"แม่ไม่สบายเพราะอากาศเปลี่ยนน่ะ ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว กินยาไปตั้งหนึ่งหม้อ" นางยิ้มให้ หวังให้เด็กฝาแฝดคลายกังวล
นึกย้อนไปแล้วหม่าเยี่ยนถิงก็ช่างเป็นสตรีที่ยอดเยี่ยม และเป็นแม่ที่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่า การที่จะเลี้ยงเด็กสองคนด้วยตัวคนเดียวเป็นอะไรที่เหนื่อยจนนางยังนึกภาพไม่ออก แค่คนเดียวก็เหนื่อยแล้ว อีกทั้งนางไม่มีใครช่วยเหลือเลย ไม่แปลกใจที่จะมีภาวะซึมเศร้าหลังคลอด จนนำมาสู่สภาพจิตใจที่อ่อนแอลงอย่างช่วยไม่ได้ ช่างเป็นสตรีที่น่าสงสารยิ่ง หากหม่าเยี่ยนถิงร้องขอ นางก็อยากไปเอาคืนตระกูลให้ แต่เจ้าตัวอาจไม่ได้ต้องการอย่างนั้น แล้วนางจะสอดมือเข้าไปยุ่งสุ่มสี่สุ่มห้าได้อย่างไร เจตนารมที่แน่วแน่เพียงอย่างเดียวที่เยี่ยนถิงสานต่อให้ได้คือการดูแลเจ้าหมั่นโถวทั้งสองนี่ให้ดีสมกับที่นางเฝ้าถนอมมา "ท่านแม่ ท่านคงเหนื่อยมาก ๆ ถึงได้ป่วย ท่านจะล้มลงไปแบบนั้นอีกหรือไม่ เป่าเปาจะเป็นเด็กดี ท่านแม่อย่าฝืนตัวเองอีกเลยนะ" จื่นเหวินน้ำตาคลอจนตาแดง แต่ก็ไม่ยอมร้องออกมา เยี่ยนถิงเดินไปนั่งตรงหน้าเขา ย่อตัวให้ระดับสายตาเสมอกัน ยิ้มให้อย่างอ่อนโยนที่สุดเท่าที่อดีตมือสังหารคนหนึ่งจะทำได้ แฝดพี่ผู้นี้โตเท่านี้แต่รู้ความกว่าผู้ใหญ่บางคนเสียอีก หม่าเยี่ยนถิงสั่งสอนลูกมาได้ดีจริง ๆ แต่นางก็ละเลยตัวเองมากไปเช่นกัน แววตาของท่านหญิงหม้ายดูหมองหม่นอยู่ครู่หนึ่ง "พวกเจ้าเป็นเด็กดีมาตลอด อย่าคิดอะไรแบบนั้นเลยนะ แม่ฝืนตัวเองมากไปจึงล้มป่วยเท่านั้น จากนี้คงไม่แล้ว แม่ควรให้พวกเจ้าช่วยงานอย่างที่พวกเจ้าต้องการบ้าง" "ท่านแม่ หนี่เหวินทำงานบ้านเก่งมากนะเจ้าคะ" คุณหนูน้อยไร้จวนเอ่ยขึ้น อยากให้มารดาชมนางบ้าง "พวกเจ้าเก่งทั้งคู่ ไม่มีอะไรที่ลูกแม่ทำไม่ได้หรอก" นางยิ้มกว้างให้พวกเขา สถานการณ์อึมครึมก่อนหน้านี้ก็สดใสขึ้นมาเพราะเสียงเจื้อยแจ้วและรอยยิ้มของเด็กสองคน หลังไล่ลูก ๆ ไปเล่นในสวนแล้ว เยี่ยนถิงก็กลับเข้ามาด้านในเพื่อวางแผนการใช้ชีวิตหลังจากนี้ เด็ก ๆ ยังอยู่ในสายตา มองผ่านหน้าต่างออกไปก็เห็นชัดเจน ทำให้นางไม่กังวลว่าพวกเขาอาจจะคลาดสายตาจนได้รับอันตราย สถานะทางการเงินของบ้านไม่สู้ดีมาสักพัก เพราะผลผลิตปีนี้ย่ำแย่ ทำให้กระทบกันไปหมดตั้งแต่พลเรือนยันขุนนางในวัง ก่อนอื่นนางต้องบูรณะสวนให้กลับฟื้นคืนเหมือนเดิม ต้องเลี้ยงสัตว์พอให้กินได้ยามฉุกเฉิน อย่างน้อยก็ควรต้องมีไก่ เยี่ยนถิงมองถุงเงินผอมกะหร่องในมือด้วยแววตาสิ้นหวัง ตัวหม่าเยี่ยนถิงยังดูมีข้าวกินมากกว่าเจ้าถุงเงินนี่อีก "เฮ่อ...