“ตะ แต่ว่าเรือนเล็กหลังนั้นทั้งเก่าและทรุดโทรม แน่ใจหรือขอรับว่านางจะอยู่ได้”
“นั่นมันเรื่องของนาง ไม่ใช่ธุระของข้า เอารายงานนี้ไปส่ง อีกสองวันข้าต้องรู้ความเคลื่อนไหวของกองทัพแคว้นอู๋อย่างละเอียด”
“ขอรับท่านแม่ทัพ”
วันถัดมา
เมื่อหลินอิงตื่นขึ้นมา ก็มีสาวใช้เข้ามาแจ้งว่านางต้องย้ายไปที่เรือนพักด้านหลัง เดิมทีหลินอิงก็มิได้อยากอยู่ร่วมกับเขาอยู่แล้ว นางจึงย้ายไปโดยไม่มีคำถาม แต่เมื่อเดินไปที่เรือนเล็กด้านหลังก็ตกใจเล็กน้อย
“ถึงแล้วเจ้าค่ะฮูหยิน ข้าน้อยขอตัวก่อน”
“เอ๊ะ เดี๋ยวก่อนสิแล้ว… ไม่มีสาวใช้หรือคนอื่นที่จะมาช่วยทำความสะอาดเลยหรือ เดี๋ยวก่อนสิเจ้าอย่าพึ่งไป”
เมิ่งหลินอิงยืนมองสภาพเรือนเล็ก ที่เก่าและทรุดโทรม ที่นี่ดูไม่ต่างกับจวนเดิมที่นางจากมาก เพียงแค่ดีกว่านิดหน่อย
“เอาเถอะ อย่างน้อยหลังคาก็ไม่รั่ว แค่ต้องกวาดถูทำความสะอาดนิดหน่อย รีบทำเถอะ”
“แต่ว่า… นี่มันเกินไปแล้วนะเจ้าคะ ท่านเป็นถึงฮูหยินของเขาแต่กลับให้ท่านมาอยู่ในที่แบบนี้”
“ทำไมเล่าไม่ดีหรือ เรือนเก่าของท่านแม่ทรุดโทรมยิ่งกว่านี้อีก เจ้าจำไม่ได้หรือ อย่างน้อยก็แค่ต้องตัดหญ้ารอบ ๆ แต่ด้านในเหมือนจะยังใหม่อยู่นะ”
“คุณหนูท่านก็มองทุกอย่างในแง่ดีเหลือเกินนะเจ้าคะ ช่างเถอะ ข้าเองเจ้าค่ะ”
เรือนหลังนี้แม้จะเก่า แต่ก็ไม่ถึงกับอยู่ไม่ได้ ตัวเรือนยังแข็งแรงแค่ไม่มีคนดูแล โชคดีที่ยังไม่เก่าจนหลังคารั่วเหมือนห้องของมารดานางที่สกุลเมิ่ง แม้ในตอนนั้นนางอยากจะขึ้นไปซ่อมเอง แต่ก็กลัวคานไม้ที่ง่อนแง่นในจวนสกุลเมิ่งจะล้มลงมาจนเรือนพังเสียก่อน
หากเป็นเช่นนั้นมารดาของนางคงแย่ยิ่งกว่าเดิม แต่หลังจากที่นางแต่งออกมา ฮูหยินใหญ่รับปากแล้วว่า จะให้ท่านแม่ของนางย้ายมาอยู่เรือนตะวันตก ซึ่งเป็นเรือนที่ใหญ่และมีสาวใช้คอยดูแล
“คุณหนูเจ้าคะ ตรงนั้นหญ้ารกมากท่านอย่าเข้าไปดีกว่า ข้าเข้าไปทำเองเจ้าค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นข้าจะไปเก็บของข้างใน”
“เจ้าค่ะ”
หลินอิงแยกกับผิงเพ่ย เก็บกวาดของในเรือนให้พออยู่ได้ นางค่อย ๆ ดึงของและห่อผ้าที่รกรุงรังด้านในออกมา ไม่ทันระวังจึงถูกตะขาบที่ซ่อนอยู่ในห่อผ้ากัด
“โอ๊ย! ผิงเพ่ย!”
