ที่เรือนพักของหมี่มี่
“คุณหนู” เสี่ยวซื่อส่งเสียงมาก่อนตัว
“ช้า ๆ หน่อย ทำตัวตื่นตูมไปได้”
“บ่าวเห็นท่านสองกำลังเดินมาทางนี้เจ้าค่ะ”
“จริงหรือ” หมี่มี่รีบลุกจากที่นั่งด้วยความดีใจ เดินไปที่หน้ากระจก “ข้าดูดีหรือยัง”
“งามแล้วเจ้าค่ะ แต่ท่านแกล้งนอนอยู่บนเตียงจะดีกว่านะเจ้าคะ”
นางรีบทำตามคำแนะนำของสาวใช้ “รีบออกไปต้อนรับท่านสองสิ”
“เจ้าค่ะ”
สาวใช้ผู้รู้งานรีบเดินสับเท้าอย่างเร็วออกไปด้านนอก แล้วรีบทำตัวสำรวม ทำความเคารพบุรุษที่เดินมาถึงหน้าประตูพอดี
“คารวะท่านสอง”
“คุณหนูของเจ้าตื่นหรือยัง” เขาถามเมื่อมองเข้าไปด้านในแล้วไม่เห็นคน
“ตื่นแล้วเจ้าค่ะ แต่นางปวดศีรษะจึงลุกไม่ไหว บ่าวกำลังจะไปบอกท่านสองอยู่พอดี”
หางคิ้วเข้มกระดกเล็กน้อย “ดื่มหนักไปหน่อยสินะ เก็บฉากกั้นให้เรียบร้อย ข้าจะเข้าไปดูนางสักหน่อย”
“คุณหนูบอกว่าหนาว ไม่อยากโดนลมเจ้าค่ะ”
ทุกคนในสกุลไป๋มองบุรุษรูปร่างสูงสง่า ใบหน้าเปี่ยมด้วยอำนาจน่าเกรงขามที่ก้าวลงจากรถม้า แล้วหันไปอุ้มสตรีรูปร่างบอบบางอรชร ไม่ยอมให้นางเดินลงมาเองด้วยความรู้สึกยากจะบรรยายผู้เฒ่าไป๋ แม่เฒ่าไป๋ ไป๋ซุนหยา ต่างน้ำตาซึมกับภาพตรงหน้า รู้สึกได้ถึงความรัก ความเอาใจใส่ที่หลานเขยมีต่อหลานสาวของพวกเขา“ท่านผู้เฒ่า แม่เฒ่า” ลุงโปคารวะผู้เฒ่าทั้งสอง แล้วรับการคารวะกลับจากคนอื่น ๆ ของสกุลไป๋ “ไม่ได้เจอกันนานแต่พวกท่านก็ยังดูแข็งแรงกันมาก”“ท่านก็เช่นกัน” ผู้เฒ่าไป๋ทักทายกลับ แล้วมองไปที่สตรีที่ถูกสามีเดินโอบเข้ามาหาพ่อบ้านโปถอยออกไปอย่างรู้หน้าที่ เพื่อเปิดทางให้เจ้านาย“คารวะผู้อาวุโสทุกท่าน ข้าเติ้งอี้เทียน วันนี้พาไป๋ซินซิน หลานสาวของพวกท่านกลับมาหาพวกท่านแล้ว” เขาพูดแทนภรรยาที่ตอนนี้น้ำตาคลอเต็มเบ้าตาไปแล้วไป๋ซินซินปาดน้ำตาทั้งรอยยิ้ม มองปู่ ย่า และลุงของตัวเอง น้ำตาแห่งความดีใจไหลอาบแก้มนางคุกเข่าลงตรงหน้าพวกเขา แล้วหมอบคำนับลงกับพื้น“ไป๋ซินซิน..คารวะท่านปู่..ท่านย่า..ท่านลุง..ป้าสะใภ้..ฮือ ๆ ๆ ฮึก ๆ ๆ” พูดไปร้องไห้ไปด้วยความรู้สึกที่เต็มตื้นไปด้วยความยินดี“อาซิน” แม่เฒ่าไป๋คือคนแรกที่เดิ