ข้าจะบ้าตาย" พอคิดเรื่องเงิน สถานการณ์อันจำใจเกิดก็ผุดขึ้นมาในหัว ระยะหลังมานี้หม่าเยี่ยนถิงต้องขึ้นเขาไปเก็บเผือกขุดมันประทังชีวิตบนเขาด้านหลัง ก่อนจะไปถึงจุดที่ว่าจะใช้ชีวิตอย่างไรในโลกนี้ดี นางต้องจัดการกับสถานะทางการเงินในบ้านที่กำลังร่อยหรอนี่ก่อน คิดได้ดังนั้นนั้นเยี่ยนถิงก็หยิบตะกร้าสานมาสะพานหลัง ให้ตะกร้าถือเด็ก ๆ ไปคนละอันแล้วพาทั้งคู่เดินทางขึ้นเขา "ท่านแม่จะพาพวกข้าไปผจญภัยอีกแล้ว" "พวกข้าจะได้ปีนต้นไม้เก็บไข่นกกันอีก" เสียงเด็กสองคนพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ทำให้สถานการณ์อันน่าอดสูดูสดใสขึ้นมา เยี่ยนถิงโดนความสดใสวัยเยาว์กระแทกตาจนอดปลาบปลื้มไม่ได้ ที่โลกแสนเละเทะยังมีความสดใสน้อย ๆ เหลืออยู่ ที่แท้ข้าก็ชอบเด็กมากนี่เอง! ค้นพบตัวตนของตัวเองอีกหนึ่งอย่าง เยี่ยนถิงก็รู้สึกพอใจแล้ว ภูเขาด้านหลังของเมืองค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ ชาวบ้านมักมาเก็บของป่ากันที่นี่ หากได้ของดีหรือเก็บมาได้มากก็จะนำไปขายที่ตลาด "อ้าวหม่าเยี่ยนถิง ได้ยินว่าเจ้าป่วย หายดีแล้วหรือ?" เส้นทางที่จะไปบังเอิญต้องผ่านถนนท้ายตลาดเส้นหนึ่งพอดี หม่าเยี่ยนถิงจึงค่อนข้างคุ้นเคยกับคนในละแวกนี้ "หายดีแล้วเจ้าค่ะ เป็นเพราะยาของท่านแท้ ๆ ขอบคุณมากนะเจ้าคะ" "แหม ๆ คนกันเองทั้งนั้น เรื่องนิด ๆ หน่อย ๆ แค่นี้เจ้าอย่าใส่ใจเลย" "มิได้เจ้าค่ะ ที่เยี่ยนถิงได้รับความเอ็นดูมาตลอดเป็นท่านป้าท่านลุงช่วยเหลือนี่เจ้าคะ" ท่านป้าเจ้าของร้านหมั่นโถวพูดคุยกับพวกนางอีกเล็กน้อยก็ปล่อยให้เด็ก ๆ เดินต่อไปกับนาง หากยังรั้งอยู่ก็กลัวสามแม่ลูกจะได้กลับมืดค่ำ ถึงนางจะเอ็นดูฝาแฝดทั้งสองมากก็ตาม ทางขึ้นเขาช่วงแรกไม่ค่อยลาดชันเท่าด้านบน เด็ก ๆ จึงเดินได้สะดวก แต่พอเดินมานานก็เริ่มเมื่อย "ท่านแม่ ข้าขี่คอท่านได้ไหม?" หนี่เหวินถือตะกร้าเดินมาช้อนตามองตรงหน้านาง เยี่ยนถิงรู้สึกเหมือนจิตใจโดนโจมตีด้วยความบริสุทธิ์ไร้เดียงสา "อะ อื้ม ได้สิ" "ท่านแม่ ข้าก็อยากขี่คอท่านเหมือนกัน" จื่อเหวินเดินตามมาออดอ้อนบ้าง