“ลูกรักเจ้าต้องมั่นใจในตนเองให้มาก ความงามและสติปัญญาของเจ้าเหนือกว่านางมากนัก อย่าได้แยแสต่อบุรุษที่มิเห็นค่าของเจ้า แต่จงยืนให้เหนือผู้ที่ทำร้ายเจ้าเท่านั้น”
“แต่ข้ารักเขา”
“ความรักย่อมต้องมิทำให้เกิดความทุกข์ หากมันไร้ซึ่งความสุขมันย่อมมิใช่ความรัก นับจากนี้จงฟังแม่เจ้าต้องใส่ใจเพียงอำนาจในมือ เพราะมันคือสิ่งเดียวที่จะทำให้เจ้าอยู่รอด”
“แต่ว่า...”
ชุ่ยเหนียงเฟยยกนิ้วทาบริมฝีปากบุตรสาว ความรักทำให้จ้าวอี้เหมยมองไม่เห็นความเป็นจริง นางผู้เป็นมารดามีหน้าที่ปกป้องลูก ดังนั้นนางจำต้องสอนให้บุตรสาว ยืนอยู่บนความจริงมากกว่าความรู้สึกอันเลื่อนลอย
เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ใกล้เข้ามา ทำให้สองแม่หยุดการสนทนาลงในทันที เพราะหากเดาไม่ผิดก็คงเป็นจ้าวอ๋องอย่างแน่นอน
“เกิดเรื่องอันใดขึ้นลูกพ่อ”
คำถามจากคนด้านหน้าประตูดังขึ้น ก่อนที่เขาจะทันได้ก้าวเข้ามาด้านใน จ้าวอี้เหมยผละออกจากอ้อมกอดของมารดา วิ่งเข้าสวมกอดผู้เป็นพ่อ พร้อมสะอื้อไห้ปานจะขาดใจ
“น้องหญิงเจ้าเป็นอันใดไป”
เสียงทุ้มลึกดังมาจากด้านหลังจ้าวอ๋อง ทำให้ชุ่ยเหนียงเฟยรีบตีหน้าเศร้า ก้าวเข้าหาบุตรชาย ที่เดินมาหยุดอยู่ข้างน้องสาวและผู้เป็นพ่อ
เรื่องราวต่าง ๆ ถูกเล่าออกมาพร้อมเสียงสะอื้นของจ้าวอี้เหมย สี่พ่อแม่ลูกต่างเอ่ยปลอบโยนกันไปมา โดยไม่รู้เลยว่าเรื่องราวนั้นถูกบิดเบือนโดยสองแม่ลูก
ทว่าคนที่รู้เรื่องราวแท้จริงเป็นอย่างดี ได้หายไปอย่างเงียบ ๆ เพื่อกลับไปแจ้งข่าวแก่ผู้เป็นนาย
จวนแม่ทัพหลี่จ้าน
จ้าวหลิวหลีนั่งปักผ้าในมืออย่างใจเย็น โดยมีคำรายงานเรื่องราวที่นางมองว่าเป็นเรื่องตลกขบขัน หญิงสาวหัวเราะในลำคออย่างอารมณ์ดี นางยังไม่ทันได้ลงมือจริงจังเสียหน่อย
แต่กลับมีคนเดือดร้อนจนมิอาจนิ่งเฉยได้ ต่อให้เรื่องนี้นางไม่คิดทำอะไร คนเช่นสองแม่ลูกนั้นก็คงหาเรื่องมาให้นางอยู่ดี
“เรื่องสองแม่ลูกนั้น ให้ผู้เป็นใหญ่จัดการไปเถอะ เอาเรื่องสำคัญที่ข้าเพิ่งรู้มาวันนี้จะดีกว่า บอกแก่อีกาว่าเร่งหายาถอนพิษและคนบงการมาให้ข้า ก่อนที่สามีของข้าจะเข้ามาถึงเมืองหลวง”
จ้าวหลิวหลีเปลี่ยนจากรอยยิ้มเป็นใบหน้าเคร่งเครียด นางจะให้อิสระของตนเองถูกพรากไปมิได้เป็นอันขาด เพราะหากเกิดสิ่งใดขึ้นกับสามี ความยุ่งยากจะต้องตามมาไม่ขาดสายเป็นแน่
