LOGINเมื่องานเลี้ยงเลิก เหล่าบรรดาขุนนางและฮูหยินที่เข้ามารับตำแหน่งพร้อมกันในวันนี้ก็เริ่มทยอยกลับ เว่ยหยางรู้สึกว่าหลินอิงเงียบลงผิดปกติ นางไม่ถามเขาเลยสักคำ ตลอดเวลาที่เดินออกมาจากห้องโถงงานเลี้ยงและส่งนางขึ้นรถม้า
“เจ้ากลับไปที่จวนก่อน ข้าจะแวะไปที่ค่ายนอกเมือง”
นางเพียงแค่พยักหน้ารับรู้ และเดินเข้าไปในรถม้าอย่างว่าง่าย หลิวเว่ยหยางเองก็มิได้สงสัยอะไร เพราะเดิมทีเขาก็ไม่ได้สนใจว่านางจะรู้สึกเช่นไรอยู่แล้ว จึงไม่ได้รู้สึกผิดสังเกตแต่อย่างใด เพียงแค่ก่อนหน้านี้เขาเห็นนางพูดมากกว่านี้เท่านั้นเอง
จวนแม่ทัพ
“คุณหนู เหตุใดท่านกลับมาจากวังหลวงก็ไม่พูดอะไรเลยเล่าเจ้าคะ”
“ผิงเพ่ยเจ้าเอาเงินนี่ไป แล้วไปสืบให้ข้าทีว่าตอนนี้ท่านแม่อยู่ในจวนสกุลเมิ่ง มีความเป็นอยู่อย่างไรบ้าง”
“เหตุใดจู่ ๆ ท่านก็นึกสงสัยขึ้นมา หรือว่าในวังวันนี้มีอะไรเกิดขึ้นหรือเจ้าคะ”
“ไม่มีอะไรหรอก ข้าก็แค่คิดถึงท่านแม่เท่านั้น อยากรู้ว่าฮูหยินใหญ่กับท่านพ่อ จะทำตามที่รับปากข้าอยู่หรือไม่”
“เช่นนั้นข้าจะรีบไปสืบจากคนที่ทำงานในจวนดูเจ้าค่ะ ข้ารู้จักพวกนางหลายคนในครัวที่พอจะใช้เงินได้”
“รีบไปรีบกลับ”
“เจ้าค่ะ”
วันนี้หลินอิงรู้สึกว่านางโตขึ้นกว่าเมื่อก่อนแล้ว หลังจากที่ได้รู้ว่าเบื้องหน้าของแต่ละคนที่ฉาบสิ่งสวยงามเอาไว้ แต่เบื้องหลังกลับเน่าเฟะจนมิอาจคาดเดา นางไม่อยากทนอยู่ในที่ที่ไม่มีใครเห็นคุณค่า และไม่ต้องการเป็นกาฝากในชีวิตผู้อื่น แม้ว่าตอนนี้จะขึ้นชื่อว่าเป็นหญิงที่แต่งงานแล้ว แต่กฎหมายของต้าเฟิงไม่มีข้อใดห้ามสตรีหย่าสามีได้
“หมดเวลาของเด็กน้อยไร้เดียงสาแล้ว นับจากนี้ไปข้าจะไม่ยอมให้ผู้ใดมาบงการชีวิตนี้อีก”
สองวันถัดมา
วันนี้นางกับผิงเพ่ยรดน้ำแปลงผักเสร็จแล้ว ก็ออกมาเก็บของข้างในห้องและจัดให้เข้าที่ แม้ว่าจะมิได้อยู่เรือนใหญ่ แต่ท่านแม่ทัพก็มิได้ให้พวกนางขาดแคลนเงินและอาหาร
“ฮูหยิน นี่เป็นเงินเดือนที่ท่านแม่ทัพให้นำมามอบให้ท่านเจ้าค่ะ”
“เงินเดือนของท่านแม่ทัพ แล้วมาให้ข้าทำไมกัน”
สาวใช้หันมามองหน้านางด้วยความแปลกใจ หลินอิงนึกขึ้นมาได้ว่าบัดนี้นางคือฮูหยินในจวนแม่ทัพ จึงได้รีบหันไปยิ้มให้กับสาวใช้ท่าทางเป็นมิตรผู้นั้นอีกครั้ง
“เอ่อ ขอบใจเจ้ามากที่เอามาให้ข้า เจ้า…”
