ตึง!
บุรุษหนุ่มสะบัดมือออกจากใบหน้าของเจ้าสาว และเดินหันหลังออกจากห้องส่งตัวไปทันที เมิ่งหลินอิงไม่รู้มาก่อนเลยว่า การแต่งงานในครั้งนี้ของนางจะมีเงื่อนไขเช่นนี้ด้วย
“นี่มันอะไรกัน ฮูหยินตราตั้ง ข้อตกลงกองทัพ…เหตุใดจึงไม่มีผู้ใดบอกข้าเลย”
“คุณหนูเจ้าคะ! ท่านเป็นอะไรหรือไม่”
“ผิงเพ่ย ข้า…ฮึก!”
“คุณหนู ท่านแม่ทัพทำร้ายท่านหรือเจ้าคะ เหตุใดหน้าท่านถึงได้มีรอยนิ้วมือแดงขนาดนี้”
“เปล่า…เปล่า”
นางมิอาจพูดอะไรได้ เพราะรู้สึกเจ็บที่หัวใจมากกว่าที่ใบหน้า ซึ่งถูกเขาบีบจนเกิดรอยช้ำขึ้น สาวใช้เมื่อเห็นสภาพของคุณหนูตรงหน้า ก็อดร้องไห้ออกมาไม่ได้
“คุณหนูข้าจะรีบเอาผ้ามาประคบให้นะเจ้าคะ”
ผิงเพ่ยอดไม่ได้ที่ร้องไห้ตามคุณหนูผู้อาภัพของนาง เดิมทีอยู่ที่จวนขอบิดา นางก็ไม่ต่างกับสาวใช้ที่ต้องทำงานทุกอย่างและดูแลอนุหง “หงเซียวลี่” มารดาที่ป่วยด้วยโรคประจำตัว
บิดาแม้ว่าจะให้หมอมาตรวจและจ่ายค่ายาให้ แต่หลินอิงก็ต้องแลกด้วยการที่ต้องทำงานทุกอย่างทั้งคิดบัญชี ดูแลร้านขายผ้าไหมและโรงเตี๊ยมในเมือง แทนคุณหนูใหญ่ที่เอาแต่แต่งตัวสวยและมีสาวใช้ข้างกายถึงสี่คน
“ต้านเสือที่ประตูหน้า หมาป่ากลับเข้าประตูหลัง คิดว่าออกจากจวนมาที่นี่แล้วจะดีกว่านี้เสียอีก ข้าทำกรรมอะไรเอาไว้ในชาติก่อนกันแน่นะ”
หลินอิงเอ่ยพลางดึงเครื่องประดับชุดเจ้าสาวชิ้นสุดท้ายออกมา ก่อนขบวนเจ้าสาวจะมาถึงจวนแม่ทัพ ใคร ๆ ที่มองดูต่างก็กล่าวว่านางช่างน่าอิจฉาที่ได้แต่งงานกับยอดแม่ทัพแห่งต้าเฟิง แต่ใครจะคิดว่าความจริงแล้วมันมิใช่เช่นนั้นเลยสักนิด
“ท่านบอกว่านายท่าน ทำข้อตกลงกับท่านแม่ทัพเอาไว้หรือเจ้าคะ”
“เมื่อครู่นี้เขาพูดออกมาเองว่า ท่านพ่อมีข้อตกลงกับกองทัพ เขาพูดถึงเรื่องการแต่งงาน และตำแหน่งฮูหยินตราตั้ง”
“ฮูหยินตราตั้งที่มอบให้กับภรรยาขุนนาง ที่ทำความดีความชอบให้กับบ้านเมือง มิน่าเล่านายท่านถึงไม่ส่งคุณหนูใหญ่มาแต่งงาน แม้ว่าท่านแม่ทัพจะหล่อเหลาถึงขนาดนี้ ที่แท้มีจุดประสงค์อื่นอยู่นี่เอง เช่นนั้นเรื่องที่ท่านจะเป็นหม้าย…”
“เพราะข้าพูดเรื่องนี้อย่างไรเล่า เขาถึงได้โกรธจน….”