เห็นน้องร้องขอได้เขาก็แอบอิจฉาอยู่นิด ๆ "ทีละคนนะ" เยี่ยนถิงนั่งย่อให้บุตรสาวปีนขึ้นมาก่อนจะจับมือบุตรชายด้วยมือข้างที่ว่าง ตะกร้าของพวกเขานางก็รวบมาถือไว้ด้วยมือเดียว เห็นมารดาไม่ทอดทิ้งให้เขาเดินลำพังจื่อเหวินก็ยิ้มกว้างไปตลอดทาง เดินมาถึงต้นพลับพลึงต้นหนึ่งหนี่เหวินก็ร้องจะลง นางเลยได้โอกาสให้บุตรชายเปลี่ยนขึ้นมาแทน"ถ้าลูกรับตำแหน่งจะลาออกจริงหรือ?""แน่นอน""ท่านคิดไว้หรือยังว่าอยากไปไหน""ต่างแคว้น"ในแคว้นนี้จางจื่อเสวียนไปเที่ยวชมมาทุกเมืองตลอดสิบปีนี้หลายครั้งแล้ว ถึงเวลาต้องเปิดหูเปิดตาข้างนอกแดนเกิดของตนบ้าง"ข้าเชื่อว่าอยู่กับเจ้าข้าจะปลอดภัย" บุรุษข้างกายยิ้มเผล่จนนางอดกลอกตาใส่ไม่ได้ จะมีใครภูมิใจในตัวภรรยาได้เท่าเขาอีก"ท่านก็วางใจเกินไป หากเกิดศึกไม่พ้นเรียกตัวท่านกลับมาอยู่ดี""แคว้นนี้สงบสุขมาเป็นสิบปี ไม่เคยมีใครกล้าบุกนับแต่ข้าได้ชัย อย่าห่วงเลย""ทุกครั้งที่มีไอ้บ้าคนหนึ่งคิดแบบนี้จะต้องมีหายนะเกิดขึ้นทุกทีสิน่า"หม่าเยี่ยนถิงไม่ได้เชื่อเรื่องโชคชะตาอะไรนั่น มันก็แค่ค่าเฉลี่ยของผู้วางบทที่ไม่มีทฤษฎีด้วยซ้ำ แต่ต้องยอมรับเลยว่านางเริ่มเอนเอียงจากนิสัยเดิมตัวเองไปไม่น้อย อาจเพราะอายุที่มากขึ้นทำให้นางกังวลไปหมดทั้งที่เมื่อไม่เป็นบ่อยเท่านี้จางจื่อเสวียนประคองภรรยาเดินมาตลอดทาง บ่าวไพร่เห็นกันตั้งแต่หน้าจวนยันท้ายจวน หลังพวกเขาเดินผ่านก็รีบจับกลุ่มคุยกันถึงเรื่องรักๆ ของเ
ทว่าพอจะหันกลับมาแล้วออกไปจากช่องว่างที่นอนตรงนั้นนางก็หลุดเสียงกรี๊ดดังขึ้น เพราะได้สบตาเข้ากับมารดาที่มองอยู่"ท่านแม่! ตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่เจ้าคะ!" คนพึ่งถูกปลุกจากเสียงรบกวนนัยน์ตาหลุกหลิกคิดข้ออ้างไม่ทัน"พวกเจ้าเสียงดัง" เด็กสองคนมองหน้ากันงง ๆ มั่นใจว่าเมื่อครู่พวกตนคุยกันเสียงเบายิ่งกว่าเสียงยุง ขนาดท่านพ่อยังไม่ตื่นเลยแล้วมารดารู้สึกตัวได้อย่างไรเสียงกรี๊ดก่อนหน้านี้ของคุณหนูน้อยทำให้เวรยามมากรูกันที่หน้ากระโจม"นายท่าน ฮูหยิน เกิดอะไรขึ้นด้านในหรือไม่ขอรับ!?""ไม่ ไม่มีอะไร ลูกสาวข้าตกใจเท่านั้น พวกท่านทำงานต่อเถอะ""เช่นนั้นไม่รบกวนแล้วขอรับ" เงาที่ยืนมุงอยู่ด้านนอกห่างออกไปเรื่อย ๆ กระจายกันไปประจำจุดเฝ้ายามเหมือนเดิม มือสังหารสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่ คืนนี้นางไม่ได้นอนแน่แล้ว..."ข้าไม่นึกว่าระดับเซียนผู้หยั่งรู้อย่างท่านแม่จะทายผิดได้จริงๆ""ข้าหวังว่าตัวเองจะทายผิดบ้าง และอีกอย่างนะลูกรัก ข้ายังไม่ได้ทายอะไรทั้งนั้น" หม่าเยี่ยนถิงสุดจะเอือมระอา ฝากลูกไว้กับแม่ย่าทุกหน้าร้อนมาสิบปี นางพลาด