เติ้งอี้เทียนมองภรรยาข้างกาย เห็นถ้วยชาว่างเปล่าก็รีบรินน้ำชาให้“ฮูหยินหมี่ไม่ต้องเป็นห่วง เรื่องลูกข้าไม่รีบ” แล้วหยิบขนมตั้งใจจะป้อนใส่ปากให้ภรรยาได้ชิม“อ๊วก!”“เป็นอะไร” เขาตกใจ ไม่คิดว่านางแกล้งทำ เพราะมันไม่ใช่นิสัยของนาง“อยู่ ๆ ก็รู้สึกไม่ค่อยดี หน้ามืด รู้สึกแปลก ๆ อยากอาเจียน” กระซิบบอกสามีเสียงเบาเพราะเกรงใจคนอื่น“ให้ข้าตรวจดูหน่อย บางทีอาจจะเพราะเดินทางไกลแรมเดือน เจอกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนไปมาก็ทำให้ชี่พร่องได้” ฮูหยินซ่งรีบเสนอตัวกับเติ้งชิงฮวา“เจ้าสอง ให้ฮูหยินซ่งตรวจดูเมียเจ้าสักหน่อยเถิด สามีของนางเป็นหมอ นางเองก็เป็นหมอทำคลอดขึ้นชื่อ มีความรู้เรื่องแพทย์ดีทีเดียว ถ้าเกิดเจ็บป่วยขึ้นมาจะได้รีบรักษา”“รบกวนท่านแล้ว” เขารีบเปิดทางให้อีกฝ่ายฮูหยินซ่งจับชีพจรที่ข้อมือของไป๋ซินซิน ไม่นานก็ยิ้มกว้างออกมา“ไม่ต้องห่วง ๆ นางไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก ไม่ต้องตกใจ ก็แค่อาการของคนท้องน่ะ”“คุณพระคุณเจ้า!” เติ้งชิงฮวาอุทานออกมาเสียงดัง ก่อนจะหันไปหาคนรับใช้ที่ยืนปรนนิบัติอยู่ด้านข้าง “ข้าจะมีหลานเหมือนคนอื่นเขาแล้ว” แล้วหัวเราะด้วยความดีใจ “ดู ๆ ว่าที่พ่อแม่ตัวแข็งเป็นหินกันไปแล้ว
นายหญิงใหญ่สกุลเติ้งมองเพื่อนบ้านที่สนิทสนมกันมาเกือบสามสิบปี เห็นตั้งแต่นางแต่งเข้าสกุลหมี่ใหม่ ๆนางคลอดลูกชายคนแรกก็ส่งชุดฮั่นฝูที่ตัดเย็บด้วยไหมอวิ๋นเซียงรับขวัญ พอถึงวัยแต่งภรรยาเข้าบ้านก็ยังมอบหวีหยกเหอเถียนเป็นของขวัญนางคลอดหมี่มี่เป็นคนรองก็ส่งกำไลข้อเท้ารับขวัญ เมื่อถึงวันออกเรือนก็ยังมอบปิ่นมุกกับต่างหูเข้าชุดให้เป็นของขวัญทั้งที่ตอนนั้นในใจผิดหวังกับการกระทำของนางกับลูกสาวมาก ที่พอเห็นเจ้าสองบาดเจ็บสาหัส ความสัมพันธ์ก่อนหน้าก็เริ่มจืดจาง.. แรก ๆ ก็ยังมาให้เห็น แต่พอรู้ว่าเจ้าสองเอ็นขาด กระดูกหัก อาจจะกลับมาเดินไม่ได้อีก สองแม่ลูกก็เริ่มหายไปจากสกุลเติ้ง เจอกันอีกทีก็ตอนส่งเทียบเชิญร่วมงานแต่งจะว่าไปแล้ว