“ข้าชื่อเย่าชิงเจ้าค่ะ ที่จริงข้าเป็นคนเสนอตัว เพื่อนำเงินนี้มาให้ฮูหยินด้วยตัวเอง ใต้เท้าผู้ดูแลบัญชีก็เลยอนุญาต”
“ทำไมเจ้าถึงอยากมาที่นี่กันเล่า”
“ข้าเคยได้ยินเสียงพวกท่านคุยกัน แล้วก็เห็นพวกท่านทำสวนและทำขนมดูน่าสนุก ก็เลย…”
หลินอิงหันมายิ้มกับเย่าชิงที่พูดอย่างอาย ๆ จึงหันไปหาผิงเพ่ยเพื่อให้นางช่วย ผิงเพ่ยจึงดึงนางมานั่งข้าง ๆ ทันที
“นี่เย่าชิง หากว่าเจ้าอยากจะมาที่นี่ก็มาได้ทุกเมื่อ คุณหนูไม่สิฮูหยินไม่ว่าอะไรเจ้าหรอก นี่ลองชิมขนมดูสิ วันนี้ข้าทำขนมถั่วเขียวต้มน้ำตาลเจ้าลองดูว่าอร่อยหรือไม่”
"ข้ากินได้หรือเจ้าคะ"
“ได้สิ ข้าทำเอาไว้เยอะเลย”
“ถ้าอย่างนั้น…”
“กินเถอะ หากไม่พอเจ้ากับผิงเพ่ยก็ไปตักมาเพิ่ม ข้าจะรีบเอาเงินนี้ไปเก็บก่อน”
“ขอบคุณฮูหยินเจ้าค่ะ”
หลินอิงนำเงินที่ได้มาจากเย่าชิงเข้ามาเก็บในเรือน เมื่อนางเปิดดูก็พบว่าเงินนั้นไม่น้อยเลย
“ห้าร้อยตำลึง เงินเยอะขนาดนี้ให้ข้าหมด แล้วเขาจะใช้อะไรเล่า หรือว่ายังมีเงินอย่างอื่น”
หลังจากนั้นหลินอิงจึงสอบถาม เรื่องเกี่ยวกับแม่ทัพหลิวผ่านเย่าชิงที่มาอยู่กับพวกนางตลอดทั้งช่วงเช้า จึงรู้ว่าก่อนหน้านี้ แม่ทัพหลิวผู้เฒ่าบิดาของหลิวเว่ยหยาง เป็นพระอนุชาของฮ่องเต้ แต่เพราะไม่อยากทำให้ฝ่าบาทและเหล่าองค์ชายบางคนทรงระแวง และต้องรักษาบุตรคนสุดท้ายของสกุลหลิวเอาไว้ เขาจึงไม่รับตำแหน่งอ๋องต่อจากบิดา
“เจ้าเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับ… สตรีอื่นหรือไม่เย่าชิง”
“สตรีอื่นหรือเจ้าคะ เรื่องนี้… ข้าน่าจะมาไม่ทันเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นหรือ ไม่เป็นไรหรอก”
ไม่นานพวกนางก็ช่วยกันเก็บของที่เรือน เย่าชิงเล่าว่านางมาอยู่ที่จวนแม่ทัพได้เพียงสองปีเท่านั้น เรื่องก่อนหน้านี้ไม่ทราบอะไรมาก ส่วนเรื่องเกี่ยวกับในจวนล้วนแต่มีคนเล่าให้ฟัง
“อย่างน้อยเราก็ได้รู้ว่า ที่จวนนี้ไม่มีใครรังเกียจเรานะเจ้าคะคุณหนู”
“จะมีได้เช่นไร ฮูหยินนอกจากไม่วางอำนาจ ไม่สร้างความวุ่นวายแล้ว ยังมีน้ำใจและยังอยู่เงียบ ๆ พวกข้าหลายคนนึกอยากจะมา แต่ก็กลัวว่าท่านจะต่อว่า อีกอย่างก่อนหน้านี้…”
“ท่านแม่ทัพสั่งมิให้ผู้ใดมายุ่งกับข้าสินะ”
เย่าชิงรู้สึกผิดเล็กน้อย แต่ก็ต้องพยักหน้ารับ
