เสียงพูดคุยของแขกเหรื่อพร้อมทั้งเสียงจุดประทัดดังกึกก้องไปทั่วจวนหลี่อ๋อง บรรยากาศโดยรอบอบอวลด้วยความเป็นมงคล ทุกพื้นที่ภายในจวนล้วนถูกประดับตกแต่งอย่างงดงามด้วยดอกไม้นานาพรรณและผ้าแพรชาดสีแดงสัญลักษณ์ของวันแต่งงาน
พิธีสมรสอันยิ่งใหญ่ของหลี่อ๋องผู้สูงศักดิ์ถูกจัดขึ้นอย่างสมเกียรติ แม้แต่เหล่าสตรีทั่วทั้งเมืองหลวงต่างก็พากันอิจฉาวาสนาของคุณหนูไป๋กันถ้วนหน้า เรื่องราวความรักระหว่างคุณหนูไป๋กับหลี่อ๋องนั้น… มีหรือจะมีผู้ใดไม่รู้จักเกรงว่าแม้แต่เด็กสามขวบยังสามารถเล่าออกมาได้เป็นฉากๆ คุณหนูไป๋จากตระกูลพ่อค้าได้บังเอิญพบรักกับหลี่อ๋องผู้สูงศักดิ์ราวกับสวรรค์กำหนดเอาไว้แล้ว เรื่องราวนี้ถูกเล่าต่อๆ กันมา จนกระทั่งถูกนำไปแต่งเติมกลายเป็นบทละครในโรงน้ำชา… เดิมทีตระกูลไป๋เป็นเพียงแค่เจ้าของร้านขายน้ำเต้าหู้เล็กๆ ที่ตั้งอยู่บริเวณทางเข้าออกของชายแดนเท่านั้น ทว่ากลับมีบุตรสาวผู้หนึ่งรูปโฉมงดงามสะคราญราวกับเทพธิดา…ทว่าความงามนี้ย่อมเป็นได้ภัยได้ในคราเดียวกัน กล่าวกันว่า…เช้าตรู่วันหนึ่งเกิดเหตุการณ์โจรฉกรรจ์บุกหมายจะชิงตัวคุณหนูไป๋เป็นเมีย ทว่าโชคชะตานำพาให้หลี่อ๋องผ่านมาเห็นเข้าพอดีจึงช่วยเหลือไว้ได้ทันการณ์ และนั่น...จึงกลายเป็นรักแรกพบที่นำพาสู่วันแห่งพิธีสมรสในวันนี้ เสียงประทัดค่อยๆ เบาลง ทว่ากลิ่นควันยังลอยอบอวลอยู่ในสายลมฤดูใบไม้ผลิที่พัดโชยผ่าน เสียงหัวเราะและเสียงร่ำสุราดังแว่วมาจากห้องโถงใหญ่ แขกเหรื่อพากันหลั่งไหลเข้าแสดงความยินดีไม่ขาดสายต่างก็กล่าวคำอวยพรด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม...ขอให้หลี่อ๋องมีทายาทในเร็ววัน ขณะเดียวกันนั้น ด้านในของห้องหอ…คุณหนูไป๋สวมใส่ชุดอารมณ์มงคลเจ้าสาวสีแดงสดถูกสาวใช้ประคองให้นั่งรออยู่บนเตียง ใบหน้าคนงามถูกคลุมทับด้วยผ้าผืนสีแดงอีกที “เชิญพระชายานั่งรอหลี่อ๋องก่อนเถอะเพคะ…” น้ำเสียงนุ่มนวลของสาวใช้เอ่ยดังขึ้น “…” ไป๋ซูเหยาไม่ได้เอ่ยอันใด นางเพียงพยักหน้าเบาๆ เล็กน้อยเท่านั้น ใบหน้าคนงามภายใต้ผ้าคลุมล้วนเต็มไปด้วยความประหม่า ริมฝีปากแดงเม้มแน่นราวกับต้องการข่มความรู้สึกว้าวุ่นใจ ปานนี้แล้วจะมีผู้ใดรู้บ้างหรือไม่ว่า…นางมิใช่ไป๋เหยียนหลัน