“คุณหนู ท่านเป็นอะไรไปเจ้าคะ”
เมื่อผิงเพ่ยเดินมา ก็ต้องตกใจเพราะตรงหน้าคือตะขาบตัวใหญ่ที่พึ่งกัดขาของเมิ่งหลินอิงไป
“ผลัวะ!”
“คุณหนูท่านเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ ข้าจะรีบล้างแผลให้ท่าน ยาล่ะ ยา…อยู่ที่ไหนละนี่”
“ไม่ต้องตื่นเต้น แค่ตะขาบตัวเดียวเองข้าไม่ทันระวัง”
“เคราะห์ซ้ำกรรมซัดจริง ๆ ทำไมชีวิตของพวกเราถึงไม่มีเรื่องดีบ้างเลยนะ”
“เอาเถอะผิงเพ่ย อย่างน้อยที่นี่ก็ยังมีห้องครัวและเราก็มีเงิน เอาไว้ทำความสะอาดเสร็จแล้ว เจ้าก็ออกไปซื้อของมาทำของอร่อย ๆ กิน ดีหรือไม่”
“คุณหนูท่านก็ช่างปลอบข้าเหลือเกินนะเจ้าคะ ทั้ง ๆ ที่ตัวเองเจ็บมากแท้ ๆ”
“รีบล้างแผลก่อนเถอะ ยังเหลืออีกไม่มากแล้วเจ้าจะได้นั่งพักด้วย”
“เจ้าค่ะ”
สองวันถัดมา
หลิวเว่ยหยางมิได้สนใจเรื่องของเมิ่งหลินอิง ที่พึ่งย่ายไปอยู่ที่เรือนด้านหลังอีกเลย เขาแทบจะลืมนางไปแล้วด้วยซ้ำ หากไม่มีจื่อรั่วที่มาเตือนว่าในวันพรุ่งนี้เขาและนางต้องเข้าวัง เพื่อไปรับตำแหน่งฮูหยินตราตั้งชั้นพิเศษ ที่ท่านอ๋องเป็นตัวแทนฝ่าบาทมอบให้ฮูหยินแม่ทัพหลิว
“พรุ่งนี้หรือ ข้าลืมไปสนิทเลย เช่นนั้นเจ้าก็ไปแจ้งนางเถอะ”
“เอ่อ ข้าน้อยหรือขอรับ”
“เอาเถอะข้าไปเองก็ได้ ถึงอย่างไรก็ต้องไปไหนมาไหนด้วยกันอยู่ดี ต่อให้อึดอัดแค่ไหนก็เลี่ยงไม่ได้อยู่ดี”
แม่ทัพหลิวเดินไปยังเรือนด้านหลัง ซึ่งเขาไม่เคยเดินมาที่นี่นานแล้ว เดิมทีเคยเป็นเรือนพักของแม่นมที่ดูแลเขามาตั้งแต่เด็ก หลังจากนางเสียไปก็ไม่มีใครกล้ามาพักที่นี่อีกเลย แต่เมื่อจะเดินเข้าประตูวงพระจันทร์เข้าไป ในตอนนี้กลับได้ยินเสียงหัวเราะของสตรีดังออกมา ซึ่งทำให้เขารู้สึกแปลกใจไม่น้อย
“เจ้าต่างหากเล่า หัวยุ่งเหมือนผักกาดเลย”
“คุณหนูท่านอย่าเอาแต่เล่นสิเจ้าคะ…ท่านแม่ทัพ!”
