อยู่เมืองหลวงหลายวันเข้าความสัมพันธ์กับลูกๆ ก็เริ่มจะดีขึ้นเรื่อยๆ ส่วนความสัมพันธ์กับโม่ชิงเยว่นั้นยังคงเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป ทางด้านวังหลวงหลังจากที่เขาเข้าวังไปแล้วเปิดเผยบาดแผลฉกรรจ์บนแผ่นหลังให้ฝ่าบาททรงทอดพระเนตร เขาก็ได้รับพระราชอนุญาตให้พักผ่อนอยู่ที่จวนได้เขาจึงได้ใช้ช่วงเวลานี้พักผ่อนฟื้นฟูร่างกายให้เต็มที่ ก่อนหน้านี้เพราะบาดแผลยังไม่สมานดีแต่เขาก็ยังฝืนร่างกายไปป่วนกองทัพของฉินอ๋อง ทำให้บาดแผลที่ควรจะหายดีฉีกขาดและมีอาการบาดเจ็บเรื้อรังมาจนถึงยามนี้
แม้ว่าจะได้รับการดูแลจากหมอเทวดาอย่างเมิ่งเส้าชิงและได้รับยาชั้นดีจากโม่ชิงเยว่แต่บาดแผลของเขาก็ยังคงไม่หายดี เมิ่งเส้าชิงแนะนำว่าให้เขาพักผ่อนให้มากเขาเองก็พยายามเป็นคนป่วยที่ดี นอกจากช่วงเวลาที่เขาใช้ไปกับการเอาอกเอาใจลูกและภรรยา ส่วนใหญ่เขาก็จะใช้เวลาไปกับการนอนหลับพักผ่อน
“ท่านโหว องค์ชายรองทรงส่งข่าวมาว่านักฆ่าของจวนไหวกั๋วกงเริ่มจะทนรออยู่ด้านนอกไม่ไหวแล้ว คาดว่าอีกวันสองวันนี้พวกเขาน่าจะบุกเข้ามาในจวนแน่” จ้าวหรงเอ่ยรายงานเจ้านายด้วยสีหน้าอึมครึม ซ่งเหวินจิ้งแค่เพียงแค่นเสียงหัวเราะออกมาแล้วเอ่ยกับคนของเขาด้วยสีหน้าเหี้ยมเกรียม
“เช่นนั้นก็ปล่อยให้เข้ามา เพียงแต่พวกเจ้าต้องต้อนพวกมันให้ไปในสถานที่ที่ห่างไกลจากฮูหยินและลูกๆ ของข้า ถึงเวลาแล้วที่ข้าสมควรจะต้องไล่ต้อนพวกมันให้จนมุมเสียที” เมื่อซ่งเหวินจิ้งเอ่ยเช่นนี้จ้าวรุ่ยก็เอ่ยถามเสียงเบา
“เรื่องนี้พวกข้าต้องรายงานฮูหยินหรือไม่” คำถามของจ้าวรุ่ยทำให้จ้าวหรงส่งสายตาตำหนิไปให้เขาแล้วจึงได้เอ่ยออกมาอย่างคนที่รับรู้สถานการณ์ได้ดี
“เรื่องนี้ย่อมจะต้องรายงานอยู่แล้ว เพียงแต่ท่านโหวจะให้พวกข้ารายงานหรือว่าท่านโหวจะเป็นคนรายงานเรื่องนี้ให้ฮูหยินทราบขอรับ” คำถามของจ้าวหรงทำให้ซ่งเหวินจิ้งพยักหน้าออกมาแล้วเอ่ยออกมาอย่างไม่ถือสา
“แน่นอนว่าย่อมจะต้องบอกนาง นางจะได้ระมัดระวังตัวมากยิ่งขึ้น อย่าลืมเรื่องความปลอดภัยของลูกๆ ของข้าด้วยเล่า” เมื่อซ่งเหวินจิ้งเอ่ยเช่นนี้ทั้งจ้าวรุ่ยและจ้าวหลงต่างก็ขานรับคำสั่งแล้วรีบออกไปจัดการทุกอย่างเพื่อเตรียมตัวรับมือนักฆ่าที่กำลังจะบุกเข้ามาในทันที ส่วนซ่งเหวินจิ้งเองก็ไม่รอช้ารีบเดินไปหาโม่ชิงเยว่เพื่อจะได้แจ้งให้นางรับทราบเอาไว้
“ท่านบอกว่าจวนไหวกั๋วกงคิดจะส่งคนบุกเข้ามาฆ่าข้าเช่นนั้นหรือ เหตุใดพวกเขาจึงได้คิดจะทำเช่นนั้นในเมื่อยามนี้ท่านก็กลับมาแล้ว” โม่ชิงเยว่เอ่ยถามเพื่อความแน่ใจยามนี้นางและเขาอยู่ด้วยกันลำพังเพียงสองคนดังนั้นนางจึงได้กล้าถามเขาออกมาตามตรง