สตรีที่สวมชุดเจ้าสาวสีแดงมงคลร่วมกราบไหว้ฟ้าดินพร้อมกับหลี่อ๋องนั้น…แท้จริงแล้วคืออีกคนแทน เดิมทีในสายตาของบิดานั้น ไป๋ซูเหยาย่อมถูกมองว่าไร้ค่าและไร้ประโยชน์อยู่แล้ว และเมื่อความสัมพันธ์ระหว่างไป๋เหยียนหลันและหลี่อ๋องค่อยๆ ถักทอสานต่อจนเป็นด้ายแดงนั้น บุตรสาวที่แสนงดงามราวเทพธิดายิ่งกลับกลายเป็นภูมิใจสามารถยืดอกนำไปพูดจาโอ้อวดได้กับทุกคนแต่สำหรับไป๋ซูเหยานั้น…ย่อมถูกเปรียบเทียบกับพี่สาวที่งดงามและวาสนาที่สูงส่งอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้จะตั้งใจหรือพยายามเพียงใดในฐานะบุตรสาวผู้หนึ่งทว่าก็ยากที่จะมีสิ่งใดที่สามารถทำให้บิดาภูมิใจได้ มิหนำซ้ำยังถูกกล่าวหาว่าเลี้ยงเสียข้าวสุก… แต่ทว่าผู้ใดจะรู้เล่า…วาสนาที่อยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อมมือของไป๋เหยียนหลันนั้นกลับขาดสะบั้นลงอย่างรวดเร็วไม่ทันตั้งตัว เช้าตรู่ของวันแต่งงาน...ไป๋เหยียนหลันกลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย นางมิได้ทิ้งสิ่งใดเอาไว้ แม้แต่จดหมายสักฉบับเพื่อกล่าวขอโทษต่อบิดาก็ไม่มี เรือนนอนของคุณหนูใหญ่สงบเงียบผิดปกติ สาวใช้ที่เข้าไปเตรียมชุดเจ้าสาวกลับพบเพียงความว่างเปล่า หีบผ้าใบใหญ่ที่เตรียมไว้เป็นสินเดิมเจ้าสาวถูกเปิดทิ้งไว้…ภายในว่างเปล่า ทั้งอาภรณ์ไหมเครื่องประดับทองและเงินตราที่จัดเตรียมไว้อย่างดีหายไปหมดสิ้น บุตรสาวที่บิดารักใคร่ทำเช่นนี้…นายท่านไป๋ย่อมรู้สึกโกรธเคืองและขายหน้าอยู่ไม่น้อย หากเกี้ยวเจ้าสาวที่ถูกส่งมารับกลับไปยังจวนหลี่อ๋องมีเพียงความว่างเปล่า…ไร้เจ้าสาว เกรงว่าจะไม่เพียงแค่เสียหน้าแต่ยังอาจกลายเป็นเรื่องใหญ่ถึงขั้นสั่นคลอนสัมพันธ์ระหว่างสองตระกูลได้ “หลี่อ๋องมาแล้วเจ้าค่ะ…” จู่ๆ น้ำเสียงของสาวใช้เอ่ยดังขึ้นเรียกสติของไป๋ซูเหยาให้กลับคืน นางชะงักเงยหน้าขึ้นก็มองเห็นเพียงแค่เงาร่างสูงใหญ่ของบุรุษผู้หนึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าเท่านั้น ไม่รู้เลยว่าเขาเข้ามาตั้งแต่เมื่อใด…หรือบางทีอาจเป็นเพราะนางมัวแต่จมอยู่ในภวังค์จนไม่ทันสังเกต แม้จะเคยพบหน้าหลี่อ๋องผู้นี้อยู่เพียงสองครา ทว่านางกลับไม่เคยได้พูดคุยกันแม้แต่ครึ่งคำ ไป๋ซูเหยาตกใจไม่น้อยก่อนจะรีบลุกขึ้นยอบกายคำนับตามมารยาททันที