“เจ้าค่ะ แต่ที่จริงข้าอยากจะมานานแล้ว”
“เหตุใดตอนนี้เขาถึงไม่ว่าแล้วเล่า”
“เมื่อวานนี้ท่านแม่ทัพ เรียกสาวใช้มาและถามว่ามีใครอยากจะมาดูแลฮูหยินที่นี่บ้าง มีหลายคนที่อยากจะมาเจ้าค่ะ แต่ข้าโชคดีเพราะคนอื่น ๆ มีหน้าที่ของตัวเองดูแล พ่อบ้านจิ่วเลยให้ข้ามา ข้าดีใจมากเลยเจ้าค่ะ”
“เป็นแบบนี้เองหรอกหรือ เช่นนั้นขอต้อนรับอย่างเป็นทางการนะเย่าชิง จากนี้เรื่องในเรือนนี้ก็ฝากเจ้ากับผิงเพ่ยดูแลด้วย”
“ได้เจ้าค่ะ ข้าจะทำให้เต็มที่”
“ขอบใจมาก”
พวกนางทั้งสามคนนั่งคุยกันในสวน ไม่นานพ่อบ้านของแม่ทัพ ซึ่งนามว่า “จิ่วหลง” ก็เดินเข้ามาหา
“ฮูหยินขอรับ”
“พ่อบ้านจิ่ว มีอะไรงั้นหรือเหตุใดจู่ ๆ มาหาข้าที่นี่”
“เอ่อ… ท่านพ่อของท่านมาเยี่ยมขอรับ”
หลินอิงหันมามองหน้าผิงเพ่ย สายตาของนางแข็งกร้าวขึ้นทันทีเมื่อรู้ว่าผู้ใดมาหาที่จวน แม้แต่พ่อบ้านจิ่วเองก็กระอักกระอ่วนที่จะบอกนางเช่นกัน
“เช่นนั้นข้าจะไปพบเขาได้ที่ใด”
“ตอนนี้ข้าน้อยให้รออยู่ที่ห้องโถงเล็กขอรับ ฮูหยินจะไปพบพวกเขาเลยหรือไม่”
“พวกเขางั้นหรือ”
“ขอรับ นายท่านเมิ่งมากับฮูหยินขอรับ”
“ขอบคุณมากพ่อบ้านจิ่ว อีกเดี๋ยวข้าออกไปหาพวกเขาเอง”
“ขอรับ”
“คุณหนูเจ้าคะ”
“ไปเถอะ ไม่มีอะไรต้องกลัวแล้วนี่ เย่าชิงเจ้าอยู่ที่นี่ก่อน ไม่ต้องไปหรอก”
“เจ้าค่ะฮูหยิน”
นางกับผิงเพ่ย เดินไปที่ห้องโถงเล็กตามที่พ่อบ้านจิ่วบอก เมื่อเดินเข้ามาก็พบกับบิดาและฮูหยินใหญ่นั่งรออยู่ด้านใน ท่าทางของผู้เป็นบิดาดูร้อนรน ส่วนฮูหยินใหญ่ยังมีสีหน้าวางท่าและนั่งรอนิ่ง ๆ
“คารวะท่านพ่อ ท่านแม่”
“กว่าจะออกมาได้ ข้านึกว่าต้องให้คนเชิญเกี้ยวไปรับมาเสียอีก”
“ฮูหยินอย่าพูดมาก อิงเอ๋อร์เจ้ามาก็ดีแล้วนั่งก่อนสิ นั่งก่อน ๆ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ได้ข่าวว่าเข้าวังไปรับตราตั้งมาแล้วมิใช่หรือ”
นี่คือคำถามแรกของผู้เป็นบิดาถาม เมื่อเขาพบหน้าครั้งแรกหลังจากที่ส่งนางมาที่จวนแม่ทัพ พ่อบ้านจิ่วเห็นว่าไม่มีอะไรจึงได้เดินกลับออกไป ฮูหยินใหญ่เมื่อเห็นเช่นนั้น ก็รีบเดินมาและดึงแขนนางขึ้นมาทันที
“นางตัวดี! ที่ข้ากับพ่อของเจ้ารีบมาที่นี่ ก็เพื่ออยากจะรู้ว่าเจ้าไปก่อเรื่องอะไรในวังมาจนเกือบจะถูกยึดตราตั้งนั้นคืน!”