หลินอิงพลางลูบไปที่ที่ใบหน้าซึ่งยังเจ็บอยู่ แต่มันก็ไม่มากไปว่าที่ถูกฮูหยินใหญ่ตีทุกครั้งที่นางทำผิด
“ช่างเถอะ ถึงอย่างไรก็ทนเห็นหน้ากันไม่กี่วัน เขาก็จะออกศึกแล้วมิใช่หรือ”
“ข้าไปสืบมาแล้วตอนที่ท่านเข้ามาในห้องส่งตัว เห็นว่าท่านแม่ทัพจะออกศึกอีกสิบห้าวันข้างหน้าเจ้าค่ะ”
“อะไรนะ สิบห้าวันงั้นหรือ ไหนบอกว่าเขาจะต้องออกศึกเลยอย่างไรเล่า นี่ท่านแม่หลอกข้างั้นหรือ”
“คุณหนูท่านก็ทราบดีว่า ฮูหยินใหญ่ไม่เคยพูดความจริงกับท่าน นางคงอยากให้ท่านทรมานยิ่งกว่าผู้ใดนะเจ้าคะ”
“แม้แต่ท่านพ่อก็ไม่พูดเรื่องนี้เลยสักนิด เขาบอกเพียงว่าแม้จะเป็นยอดขุนศึก แต่ก็มิอาจรับรองได้ว่าจะรอดกลับมาหรือไม่ ศึกชายแดนครั้งนี้เป็นศึกใหญ่ ดังนั้นเพื่อให้ข้ารอดพ้นจากความอยุติธรรมของฮูหยินใหญ่ เขาจึงส่งข้ามาแต่งงาน นี่ข้าหวังเชื่อคำลวงว่าเขาจะห่วงใยข้าได้เช่นไร”
“คุณหนู…ฮึก! อย่าร้องไห้เลยเจ้าค่ะ รอยที่หน้าของท่านจะเจ็บเอานะเจ้าคะ”
ฝ่ามือสากที่บีบใบหน้าของนางจนช้ำ ทำให้หลินอิงได้จดจำเอาไว้แล้วว่าในจวนนี้ ไม่มีผู้ใดจะเป็นมิตรกับนาง และไม่ควรจะไปยุ่งกับสิ่งที่ไม่ควรยุ่ง
“ข้าไม่มีวันที่จะอยู่ที่นี่นาน หลังจากจบเรื่องนี้แล้ว ต้องรีบพาท่านแม่ออกจากจวนสกุลเมิ่งและหนีไปไกล ๆ”
“เจ้าค่ะคุณหนู ข้าจะช่วยท่านอีกแรง เราต้องพาฮูหยินออกมาให้ได้”
ห้องหนังสือ
“ท่านแม่ทัพ… เหตุใดท่านจึงอยู่ที่นี่ขอรับ”
“แล้วเจ้าอยากให้ข้าอยู่ที่ไหน รายงานชายแดนว่าอย่างไรบ้าง”
“เอ่อ…”
“จื่อรั่ว! เจ้าไม่ได้ยินที่ข้าถามหรือ”
“นี่ขอรับ ตอนนี้คนของเราส่งรายงานมาว่าครั้งนี้แคว้นอู๋ยกขุนศึกมาเกือบสองพันนาย มีแม่ทัพใหญ่เจี้ยนหลัวเป็นผู้นำทัพมาด้วยตัวเองขอรับ”