ทว่ายังไม่ทันเอ่ยอันใด น้ำเสียงเย็นชาดุจเหมันต์ก็ดังขึ้น “หึ! อย่าคิดว่าเจ้าจะสามารถแทนนางได้” สายตาคมกริบของหลี่เจิ้งเฉินทอดมองนางอย่างดูแคลน ความไม่พอใจฉายชัดอยู่ในทุกถ้อยคำ ไฉนสตรีที่เขารักและหมายปองจะร่วมเรียงเคียงหมอนในคืนเข้าหอกลับกลายเป็นสตรีแปลกหน้าผู้นี้! เขารู้จักไป๋เหยียนหลันมาเนิ่นนานย่อมรู้ว่านางไม่มีทางที่จะหายไปโดยไม่กล่าวคำร่ำลาเช่นนี้แน่! หลี่เจิ้งเฉินกัดฟันกรอด มือทั้งสองข้างกำแน่นจนเส้นเลือดปูดนูนขึ้นมา มุมปากหนายกยิ้มเยาะ หลี่เจิ้งเฉินยังคงสาดคำพูดเย็นชาใส่สตรีตรงหน้าไม่หยุด “อย่าได้ดีใจระริกระรี้ว่าจะได้เป็นภรรยาข้า! หากไป๋เหยียนหลันกลับมาเมื่อใด ผู้ที่สมควรไสหัวไปก็คือเจ้า!” ไฉนเลยเขาจะสามารถทำใจยอมรับสตรีผู้นี้เป็นภรรยาได้! ไป๋ซูเหยาเงยหน้าขึ้นอย่างเชื่องช้า ใบหน้าคนงามภายใต้ผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวไร้อารมณ์ใดๆ ดวงตาคู่งามดั่งเมล็ดซิ่งแต่กลับฝืนไม่ให้สั่นไหวหรือหวั่นกลัวบุรุษตรงหน้า นี่หาใช่ความผิดของนางเช่นกัน! เหตุใดจึงเอ่ยถ้อยคำเช่นนี้ออกมาราวกับว่านางเป็นต้นเหตุที่ทำให้ไป๋เหยียนหลันหายไป! “เช่นนั้นหรือเจ้าคะ…” น้ำเสียงของนางเบาหวิวราวกับจะหายไปตามสายลม หากเยือกเย็นในคราเดียวกัน ยามนี้ไป๋ซูเหยาหาได้ใส่ใจสิ่งใดอีกต่อไปแล้ว นางยกมือขึ้นถอดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวออกด้วยตนเองอย่างเงียบเชียบ ไม่แม้แต่จะรอให้บุรุษตรงหน้าใช้คันชั่งเปิดออกตามธรรมเนียมปฏิบัติของคืนเข้าหอ… อย่างไรเสีย…นางก็เป็นเพียงตัวแทนเท่านั้น ทันทีที่ผ้าคลุมหน้าถูกเปิดออก ดวงตาคู่งามพลันสบเข้ากับสายตาคมกริบของหลี่เจิ้งเฉินพอดี นางชะงักไปเล็กน้อย นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ใกล้เขาถึงเพียงนี้…ความรู้สึกบางอย่างแล่นวาบขึ้นในอกจนต้องกลืนน้ำลายอึกใหญ่เพื่อกลั้นอารมณ์ “ในเมื่อท่านไม่เต็มใจ…ข้าเองก็มิเคยยินดี” น้ำเสียงหวานของไป๋ซูเหยาเอ่ยขึ้นราบเรียบ ว่ากันตามตรงแล้ว…ไหนเลยนางจะมีสิทธิ์เลือก หากมิขึ้นเกี้ยวแทนพี่สาวผู้อื่นก็มีแต่จะถูกส่งไปเป็นอนุภรรยาของตาเฒ่าชราผู้หนึ่งแทน! อวดดี! หลี่เจิ้งเฉินขบกัดฟันกรอดด้วยโทสะ เขาก้าวเข้ามาใกล้นาง ฝ่ามือหนาพลันยกขึ้นบีบรัดลำคอระหงของสตรีตรงหน้าโดยไม่เอ่ยถ้อยคำใดก่อน ราวกับจะตอกย้ำว่าสตรีผู้นี้ไม่มีทางขึ้นมาแทนที่ได้! มุมปากหนาของเขายกยิ้มเย้ยหยัน “ไม่เคยยินดีหรือ…” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยอย่างเย็นชา ดวงตาคมกริบไล่สายตามองเรือนร่างอรชรผ่านอาภรณ์แต่งงานสีแดงสดอย่างดูแคลน กลิ่นกำยานหอมอ่อนๆ ลอยอบอวลอยู่ทั่วห้อง เทียนมงคลสีแดงลุกไหม้พลิ้วไหว เปลวไฟส่องผ่านม่านแพรบางพลิ้วเงาสะท้อนของบุรุษและสตรีทาบทับอยู่บนฉากผ้าไหมลวดลายนกหยวนยาง หากแต่ ในสายตาของหลี่เจิ้งเฉินกลับไม่ต่างจากฉากละครลวงตาที่ชวนให้หัวเราะเยาะยิ่งกว่าการแสดงตลกในโรงเตี๊ยมเสียอีก! “เกรงว่าคงระริกระรี้อยากจะร่วมเตียงกับข้าเสียมากกว่า” น้ำเสียงทุ้มแหบพร่าเอ่ยขึ้นชิดใบหู ลมหายใจร้อนผ่าวเป่ารดแนบแก้มนวลอย่างจงใจกลั่นแกล้งอีกฝ่าย ทว่าหลี่เจิ้งเฉินพลันสูดดมกลิ่นหอมไปอย่างไม่รู้ตัว ไป๋ซูเหยาสูดลมหายใจเข้าลึกคล้ายตั้งสติ แม้ลำคอจะถูกบีบรัดแน่นจนคล้ายรู้สึกจุกแน่นอกหายใจไม่ออก ทว่าดวงตาคู่งามยังคงแน่วนิ่งไม่มีแม้แต่ความหวาดกลัวฉายออกมาเลยแม้แต่น้อย นางแค่นหัวเราะเยาะเสียงต่ำ ทั้งที่หายใจติดขัด น้ำเสียงหวานแหบแห้งกล่าวออกมา “หากข้าอยากจะร่วมเตียงกับหลี่อ๋อง…เกรงว่าข้าคงไม่ถอนเพียงผ้าคลุมหน้ากระมัง!”ยามนี้บรรยากาศภายในเรือนเงียบงันลงอีกครั้ง เหล่าสาวใช้ต่างกระพริบตาปริบๆ มองกันไปมาด้วยความงุนงง ไม่เข้าใจสิ่งที่พระชายากล่าวออกมาว่าหมายถึงสิ่งใดกันแน่ไป๋เหยียนหลิน...มิใช่พระชายาไป๋เหยียนหลันหรือ?และหากสตรีที่นั่งกำลังอยู่บนเตียงในตอนนี้ มิใช่พระชายาไป๋เหยียนหลันตัวจริง เช่นนั้นแล้ว...แม่นางผู้นี้เป็นใครกันแน่?ประโยคก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะฟังอย่างแล้วก็ไม่กระจ่างแจ้งพลันก่อความสับสนในใจของทุกคนขึ้นทันที ทว่ากลับไม่มีใครกล้าเอ่ยถามออกไป เหล่าสาวใช้ต่างก็พากันมองหน้ากันอย่างไม่เข้าใจโจวตงหยางถึงกับหันขวับไปมองสหายทันที ดวงตาดำขลับเบิกโพลงกว้างอย่างตกตะลึงราวกับเห็นผีกลางวันแสกๆ ก็ไม่ปานเช่นนั้น…คำพูดที่หลี่เจิ้งเฉินหลุดปากเอ่ยเมื่อวันก่อนก็เป็นความจริงอย่างงั้นหรือ!