ลูกทั้งสองคนของนางล้วนเติบโตมาพร้อม ๆ กับเจ้าสองของตน มีหรือที่นางจะไม่เอ็นดู.. แต่จะทำอย่างไรได้เล่า ในเมื่อเจ้าสองไม่มีใจให้หมี่มี่เลยเจ้าสองนั่นก็จิตใจมั่นคงเด็ดขาดมาแต่ไหนแต่ไร สองแม่ลูกนี้เคยทำอย่างไรไว้เขาย่อมจำขึ้นใจ จากเดิมที่ไม่เคยมีใจให้อยู่แล้ว แต่ก็มีแนวโน้มว่าจะทำตามที่มารดาอย่างตนเห็นชอบแต่พอเกิดเรื่องขึ้น ต่อให้ตนเห็นชอบอย่างไรก็ไร้ค่า“พี่ชิงฮวา ทำไมเงีย
หนึ่งเดือนผ่านไปสมาคมหอการค้า“ข้าต้องกลับแล้ว”“ทำไมรีบกลับนักเล่า รอให้จบกระดานก่อนค่อยกลับสิ”“ข้าต้องกลับให้ตรงเวลา เพราะไม่อยากให้เหล่าผอรอนาน นางจะออกมารอรับข้าที่หน้าประตูทุกวันน่ะ”ผู้เฒ่าหูหัวเราะ “นี่ท่านบอกเล่าหรืออยากคุยอวดกับข้ากันแน่ท่านเติ้ง”“ท่านผู้เฒ่าคิดว่าข้าคุยอวดงั้นหรือ” เขาหัวเราะชอบใจเมื่ออีกฝ่ายพยักหน้า “ตามนั้นก็ได้ ข้าขอตัวลา”“เชิญ”คฤหาสน์สกุลเติ้ง“เหล่ากง”เติ้งอี้เทียนกางแขนรอรับร่างบาง ที่รีบเดินจนเกือบเป็นวิ่งเข้ามาหา “อากาศเย็นแบบนี้ยังจะออกมารออีก ทำไมไม่รออยู่ในเรือนเล่า”“ใบไม้ผลิใบแล้ว อากาศไม่เย็นเท่าไหร่แล้ว”“ถึงจะเปลี่ยนฤดูก็ยังเย็นอยู่ดี ออกมาก็ต้องใส่เสื้อคลุมให้เรียบร้อย ถ้าเจ้าป่วยขึ้นมาเราจะเดินทางได้อย่างไร”“ไม่ป่วยง่าย ๆ หรอก ซินเอ๋อร์ดื่มยาบำรุงตามที่ท่านสั่งทุกวัน” สมุนไพรอะไรที่หมอถานจัดให้ดื่มนางไม่เคยขัด เพื่อเตรียมร่างกายไว้สำหรับการเดินทางไกล ไปพบครอบครัวของบิดาที่เมืองหลวงหลังจากที่ได้ฟังสามีเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับบิดาของนาง และเรื่องที่เขาเคยส่งพ่อบ้านโปไปที่บ้านบิดาขณะที่เขายังรักษาตัว เพื่อนำสินน้ำใจไปมอบ
“หยุดก่อน ๆ”เจียวหวงดึงบังเหียนบังคับม้าให้หยุด มองบุรุษรูปร่างใหญ่หนา ไว้หนวดเครายาวรกรุงรัง ดวงตาที่มองมาดูดุดันไม่เป็นมิตร แต่ก็ไม่ได้เกรี้ยวกราดจนน่ากลัว“นี่รถม้าของท่านเติ้งใช่ไหม” บุรุษผู้นั้นถามเสียงดังอย่างไม่เกรงกลัว“ใช่” เจียวหวงตอบไปแล้วก็ใจคอไม่ดีที่ฝ่ายนั้นเดินหน้าตาถมึงทึงเข้ามาหา