“หึ ถึงกับส่งแม่ทัพใหญ่มาด้วยตัวเอง ครั้งนี้คงจะเป็นศึกใหญ่จริง ๆ ท่านอ๋องว่าอย่างไรบ้าง นอกจากคำสั่งให้ข้าไปตายแทนเขาแล้ว เจ้าคนชั่วนั่นมีคำสั่งใดเพิ่มอีกหรือไม่”
“ทางชิงอ๋องไม่มีการเคลื่อนไหวขอรับ ยังเก็บตัวเงียบอยู่ เหมือนกับว่ากลัวผู้คนจะถาม ท่านอ๋องผู้นี้เป็นถึงโอรสของฝ่าบาท แต่กลับทำเมินเฉยต่อศึกสงครามตรงหน้า ช่างขี้ขลาดยิ่งนัก”
หลิวเว่ยหยางอ่านรายงานแล้ววางลงในทันที พร้อมกับแสยะยิ้มออกมา
“ญาติผู้พี่ของข้าคนนี้ไม่เอาไหน ฝ่าบาทถึงให้เขามาดัดนิสัยที่เมืองต้าเฟิง คิดว่าจะรอดจากภัยสงคราม แต่ที่ไหนได้พระองค์คาดการณ์ผิดไปแล้ว ศึกครั้งนี้ใหญ่เกินกว่าที่ต้าเฟิงจะต้านไหว”
“ท่านแม่ทัพ สกุลเมิ่งส่งเสบียงครึ่งหนึ่งของที่ตกลงกันเอาไว้มาให้แล้วขอรับ”
“นับว่ายังมีสัจจะของความเป็นคนอยู่ เดี๋ยวก่อนนะ เมื่อครู่เจ้าบอกว่า แค่ครึ่งเดียวงั้นหรือ”
“ขอรับ พวกเขาบอกว่า…เอ่อ…”
“ว่ามา”
“ระ รอให้ฮูหยินได้ตำแหน่งฮูหยินตราตั้ง ถึงจะยอมส่งเสบียงที่เหลือไปให้กองทัพขอรับ”
“หึ นึกเอาไว้ไม่มีผิด สันดานพ่อค้าเชื่อถือไม่ได้ อยากแต่งข้าก็แต่งให้แล้ว ตอนนี้ยังมีหน้าเอาตำแหน่งนั่นมากดดันข้า ให้ไปเร่งชิงอ๋องอีกงั้นหรือ พวกสกุลเมิ่งจอมเจ้าเล่ห์ มากแผนการทุกคนจริง ๆ”
“ท่านแม่ทัพ แล้ว…”
“นางเองก็เช่นกัน แค่เห็นหน้าก็รู้สึกโกรธแล้ว มารยาร้อยเล่มเกวียน สตรีน่าเกลียด อย่าได้พูดถึงนางต่อหน้าข้าอีก”
“ขอรับ เช่นนั้น…”
“ข้าจะไปอยู่ที่ค่ายนอกเมือง จนกว่าจะออกศึก”
“มิได้ขอรับ”
“มีอะไรอีก!”
“ท่านอ๋องให้คนส่งหนังสือคำสั่งมาเมื่อคู่ รับสั่งว่าจนกว่าจะออกศึก ห้ามท่านแม่ทัพทำผิดธรรมเนียมการแต่งงาน และต้องอยู่ในจวน จนกว่าจะถึงกำหนดออกศึกขอรับ”
“ชิงอ๋องคิดจะให้ข้าทำตามคำสั่งของสกุลเมิ่ง เพื่อเขาจะได้ไม่ต้องเสียเงินในคลังซื้อเสบียงให้กองทัพ เจ้าอ๋องชั่วช้า!”