ที่แท้คนผู้นี้ก็มิได้เมามายจนสติเลอะเลือนไป!เขาจ้องมองบุรุษข้างกายตาเขม็ง ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “เป็นเรื่องจริงหรือ…หลี่เจิ้งเฉิน?”หลี่เจิ้งเฉินกล่าวเสียงแผ่วเบา “นางคือไป๋ซูเหยา…”เขาไม่เคยคิดจะปิดบัง…ทว่าก็หาได้อยากเปิดเผยออกไปให้เป็นเรื่องใหญ่โตชวนวุ่นวายหลี่เจิ้งเฉินขยับฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ทีละก้าวก
หลี่เจิ้งเฉินอุ้มไป๋ซูเหยสกลับไปที่จวนอย่างเร่งรีบ ซ้ำตลอดทางยังตะโกนเรียกสาวใช้ให้ท่านหมอมาโดยเร็วทุกครั้งยามนี้ที่เขาเหลือบสายตามองนางในอ้อมแขนนั้น ทันใดนั้น…หัวใจแกร่งก็พลันกระตุกวูบรุนแรงอย่างน่าประหลาดใจ เพียงคิดว่าหากสตรีผู้นี้เป็นอันใดไปนี่ก็คงความผิดของเขากระมัง!?ยามนี้ทั่วทั้งเรือนหลัก จุดโคมไฟจนสว่างไสวแต่ทว่ากลับไม่อาจขับไล่บรรยากาศอึมครึมขุ่นมัวภายในเรือนได้ หลี่เจิ้งเฉินนั่งเงียบงันอยู่ข้างเตียง ดวงตาคมกริบทอดมองร่างบอบบางที่ยังคงหลับใหลอยู่ตรงหน้าใบหน้าซีดเซียวไล่สีเลือดฝาดเมื่อครู่ๆ ค่อยๆ ขึ้นสีเล็กน้อยเขาพลางยกมือขึ้นแตะหน้าผากของนางแผ่วเบา…ราวกับไม่ต้องการปลุกให้นางขึ้นมาหลี่เจิ้งเฉินกำมือแน่น ยามนี้เขาถูกความรู้สึกผิดกัดกินอยู่ไม่ใช่นาง...ไม่ใช่นางเลยสักนิดที่ควรถูกลงโทษ...“ข้าขอโทษ…” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา“นี่มิใช่ความผิดของเจ้า…ไป๋ซูเหยา”ก่อนหน้านั้น หลี่เจิ้งเฉินย่อมรู้ดีว่าสตรีที่อยู่ในเกี้ยวเจ้าสาวหาใช่ไป๋เหยียนหลันไม่เพราะมีคนจากสกุลไป๋เร่งร้อนมาแจ้งข่าวแต่เช้าตรู่เสียจนเขาตั้งตัวไม่ทันในยามนั้นเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรรับมือเช่นไรจู่ๆ สตรี
ปัง!หลี่เจิ้งเฉินวางจอกสุรากระแทกลงโต๊ะอย่างแรงด้วยความขุ่นเคือง สายตาคมกริบเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว ห้วงความคิดของเขาวนเวียนกลับไปกลับมาไม่พ้นจากดวงตาคู่งามที่แข็งกร้าวคล้ายกลับว่าไม่อาจลืมเลือนมุมปากหนาแค่นเสียงเยาะ ก่อนจะเอื้อมมือไปคว้าจอกสุราอีกครั้งทว่า…ไหสุราในมือนั้นกลับถูกอีกฝ่ายช่วงชิงไปอย่างรวดเร็วฟึ่บ!