“ฮูหยิน เจ้าสำรวมหน่อยที่นี่เป็นจวนแม่ทัพนะ”
"หวังอี้จิงหันมามองหน้าหลินอิง ด้วยความเกลียดอย่างที่สุดและรีบสะบัดมือที่จิกเข้าไปในแขนของนางออกอย่างแรง
“โอ๊ย!”
“คุณหนูเจ้าคะ”
หลินอิงหันไปมองบิดาและฮูหยินใหญ่ ที่ยืนอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง
“ที่แท้พวกท่านก็มาที่นี่เพื่อสิ่งนี้จริง ๆ”
“อิงเอ๋อร์ ในเมื่อเจ้าได้รับแต่งตั้งมาแล้ว ก็จงรีบเอาตราตั้งมาให้พ่อเถอะ จะได้รีบเอาไปไว้ที่ร้านเพื่อให้ทุกคนได้เห็นว่า ร้านของเรามีฮูหยินตราตั้ง การค้าของพ่อในหอการค้า และท่าเรือจะได้ทำได้สะดวกขึ้น”
หลินอิงหันมามองหน้าบิดา ที่เห็นเพียงการค้าเท่านั้นที่สำคัญที่สุด เขาต้องการตราตั้ง เพื่อจะให้หอการค้ายอมเปิดเส้นทางการค้าทางเรือ จะได้ทำเงินเข้าสกุลเมิ่ง
“อิงเอ๋อร์ ว่าอย่างไรไหนเล่าตราตั้งนั่น”
“ท่านพ่อ ก่อนที่ข้าจะแต่งเข้ามาที่จวนแม่ทัพแห่งนี้ พวกท่านรับปากข้าว่าจะย้ายท่านแม่ไปเรือนพักใหม่ และหาหมอชั้นดีมารักษาให้แม่ของข้า พวกท่าน… ทำแล้วหรือยังถึงได้กล้ามาหาข้าถึงที่นี่”
เขาบอกเพียงให้นางรับรู้เท่านั้น เพราะหลังจากนี้หลินอิงก็ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ ท่านอ๋องดุดันทุกสนามรบอยู่แล้ว แม่แต่ศึกรักก็มิได้ว่างเว้น เมื่อได้เริ่มขึ้นแล้ว เขาก็ไม่มีทางหยุดง่าย ๆ “อ๊ะ ท่านพี่เพคะ ตรงนี้ไม่ได้ อยู่ใกล้ห้องลูกเกินไป”“เช่นนั้นไปที่หน้าต่างกัน เจ้าชอบระเบียงมิใช่หรือ”“ท่านมันช่าง…อ๊าา อย่าสอดเข้ามาโดยไม่บอกเช่นนี้สิ หลิวเว่ยหยางคน…นิสัยเสีย อึ๊ยย อ๊าา ลึกไปแล้ว อ๊าาา"สะโพกของนางเบียดกับเขาจนแทบจะเป็นเนื้อเดียวกัน ไม่นานเขาก็ยกตัวนางขึ้น และตอกกระแทกเข้ามาที่เอว พระชายาเอนหงายตามแรงที่ถูกกระแทก นางอ้าปากเพื่อระบายหาอากาศหายใจ เมื่อถูกเข้ารุกเร้าเข้ามาไม่ยั้ง ตอนนี้ท่านอ๋องพานางมานั่งที่เตียง โดยให้นางนั่งคร่อมอยู่บนตัวเขา“อื้อ อ๊าาา อย่าดูดแรงสิเพคะ มัน เสียว…อ๊าา”“เช่นนั้นก็กระแทกลงมาให้แรงกว่านี้สิ เจ้าจะได้รู้สึกดีกว่านี้”เขาช่วยจับที่สะโพกของนาง และขยับขึ้นลงเป็นจังหวะ ลิ้นหนายังคงวนอยู่ที่สองเต้างามตรงหน้า ซึ่งเปียกไปด้วยน้ำลายและเริ่มมีรอยจ้ำแดงเต็มไปหมดทั้งตัว“ไปล้างตัวกันเถิด”“แน่ใจหรือเพคะว่าแค่ล้างตัว”ห้องอาบน้ำเขาใช้อ่างไม้ขนาดใหญ่เพื่อพานางมาล้างตัว
ห้าปีถัดมา / ตำหนักพระชายา"ข้าว่าปักเลื่อมลงที่ปกเสื้ออีกหน่อย น่าจะสวยนะ"“ข้าก็คิดเช่นนั้นเพคะ”“เสด็จแม่!”“เฉินเอ๋อร์ เจ้ามาได้อย่างไร มิใช่ว่าวันนี้เจ้าไปประชุมกับเสด็จพ่อมิใช่หรือ”“ข้ากลับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“เช่นนั้นเหตุใดจึงไม่ไปอาบน้ำ แล้วนี่เสด็จพ่อของเจ้าเล่า”“คุยกับท่านอาจื่อรั่วอยู่ข้างนอก ข้าวิ่งมาหาท่านก่อน”“เช่นนั้นก็พอดีเลย มานี่สิแม่กำลังตัดชุดใหม่ให้เจ้า ไหนลองสวมดูหน่อยสิว่าพอดีหรือไม่”พระชายาเริ่มสวมเสื้อให้กับท่านชายน้อย “หลิวซือเฉิน" ซึ่งเป็นโอรสองค์โตของท่านอ๋อง เขามีน้องสาวอีกคนซึ่งตอนนี้อายุได้เพียงสองปี โดยมีแม่นมเลี้ยงอยู่ในตำหนัก“พอดีเลย เหลือแค่ปักลายอีกนิดหน่อย ก็จะสวมทันฤดูหนาวนี้แล้ว”“ข้าจะทันได้สวมไปล่าสัตว์ฤดูหนาว กับเสด็จพ่อหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”“เจ้าเด็กน้อย อายุเท่านี้ก็อยากจะไปล่าสัตว์แล้วหรือ”“ข้าเริ่มฝึกดาบแล้ว ท่านแม่ตอนนี้ข้าเริ่มเก่งแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ”“จ้า ๆ ลูกแม่เก่งที่สุดอยู่แล้ว เอาล่ะเจ้าถอดเสื้อออกมาก่อน แม่ยังตัดเย็บไม่เสร็จ”“พ่ะย่ะค่ะ”ท่านอ๋องที่เสด็จเข้ามาพร้อมกับจื่อรั่ว ทันได้เห็นพระชายาที่กำลังถอดเสื้อให้กับหลิวซือเฉินพอดี เมื่อ
กว่าสามเดือนแล้ว ที่ทั้งสองย้ายเข้ามาอยู่ในวังหลวงของต้าเฟิง ตำหนักใหม่นี้ถูกสร้างขึ้น หลังจากที่ท่านอ๋องตัดสินใจว่าจะสร้างตำหนักชั้นเดียว เพื่อมิให้พระชายาต้องเดินขึ้นลง แม้ว่าจะอำนวยความสะดวกทุกอย่างเช่นนั้น แต่พระองค์ก็ยังคงไม่ไว้วางพระทัยทุกครั้งหลังจากประชุมเช้าเสร็จ ก็ต้องรีบกลับมาดูอาการของพระชายาเสียก่อน หากรู้เพียงนิดว่าพระชายาเกิดวิงเวียนศีรษะ หรือได้รับอุบัติเหตุ ต่อให้เพียงเล็กน้อย ท่านอ๋องก็รีบเสด็จมาทันทีห้องบรรทม“พอเถิดเพคะ ไหนว่าช่วงบ่ายจะเสด็จไปที่กรมกลาโหม คุยเรื่องเสบียงกองทัพอย่างไรเล่า”“เดี๋ยวก่อนสิ ขอฟังเสียงลูกอีกหน่อย เจ้าไม่เข้าใจหรอกว่าข้ากำลังคุยกับลูกอยู่”“เฮ้อ ไม่คิดว่าท่านพี่จะอาการหนักถึงขั้นนี้ เช่นนั้นให้หม่อมฉันไปด้วยเลยดีไหมเพคะ”“ไม่ได้นะ เจ้าจะเดินมาก ๆ หาได้ไม่ อีกอย่างวันนี้เจ้าดื่มยาแล้วหรือยัง เห็นว่าตอนเช้าอาเจียนอีกแล้ว”“ผู้ใดขยันฟ้องถึงเพียงนี้กันนะ”จื่อรั่วที่ยืนอยู่นอกห้อง จามออกมาโดยไม่ทันรู้ตัว นับตั้งแต่เข้าวังมาท่านอ๋องก็แทบจะไม่เป็นอันทำอะไรเลย หลังจากที่ขึ้นครองบัลลังก์ก็เริ่มส่งมอบงานให้แต่ละฝ่าย แม้ว่าทุกฝ่ายเขาจะดูแลเป็นอย่
หลินอิงนิ่งอึ้งไปพักใหญ่ กว่าจะทำความเข้าใจกับเรื่องที่เขาพูด แม้ว่าก่อนหน้านี้นางจะเคยรู้มาก่อนแล้วว่า ที่จริงผู้ที่จะขึ้นเป็นท่านอ๋องปกครองเมืองต้าเฟิง เดิมทีก็ต้องเป็นหลิวเว่ยหยางอยู่แล้ว แต่เขาไม่ยอมรับตำแหน่ง ฝ่าบาทจึงต้องให้ชิงอ๋องมาปกครองแทนก็ตาม“ท่านหมายความว่า”“จากฮูหยินตราตั้ง เจ้าก็จะกลายเป็นพระชายาหลิวอ๋องแห่งต้าเฟิงแทนอย่างไรเล่าเด็กโง่”“ขะ ข้าหรือเจ้าคะ”“ถูกต้องแล้ว อีกอย่างบุตรที่กำลังจะเกิดมา ก็จะเป็นท่านชายน้อยและท่านหญิงน้อยด้วย”“นี่มัน…เรื่องอันใดกัน”“เอาล่ะตอนนี้อย่าพึ่งคิดมากเลยนะ ทุกอย่างก็จบลงไปแล้ว จริงสิข้าลืมบอกเจ้าอีกอย่างหนึ่ง วันก่อนข้าสั่งให้คนนำป้ายวิญญาณของท่านแม่เจ้า ไปไว้ที่เรือนหลังเล็ก กำลังจะถามเจ้าว่า จะทำที่นั่นเป็นที่เก็บป้ายวิญญาณของท่านแม่เจ้าเลยดีหรือไม่”“แต่ว่าท่านแม่มิใช่คนสกุลหลิวนะเจ้าคะ”“แม่ภรรยาไม่ต่างกับแม่ตัวเอง หรือเจ้ามีที่ที่เหมาะกว่านั้นเล่า”“ข้าไม่ขัดข้องเจ้าค่ะ ตามใจท่าน”“อีกอย่างเราเองก็คงต้องย้ายเข้าไปในวังหลวงเร็ว ๆ นี้แล้ว จวนนี้คงจะมาได้เป็นครั้งคราวเท่านั้น”“เช่นนั้นหรือเจ้าคะ”“ตอนนี้เจ้านอนพักเสียก่อน รอให้ร่า
หลินอิงก้มหน้าลง แต่เขากลับใช้นิ้วจับคางนางขึ้นมา“เจ้ายอมรับโทษเสียแต่โดยดีเสียเถิด โทษหนักจะได้เป็นเบา”“ข้ามิได้ทำผิดอะไรนี่เจ้าคะ อีกอย่างข้าบอกท่านแล้วว่าจะไปหาท่านแม่ ข้ารู้ว่า…”นางเริ่มน้ำตารื้นอีกครั้ง เขาดึงนางเข้ามากอด ครั้งนี้นางยอมให้เขากอดแต่โดยดี และยังกอดตอบอีกด้วย “ข้ารู้ดีที่สุด