หลี่จ้านผู้เถรตรงย่อมมีคนต้องการกำจัดเขาอยู่ไม่น้อย และนางก็หวังว่าคงไม่ใช่คนในสายเลือดเดียวกันกับเขาหรือนาง เพราะหากเป็นเช่นนั้นคงยากจะทำใจยอมรับมันได้โดยง่าย
“นายหญิงโปรดวางใจ ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อยดีขอรับ”
ชายหนุ่มในชุดดำประสานมือให้แก่จ้าวหลิวหลี ก่อนจะหายตัวไปทางด้านหลังห้องอย่างรวดเร็ว
“เสี่ยวเชี่ยน”
“เจ้าค่ะ”
“ข้าจะไปอยู่ที่อารามหมิงเหล่ยสักหลายวันหน่อย เพื่อสวดมนต์ให้แก่ดวงวิญญาณของท่านแม่ เจ้านำเรื่องนี้ไปแจ้งแก่พ่อบ้านเจาที ข้าจะออกเดินทางเย็นนี้เลย”
เป็นอันรู้กันระหว่างนายบ่าว ถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงของการเดินทางไปนอกเมืองหลวงในครานี้
“เสี่ยวเชี่ยนทราบแล้วเจ้าค่ะ”
เสี่ยวเชี่ยนรับคำของผู้เป็นนาย ก่อนจะรีบออกก้าวออกจากห้องไปในทันที
จ้าวหลิวหลีรู้ดี ว่าการเดินทางออกจากเมืองหลวงเวลานี้ ดูจะไม่เหมาะเท่าใดนัก แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อศัตรูหมายจะปลิดชีพนาง จะให้นั่งรออยู่ภายในจวน แล้วเบื้องหลังอีกด้านของนางถูกค้นพบเช่นนั้นหรือ นางไม่มีวันให้เกิดขึ้นเสียล่ะ และนางก็ไม่จำเป็นต้องบอกเหตุผลที่แท้จริงแก่ผู้ใดเช่นกัน
ใช้เวลาเพียงไม่นานรถม้าจวนหลี่ได้เคลื่อนออกนอกประตูเมือง โดยมีทหารคุ้มกันติดตามไปหลายคน แม้ว่าพ่อบ้านเจาพยายามทัดทานฮูหยิน แต่เขาก็มิอาจเปลี่ยนใจผู้เป็นนายสาวได้เลย
พ่อบ้านเจาจึงตัดสินใจ ติดตามฮูหยินไปยังอารามนอกเมืองหลวง ด้วยคำสั่งของท่านแม่ทัพ คือความปลอดภัยของฮูหยินมาเป็นที่หนึ่ง เขาไม่อาจวางใจในผู้อื่นได้ จำต้องติดตามอารักษ์ขานางด้วยตนเอง
“ข้าจะบาปหรือไม่นะ ที่พาคนแก่มาลำบากด้วยเช่นนี้”
จ้าวหลิวหลีเอ่ยทีเล่นทีจริงกับเสี่ยวเชี่ยน นางไม่ได้อยากที่จะให้ผู้ใดมาลำบากด้วย ต่อให้นางเดินทางมาเพียงสองคนกับเสี่ยวเชี่ยน นางก็มั่นใจว่าจะไร้รอยขีดข่วนจากศัตรู และยิ่งจะเป็นการดีที่พวกนางลงมือต่อผู้ไม่หวังดีได้อย่างสะดวก
แต่เมื่อหลีกเลี่ยงคนเช่นเจาหยางมิได้ พวกนางทำได้เพียงนิ่งเงียบเอาไว้เท่านั้น แน่นอนว่าทหารของสกุลหลี่ คงไม่ชอบใจกับความดื้อรั้นของนางในวันนี้เท่าใดนัก
