรก็ช่าง”“ข้าไม่เคยคิดแบบนั้นเลยอาอิน..เอาเป็นว่ารอให้พ่อบ้านโปกลับมาก่อนก็แล้วกัน ข้าจะคุยกับเขาอีกที”“ท่านต้องถามเขาว่าที่ชาวบ้านพูดกันเป็นความจริงไหม” เรื่องที่นางพูดไปใช่ว่าจะเป็นจริงทั้งหมด แต่ถ้านางไม่ยอมรับว่าแต่งขึ้นมาเองใครจะรู้“บุรุษมีอนุมันก็ไม่ผิด แต่งกับท่านเติ้งนางคงไม่ลำบาก”“นั่นลูกข้าทั้งคนนะ โง่ ๆ เซื่อง ๆ อย่างนางไม่กลายเป็นที่ระบายอารมณ์ของพวกอนุหรือ”“แล้วเจ้าจะให้ข้าทำอย่างไร”“ต้องให้เขาแต่งอาซินเป็นเมียเอก”“เจ้าอย่าเพ้อฝันไปหน่อยเลย แค่ได้แต่เข้าสกุลเติ้งก็โชคดีของลูกเราแล้ว”
บ้านสกุลจูไป๋ซินซินกลับเข้ามาในบ้าน เห็นทุกคนกำลังกินข้าวพร้อมหน้า ทุกสายตาหันมาจับจ้องก่อนจะเมินกลับอย่างไม่ใส่ใจ ทำให้นางรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นส่วนเกินแต่นางจะรู้สึกให้เปลืองความรู้สึกไปทำไม เพราะถึงอย่างไรนางก็ไม่เคยได้กินข้าวร่วมโต๊ะกับพวกเขาอยู่แล้ว“มานั่งกินข้าวด้วยกันสิ”“ท่านพ่อ!”“หุบปาก” เอ่ยเสียงเย็นพอ ๆ กับสายตาอ้ายเหม่ยเม้มปากด้วยความขัดใจ ถลึงตามองพี่สาวต่างบิดาอย่างเกลียดชัง มองไปทางมารดาก็เห็นท่านปรามด้วยสายตา จึงได้แต่ข่มกลั้นความโมโหเอาไว้“ผู้ใหญ่เรียกไม่ได้ยินหรือ” จูอินมองลูกสาวคนโตด้วยสายตาที่ว่างเปล่า“เจ้าค่ะ” ซินซินจำใจเดินไปนั่งร่วมโต๊ะจูก่านต้งลุกไปตักข้าวและหยิบตะเกียบส่งให้หญิงสาว แล้วนั่งลงกินต่อโดยไม่พูดอะไร“ขอบใจ” บอกน้องชายแล้วมองกับข้าวบนโต๊ะ แต่ไม่กล้าเอื้อมตะเกียบออกไปคีบ จึงคีบข้าวเปล่าใส่ปาก“แม่ของเจ้าได้บอกอะไรกับเจ้าหรือยัง”“ข้ายังไม่ได้บอกนาง” จูอินไม่คาดคิดว่าสามีจะพูดเรื่องนี้ขึ้นมา “ท่านพ่อบ้านไม่อยู่ เห็นว่ารีบกลับบ้านเกิดไปดูใจน้องชาย ต้องรอให้เขากลับมาก่อน ข้าจึงยังไม่ได้พูดอะไรกับนาง”“แล้วเขาจะกลับมาเมื่อไหร่”“อีกประมาณครึ่งเดื
ความโอหังของจูอ้ายเหม่ยหายไปเกินครึ่งเมื่อถูกเอ่ยถึงบิดา ใบหน้าที่เชิดขึ้นอย่างท้าทายไม่เกรงกลัวใคร เริ่มมีความกังวลอย่างเห็นได้ชัด“ข้านึกออกแล้ว” เฟิงเมี่ยนชี้หน้าอ้ายเหม่ยพร้อมทำตาโต “เจ้าคือลูกสาวคนรองของร้านซาลาเปาสกุลจู” เขาปรบมือรัว ๆ ทำท่าภูมิใจกับความฉลาดของตัวเอง “ในเมื่อถูกตราหน้าว่าเป็นขอทานแล้ว ข้าไปเล่าให้เขาฟังว่าโดนอะไรบ้าง แล้วขอค่ายาจากเขาสักหน่อยดีกว่า”จูอ้ายเหม่ยหน้าซีดด้วยความกลัว รู้สึกเหมือนจะเป็นลมเมื่อนึกถึงบิดา.. แม้ท่านจะดูใจดี แต่เมื่อใดที่ท่านโกรธขึ้นมา มารดาก็ยังไม่กล้าต่อกร แล้วนางเป็นแค่ลูกจะรอดได้อย่างไร“จะไปไหน” เฟิงเมี่ยนสะใจเมื่อเห็นนางสะดุ้งสุดตัว “จะจากไปง่าย ๆ แบบนี้ไม่ได้นะ เจ้ายังไม่ได้ขอโทษพวกเราเลย”“ทำไมข้าต้องขอโทษ” แม้จะขัดขืนแต่เสียงก็อ่อนลงเกินครึ่ง ความมั่นอกมั่นใจลดเหลือแค่หนึ่งส่วนจากสามส่วน“เช่นนั้นก็รีบกลับไปเถิด ข้าไปคุยกับเถ้าแก่จู พ่อของเจ้าง่ายกว่า”“ข้าขอโทษ! ขอโทษ ๆ ๆ ข้าขอโทษ!” ตะคอกใส่หน้าบุรุษทั้งสอง ถลึงตาใส่เฟิงเมี่ยนอย่างอาฆาตแค้น “พอใจหรือยัง”“ถ้าขอโทษไม่เต็มใจแบบนี้ก็จ่ายเจ็บหน้าข้ามาด้วยก็แล้วกัน”“ข้าไม่มี”“ไม่เ