หลินอิงสะดุ้งสุดตัว เมื่อรู้ว่าผู้ใดที่เดินเข้ามา เมื่อนางหันมาก็ตกใจกับบุรุษหนุ่มในชุดลำลองสีเข้ม ผมที่ถูกจัดทรงและรวบด้วยกวานสีเงินครึ่งศีรษะ ใบหน้าคมคายหล่อเหลา ไม่ต่างกับวันแต่งงานเดินเข้ามาใกล้ ๆ นาง
“นี่พวกเจ้า… ทำอะไรกันอยู่ ที่นี่...”
เขามองไปรอบ ๆ เรือนหลังเล็ก ซึ่งก่อนหน้านี้แทบจะไม่ใช่ที่สำหรับคนอยู่ แต่บัดนี้พวกนางเก็บกวาดจนเรียบ และตอนนี้เหมือนจะกำลังยกหน้าดินเพื่อปลูกบางอย่าง ใบหน้าของคุณหนูเมิ่งที่เข้าพิธีแต่งงานกับเขา ตอนนี้เปื้อนมอมไปด้วยดินอยู่เต็มแก้ม จนไม่เห็นความงามในวันส่งตัวที่เขาจำได้
“ข้า… ก็แค่ปลูกผัก”
“ปลูกผัก หึ ไม่คิดว่าคุณหนูจวนเศรษฐีเช่นเจ้า จะจับจอบขุดดินเป็นด้วย ช่างเป็นเรื่องที่น่าแปลกเหลือเกิน เจ้าตั้งใจทำให้ใครดูงั้นหรือ เสแสร้งไปก็ไร้ประโยชน์”
“ท่านแม่ทัพ หากท่านไม่มีธุระอันใดก็หลีกไปเถอะเจ้าค่ะ ข้ากำลังยุ่งอยู่ไม่ว่างรับแขก หลีก!”
นางจงใจกระแทกจอบในมือ ซึ่งให้ผิงเพ่ยไปซื้อมาวันก่อนใส่หน้าเท้าของเขา หลิวเว่ยหยางถอยหลบจนเริ่มโมโห
“พอแล้ว! ข้ามาที่นี่ย่อมมีธุระ ตามข้าออกมานี่ ทางที่ดีเช็ดหน้าเช็ดตาให้ดูเหมือนคนเสียก่อน แล้วค่อยมาคุยกัน”
หลินอิงกำจอบในมือแน่นด้วยความโกรธ เมื่อแม่ทัพหนุ่มหันไปนางจึงรีบยกขึ้นทำท่าจะฟาด แต่เขากลับหันมาเสียก่อน นางจึงรีบยกลงทันที
“ข้าจะไปรอที่โต๊ะหน้าเรือน อย่าให้ข้าต้องรอนาน”
พูดแล้วก็เดินหันหลังออกไปทันที เขาไม่ลืมสังเกตว่าพวกนางใช้เวลาแค่สองวัน แต่กลับทำให้ที่นี่น่าอยู่ไม่ต่างกับตอนที่แม่นมของเขาพัก เพราะการตายของนางในครั้งนั้น ทำให้เขาไม่อยากเห็นเรือนหลังนี้อีก ไม่คิดว่าจู่ ๆ วันนี้มันจะกลับมามีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง
“มันเคยงดงามขนาดนี้จริง ๆ หรือ”
แม่นมฮ่าวหลิงเลี้ยงดูเขามาตั้งแต่เด็ก หลังจากบิดาของเขาสิ้นไปพร้อมกับโรคระบาดในกองทัพ เขาไม่รับตำแหน่งอ๋องแทนบิดา ตามที่ฮ่องเต้ซึ่งถือเป็นพระเชษฐาของบิดาจะมอบให้
ดังนั้นฝ่าบาท จึงประทานยศแม่ทัพใหญ่รักษาดินแดนต้าเฟิงให้เขา และส่งชิงอ๋องที่ไม่ได้เรื่องมาอยู่ที่นี่ หมายจะให้เรียนรู้จากเขา แต่ท่านอ๋องกลับไม่เอาไหน วัน ๆ สนใจแต่สุรานารีและอบายมุข เขาคิดว่านี่คงจะเป็นแผนการของฝ่าบาท ที่อยากให้เขากลับคืนสู่ตำแหน่งอ๋องนั่นเอง
“ท่านมีธุระอะไรก็รีบพูดเถอะเจ้าค่ะ”
หลิวเว่ยหยางตกใจเล็กน้อย เมื่อได้ยินเสียงของหลินอิงที่เดินมาด้านหลัง เขามองไปรอบ ๆ เรือนที่สะอาดและเริ่มมีดอกไม้ในสวน หลังจากพวกนางกำจัดวัชพืชออกไป ตอนนี้นางไปล้างหน้ามาแล้วเมื่อเขาหันไปก็ต้องตกใจ เพราะไม่คิดว่าสตรีผู้นี้ จะมีใบหน้าที่หมดจดงดงามไม่ต่างกับสตรีแรกแย้ม เพียงแต่นางไม่ใช้เครื่องประทินโฉมที่ดูน่ารำคาญพวกนั้น
“ท่านแม่ทัพ!”