“!!!” หลี่เจิ้งเฉินขมวดคิ้วทันควัน สายตาเต็มไปด้วยความไม่พอใจโจวตงหยางเลิกคิ้วขึ้นอย่างเชื่องช้าราวกับตั้งใจ เขาถือไหสุราไว้ในมือแน่นไม่ยอมคืนให้ พร้อมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “ท่าทางวันนี่หลี่อ๋องคงมีเรื่องทำให้กลัดกลุ้มใจไม่น้อย…ทะเลาะกับพระชายามาหรืออย่างไรกัน”ก่อนหน้านี้เขากำลังเอนกายนอนชมการร่ายรำของเหล่าสตรีงามอย่างสบายอารมณ์ ทว่าคาดไม่ถึงว่าจะมีพ่อบ้านเข้ามาแจ้งว่าหลี่อ๋องมาเยือนถึงที่จวน…!?เดิมทีเดียวโจวตงหยางคิดว่าคงมีราชการด่วนหรือเรื่องสำคัญใดๆ ทว่ามิใช่...หลี่เจิ้งเฉินกลับมานั่งดื่มสุราไหแล้วไหเล่าราวกับอารมณ์มาจากจวนเสียมากกว่าสายตาคมกริบของเขาเหลือบมองสหายตรงหน้าราวกับรอฟังคำตอบ“…” หลี่เจิ้งเฉินสูดลมหายใจแรงด้วยความหงุดหงิด แต่กลับไม่ยอมเอ่ยอันใดออกมาโจว
ใครเล่าจะเชื่อเรื่องโชคชะตา…แม้แต่ไป๋เหยียนหลันเองก็ไม่เคยเชื่อมาก่อน หากแต่สวรรค์กลับเล่นตลกกับนางเสียจนหมดหนทางปฏิเสธ ด้ายแดงที่เคยถักทอมาเนิ่นนานแต่พอถูกละลายลงในสายน้ำก็ไม่หลงเหลือแม้เศษเส้นใยให้เหนี่ยวรั้งไว้นางไม่คิดเลยว่าเพียงแค่พบกับจางสือ บุรุษหนุ่มธรรมดาผู้หนึ่งจากร้านขายถั่วเหลือง หัวใจที่เคยนิ่งสงบกลับเต้นกระหน่ำรัวราวกับกลับไปเป็นดรุณีน้อยที่เพิ่งรู้จักคำว่ารักอีกครั้ง…แน่นอน…ว่านางอยากมีชีวิตที่สงบและเรียบง่าย ไม่ต้องเข้าไปพัวพันกับความวุ่นวายหรือแก่นแย่งชิงอำนาจกับผู้ใดทั้งสิ้นทว่าหลี่เจิ้งเฉินกลับมีฐานะสูงศักดิ์เป็นถึงหลี่อ๋อง…มีอำนาจในมือ วันข้างหน้าย่อมไม่อาจมีภรรยาเพียงหนึ่งเดียวได้แต่จางสือนั้น…กลับสามารถรักมั่นเพียงนาง ถึงแม้ฐานะเขาจะต่ำต้อยกว่าเพราะต้องเลี้ยงดูมารดา น้องสาว น้องชายและยังหาเช้ากินค่ำก็ช่างเถอะ…หากใจรักมั่น ไป๋เหยียนหลันเชื่อว่าสวรรค์ก็ต้องเมตตาให้ชีวิตคู่ของนางและเขาราบรื่นเป็นแน่“เหยียนหลันรีบกินขาหมูตุ๋นร้อนๆ นี่ก่อนเถิด” น้ำเสียงของจางฮูหยินเอ่ยดังขึ้นพร้อมรอยยิ้มประจบประแจ้ง นางได้ยินข่าวมาว่าคุณหนูไป๋จากร้านน้ำเต้าหู้ตรงประตูเมืองผู้นี