แต่ไม่คิดเลยว่าจะเกิดเรื่องในวังขึ้นพร้อมกันเช่นนี้ ตั้งแต่วันที่แปลงผักของเจ้าถูกทำลาย ข้าก็รู้ตัวแล้วว่าทำไม่ถูก และกำลังทำร้ายเจ้าทางอ้อมมากขึ้น จึงรีบตัดสินใจที่จะไม่หาจวนให้พวกนาง และติดต่อไปที่ผู้เฒ่าสกุลว่านทันที”“นางคงอยากให้ท่านเป็นบิดาของเฟิงหลานจริง ๆ”“ไม่ใช่หรอก นางเพียงแค่ทำเพื่อตัวเองเท่านั้น ข้ารู้ดีว่านางมีจุดประสงค์ใด แต่ก็ยังใจอ่อนยอมให้นางพักอยู่ที่จวน เพราะทนเห็นหลานชายตัวเล็กซึ่งเป็นลูกของสหาย ออกไปลำบากข้างนอกไม่ได้ จนเผลอทำร้ายจิตใจเจ้า เกือบจะสายเกินไปเสียแล้ว อิงเอ๋อร์ข้าขอร้องเจ้าอย่างหนึ่งได้หรือไม่”“อะไรหรือเจ้าคะ”นางค่อย ๆ คลายอ้อมกอดมามองเขาอีกครั้ง สายตาอ้อนวอนของเขา ทำให้หัวใจนางอ่อนยวบลงมาในที่สุด“จากนี้ไปต่อให้จะทะเลาะกันเช่นไร ข้ายอมให้เจ้าโกรธ ตบตีข้า
จวนแม่ทัพหลินอิงกะพริบตาตื่นขึ้นมา ก็มองเห็นเพดานในห้องที่คุ้นเคย ดูเหมือนว่าที่นี่จะเป็นจวนแม่ทัพ และเป็นห้องนอนของนางและเขาบนเรือนใหญ่ นางได้ยินเสียงคนที่คุยกันอยู่ใกล ๆ แต่ก็แทบจะขยับตัวไม่ได้“นะ น้ำ”“อิงเอ๋อร์! ท่านหมอนางฟื้นแล้ว”ไม่นานเสียงฝีเท้าของคนไม่ต่ำกว่าสามคน ก็พากันเดินเข้ามา นางรู้สึกได้ว่าพื้นเรือนสั่น และมือหนาที่อบอุ่นก็หันมาจับนางเอาไว้“อิงเอ๋อร์เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง หิวน้ำหรือ”“อือ…”นางพูดได้เพียงเท่านั้น เสียงรินน้ำและส่งให้และค่อย ๆ ยกป้อนนางนั้นช่างอ่อนโยนยิ่งนัก“เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง ท่านหมอบอกว่าเจ้ามีไข้ และอ่อนเพลียเพราะพักผ่อนน้อย”“ข้าอยากกลับเรือนหลัง”“ไม่ได้ ที่นั่นไม่ปลอดภัย อีกอย่างที่นี่ก็เป็นห้องของเรา จะย้ายไปที่อื่นอีกทำไม”“ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่”"ท่านหมอ อาการของนางเป็นอย่างไรบ้าง รีบตรวจเถอะเร็วเข้า"“ขอรับท่านแม่ทัพ”เมื่อท่านหมอเอาผ้ามารองที่แขนของนาง ก็เริ่มจับชีพจรโดยมีเขาที่พยุงนางอยู่ข้าง ๆ ก่อนหน้านั้นมัวแต่ยุ่งเรื่องทำแผล และคุยกับท่านแม่ทัพ เขาเลยยังมิได้มาตรวจนางอย่างละเอียด เมื่อหันมามองหน้านางสลับกับท่านแม่ทัพก็เริ่มหันมายิ้ม“ฮ