“นั่งก่อนสิ ข้าพูดไม่นานหรอก นั่นอะไร”
“น้ำชาอย่างไรเล่าเจ้าคะ”
“ข้าหมายถึงในจานนั่น”
“วันนี้ข้าทำขนม”
“อ้อ คิดจะเอาใจข้างั้นหรือ”
“ท่านหลงตัวเองเกินไปแล้ว น้ำชานั่นข้านำมารับรองท่านตามมารยาท แต่ขนมนี่ข้าทำเองกับมือก็เลยจะเอามากินเอง ไม่ได้เอามาให้ท่านสักหน่อย เชิญว่าธุระของท่านมาได้แล้วเจ้าค่ะ”
เขาบอกเพียงให้นางรับรู้เท่านั้น เพราะหลังจากนี้หลินอิงก็ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ ท่านอ๋องดุดันทุกสนามรบอยู่แล้ว แม่แต่ศึกรักก็มิได้ว่างเว้น เมื่อได้เริ่มขึ้นแล้ว เขาก็ไม่มีทางหยุดง่าย ๆ “อ๊ะ ท่านพี่เพคะ ตรงนี้ไม่ได้ อยู่ใกล้ห้องลูกเกินไป”“เช่นนั้นไปที่หน้าต่างกัน เจ้าชอบระเบียงมิใช่หรือ”“ท่านมันช่าง…อ๊าา อย่าสอดเข้ามาโดยไม่บอกเช่นนี้สิ หลิวเว่ยหยางคน…นิสัยเสีย อึ๊ยย อ๊าา ลึกไปแล้ว อ๊าาา"สะโพกของนางเบียดกับเขาจนแทบจะเป็นเนื้อเดียวกัน ไม่นานเขาก็ยกตัวนางขึ้น และตอกกระแทกเข้ามาที่เอว พระชายาเอนหงายตามแรงที่ถูกกระแทก นางอ้าปากเพื่อระบายหาอากาศหายใจ เมื่อถูกเข้ารุกเร้าเข้ามาไม่ยั้ง ตอนนี้ท่านอ๋องพานางมานั่งที่เตียง โดยให้นางนั่งคร่อมอยู่บนตัวเขา“อื้อ อ๊าาา อย่าดูดแรงสิเพคะ มัน เสียว…อ๊าา”“เช่นนั้นก็กระแทกลงมาให้แรงกว่านี้สิ เจ้าจะได้รู้สึกดีกว่านี้”เขาช่วยจับที่สะโพกของนาง และขยับขึ้นลงเป็นจังหวะ ลิ้นหนายังคงวนอยู่ที่สองเต้างามตรงหน้า ซึ่งเปียกไปด้วยน้ำลายและเริ่มมีรอยจ้ำแดงเต็มไปหมดทั้งตัว“ไปล้างตัวกันเถิด”“แน่ใจหรือเพคะว่าแค่ล้างตัว”ห้องอาบน้ำเขาใช้อ่างไม้ขนาดใหญ่เพื่อพานางมาล้างตัว
ห้าปีถัดมา / ตำหนักพระชายา"ข้าว่าปักเลื่อมลงที่ปกเสื้ออีกหน่อย น่าจะสวยนะ"“ข้าก็คิดเช่นนั้นเพคะ”“เสด็จแม่!”