จะชอบหรือไม่นางไม่คิดจะใส่ใจ เพราะตอนนี้หมากในกระดานเริ่มขยับบ้างแล้ว นางจำต้องกำจัดเบี้ยของศัตรูทิ้งไปเสียบ้าง จะได้มิรกกระดานจนเกินไป
“ไม่หรอกเจ้าค่ะ ท่านลุงเจาแม้ภายนอกจะดูชรา แต่ฝีมือยังคงเดิมอยู่นะเจ้าคะ”
เสี่ยวเชี่ยนตอบผู้เป็นนายพร้อมส่งเสียงหัวเราะคิกคัก ทำให้จ้าวหลิวหลีเอ็นดูกับความสดใสของสาวใช้ข้างกายยิ่งนัก
“ช่างคิดนะเจ้า”
สองนายบ่าวเงียบเสียงลง เมื่อรับรู้ถึงสิ่งผิดปกติที่อยู่ด้านนอก รถม้ามุ่งตรงไปตามเส้นทางป่าไผ่ ความเร็วที่ใช้เสมือนการแข่งขันกับดวงตะวันที่กำลังลับเหลี่ยมเขา
เจาหยางหันมองรถม้าเป็นระยะ พ่อบ้านสูงวัยเก็บงำความสงสัยเอาไว้ภายใต้ใบหน้านิ่งเรียบ แม้ว่าเขาต้องการที่จะรู้ในสิ่งที่ผู้เป็นนายกำลังคิดจะกระทำให้มากกว่านี้ แต่ด้วยฐานะเพียงพ่อบ้านของเขาก็มิอาจก้าวล่วงความคิดของผู้เป็นนายได้
แม้ว่าการออกเดินทางในวันนี้นั้น นับว่าเป็นเรื่องธรรมดาของฮูหยิน ที่ไปพำนักยังอารามนอกเมือง เพื่อสวดมนต์ให้แก่ดวงวิญญาณอดีตพระชายาเอกในจ้าวอ๋อง แต่ที่ต่างออกไปจากทุกครั้งคือความเร่งรีบในการเดินทาง ในทุกปีนั้นฮูหยินจะบอกเขาล่วงหน้าอยู่หลายวันก่อนออกเดินทาง
แต่ในวันนี้กลับสั่งการ โดยไม่ใส่ใจคำทัดทานของเขาเลยแม้แต่น้อย ยามนี้ท่านแม่ทัพหาได้ไร้ซึ่งศัตรูไม่ อันตรายย่อมมีมากกว่าเดิมหลายเท่าตัว
แต่ก็น่าแปลกใจที่ครั้งนี้ฮูหยิน เลือกที่จะออกไปนอกเมืองในขณะที่ขบวนทัพของท่านแม่ทัพ กำลังมุ่งหน้าสู่เมืองหลวงด้วยเส้นทางนี้เช่นเดียวกัน
หรือฮูหยินต้องการออกมารอรับท่านแม่ทัพยังนอกเมือง ซึ่งความห่างไกลกันอาจทำให้นางคิดถึงผู้เป็นนายของเขาขึ้นมาก็เป็นได้ จนมิอาจทนรออยู่แต่ภายในจวนได้
นางไม่รู้ว่าเพราะความผิดพลาดที่ใด คนที่อยู่บนเตียงกับจ้าวหลิวหลี จึงได้กลายมาเป็นแม่ทัพหนุ่มผู้นี้ ทั้งที่นางหมายจะเก็บเขาเอาไว้ใช้งาน เพื่อเป็นบันไดให้แก่ลูก ๆ ของนาง แต่ก็นั้นแหละหลี่จ้านเป็นเพียงแม่ทัพ มิรู้ว่าอนาคตจะไปได้ไกลสักเท่าใดกัน จะมีเขาหรือไม่ในตอนนี้ก็หาได้สำคัญต่อนางแล้ว “ไม่จริง! ข้าไม่ได้คิดต่ำช้าเช่นนั้น ฮือ ๆ” จ้าวหลิวหลีกรีดร้องด้วยความเสียใจ หญิงสาวร้องไห้จนสิ้นสติลงในอ้อมแขนของแม่ทัพหนุ่ม “ปล่อยนางซะ! หลี่จ้าน” จ้าวอ๋องคำรามก้อง