แม้จะรู้เช่นนั้น แต่คำสั่งของท่านอ๋องถือเป็นอำนาจเด็ดขาด ถึงจะรู้ว่าเขาเป็นผู้ปกครองที่ไร้ความสามารถ แต่บัดนี้ศึกนอกประชิดเมือง แม่ทัพหลิวเว่ยหยางจึงยังไม่จัดการเขา
ชิงอ๋องเองก็รู้เรื่องนี้ดีว่า แม่ทัพหลิวผู้นี้โหดเหี้ยมและเด็ดขาดเพียงใด หากว่าพระองค์มิใช่โอรสของฝ่าบาท เขาคงล้มบัลลังก์ในต้าเฟิงไปนานแล้ว
“ยังมีอีกคำสั่งหนึ่งขอรับ”
“อะไรอีก”
“อีกสามวันหลังจากงานแต่งเสร็จสิ้น ให้ท่านแม่ทัพพาฮูหยินเข้าเฝ้าท่านอ๋อง เพื่อรับตำแหน่งฮูหยินตราตั้งที่วังหลวงต้าเฟิงขอรับ”
แม่ทัพหลิวกำหมัดแน่น พร้อมกับสายตาที่เกรี้ยวกราด เขาอยากฆ่าคนในเวลานี้ แม้ว่าจะยังสวมชุดเจ้าบ่าวอยู่ก็ตาม
“เมิ่งฉีพ่อค้ามากเล่ห์… “เจิ้งหร่วนอวี้” เจ้าอ๋องทรราช เสร็จศึกนี้แล้ว ข้าคงต้องจัดการพวกคนชั่วพวกนี้ ให้พ้นแผ่นดินต้าเฟิงให้หมดเสียแล้ว”
“ท่านแม่ทัพขอรับ แล้วฮูหยินของท่าน จะให้พักที่ใดขอรับ ที่เดียวกับ…”
“ใครจะพักที่เดียวกันกับนางกัน! แค่ยอมเข้าพิธีแต่งงานด้วยข้าก็ขยะแขยงนางเต็มทีแล้ว บุตรสาวของพ่อค้าหน้าเลือดจอมโลภและเห็นแก่ตัว ข้าไม่มีทางพักร่วมชายคาเดียวกับนางเป็นแน่”
“เอ่อ… เช่นนั้นจะให้นางพักที่ใดเล่าขอรับ”
แม่ทัพหนุ่มหันไปมององครักษ์คนสนิท ที่ติดตามเขามาตั้งแต่เด็ก “จื่อรั่ว” ซึ่งเขาไม่ต่างกับน้องชายต่างสายเลือดที่รู้ใจกันมานาน และร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับเขามาทุกสมรภูมิ
“ให้นางไปพักเรือนเล็กด้านหลังจวน ไม่ต้องให้ใครไปยุ่งเกี่ยวกับนางทั้งสิ้น อยู่ได้ก็อยู่ หากอยู่ไม่ได้ ก็ให้นางกลับไปที่สกุลเมิ่งของนางเสีย!”
เขาบอกเพียงให้นางรับรู้เท่านั้น เพราะหลังจากนี้หลินอิงก็ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ ท่านอ๋องดุดันทุกสนามรบอยู่แล้ว แม่แต่ศึกรักก็มิได้ว่างเว้น เมื่อได้เริ่มขึ้นแล้ว เขาก็ไม่มีทางหยุดง่าย ๆ “อ๊ะ ท่านพี่เพคะ ตรงนี้ไม่ได้ อยู่ใกล้ห้องลูกเกินไป”“เช่นนั้นไปที่หน้าต่างกัน เจ้าชอบระเบียงมิใช่หรือ”“ท่านมันช่าง…อ๊าา อย่าสอดเข้ามาโดยไม่บอกเช่นนี้สิ หลิวเว่ยหยางคน…นิสัยเสีย อึ๊ยย อ๊าา ลึกไปแล้ว อ๊าาา"สะโพกของนางเบียดกับเขาจนแทบจะเป็นเนื้อเดียวกัน ไม่นานเขาก็ยกตัวนางขึ้น และตอกกระแทกเข้ามาที่เอว พระชายาเอนหงายตามแรงที่ถูกกระแทก