“เดิมทีก่อนหน้านี้พวกเขาเคยตั้งใจส่งคนมาฆ่าเจ้า แต่เพราะเจ้าไม่ได้ออกจากจวนอีกทั้งคนของข้าที่คุ้มกันอยู่ด้านนอกก็คอยขัดขวางเอาไว้ทำให้คนของจวนไหวกั๋วกงลงมือกับเจ้าไม่ได้ ยามนี้ข้ากลับมาแล้วก็จริง แต่ทุกคนต่างก็รู้กันดีว่าข้ากำลังได้รับบาดเจ็บอยู่ ตอนที่ข้าขี่ม้าเข้าเมืองมาทุกคนต่างรับรู้กันทั่วว่าข้ารีบกลับมาเพียงลำพังไร้กองกำลังติดตาม อีกทั้งคนในจวนไหวกั๋วกงก็รู้ดีว่าข้าได้รับบาดเจ็บสาหัสมาก่อนดังนั้น การที่พวกเขาคิดจะลงมือกับพวกเราช่วงนี้ย่อมจะเป็นเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมมากที่สุด” เมื่อซ่งเหวินจิ้งเอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็ส่ายหน้า
“หากจวนโหวของพวกเราถูกโจมตี พวกเขาคิดว่าฝ่าบาทจะไม่สืบเสาะหาคนอยู่เบื้องหลังหรือ”
“ยามนี้ข้างกายของฝ่าบาทคือเหยียนเซียว ส่วนคนข้างหมอนก็คือเหยียนกุ้ยเหริน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้กลัวเกรงความหวาดระแวงของฝ่าบาท” คำพูดของซ่งเหวินจิ้งทำให้โม่ชิงเยว่ร้องเฮอะ! ออกมา
“โคแก่กินหญ้าอ่อน หลงใหลเด็กสาวอายุคราวลูก ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมจึงเอาแต่หวาดระแวงและกลัวคนจะแย่งชิงราชบัลลังก์ที่แท้ก็เพราะรู้ดีว่าตนเองมีศีลธรรมในใจน้อยนั่นเอง” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ซ่งเหวินจิ้งส่ายหน้า
“เจ้าอย่าได้เอ่ยเช่นนี้ต่อหน้าผู้อื่นเชียว โคแก่ที่เจ้าเอ่ยถึงไม่ใช่คนที่จะปล่อยผ่านคนที่กล้าเอ่ยวาจาล่วงเกินได้” เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็หัวเราะออกมาเบาๆ
“ข้ารู้น่า ข้ามีความกล้าก็แค่เฉพาะในยามที่อยู่กับท่านเพียงเท่านั้นแหละ” เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็รีบฉวยโอกาสทำตัวใกล้ชิดกับนางในทันที
“ข้ารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่เจ้าเห็นข้าเป็นคนกันเองเช่นนี้ เอาไว้คราวหน้าหากเจ้าอยากจะพูดถึงโคแก่ที่อยู่ในวังก็สามารถพูดกับข้าได้ตามสบายเลยนะ” คำพูดของเขาทำให้โม่ชิงเยว่มองเขาด้วยสายตาที่แสดงถึงความรังเกียจอย่างไม่คิดจะปิดบัง
“ทำไมข้ารู้สึกว่ายิ่งอยู่ด้วยกันนานวันเข้าท่านก็ยิ่งมีความหน้าหนามากขึ้นเรื่อยๆ” เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้เขาก็หัวเราะออกมาเบาๆ แล้วถือวิสาสะดึงนางเข้าไปโอบกอดเอาไว้
“เพราะเมื่อก่อนข้าหน้าบางไปหน่อย เลยทำให้เจ้าไม่เข้าใจความรู้สึกของข้า ยามนี้ข้าก็เลยคิดว่าควรจะแสดงให้เจ้าเห็นความจริงใจของข้าอย่างเต็มที่” เขาเอ่ยพลางก้มใบหน้าของตนเองลงไปแนบชิดกับใบหน้าของนาง
“ปล่อย!” โม่ชิงเยว่เอยพลางเบี่ยงใบหน้าของตนเองหนีริมฝีปากของเขาที่แนบลงมา ทำให้ริมฝีปากของเขาแนบลงไปที่ใบหูของนางแทน ความเปียกชื้นที่ใบหูไม่ได้น่ารังเกียจอย่างที่นางคิดเอาไว้ แต่กลับมีความรู้สึกอุ่นร้อนบริเวณที่ริมฝีปากของเขาแนบลงไปแทน
“ซ่งเหวินจิ้ง ท่านอย่ามาทำรุ่มร่ามกับข้านะ” นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองทำให้เขาจำต้องยอมปล่อยมือด้วยเกรงว่านางอาจจะขุ่นเคืองในตัวเขามากไปกว่านี้และคราวหน้าเขาอาจจะไม่ได้มีโอกาสได้เข้าใกล้นางอีก
“ข้าก็แค่อยากจะหาความชื่นอกชื่นใจก่อนที่จะต้องลงมือกำจัดคนเพียงเท่านั้น แต่ในเมื่อทำให้เจ้าไม่พอใจก็ช่างเถิด” ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยพลางเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ รินน้ำชาให้นางและตนเองคนละถ้วยแล้วจึงได้ผายมือเชื้อเชิญให้นางมานั่งลงบนเก้าอี้ตัวข้างๆ ซึ่งนางก็ไม่ได้ปฏิเสธแถมหลังจากที่นั่งลงบนเก้าอี้แล้วนางยังยกถ้วยชาที่เขารินให้ขึ้นมาจิบเพื่อดับความร้อนรุ่มที่หมุนวนอยู่ในอกอีกด้วย
“บาดแผลของท่านยังไม่หายดี ลูกน้องของท่านมีฝีมือมากถึงขนาดนั้น ไม่เห็นว่าท่านจะมีความจำเป็นที่จะต้องออกหน้าไปจัดการคนร้ายด้วยตนเองเลย” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็พลันส่ายหน้า
“ครั้งนี้ข้าต้องออกโรงด้วยตนเอง ข้าอยากให้พวกเขารู้ว่าข้าไม่ใช่คนที่จะยอมปล่อยให้ผู้อื่นเล็ดลอดเข้ามารังแกเจ้าและลูกๆ ของพวกเราได้” คำพูดของเขาทำให้โม่ชิงเยว่หันไปจ้องมองเขาด้วยสายตาเย้ยหยันซึ่งเขาก็รีบแก้ตัวในทันที
“ก่อนหน้านี้ข้าโง่ไปหน่อย เอาเป็นว่าหลังจากนี้ข้าจะไม่ยอมให้มีผู้ใดมารังแกเจ้าและลูกของเราอีกแล้ว” เขาเอ่ยกับนางด้วยสีหน้าและแววตาที่เต็มไปด้วยความจริงจังและจริงใจทำให้โม่ชิงเยว่พลันยิ้มออกมาแล้วเอ่ยกับเขาเสียงเบา
“ข้าจะรอดูว่าท่านจะสามารถทำตามคำพูดเมื่อครู่นี้ของท่านได้หรือไม่”
“เจ้ารอดูได้เลย ต่อให้ต้องใช้ชีวิตของข้าเป็นเดิมพันข้าก็จะไม่ปล่อยให้พวกเจ้าสามแม่ลูกถูกผู้อื่นรังแกได้อีกแล้ว” คำพูดของซ่งเหวินจิ้งทำให้จิตใจของโม่ชิงเยว่เกิดความสั่นไหวขึ้นมาอีกครั้ง แม้จะรู้ดีว่าไม่ควรจะคาดหวังให้ผู้อื่นมาปกป้อง แต่นางก็ยังห้ามใจของตนเองไม่ได้อยู่ดี
‘ม้าที่ดีย่อมไม่กลับไปกินหญ้ารางเก่า ส่วนข้าคือม้าโง่ที่ยังคงหลงใหลแค่เพียงหญ้าในรางเดิม’ โม่ชิงเยว่ได้แต่ตำหนิตนเองอยู่ในใจแต่ถึงกระนั้นก็ไม่อาจจะห้ามใจที่มันกลับมาเต้นแรงอีกครั้งได้ อีกทั้งคราวนี้จะมีอานุภาพรุนแรงกว่าเมื่อก่อนเสียด้วยสิ
“หากคราวนี้ท่านทำตามคำพูดของตนเองไม่ได้ ต่อให้ท่านตายกลายเป็นศพไปแล้วข้าก็จะขุดศพของท่านขึ้นมาแล้วทำให้ท่านไม่เหลือแม้แต่เถ้ากระดูก” โม่ชิงเยว่เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจังแต่ซ่งเหวินจิ้งกลับไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้านกับถ้อยคำข่มขู่ของนางเลยสักนิดเพราะเขาตั้งใจเอาไว้แล้วว่าต่อจากนี้เขาจะไม่มีทางละทิ้งโม่ชิงเยว่และลูกๆ อย่างเด็ดขาด