เมื่อเห็นบุตรสาวสิ้นสติอยู่ในอ้อมกอดของแม่ทัพหนุ่ม เขาไม่คิดเลยว่าจะต้องมาอับอายต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ “ข้าหลี่จ้านขอพูดเพียงครั้งเดียว และจะทำอย่างที่พูด ข้าจะแต่งท่านหญิงใหญ่จ้าวหลิวหลีเข้าจวน ในฐานนะภรรยาเพียงหนึ่งเดียว ข้าหวังว่าทุกท่านจะเป็นพยาน และข้าหลี่จ้านต้องขออภัยต่อท่านอ๋องในสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้” แม่ทัพหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ก่อนจะตลบผ้าห่มผืนใหญ่พันร่างของคนในอ้อมแขนเอาไว้ ก่อนจะขยับลุกโดยมีร่างของหญิงสาวอยู่แนบกาย ชายหนุ
สิบวันถัดมา ข่าวการตายท่านอ๋องน้อยสกุลจ้าว และพระชายาในองค์ชายสี่ได้ถูกโจรปล้น ขณะที่ท่านอ๋องน้อยพาน้องสาวไปท่องเที่ยวยังอารามนอกเมือง ยังไม่ทันซา ข่าวการสิ้นพระชนขององค์ชายห้าก็แผ่ออกไปทั่วเมืองหลวง องค์ชายห้าเกิดล้มป่วยจนสิ้นพระชนนับเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงเลย และข่าวที่ชาวเมืองโจษจันไม่แพ้กัน ที่อยู่ ๆ ทางด้านองค์ชายสี่ได้ออกเดินทางสู่ชายแดนเหนือ หลังสูญเสียพระชายา ชาวเมืองต่างแสดงความเห็นใจองค์ชาย ที่ทนทำใจกับการตายของพระชายาไม่ได้ จึงทรงเดินทางไปอยู่ชายแดนเพื่อรักษาบาดแผลทางใจ แม้ว่าชาวเมืองบางกลุ่มจะมีความคิดเห็นขัดแย้งอยู่บ้าง ส่วนเรื่องของพระนางหรู่เฟย ถูกปิดเป็นความลับ อย่างไรเสียงเรื่องสตรีวังหลังหายตัวไปนับเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว พระนางหรู่เฟยทำเรื่องเสื่อมเสีย ย่อมไม่ได้รับให้ฝังในสุสานหลวงอย่างแน่นอนส่วนจวนแม่ทัพนั้นดูจะหอมอบอวลไปด้วยความสุข เมื่อแม่ทัพหลี่นั้นได้สั่งให้ย้ายข้าวของทั้งหมดจากเรือนหลิวหลี ไปยังเรือนใหญ่ของท่านตนเอง เสียงหัวเราะต่อกระซิกดังขึ้นเป็นระยะจากในสวนดอกไม้ คงจะเป็นผู้ใดไปไม่ได้นอกจากเจ้าของจวนทั้งสองหย
แต่วันนี้เขาคงต้องตัดความคิดนั้นออกไปเสีย ใครจะไปคาดคิดว่าท่านหญิงกำพร้ามารดาเช่นนาง จะมีฝีมือมากถึงเพียงนี้ อีกทั้งหลี่จ้านที่ควรจะอ่อนแรงด้วยพิษที่เขาให้ตูหลงใส่ในอาหารยาบำรุงกลับไม่เป็นอะไรเลย ทั้งยังมายืนลอยหน้าลอยตาต่อหน้าเขาอยู่ในตอนนี้“เจ้าคงไม่คิดที่จะทำเรื่องสิ้นคิดหรอกนะ หลี่จ้าน”“หากข้าปล่อยท่านราชครูกลับไปต่างหากเล่าขอรับ จึงจะถือว่าเป็นเรื่องสิ้นคิด”“เจ้ากล้ารึ”“ฝ่าบาททรงมีพระบัญชาให้ท่านราชครูพ้นตำแหน่ง นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปขอรับ”“โอหังนัก กล้าแอบอ้างพระบัญชาในองค์ฮ่องเต้เชียวรึ”“ข้าว่าแอบอ้างหรือไม่ ท่านราชครูย่อมรู้ดีแก่ใจนะขอรับ”“ท่านราชครู หลบไปก่อนขอรับทางนี้ข้าจัดการเอง”อยู่ ๆ ได้มีชายชุดดำปรากฏตัวขึ้น หลี่จ้านมองผู้มาใหม่ด้วยสายตาเย็นชา เขาไม่รู้สึกหวาดกลัวต่อคนตรงหน้าเลย กระบี่ในมือของอีกฝ่ายเขาจำมันได้ดีว่าคือของผู้ใดองค์ชายที่ผู้คนมองว่าหัวอ่อน ทว่าแท้จริงแล้วแอบซ่อนความเจ้าเล่ห์เอาไว้อย่างมิดชิด แสร้งทำทีไม่ยุ่งเรื่องในราชสำนัก แต่กลับเป็นผู้ชักใยผู้คนให้กำจัดกันเอง เพื่อให้เหลือเพียงตัวเลือกเดียวคือตนเอง“ทรงมาช่วยเหลือหรือกำจัดเขากันแน่พ่ะย่ะค่
แม่ทัพหนุ่มเดินไปหาพ่อบ้าน ก่อนจะสั่งการอะไรบางอย่าง เจาหยางค้อมหัวเล็กน้อยก่อนจะถอยฉากออกไป หลี่จ้านยังคงเดินเสมือนคนป่วยอยู่ใช้เวลาเพียงหนึ่งก้านธูป รถม้าจวนหลี่ได้เคลื่อนตัวออกไปยังทิศทางของจวนราชครู เกาจิ้งผู้นี้ชรามากแล้วแต่ยังฝักใฝ่ในอำนาจมิรู้จักพอ ชักใยอยู่เบื้องหลังองค์ชายห้าเพื่อให้ช่วงชิงราชตำแหน่งรัชทายาท โดยแสร้งร่วมมือกับพระนางหรู่เฟย เพื่อหาช่องทางกำจัดองค์ชายสี่ ความเป็นคนหัวอ่อนขององค์ชายห้าทำให้ง่ายต่อการควบคุมแม่ทัพหนุ่มได้แต่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า เขาไม่เลือกที่จะยืนข้างองค์ชายคนไหนเลย เพราะตัวเขานั้นยืนเคียงข้างองค์ฮ่องเต้แต่ผู้เดียว หากมีการผลัดแผ่นดิน ฮ่องเต้องค์ใหม่ที่ได้ขึ้นครองราชย์อย่างถูกต้องมิใช่การช่วงชิงเขาหลี่จ้านก็จะภักดีจนลมหายใจสุดท้ายเช่นกัน แต่เพราะเขามิเลือกข้างจึงทำให้ต้องเหนื่อยใจอยู่อย่างนี้ หากภรรยาไม่ส่งคนไปช่วยเหลือ ป่านนี้มีหรือเขาจะยังมีลมหายใจฮี่ ๆ เสียงม้าร้องด้วยความแตกตื่น รถม้าโคลงไปมาอย่างแรง หลี่จ้านรีบคว้าตัวภรรยาเขามาสวมกอด เมื่อรถม้าหยุดลง เสียงการต่อสู้ด้านนอกเกิดในทันที“ท่านแม่ทัพ ฮูหยินมีคนร้ายขอรับ”ตูหลงตะโกนบอกคนด้า