นางอ้าปากเพื่อระบายหาอากาศหายใจ เมื่อถูกเข้ารุกเร้าเข้ามาไม่ยั้ง ตอนนี้ท่านอ๋องพานางมานั่งที่เตียง โดยให้นางนั่งคร่อมอยู่บนตัวเขา“อื้อ อ๊าาา อย่าดูดแรงสิเพคะ มัน เสียว…อ๊าา”“เช่นนั้นก็กระแทกลงมาให้แรงกว่านี้สิ เจ้าจะได้รู้สึกดีกว่านี้”เขาช่วยจับที่สะโพกของนาง และขยับขึ้นลงเป็นจังหวะ ลิ้นหนายังคงวนอยู่ที่สองเต้างามตรงหน้า ซึ่งเปียกไปด้วยน้ำลายและเริ่มมีรอยจ้ำแดงเต็มไปหมดทั้งตัว“ไปล้างตัวกันเถิด”“แน่ใจหรือเพคะว่าแค่ล้างตัว”ห้องอาบน้ำเขาใช้อ่างไม้ขนาดใหญ่เพื่อพานางมาล้างตัว
ห้าปีถัดมา / ตำหนักพระชายา"ข้าว่าปักเลื่อมลงที่ปกเสื้ออีกหน่อย น่าจะสวยนะ"“ข้าก็คิดเช่นนั้นเพคะ”“เสด็จแม่!”“เฉินเอ๋อร์ เจ้ามาได้อย่างไร มิใช่ว่าวันนี้เจ้าไปประชุมกับเสด็จพ่อมิใช่หรือ”“ข้ากลับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“เช่นนั้นเหตุใดจึงไม่ไปอาบน้ำ แล้วนี่เสด็จพ่อของเจ้าเล่า”“คุยกับท่านอาจื่อรั่วอยู่ข้างนอก ข้าวิ่งมาหาท่านก่อน”“เช่นนั้นก็พอดีเลย มานี่สิแม่กำลังตัดชุดใหม่ให้เจ้า ไหนลองสวมดูหน่อยสิว่าพอดีหรือไม่”พระชายาเริ่มสวมเสื้อให้กับท่านชายน้อย “หลิวซือเฉิน" ซึ่งเป็นโอรสองค์โตของท่านอ๋อง เขามีน้องสาวอีกคนซึ่งตอนนี้อายุได้เพียงสองปี โดยมีแม่นมเลี้ยงอยู่ในตำหนัก“พอดีเลย เหลือแค่ปักลายอีกนิดหน่อย ก็จะสวมทันฤดูหนาวนี้แล้ว”“ข้าจะทันได้สวมไปล่าสัตว์ฤดูหนาว กับเสด็จพ่อหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”“เจ้าเด็กน้อย อายุเท่านี้ก็อยากจะไปล่าสัตว์แล้วหรือ”“ข้าเริ่มฝึกดาบแล้ว ท่านแม่ตอนนี้ข้าเริ่มเก่งแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ”“จ้า ๆ ลูกแม่เก่งที่สุดอยู่แล้ว เอาล่ะเจ้าถอดเสื้อออกมาก่อน แม่ยังตัดเย็บไม่เสร็จ”“พ่ะย่ะค่ะ”ท่านอ๋องที่เสด็จเข้ามาพร้อมกับจื่อรั่ว ทันได้เห็นพระชายาที่กำลังถอดเสื้อให้กับหลิวซือเฉินพอดี เมื่อ
กว่าสามเดือนแล้ว ที่ทั้งสองย้ายเข้ามาอยู่ในวังหลวงของต้าเฟิง ตำหนักใหม่นี้ถูกสร้างขึ้น หลังจากที่ท่านอ๋องตัดสินใจว่าจะสร้างตำหนักชั้นเดียว เพื่อมิให้พระชายาต้องเดินขึ้นลง แม้ว่าจะอำนวยความสะดวกทุกอย่างเช่นนั้น แต่พระองค์ก็ยังคงไม่ไว้วางพระทัยทุกครั้งหลังจากประชุมเช้าเสร็จ ก็ต้องรีบกลับมาดูอาการของพระชายาเสียก่อน