ยามที่ซ่งเหวินจิ้งตื่นขึ้นมาสิ่งแรกที่เขาเห็นก็คือม่านมุ้งในห้องนอนของโม่ชิงเยว่ที่ปรากฏเข้าสู่สายตา เขากะพริบตาอีกครั้งแล้วจึงได้พยายามทบทวนว่าเรื่องเมื่อคืนนี้เป็นความฝันหรือว่าเป็นความจริงกันแน่ กลิ่นกายอันหอมกรุ่นของนางแผ่กำจายไปทั่วม่านมุ้งอีกทั้งยังดูเหมือนว่าจะหอมกรุ่นติดตามร่างกายของเขาไปด้วย อีกทั้งปฏิกิริยาทางร่างกายที่ไม่เหมือนเดิมของเขาทำให้เขารู้ว่าสัมผัสอันน่าหลงใหลเมื่อคืนนี้ไม่ใช่แค่เพียงความฝัน เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็ทำให้มีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าของเขาในทันที“นอนตาลอยแล้วยิ้มราวกับคนเสียสติเช่นนั้นท่านทำให้ข้าชักจะรู้สึกหวาดกลัวท่านแล้วนะ” เสียงทักของโม่ชิงเยว่ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของซ่งเหวินจิ้งพลันหายไปในทันที“มีสิ่งใดให้น่ากลัวกัน” เขาเอ่ยพลางพลิกตัวแล้วดึงผ้าห่มอันหมิ่นเหม่ขึ้นมาคลุมร่างกายของตนเองเอาไว้ ด้วยไม่รู้ว่าคนที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงหน้าเตียงนั่งจ้องมองเขานานเท่าไหร่แล้ว“แล้วเจ้ายกเก้าอี้มานั่งจ้องมองข้าเช่นนี้ทำไมกัน” เมื่อเขาถามเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็ยิ้มออกมา“เมื่อคืนนี้มีคนบอกกับข้าว่าอยากจะตื่นขึ้นมาพร้อมกันกับข้ามิใช่หรือ ข้าก็เลยมานั่งรอให้ท่า
หลังจากดูพลุไฟแล้วซ่งเหวินจิ้งและโม่ชิงเยว่ก็เดินไปส่งเด็กๆ กลับเรือนด้วยตนเอง แน่นอนว่าซ่งเหวินจิ้งย่อมจะต้องเดินตรวจตรารอบๆ เรือนด้วยตนเองอีกครั้งและยังกำชับให้คนของเขาคอยคุ้มกันจวนให้ดี อีกทั้งยังสั่งสาวใช้ภายในเรือนให้วันพรุ่งนี้ย้ายข้าวของเครื่องใช้ของซ่งจื่อเยว่และซ่งจื่อเหยาไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่ เมื่อสั่งการทุกคนเสร็จเรียบร้อยดีแล้วเขาจึงได้เดินไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่เพื่อตรวจตราความเรียบร้อยอีกครั้ง พอเห็นว่าการรักษาความปลอดภัยของเรือนนี้แน่นหนาดีแล้วเขาจึงได้เข้าไปหาโม่ชิงเยว่ที่กำลังนั่งจิบน้ำชาอยู่ภายในเรือน“ในเมื่อลงนามสงบศึกแล้ว คนของแคว้นต้าเป่ยก็ไม่น่าจะสร้างความร้าวฉานด้วยการลอบโจมตีท่านและครอบครัวอย่างที่ท่านกำลังกังวลอยู่” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ซ่งเหวินจิ้งส่ายหน้า“แคว้นต้าเป่ยแม้ว่าจะปกครองด้วยเชื้อพระวงศ์สกุลเซียว แต่สกุลที่กุมอำนาจทางกองทัพก็คือสกุลหม่า ข้าที่พึ่งจะฆ่าผู้นำสกุลและนักรบอีกหลายคนของสกุลหม่าย่อมจะต้องกลายเป็นเป้าแห่งความแค้นเคืองของพวกเขา แม้ว่าฮ่องเต้ของพวกเขาจะลงพระนามขอสงบศึกแล้ว แต่คนสกุลหม่าใช่ว่าจะก่อเรื่องไม่ได้ขอแค่เพียงสิ้นไร้หลักฐานก็ไ