“เฉินเอ๋อร์ เจ้ามาได้อย่างไร มิใช่ว่าวันนี้เจ้าไปประชุมกับเสด็จพ่อมิใช่หรือ”“ข้ากลับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“เช่นนั้นเหตุใดจึงไม่ไปอาบน้ำ แล้วนี่เสด็จพ่อของเจ้าเล่า”“คุยกับท่านอาจื่อรั่วอยู่ข้างนอก ข้าวิ่งมาหาท่านก่อน”“เช่นนั้นก็พอดีเลย มานี่สิแม่กำลังตัดชุดใหม่ให้เจ้า ไหนลองสวมดูหน่อยสิว่าพอดีหรือไม่”พระชายาเริ่มสวมเสื้อให้กับท่านชายน้อย “หลิวซือเฉิน" ซึ่งเป็นโอรสองค์โตของท่านอ๋อง เขามีน้องสาวอีกคนซึ่งตอนนี้อายุได้เพียงสองปี โดยมีแม่นมเลี้ยงอยู่ในตำหนัก“พอดีเลย เหลือแค่ปักลายอีกนิดหน่อย ก็จะสวมทันฤดูหนาวนี้แล้ว”“ข้าจะทันได้สวมไปล่าสัตว์ฤดูหนาว กับเสด็จพ่อหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”“เจ้าเด็กน้อย อายุเท่านี้ก็อยากจะไปล่าสัตว์แล้วหรือ”“ข้าเริ่มฝึกดาบแล้ว ท่านแม่ตอนนี้ข้าเริ่มเก่งแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ”“จ้า ๆ ลูกแม่เก่งที่สุดอยู่แล้ว เอาล่ะเจ้าถอดเสื้อออกมาก่อน แม่ยังตัดเย็บไม่เสร็จ”“พ่ะย่ะค่ะ”ท่านอ๋องที่เสด็จเข้ามาพร้อมกับจื่อรั่ว ทันได้เห็นพระชายาที่กำลังถอดเสื้อให้กับหลิวซือเฉินพอดี เมื่อ
กว่าสามเดือนแล้ว ที่ทั้งสองย้ายเข้ามาอยู่ในวังหลวงของต้าเฟิง ตำหนักใหม่นี้ถูกสร้างขึ้น หลังจากที่ท่านอ๋องตัดสินใจว่าจะสร้างตำหนักชั้นเดียว เพื่อมิให้พระชายาต้องเดินขึ้นลง แม้ว่าจะอำนวยความสะดวกทุกอย่างเช่นนั้น แต่พระองค์ก็ยังคงไม่ไว้วางพระทัยทุกครั้งหลังจากประชุมเช้าเสร็จ ก็ต้องรีบกลับมาดูอาการของพระชายาเสียก่อน หากรู้เพียงนิดว่าพระชายาเกิดวิงเวียนศีรษะ หรือได้รับอุบัติเหตุ ต่อให้เพียงเล็กน้อย ท่านอ๋องก็รีบเสด็จมาทันทีห้องบรรทม“พอเถิดเพคะ ไหนว่าช่วงบ่ายจะเสด็จไปที่กรมกลาโหม คุยเรื่องเสบียงกองทัพอย่างไรเล่า”“เดี๋ยวก่อนสิ ขอฟังเสียงลูกอีกหน่อย เจ้าไม่เข้าใจหรอกว่าข้ากำลังคุยกับลูกอยู่”“เฮ้อ ไม่คิดว่าท่านพี่จะอาการหนักถึงขั้นนี้ เช่นนั้นให้หม่อมฉันไปด้วยเลยดีไหมเพคะ”“ไม่ได้นะ เจ้าจะเดินมาก ๆ หาได้ไม่ อีกอย่างวันนี้เจ้าดื่มยาแล้วหรือยัง เห็นว่าตอนเช้าอาเจียนอีกแล้ว”“ผู้ใดขยันฟ้องถึงเพียงนี้กันนะ”จื่อรั่วที่ยืนอยู่นอกห้อง จามออกมาโดยไม่ทันรู้ตัว นับตั้งแต่เข้าวังมาท่านอ๋องก็แทบจะไม่เป็นอันทำอะไรเลย หลังจากที่ขึ้นครองบัลลังก์ก็เริ่มส่งมอบงานให้แต่ละฝ่าย แม้ว่าทุกฝ่ายเขาจะดูแลเป็นอย่
