หลายวันผ่านไป…ช่วงนี้หลี่เจิ้งเฉินวุ่นวายอยู่ไม่น้อย หลังจากพักผ่อนหลังแต่งงานอยู่นาน…จู่ๆ วังหลวงที่เงียบสงบกลับมีงานมากมายถาโถมเข้ามาราวกับถูกคลื่นซัดเขาต้องจัดการสะสางหน้าที่ให้ผ่านพ้นลุล่วงไปอย่างราบรื่นยามเช้า หลี่เจิ้งเฉินจำต้องเข้าวังหลายไปถวายการสอนแก่องค์รัชทายาท พอคล้อยบ่ายก็ต้องร่วมเล่นหมากล้อมพร้อมสั่งสอนเรื่องการเมืองราชการและตำราพิชิตสงครามทุกวันล้วนเหน็ดเหนื่อยและยาวนาน กว่าจะได้กลับจวนอีกทีก็มืดค่ำเสียแล้วหลี่เจิ้งเฉินย่อมคุ้นเคยชินกับชีวิตราบเรียบและเคร่งครัดเช่นนี้มาเนิ่นนาน ทว่าช่วงหลังมานี้…เขากลับรู้สึกเกียจคร้านอยู่ลึกๆ ในใจทว่ากลับไม่สามารถหลีกเลี่ยงหน้าที่ได้หาใช่เพราะภาระงานที่หนักอึ้ง…แต่เพราะคิดถึงร่างนุ่มนิ่มของสตรีผู้หนึ่งโดยไม่ทันตั้งตัวนับตั้งแต่ครานั้น…หลังจากกลับจากในโรงเตี๊ยม ไป๋ซูเหยาถูกเขาพากลับมาจวนในสภาพหมดสติทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยกลิ่นสุราเขาสังเกตว่า ยามนางหลับใหลนั้นอยู่บนเตียง กิริยากลับไม่เรียบร้อยนักทั้งยกแขนมากอดอย่างเผลอไผล ยกขาเกี่ยวเข้ามาโดยไม่รู้ตัว ไฉนเป็นสตรีแต่กลับไม่รู้จักระมัดระวังตัวเอาเสียเลยหลี่เจิ้งเฉินในตอนนั้น…แม้จะไ
ยามซวี (เวลา 19.00 – 21.00 น.) กลิ่นหอมฉุนของสุราลอยตลบอบอวลแผ่ซ่านไปทั่วทั้งร้านถนนแห่งนี้ครั้นเมื่อยามพลบค่ำมาเยือน…แสงอาทิตย์ลับขอบฟ้า ท้องฟ้าก็แปรเปลี่ยนเป็นสีหม่นมืด บรรยากาศโดยรอบยิ่งชวนให้อารมณ์เริงรื่น เย้ายวนใจให้แก่เหล่าบุรุษเสเพลและสตรีงามออกมาหาความสำราญเพื่อคลายความเหนื่อยล้าจากวันอันยาวนานแม้โรงเตี๊ยมสุราแห่งนี้จะตั้งอยู่เกือบสุดปลายตลาดแต่กลับคับคั่งแน่นขนัดราวกับภายในแจกสุราดีให้ดื่มฟรีโดนไม่คิดเงินผู้คนต่างหลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสาย ทั้งเสียงพูดคุยหัวเราะ เสียงจอกสุรากระทบกันและเสียงดนตรีบรรเลงขับขานให้สตรีงามร่ายรำ…ยิ่งทำให้ค่ำคืนนี้มีชีวิตชีวายิ่งนักราวกับดินแดนเทพเซียนไป๋ซูเหยานั่งอยู่มุมหนึ่งในร้าน เรือนผมงามถูกรวบขึ้นมวยลวกๆ ไว้ด้านหลัง ดวงตาคู่งามแดงฉ่ำจากฤทธิ์สุรา ใบหน้าขาวนวลขึ้นสีแดงระเรื่อราวกลีบดอกท้อเมื่อถูกไอแดดแตะต้องนางยกสุราดื่มไหแล้วไหเล่าอย่างไม่รู้จักพอ…ตั้งแต่ฟ้าสว่างจนท้องฟ้ามืดสนิทราวกับว่าต้องการใช้มันกลบเกลื่อนอารมณ์ในใจปัง!สุราแรงรสขมร้อนไหลลงคออีกครา ก่อนที่ไป๋ซูเหยาจะวางไหเปล่ากระแทกลงบนโต๊ะจนเกิดเสียงดังลั่นคล้ายจะแตก“อื้ม! สุราดี” ไป๋