หากรู้เพียงนิดว่าพระชายาเกิดวิงเวียนศีรษะ หรือได้รับอุบัติเหตุ ต่อให้เพียงเล็กน้อย ท่านอ๋องก็รีบเสด็จมาทันทีห้องบรรทม“พอเถิดเพคะ ไหนว่าช่วงบ่ายจะเสด็จไปที่กรมกลาโหม คุยเรื่องเสบียงกองทัพอย่างไรเล่า”“เดี๋ยวก่อนสิ ขอฟังเสียงลูกอีกหน่อย เจ้าไม่เข้าใจหรอกว่าข้ากำลังคุยกับลูกอยู่”“เฮ้อ ไม่คิดว่าท่านพี่จะอาการหนักถึงขั้นนี้ เช่นนั้นให้หม่อมฉันไปด้วยเลยดีไหมเพคะ”“ไม่ได้นะ เจ้าจะเดินมาก ๆ หาได้ไม่ อีกอย่างวันนี้เจ้าดื่มยาแล้วหรือยัง เห็นว่าตอนเช้าอาเจียนอีกแล้ว”“ผู้ใดขยันฟ้องถึงเพียงนี้กันนะ”จื่อรั่วที่ยืนอยู่นอกห้อง จามออกมาโดยไม่ทันรู้ตัว นับตั้งแต่เข้าวังมาท่านอ๋องก็แทบจะไม่เป็นอันทำอะไรเลย หลังจากที่ขึ้นครองบัลลังก์ก็เริ่มส่งมอบงานให้แต่ละฝ่าย แม้ว่าทุกฝ่ายเขาจะดูแลเป็นอย่
หลินอิงนิ่งอึ้งไปพักใหญ่ กว่าจะทำความเข้าใจกับเรื่องที่เขาพูด แม้ว่าก่อนหน้านี้นางจะเคยรู้มาก่อนแล้วว่า ที่จริงผู้ที่จะขึ้นเป็นท่านอ๋องปกครองเมืองต้าเฟิง เดิมทีก็ต้องเป็นหลิวเว่ยหยางอยู่แล้ว แต่เขาไม่ยอมรับตำแหน่ง ฝ่าบาทจึงต้องให้ชิงอ๋องมาปกครองแทนก็ตาม“ท่านหมายความว่า”“จากฮูหยินตราตั้ง เจ้าก็จะกลายเป็นพระชายาหลิวอ๋องแห่งต้าเฟิงแทนอย่างไรเล่าเด็กโง่”“ขะ ข้าหรือเจ้าคะ”“ถูกต้องแล้ว อีกอย่างบุตรที่กำลังจะเกิดมา ก็จะเป็นท่านชายน้อยและท่านหญิงน้อยด้วย”“นี่มัน…เรื่องอันใดกัน”“เอาล่ะตอนนี้อย่าพึ่งคิดมากเลยนะ ทุกอย่างก็จบลงไปแล้ว จริงสิข้าลืมบอกเจ้าอีกอย่างหนึ่ง วันก่อนข้าสั่งให้คนนำป้ายวิญญาณของท่านแม่เจ้า ไปไว้ที่เรือนหลังเล็ก กำลังจะถามเจ้าว่า จะทำที่นั่นเป็นที่เก็บป้ายวิญญาณของท่านแม่เจ้าเลยดีหรือไม่”“แต่ว่าท่านแม่มิใช่คนสกุลหลิวนะเจ้าคะ”“แม่ภรรยาไม่ต่างกับแม่ตัวเอง หรือเจ้ามีที่ที่เหมาะกว่านั้นเล่า”“ข้าไม่ขัดข้องเจ้าค่ะ ตามใจท่าน”“อีกอย่างเราเองก็คงต้องย้ายเข้าไปในวังหลวงเร็ว ๆ นี้แล้ว จวนนี้คงจะมาได้เป็นครั้งคราวเท่านั้น”“เช่นนั้นหรือเจ้าคะ”“ตอนนี้เจ้านอนพักเสียก่อน รอให้ร่า