หลินอิงนิ่งอึ้งไปพักใหญ่ กว่าจะทำความเข้าใจกับเรื่องที่เขาพูด แม้ว่าก่อนหน้านี้นางจะเคยรู้มาก่อนแล้วว่า ที่จริงผู้ที่จะขึ้นเป็นท่านอ๋องปกครองเมืองต้าเฟิง เดิมทีก็ต้องเป็นหลิวเว่ยหยางอยู่แล้ว แต่เขาไม่ยอมรับตำแหน่ง ฝ่าบาทจึงต้องให้ชิงอ๋องมาปกครองแทนก็ตาม“ท่านหมายความว่า”“จากฮูหยินตราตั้ง เจ้าก็จะกลายเป็นพระชายาหลิวอ๋องแห่งต้าเฟิงแทนอย่างไรเล่าเด็กโง่”“ขะ ข้าหรือเจ้าคะ”“ถูกต้องแล้ว อีกอย่างบุตรที่กำลังจะเกิดมา ก็จะเป็นท่านชายน้อยและท่านหญิงน้อยด้วย”“นี่มัน…เรื่องอันใดกัน”“เอาล่ะตอนนี้อย่าพึ่งคิดมากเลยนะ ทุกอย่างก็จบลงไปแล้ว จริงสิข้าลืมบอกเจ้าอีกอย่างหนึ่ง วันก่อนข้าสั่งให้คนนำป้ายวิญญาณของท่านแม่เจ้า ไปไว้ที่เรือนหลังเล็ก กำลังจะถามเจ้าว่า จะทำที่นั่นเป็นที่เก็บป้ายวิญญาณของท่านแม่เจ้าเลยดีหรือไม่”“แต่ว่าท่านแม่มิใช่คนสกุลหลิวนะเจ้าคะ”“แม่ภรรยาไม่ต่างกับแม่ตัวเอง หรือเจ้ามีที่ที่เหมาะกว่านั้นเล่า”“ข้าไม่ขัดข้องเจ้าค่ะ ตามใจท่าน”“อีกอย่างเราเองก็คงต้องย้ายเข้าไปในวังหลวงเร็ว ๆ นี้แล้ว จวนนี้คงจะมาได้เป็นครั้งคราวเท่านั้น”“เช่นนั้นหรือเจ้าคะ”“ตอนนี้เจ้านอนพักเสียก่อน รอให้ร่า
หลินอิงก้มหน้าลง แต่เขากลับใช้นิ้วจับคางนางขึ้นมา“เจ้ายอมรับโทษเสียแต่โดยดีเสียเถิด โทษหนักจะได้เป็นเบา”“ข้ามิได้ทำผิดอะไรนี่เจ้าคะ อีกอย่างข้าบอกท่านแล้วว่าจะไปหาท่านแม่ ข้ารู้ว่า…”นางเริ่มน้ำตารื้นอีกครั้ง เขาดึงนางเข้ามากอด ครั้งนี้นางยอมให้เขากอดแต่โดยดี และยังกอดตอบอีกด้วย “ข้ารู้ดีที่สุด แต่ไม่คิดเลยว่าจะเกิดเรื่องในวังขึ้นพร้อมกันเช่นนี้ ตั้งแต่วันที่แปลงผักของเจ้าถูกทำลาย ข้าก็รู้ตัวแล้วว่าทำไม่ถูก และกำลังทำร้ายเจ้าทางอ้อมมากขึ้น