ถ้าไม่มีเฟิงเมี่ยนอยู่ด้วยเขาคงกระโดดลงจากรถไปแล้วเฟิงเมี่ยนที่นั่งด้านข้างเจียวหวงเตรียมพร้อมจะชักดาบเติ้งอี้เทียนที่นั่งอยู่ภายในรถม้าใช้ไม้เท้าแง้มผ้าม่าน มองออกไปด้วยความอยากรู้“คารวะท่านเติ้ง”เฟิงเมี่ยนมองคนตัวใหญ่ที่ก้มหัวคารวะตน ท่าทางของเขาน่ากลัว แต่การกระทำกลับสวนทาง“ข้าไม่ใช่”“มีอะไรกับข้า” ท่านเติ้งตัวจริงถามเสียงเรียบทรงพลัง เปิดผ้าม่านกว้างขึ้นมองอีกฝ่ายเต็มตาคนตัวใหญ่รีบเปลี่ยนเป้าหมาย “คารวะท่านเติ้ง ข้าชื่อเซียงอู่ ทำงานอยู่ในเรือเดินสมุทรเกือบปีเพิ่งกลับมา จึงรู้ว่าแม่นางซินแต่งงานแก่ท่านแล้ว”เขามองอีกฝ่ายอย่างสำรวจ “ใช่”ป๊าบ!สามคนบนรถม้าสะดุ้งกับเสียงของฝ่ามือที่ประสานกัน ตามด้วยการชูแขนเขย่าและหัวเราะเสียงดังลั่น“เจ้ากำลังดีใจหรือกำลังคลั่ง” เจียวหวงถามคลายความ
เติ้งชิงฮวาคลี่ยิ้ม เดินไปหาหญิงสาวหน้าตาจิ้มลิ้มชวนมองนี่นะหรือลูกสาวของบุรุษที่เคยช่วยชีวิตหลานชายของนางเอาไว้เมื่อเกือบยี่สิบปีก่อน นางน่ารักน่าเอ็นดูแบบนี้นี่เอง หลานชายตัวดีถึงไม่ยอมชายตามองสตรีนางใด มุ่งมั่นที่จะแต่งกับนางเพียงคนเดียวให้ได้“เรียกข้าว่าท่านแม่นะ ข้าอยากมีลูกสาวหน้าตาน่ารักแบบเจ้ามานานแล้ว ตอนนี้ข้าก็สมหวังแล้ว”“ขอบคุณท่านแม่ที่เอ็นดูซินเอ๋อร์”ชิงฮวาถอดแหวนหยกคู่สีเขียวกับสีเหลืองจากนิ้วชี้แล้วสวมให้หญิงสาว“ของขวัญต้อนรับลูกสะใภ้ แหวนหยกเขียวจักรพรรดินี้ แม่แท้ ๆ ของเจ้าสองมอบให้ข้าเพื่อส่งต่อให้ลูกสะใภ้คนรองของนาง ส่วนแหวนหยกเหลืองวงนี้เป็นของแม่บุญธรรมคนนี้มอบให้เจ้า แม่สวมให้นะ”หญิงสาวตื้นตันใจในความเมตตาของแม่สามี พยายามจะกลั้นน้ำตาขณะมองนิ้วชี้ทั้งสองข้างที่ถูกสวมด้วยแหวนหยกคนละสี แต่สุดท้ายน้ำตาก็พรั่งพรูออกมาพร้อมกับรอยยิ้ม“ซินเอ๋อร์ขอบคุณท่านแม่” กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ปาดน้ำตาที่อาบแก้มเหมือนเด็กน้อยเติ้งอี้เทียนอมยิ้มกับความเจ้าน้ำตาของภรรยา จับชายเสื้อตัวในซับน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน“ท่านแม่ทำเหล่าผอของข้าร้องไห้แล้ว”“ซินเอ๋อร์แค่ซาบซึ้งใจมากเก