บรรยากาศภายในจวนหลี่อ๋องยามนี้ขุ่นมัวและอึมครึมยิ่งกว่ายามฝนตั้งเค้าเสียอีก เหล่าสาวใช้ที่ยืนอยู่บริเวณนั้นต่างค่อยๆ ถอยห่างออกไปอย่างเงียบเชียบ บ้างก็ถึงกับกลั้นหายใจด้วยความหวาดหวั่นใบหน้าของหลี่อ๋องบัดนี้เขียวคล้ำด้วยโทสะ แววตาคมกริบฉายชัดถึงความขุ่นเคืองจนไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยคำใดแม้แต่ครึ่งคำแล้วไหนจะพระชายาผู้นั้น…สตรีผู้มีใบหน้างดงามแต่ตอนนี้กลับแข็งกร้าวฉายแววดื้อรั้นไม่ยอมโอนอ่อนแม้แต่น้อย!ทั้งที่รอคอยจะได้ครองคู่อยู่ด้วยกันมิใช่หรือ…?ทว่าเพียงคืนเข้าหอคืนเดียวเท่านั้น ไฉนเลยความสัมพันธ์กลับแปรเปลี่ยนราวกับคนแปลกหน้าเช่นนี้แท้จริงแล้วเกิดอันใดขึ้น…พวกนางอยากรู้เสียจริง!แม้ว่าพวกนางจะพยายามถอยหลีกห่างแล้ว ทว่าในความเงียบสงัดกลับได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมหายใจของตนเองหลี่เจิ้งเฉินกัดฟันกรอดคล้ายข่มโทสะ เขาก้าวเข้าไปหาสตรีตรงหน้า ก่อนจะคว้าเรียวแขนของอีกฝ่ายอย่างแรงแล้วออกแรงกระตุกดึง กึ่งลากนางให้เดินตามไปทันที“ปล่อยข้า!” ไป๋ซูเหยาร้องเสียงหลงด้วยความตกใจนางยังไม่ทันได้ตั้งตัว ร่างบางก็ถูกบังคับให้ก้าวตามเขาไปตามแรงดึง หากฝืนก็เกรงว่าจะล้มลงกับพื้นและหากเป็นเช่นนั้น…บุรุษผู้
หลี่เจิ้งเฉินไม่คาดคิดว่าสตรีผู้นี้จะกล้าตอบโต้ด้วยท่าทีอวดดีเช่นนี้!เขากัดฟันกรอดก่อนจะสะบัดมืออย่างแรงจนร่างบอบบางลอยขึ้นเหนือพื้นเพียงชั่วพริบตา แล้วถูกเหวี่ยงกระแทกลงบนเตียงอย่างไม่ไยดีน้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยลอดไรฟัน “ม้าพยศย่อมต้องถูกเฆี่ยน!...สตรีอวดดีสมควรถูกสั่งสอน!”ตุบ!ร่างอรชรของไป๋ซูเหยาพลันกระแทกลงบนเตียงอย่างแรง แม้จะมีฟูกนุ่มรองรับ ทว่าแรงจากการสะบัดของบุรุษผู้นี้กลับรุนแรงราวกับหมายจะให้กระดูกทุกชิ้นในร่างนางแตกร้าวเสียให้ได้“อ๊ะ!” ไป๋ซูเหยานอนตัวงอด้วยความเจ็บปวดทันใดนั้น ดวงตาคู่งามเบิกกว้างด้วยความตกใจโดยไม่ทันคาดคิดว่าอันตรายจะคืบคลานเข้ามาเร็วเพียงนี้!!!หลี่เจิ้งเฉินก้าวเข้ามาใกล้ สายตาคมกริบเพ่งมองร่างสตรีตรงหน้าอย่างเยียบเย็น มุมปากหนายกยิ้มเยาะไร้ความอ่อนโยนหากนางมิใช่สตรีในดวงใจแล้ว…ไม่ว่าสตรีใดก็อย่าได้หวังว่าเขาจะอ่อนโยน ต่อให้นางกระอักเลือดเจียนตายอยู่ตรงหน้าก็อย่าคิดว่าเขาจะเหลือบแลเห็นใจแม้เพียงเสี้ยวสายตา!“แค่ก! แค่ก!” ไป๋ซูเหยาไอแห้งๆ ออกมาหลายครั้งลมหายใจของนางติดขัดราวกับปอดแทบจะยุบตัว ดวงตาคู่งามพร่าเลือนไปด้วยม่านน้ำใส หากแต่ในใจกลับไม่คิดอ้อน