จึงรีบตัดสินใจที่จะไม่หาจวนให้พวกนาง และติดต่อไปที่ผู้เฒ่าสกุลว่านทันที”“นางคงอยากให้ท่านเป็นบิดาของเฟิงหลานจริง ๆ”“ไม่ใช่หรอก นางเพียงแค่ทำเพื่อตัวเองเท่านั้น ข้ารู้ดีว่านางมีจุดประสงค์ใด แต่ก็ยังใจอ่อนยอมให้นางพักอยู่ที่จวน เพราะทนเห็นหลานชายตัวเล็กซึ่งเป็นลูกของสหาย ออกไปลำบากข้างนอกไม่ได้ จนเผลอทำร้ายจิตใจเจ้า เกือบจะสายเกินไปเสียแล้ว อิงเอ๋อร์ข้าขอร้องเจ้าอย่างหนึ่งได้หรือไม่”“อะไรหรือเจ้าคะ”นางค่อย ๆ คลายอ้อมกอดมามองเขาอีกครั้ง สายตาอ้อนวอนของเขา ทำให้หัวใจนางอ่อนยวบลงมาในที่สุด“จากนี้ไปต่อให้จะทะเลาะกันเช่นไร ข้ายอมให้เจ้าโกรธ ตบตีข้า
จวนแม่ทัพหลินอิงกะพริบตาตื่นขึ้นมา ก็มองเห็นเพดานในห้องที่คุ้นเคย ดูเหมือนว่าที่นี่จะเป็นจวนแม่ทัพ และเป็นห้องนอนของนางและเขาบนเรือนใหญ่ นางได้ยินเสียงคนที่คุยกันอยู่ใกล ๆ แต่ก็แทบจะขยับตัวไม่ได้“นะ น้ำ”“อิงเอ๋อร์! ท่านหมอนางฟื้นแล้ว”ไม่นานเสียงฝีเท้าของคนไม่ต่ำกว่าสามคน ก็พากันเดินเข้ามา นางรู้สึกได้ว่าพื้นเรือนสั่น และมือหนาที่อบอุ่นก็หันมาจับนางเอาไว้“อิงเอ๋อร์เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง หิวน้ำหรือ”“อือ…”นางพูดได้เพียงเท่านั้น เสียงรินน้ำและส่งให้และค่อย ๆ ยกป้อนนางนั้นช่างอ่อนโยนยิ่งนัก“เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง ท่านหมอบอกว่าเจ้ามีไข้ และอ่อนเพลียเพราะพักผ่อนน้อย”“ข้าอยากกลับเรือนหลัง”“ไม่ได้ ที่นั่นไม่ปลอดภัย อีกอย่างที่นี่ก็เป็นห้องของเรา จะย้ายไปที่อื่นอีกทำไม”“ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่”"ท่านหมอ อาการของนางเป็นอย่างไรบ้าง รีบตรวจเถอะเร็วเข้า"“ขอรับท่านแม่ทัพ”เมื่อท่านหมอเอาผ้ามารองที่แขนของนาง ก็เริ่มจับชีพจรโดยมีเขาที่พยุงนางอยู่ข้าง ๆ ก่อนหน้านั้นมัวแต่ยุ่งเรื่องทำแผล และคุยกับท่านแม่ทัพ เขาเลยยังมิได้มาตรวจนางอย่างละเอียด เมื่อหันมามองหน้านางสลับกับท่านแม่ทัพก็เริ่มหันมายิ้ม“ฮ