"เรื่องเช่นนี้เหตุใดต้องมาถามข้า เจ้าทูลแก่ฝ่าบาทเลยจะไม่เร็วกว่าหรือ""หม่อมฉันคิดว่าแรงสนับสนุนจากฮองเฮาก็เป็นสิ่งจำเป็นเพคะ"มารดาแผ่นดินไม่เข้าใจเจตนาของนางชัดเจน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคำพูดเมื่อครู่นั้นสะกิดใจนางอยู่ อยากรู้ว่าสตรีผู้นี้จะมาไม้ไหนกันแน่ ฮองเฮาโบกมือไล่นางกำนันทั้งหมดออกไปจากตรงนั้น เหลือเพียงแต่นางและแขกผู้มาเยือนในห้องปิดมิดชิด"เจ้าอยากให้ข้าทำอะไร""พิจารณาวันพักผ่อนของข้าราชการชั้นขุนนางเพคะ""เจ้าว่าอะไรนะ" นางไม่เคยได้ยินความคิดอะไรประหลาดแบบนี้มาก่อนเลย"ฮองเฮาฟังหม่อมฉันก่อนจึงค่อยตัดสินพระทัยก็ได้เพคะ…"หม่าเยี่ยนถิงปราศรัยความคิดของนางให้มารดาแผ่นดินฟัง จากในใจคิดต่อต้านและคัดค้านเพราะฟังดูเป็นไปไม่ได้ตั้งแต่แรก ฮองเฮาปักใจไปส่วนหนึ่งอีกด้วยว่านางช่างสามหาวนักถึงกล้ามาพูดเรื่องนี้ แต่พอได้ฟังสิ่งที่นางคิดจริง ๆ แล้วมารดาแผ่นดินก็เปลี่ยนใจ..."ต้องทำให้ข้าประหลาดใจอีกกี่ครั้งถึงจะพอนะ""เรื่องปกติแท้ๆ" หม่าเยี่ยนถิงไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ว่าสาม
เวลาอาหารของครอบครัวผ่านพ้นไป ก็ได้เวลาเข้านอน หน้าห้องมีเงาร่างที่เห็นชัดเจนว่าเป็นสตรียืนขวางอยู่ จางจื่อเสวียนไม่ได้เรียกใช้ใครจึงงุนงงร้องถามออกไป"ใคร""ข้าเอง"เสียงของภรรยาใครจะกล้าลืมลง แม่ทัพแดนเหนือรีบมาเปิดประตูให้ทันทีก่อนจะพบเข้ากับหญิงสาวในชุดเรียบ ๆ และไร้เครื่องประดับผม"เอ่อ...""ถอยสิ ข้าจะเข้าไปด้านใน"จางจื่อเสวียนเบี่ยงตัวหลบทันทีแล้วค่อย ๆ แง้มประตูปิดไว้ดังเดิม เขาหันไปมองอีกคนที่นั่งไขว่ห้ารออยู่บนเตียงด้วยอาการเก้อเขิน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะเขินอายไปทำไมเช่นกัน ทั้งที่ไม่ใช่ครั้งแรกนี่จริง ๆ แล้วข้าเป็นคนแบบนี้หรอกหรือคิดไปก็เม้มปากไป แต่มุมปากดันยกค้างไม่หยุดเสียอย่างนั้น"ถวายพระพรพระพันปีเพคะ""นั่งสิ ไม่ได้พบกันเสียนาน ชีวิตสาวชาวไร่เป็นอย่างไรบ้าง"อุทยานหลวงมีผู้มาเยี่ยมเยียนอีกครั้ง ที่แห่งนี้ยังคงเป็นสถานที่โปรดของพระพันปี สิ่งที่ต่างไปหลังจากเหตุการณ์นั้นคือพระนางสามารถมาที่นี่ได้บ่อยครั้งขึ้น"สงบสุขดีดังท