ฮ่องเต้แคว้นต้าเป่ยส่งราชสาส์นมาขอเจรจาสงบศึก อีกทั้งยังยินดีที่จะส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายแด่ฮ่องเต้แคว้นเหลียนทุกปี เมื่อทางฝั่งแคว้นต้าเป่ยยินยอมอ่อนข้อให้จนถึงขั้นนี้มีหรือที่หลี่เฟยหลงฮ่องเต้จะปฏิเสธหลังจากนั้นจึงได้ส่งราชสาส์นตอบกลับไปด้วยความยินดี เมื่อมีสัญญาณว่าการศึกจะสงบอย่างถาวรเช่นนี้ ประชาชนในแคว้นต่างก็รู้สึกยินดีกันทั่วหน้า สงครามจบสิ้นแล้วก็หมายความว่าต่อไปพวกเขาจะได้อยู่อย่างสงบสุขไปอีกหลายปี ไม่ต้องกังวลว่าคนในครอบครัวจะต้องไปพลีชีพเพื่อปกป้องแคว้นที่ชายแดนอีกจวบจนเมื่อมีการลงนามสงบศึกอย่างเป็นทางการชาวบ้านร้านตลาดก็ต่างพร้อมใจกันจัดงานรื่นเริงเพื่อเฉลิมฉลอง พลุไฟนับหมื่นพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อโอ้อวดความงดงามท่ามกลางความมืดมิดในยามราตรี ซ่งเหวินจิ้งยืนนิ่งจ้องมองพลุไฟเหล่านั้นด้วยสีหน้ากังวลใจเมื่อคิดได้ว่าท่ามกลางงานเลี้ยงเฉลิมฉลองกำลังมีคนของแคว้นต้าเป่ยเข้ามาแทรกซึมอยู่ในเมืองหลวง ยามนี้เขาทำหอดูดาวให้สูงขึ้นแล้วรื้อหลังคาของหอดูดาวออก ทำให้เขาและครอบครัวสามารถชื่นชมความงามของพลุไฟได้อย่างเต็มที่“ท่านแม่! ท่านดูสิราวกับมีดอกไม้นับหมื่นกำลังแข่งกันเบ่งบานอย
ในขณะที่ทางจวนโหวมีคนกำลังพยายามเร่งสานความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา ทางจวนตระกูลเหยียนหรืออดีตจวนไหวกั๋วกงก็กำลังตกอยู่ในช่วงเวลาแห่งความตึงเครียด เหยียนฮูหยินผู้เคยได้ดำรงตำแหน่งฮูหยินของท่านกั๋วกงก็กำลังนั่งร้องไห้อ้อนวอนขอให้บุตรชายหาหนทางช่วยสามีที่ในยามนี้ถูกขังอยู่ในคุกของกรมอาญา“เจ้าไม่คิดจะช่วยท่านพ่อของเจ้าจริงๆ หรือ เสียแรงที่พ่อของเจ้าทำทุกอย่างก็เพื่อเจ้า” เหยียนฮูหยินเอ่ยพลางใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาด้วยท่วงท่าที่ดูอ่อนแอและบอบบางราวกับว่าจะแตกหักได้ทุกเมื่อ“จะให้ข้าช่วยอย่างไร ให้ข้าไปคุกเข่าขอพระเมตตาแล้วทำให้ข้าและสกุลเหยียนทั้งสกุลถูกฝ่าบาทหวาดระแวงและคิดว่าพวกเราสกุลเหยียนมีความทะเยอทะยานในราชบัลลังก์เช่นนั้นหรือ ท่านแม่อย่าได้ลืมสิว่าฮุ่ยเอ๋อต้องเสียสละอะไรไปบ้าง ยามนี้นางกำลังได้รับความโปรดปรานท่านอยากให้ฝ่าบาททรงตระหนักได้ว่าการกระทำของท่านพ่อล้วนเป็นเพราะความทะยานอยากที่จะยึดครองกองกำลังของจวนโหวแล้วทำให้ชีวิตของฮุ่ยเอ๋อและองค์ชายน้อยต้องตกอยู่ในอันตรายหรือ” คำพูดของเหยียนเซียวทำให้เหยียนฮูหยินส่ายหน้า“นางได้รับความโปรดปรานถึงเพียงนั้น แต่กลับไม่คิดจะทำเพื่อเจ้าแ