“ต่อไปอย่าได้ดื้อรั้นต่อสามีอีก เข้าใจหรือไม่น้องหญิง”ชายหนุ่มกระซิบเย้าภรรยา ด้วยสายตากรุ่มกริ่ม จ้าวหลิวหลีวงหน้าแดงก่ำด้วยความขัดเขิน อย่างไรเสียนางก็เป็นสตรี จะเก่งกาจปานใดย่อมต้องรู้สึกเขินอายเมื่อถูกมองด้วยสายตาเช่นนี้ของบุรุษ ช้ำเรือนร่างของนางยังไร้ซึ่งสิ่งปกปิด นางไม่คิดเลยว่าสามีผู้ไม่เคยเหลียวมองนางมาตลอด วันนี้จะเปลี่ยนไปเสียจนนางเองยังตั้งรับไม่ทัน“ข้ามิเคยดื้อสักหน่อย”จ้าวหลิวหลีเสหลบตาสามี พร้อมปฏิเสธสามีด้วยน้ำเสียกระเง้ากระงอด“เช่นนั้นนับแต่นี้ไปอย่าให้ต้องออกแรง เข้าใจหรือไม่”ปึก! กำปั้นของหญิงสาวทุบอกแกร่งของชายหนุ่มด้วยความขัดเขิน เขาช่างกล้าพูดอย่างน่าไม่อาย เรื่องเช่นนี้มิจำเป็นต้องบอกก็ได้ “มิรู้จักอายบ้างหรือเจ้าคะ”“ฮ่า ๆ อายทำไม ก็พี่อยากให้เจ้ามีความสุข”“คนบ้า! หน้ามิอายพูดอันใดออกมา....อื้อ!”ยังมิทันได้ต่อว่าสามีให้สาสมดังใจคิด ทว่าเรียวปากงามก็ถูกปิดลงอีกครั้ง และในครั้งนี้หญิงสาวมิได้ปฏิเสธ แต่กลับตอบสนองสามีด้วยความไร้เดียงสาในเรื่องเช่นนี้สองร่างกอดรัดกันอย่างอ่อนโยน ก่อนจะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นความเร้าร้อนขึ้นอีกครั้ง ชายหนุ่มสอนบทรักให้แก่หญิงสา
เพราะเหตุใดไม่รู้มันรู้สึกหวั่นไหวทุกครั้ง ที่ร่างแกร่งขยับกายบดเบียดกับตัวนาง ลมหายใจอุ่น ๆ ที่เป่ารดข้างแก้มนางนั้น ทำให้หัวใจของนางเต้นมิเป็นส่ำตลอดทั้งคืนเลยทีเดียว “ท่านพี่ควรตื่นได้แล้วนะเจ้าคะ สาย...อ๊ะ...” อุ๊บ! อื้อ! ยังไม่ทันที่จะเอ่ยสิ่งใดเพิ่มเติม เรียวปากงามก็ถูกปิดลงเสียก่อน สภาพของนางในตอนนี้ ยากที่จะขัดขืนอีกฝ่ายได้ เมื่อท่อนขาแกร่งทับขาของนางเอาไว้เสียก่อน มือบางที่หมายจะผลักไสเขาออกให้พ้นกาย ได้ถูกรวบเอาไว้เหนือศีรษะ ริมฝีปากอวบอิ่มถูกขบเม้ม ก่อนจะใช้ลิ้นสากดันเรียวปากของนางให้เปิดออก เพื่อให้เขาได้ควานหาความหวานที่ซ่อนอยู่ภายในเมื่อถูกบดจูบอย่างหิวกระหายจากสามีผู้ช่ำชอง ความเคลิบเคลิ้มทำให้หญิงสาวค่อย ๆ เผยอริมฝีปากออกอย่างลืมตัว ทั้งที่ในใจนั้นนางคิดที่จะขัดขืนเขาอย่างเต็มที่“อื้อ!”เสียงครางเบา ๆ ดังลอดออกมา หลี่จ้านมิปล่อยโอกาสให้หลุดมือ ชายหนุ่มเกี่ยวกวัดปลายลิ้มเล็ก ก่อนจะดูดดึงลิ้นบางนั้นอย่างพึงพอใจ ท่อขาแข็งแกร่งขยับแทรกเรียวขางามให้แยกออกก่อนจะขยับบดเบียดอย่างเนิบช้าเพื่อปลุกเร้าภรรยา โดยที่ลิ้นสากของเขายังคงกวัดรัดดึง