หม่าเยี่ยนถิงยิ้มให้มันก่อนจะผละออกไป จอมยุทธ์หญิงมาส่งนางที่ตีนเขากว่าจะกลับมาถึงจวนของผู้เป็นสามีก็เย็นแล้ว พอเห็นผู้เป็นแม่มา สองฝาแฝดก็โดดเข้าใส่นางจนแทบหงาย รู้สึกได้ถึงความต่างของน้ำหนักตัวก่อนหน้านี้ได้เลยว่าเด็กๆ โตขึ้นมาก และโตเร็วด้วย"ท่านแม่หายไปทั้งวันเลยนะเจ้าคะ" จางหนี่เหวินคลอเคลียอยู่กับขาก็เป็นมารดา"แม่ไปเยี่ยมคนรู้จักน่ะ พวกเจ้าล่ะไปหาท่านย่ามาเป็นอย่างไร""ท่านย่าพาไปกินของอร่อยในเมืองขอรับ"วันนี้เด็ก ๆ อยู่กับแม่สามีทั้งวัน พรุ่งนี้หม่าเยี่ยนถิงต้องไปเยี่ยมและขอบคุณนางเสียหน่อย หญิงสาวจูงมือลูกคนละข้างแล้วเดินไปด้วยกัน เด็กสองคนที่นางรับมาเป็นพี่เลี้ยงเพิ่มเดินตามหลังโดยเว้นระยะห่างออกไปราวสามถึงห้าก้าวพวกเขาไม่รู้มาก่อนเลยว่าคุณหนูคุณชายที่ตนมาทำงานด้วยมีฐานะสูงส่งเพียงนี้ ทำให้เด็กชาวบ้านทั้งสองคนอดเกร็งไม่ได้ พวกเขาค่อนข้างจะสงบปากสงบคำมากกว่าเดิม เรียกได้ว่าไม่พูดเลยด้วยซ้ำ"เหรินอี้ เจียเหยา ไม่ต้องเกร็งไปหรอก ทำตัวสบาย ๆ เหมือนอยู่บ้านสวนก็ได้""ไม่ได้
ทิวเขาป่าไผ่เบื้องหน้า คือทิวทัศน์อัศจรรย์ที่นางได้เห็นเป็นครั้งที่สอง การมาถึงของบุคคลธรรมดาไม่เป็นที่สนใจของบรรดาผู้ฝึกตนนัก แต่เจ้าสำนักย่อมรู้ว่านางมา สตรีหนึ่งในกลุ่มที่เคยติดต่อกันเป็นผู้นำทางและคุ้มกันในครั้งนี้แม้สัตว์อสูรตนนั้นจะไม่ทำร้ายนางแต่สัตว์อสูรเฝ้ายามตัวเดิมของสำนักใช่ว่าจะไม่ทำร้ายนางไปด้วย พวกมันสองตัวถูกจับแยกกันไปอยู่คนละฝั่งขอบหุบเขา หากพวกมันปะทะกันขึ้นมาหุบเขาคงสะเทือน"หลังมันคลอดลูกแล้วจะเป็นอย่างไรต่อ""ในฤดูรักปีถัดไปมันอาจจะจับคู่กับตัวที่เคยอยู่เดิมหรือเลือกที่จะไม่จับคู่เลยก็ได้ ส่วนลูก ๆ ของมัน เมื่อโตพอจะจัดให้อยู่เขตหุบเขาชั้นนอก"ทำอย่างกับเลี้ยงสัตว์ทั่วไปเลยนะ สำนักนี้ก็น่ากลัวใช่ย่อยตอนนั้นหม่าเยี่ยนถิงแค่เฉียดถูกมันจะตะปบยังเสียวสันหลังวาบไม่หาย เวลานึกถึงก็ยังขนลุกอยู่เลยบันไดหินทอดยาว มีทางแยกแตกออกไป หม่าเยี่ยนถิงไม่รู้ว่ามันอยู่ตรงไหนแต่ร่างกายกลับเดินไปตามทางเหมือนมีอะไรเรียกหา สัญชาตญาณดึงดูดให้ไปเส้นทางนั้นต้นไผ่สูงยาวโค้งงอลงมาให้ร่มเงาเหมือนซุ้มประต