หลินอิงก้มหน้าลง แต่เขากลับใช้นิ้วจับคางนางขึ้นมา“เจ้ายอมรับโทษเสียแต่โดยดีเสียเถิด โทษหนักจะได้เป็นเบา”“ข้ามิได้ทำผิดอะไรนี่เจ้าคะ อีกอย่างข้าบอกท่านแล้วว่าจะไปหาท่านแม่ ข้ารู้ว่า…”นางเริ่มน้ำตารื้นอีกครั้ง เขาดึงนางเข้ามากอด ครั้งนี้นางยอมให้เขากอดแต่โดยดี และยังกอดตอบอีกด้วย “ข้ารู้ดีที่สุด แต่ไม่คิดเลยว่าจะเกิดเรื่องในวังขึ้นพร้อมกันเช่นนี้ ตั้งแต่วันที่แปลงผักของเจ้าถูกทำลาย ข้าก็รู้ตัวแล้วว่าทำไม่ถูก และกำลังทำร้ายเจ้าทางอ้อมมากขึ้น จึงรีบตัดสินใจที่จะไม่หาจวนให้พวกนาง และติดต่อไปที่ผู้เฒ่าสกุลว่านทันที”“นางคงอยากให้ท่านเป็นบิดาของเฟิงหลานจริง ๆ”“ไม่ใช่หรอก นางเพียงแค่ทำเพื่อตัวเองเท่านั้น ข้ารู้ดีว่านางมีจุดประสงค์ใด แต่ก็ยังใจอ่อนยอมให้นางพักอยู่ที่จวน เพราะทนเห็นหลานชายตัวเล็กซึ่งเป็นลูกของสหาย ออกไปลำบากข้างนอกไม่ได้ จนเผลอทำร้ายจิตใจเจ้า เกือบจะสายเกินไปเสียแล้ว อิงเอ๋อร์ข้าขอร้องเจ้าอย่างหนึ่งได้หรือไม่”“อะไรหรือเจ้าคะ”นางค่อย ๆ คลายอ้อมกอดมามองเขาอีกครั้ง สายตาอ้อนวอนของเขา ทำให้หัวใจนางอ่อนยวบลงมาในที่สุด“จากนี้ไปต่อให้จะทะเลาะกันเช่นไร ข้ายอมให้เจ้าโกรธ ตบตีข้า
จวนแม่ทัพหลินอิงกะพริบตาตื่นขึ้นมา ก็มองเห็นเพดานในห้องที่คุ้นเคย ดูเหมือนว่าที่นี่จะเป็นจวนแม่ทัพ และเป็นห้องนอนของนางและเขาบนเรือนใหญ่ นางได้ยินเสียงคนที่คุยกันอยู่ใกล ๆ แต่ก็แทบจะขยับตัวไม่ได้“นะ น้ำ”“อิงเอ๋อร์! ท่านหมอนางฟื้นแล้ว”ไม่นานเสียงฝีเท้าของคนไม่ต่ำกว่าสามคน ก็พากันเดินเข้ามา นางรู้สึกได้ว่าพื้นเรือนสั่น และมือหนาที่อบอุ่นก็หันมาจับนางเอาไว้“อิงเอ๋อร์เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง หิวน้ำหรือ”“อือ…”นางพูดได้เพียงเท่านั้น เสียงรินน้ำและส่งให้และค่อย ๆ ยกป้อนนางนั้นช่างอ่อนโยนยิ่งนัก“เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง ท่านหมอบอกว่าเจ้ามีไข้ และอ่อนเพลียเพราะพักผ่อนน้อย”“ข้าอยากกลับเรือนหลัง”“ไม่ได้ ที่นั่นไม่ปลอดภัย อีกอย่างที่นี่ก็เป็นห้องของเรา จะย้ายไปที่อื่นอีกทำไม”“ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่”"ท่านหมอ อาการของนางเป็นอย่างไรบ้าง รีบตรวจเถอะเร็วเข้า"“ขอรับท่านแม่ทัพ”เมื่อท่านหมอเอาผ้ามารองที่แขนของนาง ก็เริ่มจับชีพจรโดยมีเขาที่พยุงนางอยู่ข้าง ๆ ก่อนหน้านั้นมัวแต่ยุ่งเรื่องทำแผล และคุยกับท่านแม่ทัพ เขาเลยยังมิได้มาตรวจนางอย่างละเอียด เมื่อหันมามองหน้านางสลับกับท่านแม่ทัพก็เริ่มหันมายิ้ม“ฮ