จู่ๆ ภายในใจของไป๋เหยียนหลันกลับปั่นป่วนขึ้นมาราวกับถูกคลื่นโหมกระหน่ำ ความรู้สึกมากมายตีวนขึ้นมาในอกจนไม่รู้ว่าควรจะอธิบายความรู้สึกนี้เรียบเรียงออกมาเป็นถ้อยคำพูดได้อย่างไรนัยน์ตาเมล็ดซิ่งสั่นระริกมองตามแผ่นหลังของไป๋ซูเหยาและหลี่เจิ้งเฉินที่เดินตามกันไปจนลับสายตามือเรียวกำแน่น ความเย็นยะเยือกเกาะกุมทั่วปลายนิ้วท่าทีของหลี่อ๋องในยามนี้...หมายความว่าอย่างไรกันแน่?ไฉนเขาจึงกล่าวว่ารักมั่นต่อนางแต่เพียงผู้เดียว…ซ้ำยังเคยให้สัญญาว่าจะเคียงคู่กับนางไปตลอดชีวิตจนผมขาวโพลน แท้จริงแล้วสิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นเพียงแค่ลมปากเท่านั้นหรือ!?นางหายไปทั้งคนแต่กลับไร้วี่แววว่าเขาจะตามหา ทว่ากลับกลายเป็นนางที่เห็นเขาเอาแต่วิ่งตามหลังสตรีผู้หนึ่งทั้งที่สมควรเป็นเพียงตัวแทนของนางเท่านั้นไป๋เหยียนหลันมีหรือจะทนได้!นางสูดลมหายใจลึกคล้ายตั้งสติระงับโทสะที่เดือดพล่านจนคับแน่นอยู่ในอก ดวงตาคู่งามแข็งกร้าวฉายความไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจน“จะไปที่ใดหรือ...”จู่ๆ น้ำเสียงทุ้มของจางสือก็ดังขึ้นจากด้านหลัง เขาเพิ่งเดินออกมาจากร้านค้า ทว่ากลับต้องชะงักฝีเท้าทันทีเมื่อเห็นท่าทางของไป๋เหยียนหลันในยามนี้หัวคิ้วเข
ไป๋ซูเหยาไม่ได้นั่งรถม้ากลับจวนหลี่อ๋อง นางเลือกที่จะเดินออกจากร้านขายน้ำเต้าหู้ของสกุลไป๋ด้วยฝีเท้าช้าๆ ลัดเลาะไปตามตรอกเล็กสู่ตลาดค้าส่งระหว่างแคว้น ดวงตาคู่งามเหม่อลอยราวกับว่าใต้หล้านี้ไม่มีสิ่งใดน่าสนใจอีกแล้วยามนี้...ถือว่านางตัดขาดจากผู้คนแซ่ไป๋แล้วใช่หรือไม่?และหากนางจะหย่าขาดกับหลี่เจิ้งเฉิน ไม่ข้องเกี่ยวกับเขาอีกเลย เช่นนั้น…นางก็มีสิทธิ์ทำได้ใช่หรือไม่?ปัญหาที่เกิดขึ้นนี้…นางมิใช่ผู้ก่อ หากแต่กลับต้องแบกรับไว้บนบ่าทั้งหมดโดยไร้ทางเลือก ทั้งที่เป็นของไป๋เหยียนหลัน เหตุใดจึงต้องผลักภาระมาลงที่นางด้วยเล่าไป๋ซูเหยาพลันแค่นเสียงหัวเราะเยาะตนเอง ใบหน้าคนงามระบายยิ้มจางๆ คล้ายเย้ยหยันโชคชะตาที่เล่นตลก หากแต่รอยยิ้มนั้นกลับดูงดงามราวดอกเหมยผลิบานท่ามกลางหิมะเหมันต์…ดึงดูดสายตาของบุรุษที่เดินผ่านไปมาอย่างไม่ตั้งใจทว่าหากใครมองเลยจากรอยยิ้มนั้นไปสักนิด...ก็จะพบกับเงาร่างของชายหนุ่มผู้หนึ่งเป็นอันต้องสะดุ้งหยุดส่งสายตาหว่านล้อมทันที!หลี่เจิ้งเฉินเดินตามหลังนางอยู่ห่างๆ สิบก้าว เขาไม่ได้เอื้อนเอ่ยคำใดและมิได้เร่งฝีเท้าเข้าไปหานางในใจย่อมรู้สึกไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่นายท่านไป๋และไ
ถ้อยคำของไป๋ซูเหยาเมื่อครู่…ราวกับตบหน้าของหลี่เจิ้งเฉินฉาดใหญ่ ทว่าเขากลับยังคงยืนนิ่ง ใบหน้าหล่อคมคายเรียบเฉยหาได้แสดงความโกรธเคืองหรือไม่พอใจออกมาเลยแม้แต่น้อยในขณะเดียวกันนั้น นายท่านไป๋กลับสูดหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความอดกลั้น ก่อนจะก้าวตรงเข้ามาหาบุตรสาวตรงหน้าอย่างไม่รีรอ ฝ่ามือใหญ่หยาบกร้านคว้าเข้าที่เรียวแขนของนางทันทีแล้วออกแรงกระชากอย่างแรง น้ำเสียงทุ้มต่ำแผ่วเบาเต็มไปด้วยโทสะ “หุบปากของเจ้าเสีย! ก่อนที่ข้าจะต้องสั่งสอนเจ้าด้วยตนเอง!”!!!ทว่า…เหตุการณ์เช่นนี้กลับไม่พ้นสายตาของหลี่เจิ้งเฉินไม่เว้นแม้แต่เหล่าสาวใช้จากจวนหลี่อ๋องที่ติดตามมาด้วย พวกนางต่างเบิกตากว้างตกตะลึงราวกับย้อนกลับไปเห็นเหตุการณ์เมื่อวานซ้ำอีกครั้งไม่เพียงแต่หลี่อ๋องที่ใช้ความรุนแรงกับพระชายา บัดนี้กลับรวมถึงขั้นบิดาแท้ๆ ยังกล้าทำให้บุตรสาวเจ็บปวดด้วยน้ำมือตนเองอีกหรือ…!?บัดซบเถอะ! พระชายาช่างน่าเห็นใจจริงๆ!ไป๋ซูเหยายังอ่อนแรงจากการพิษไข้ แม้จะไม่แสดงความอ่อนแอออกมาให้เห็น ทว่าเพียงแค่แรงฉุดกระชากน้อยนิดเท่านั้นก็ทำให้เซถลาจนเกือบล้มลงได้ดวงตาคู่งามเบิกตากว้างเล็กน้อยด้วยความตกใจ โชคดีที่ยังฝืนยืนได้อยู
ยามนี้บรรยากาศภายในเรือนเงียบงันลงอีกครั้ง เหล่าสาวใช้ต่างกระพริบตาปริบๆ มองกันไปมาด้วยความงุนงง ไม่เข้าใจสิ่งที่พระชายากล่าวออกมาว่าหมายถึงสิ่งใดกันแน่ไป๋เหยียนหลิน...มิใช่พระชายาไป๋เหยียนหลันหรือ?และหากสตรีที่นั่งกำลังอยู่บนเตียงในตอนนี้ มิใช่พระชายาไป๋เหยียนหลันตัวจริง เช่นนั้นแล้ว...แม่นางผู้นี้เป็นใครกันแน่?ประโยคก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะฟังอย่างแล้วก็ไม่กระจ่างแจ้งพลันก่อความสับสนในใจของทุกคนขึ้นทันที ทว่ากลับไม่มีใครกล้าเอ่ยถามออกไป เหล่าสาวใช้ต่างก็พากันมองหน้ากันอย่างไม่เข้าใจโจวตงหยางถึงกับหันขวับไปมองสหายทันที ดวงตาดำขลับเบิกโพลงกว้างอย่างตกตะลึงราวกับเห็นผีกลางวันแสกๆ ก็ไม่ปานเช่นนั้น…คำพูดที่หลี่เจิ้งเฉินหลุดปากเอ่ยเมื่อวันก่อนก็เป็นความจริงอย่างงั้นหรือ!ที่แท้คนผู้นี้ก็มิได้เมามายจนสติเลอะเลือนไป!เขาจ้องมองบุรุษข้างกายตาเขม็ง ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “เป็นเรื่องจริงหรือ…หลี่เจิ้งเฉิน?”หลี่เจิ้งเฉินกล่าวเสียงแผ่วเบา “นางคือไป๋ซูเหยา…”เขาไม่เคยคิดจะปิดบัง…ทว่าก็หาได้อยากเปิดเผยออกไปให้เป็นเรื่องใหญ่โตชวนวุ่นวายหลี่เจิ้งเฉินขยับฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ทีละก้าวก