ฤดูกาลผันเปลี่ยนจากฤดูหนาวอันหนาวเหน็บเริ่มย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิที่แสนจะงดงาม พออากาศเริ่มอุ่นขึ้นต้นทุนในการซื้อสมุนไพรก็ลดลงเมื่อต้นทุนลดลงผลกำไรก็มากขึ้น เมื่อได้ผลกำไรมากขึ้นก็ทำให้โม่ชิงเยว่เริ่มมีกำลังใจที่จะคิดค้นสินค้าชนิดใหม่ๆ เพื่อนำไปวางขายในร้านโม่เซียงของนาง“เหตุใดบรรดาถุงผ้าปักเหล่านี้จึงได้มีลวดลายแปลกตาเช่นนี้เล่า แล้วยังกล่องไม้สำหรับใส่ผงแป้งเหล่านี้อีกเจ้าไปเอาแนวทางในการคิดค้นรูปร่างและลวดลายพวกนี้มาจากไหน” คำถามของซ่งเหวินจิ้งทำให้โม่ชิงเยว่วางพู่กันที่ใช้วาดรูปลวดลายลงบนโต๊ะเขียนอักษรแล้วจึงได้สะบัดมือเพื่อคลายความเมื่อยล้า“หากข้าจะบอกว่าข้าได้รับแรงบันดาลใจมาจากความฝันอันยาวนานของข้าท่านจะเชื่อหรือไม่” เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็พยักหน้า“เหตุใดจะไม่เชื่อกันเล่า ไม่ใช่ว่าข้าไม่เคยฝันเสียหน่อย เพียงแต่ความฝันของข้าไม่เคยนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์เช่นนี้” ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยพลางเดินมานวดไหล่ให้โม่ชิงเยว่ด้วยความคุ้นชินส่วนโม่ชิงเยว่ก็เอนกายพิงพนักเก้าอี้แหงนหน้าขึ้นแล้วหลับตาเพื่อรับความสบายจากอุ้งมืออันอุ่นร้อนของเขาอย่างผ่อนคลาย“มันเป็นความฝันที่ยาวนานมาก ยาม
เมืองหลวงมีข่าวครึกโครมอีกครั้งเมื่อจวนนิ่งอันโหวถูกลอบโจมตี แม้ว่าจะสามารถจับตัวคนร้ายได้แต่นิ่งอันโหวกลับได้รับบาดเจ็บสาหัส ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการให้เจ้ากรมอาญาตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเข้มงวด อีกทั้งยังทรงส่งองค์ชายรองมาควบคุมการสอบสวนด้วยพระองค์เอง ทั้งนี้คนร้ายที่ถูกจับต่างก็ซัดทอดความผิดไปที่ไหวกั๋วกง ทำให้ไหวกั๋วกงต้องรีบเข้าวังเพื่อแก้ต่างให้กับตนเองและขอให้มีการตรวจสอบนักฆ่าเหล่านั้นอีกครั้งแต่แน่นอนว่าทางซ่งเหวินจิ้งได้เตรียมการเรื่องนี้เอาไว้แล้ว เขาไม่เพียงขอพระราชโองการคุ้มครองพยานให้กับเหล่านักฆ่า ยังส่งกองกำลังของตนเองคอยคุ้มครองครอบครัวและคนใกล้ชิดของเหล่านักฆ่าอย่างแน่นหนา เหล่านักฆ่าเองก็ไม่ใช่คนโง่พวกเขาเข้าออกจวนไหวกั๋วกงเป็นว่าเล่นย่อมมีลู่ทางสำรองเอาไว้บ้าง การที่พวกเขาลักลอบตีสนิทกับคนในจวนไหวกั๋วกงก็เพื่อให้พวกเขาเป็นคนมีตัวตนภายในจวน ไม่ใช่แค่เพียงนักฆ่าเงาที่ตายไปแล้วก็ไม่หลงเหลือร่องรอยให้ผู้คนตามหา ดังนั้นทางกรมอาญาย่อมสามารถที่จะหาคนมายืนยันฐานะของพวกเขาได้ว่าพวกเขาทำงานให้ไหวกั๋วกงจริงๆ ดังนั้นครั้งนี้ไหวกั๋วกงจึงไม่อาจจะปัดป้องความผิดของตนเองได้แล้ว“ท่านเ