เธอเคาะประตู แล้วเดินเข้าไป “หมอฟู่คะ ฉันเอาของมาส่งค่ะ”ฟู่หวยจิ่นยังคงสนทนากับผู้ช่วยอยู่ เหลือบมองเธอทีหนึ่งแล้วบอกว่า “วางไว้บนโต๊ะก็พอ”“ได้ค่ะ”หลังจากวางของเสร็จ หลินอินควรจะไปได้แล้ว แต่กลับหยุดยืนอยู่ตรงนั้น และตั้งใจฟังการสนทนาของพวกเขาฟู่หวยจิ่นสังเกตเห็นเธอที่ประตู จึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย “เสี่ยวอิน เธอยังมีอะไรอีกหรือเปล่า?”หลินอินเปิดปาก แต่ยังลังเลว่าจะพูดดีหรือไม่ สุดท้ายเธอก็รวบรวมความกล้าพูดว่า “หมอฟู่คะ ฉันก็เข้าใจสถานการณ์ของผู้ป่วยแล้ว เรื่องการพักฟื้นหลังผ่าตัดฉันมีข้อเสนอแนะอย่างหนึ่งแต่ไม่รู้ว่าควรพูดดีไหม”ฟู่หวยจิ่นเกิดความสนใจขึ้นมา “ไหนลองพูดมาซิ”“ผู้ป่วยได้ใช้ยาจำนวนมากก่อนการผ่าตัด การรับภาระของตับนั้นหนักมาก หากยังคงใช้ยาแผนปัจจุบันต่อไป เกรงว่าจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ สู้เลือกใช้วิธีการพักฟื้นแบบแพทย์แผนจีนดีกว่า ถึงแม้จะเป็นยาเหมือนกัน แต่สัดส่วนของยาจีนสามารถกดฤทธิ์ข้างเคียงซึ่งกันและกันได้ ยังไงก็ดีกว่านิดหน่อย”พูดจบ หลินอินก็มองสีหน้าของฟู่หวยจิ่นอย่างระมัดระวังแม้ว่าโรงพยาบาลเต๋อเหรินจะมีศูนย์แพทย์แผนจีน แต่ความขัดแย้งระหว่างแพทย์แผนจีนกับแ
หลินอินมีความสามารถในการปรับตัวที่ยอดเยี่ยมมาก ในเวลาไม่ถึงสองสัปดาห์ก็สามารถหลุดพ้นจากกรอบความคิดของนักศึกษา ปรับตัวเข้ากับจังหวะการทำงานที่จุกจิกและวุ่นวายของโรงพยาบาลได้อย่างสมบูรณ์ ซ้ำยังชำนาญคล่องแคล่วอีกด้วยเธอเป็นคนใฝ่รู้มาก หลังจากเสร็จสิ้นการอบรมทักษะและความรู้พื้นฐานในแต่ละวัน ก็จะอาสาช่วยเพื่อนร่วมงานคนอื่น เพื่อที่จะได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ เพิ่มเติมเธออยากจะกลายเป็นแพทย์จริง ๆ ให้เร็วที่สุดแผนกศัลยกรรมงานยุ่งมากเสมอ ทุกคนเหมือนติดล้อเพลิงอยู่ใต้เท้า หยุดนิ่งไม่ได้เลย มีเพียงเวลารับประทานอาหารเท่านั้นถึงจะได้พักหายใจหลินอินและบรรดาเพื่อนร่วมงานนั่งล้อมวงกินข้าวบนโต๊ะเดียวกัน เธอนั่งข้างฟู่หวยจิ่น ทุกคนพูดคุยกันตามปกติ พูดถึงการผ่าตัดใหญ่ในช่วงบ่ายฟู่หวยจิ่นมองไปที่ผู้ช่วยสองคนที่ต้องตามเขาเข้าไปในห้องผ่าตัด พลางกำชับว่า “เดี๋ยวพักผ่อนให้เต็มที่ ช่วงบ่ายตั้งสมาธิให้ดี ห้ามผิดพลาดเด็ดขาดนะ”บรรดาผู้ช่วยรีบขานรับ ฟู่หวยจิ่นเหลือบมองหลินอินที่อยู่ข้าง ๆ แล้วมองไปที่แพทย์ฝึกหัดสองสามคนที่อยู่ในการดูแล “การผ่าตัดช่วงบ่ายทุกคนตามเข้าไปสังเกตการณ์และศึกษาได้”บรรดาแพทย์ฝึก
“พี่คะ พี่อิน พวกพี่กำลังทำอะไรกันอยู่คะ?”ฮั่วเนี่ยนขยี้ตาเดินออกมาเห็นก็ถึงกับตะลึงเสียงใสแจ๋วที่เจือด้วยความง่วงทำให้หลินอินได้สติขึ้นมาทันที สังเกตเห็นว่าตอนนี้เธอกับฮั่วจิ่งเจ๋อกำลังอยู่ในท่วงท่าที่ชวนเขินจนหน้าแดงหูแดงเพียงใด ชุดนอนก็ยังยุ่งเหยิงเกินทน ไหล่สวยโผล่ออกมาให้เห็นเกินครึ่งแก้มพลันร้อนวูบขึ้นมาทันใด แดงจากโคนหูไปถึงลำคอ ทั้งตัวเหมือนกุ้งที่สุกจัดหลินอินอยากแทรกแผ่นดินหนีเสียเดี๋ยวนี้ รีบให้ฮั่วจิ่งเจ๋อปล่อยเธอลง ก่อนจะมุดเข้าไปในห้องปิดประตูดังปังเธอไม่มีหน้าจะไปพบใครแล้วฮั่วจิ่งเจ๋อวางตัวเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก้าวขายาว ๆ เดินเข้าไปหาฮั่วเนี่ยน “ตื่นขึ้นมาทำไมล่ะ? เด็กไม่ควรแอบดูนะ เข้าใจไหม?”หลังจากตกใจฮั่วเนี่ยนก็แทบจะยิ้มกว้างเป็นดอกไม้บาน “พี่ ในที่สุดพี่ก็จีบพี่อินสำเร็จแล้ว! จะแต่งงานกันเมื่อไหร่คะ หนูกำลังจะได้เป็นน้องสาวสามีแล้วใช่ไหม!”“พูดอะไรไร้สาระ” ฮั่วจิ่งเจ๋อยีหัวฮั่วเนี่ยนไปหนึ่งที พลางหัวเราะเบา ๆฮั่วเนี่ยนเบิกตากว้าง เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง “หนูไม่ได้พูดไร้สาระเสียหน่อย ในหนังสือบอกว่าแค่จุ๊บกันก็เป็นคู่รักกันแล้ว นั่นก็หมายความ
ฮั่วเนี่ยนร่างกายไม่แข็งแรง ฮั่วจิ่งเจ๋อไม่เคยอนุญาตให้เธอออกนอกบ้าน รวมถึงครั้งนี้ที่เกิดเรื่องก็ให้เธอรอฟังข่าวอยู่ที่บ้านฮั่วเนี่ยนนั่งไม่ติด เดินไปเดินมาในห้องรับแขก ไม่อาจข่มความร้อนรนและเป็นกังวลในใจไว้ได้เลยจนกระทั่งฮั่วจิ่งเจ๋อพาหลินอินกลับมา พอเห็นพวกเขาทั้งสองเบ้าตาของฮั่วเนี่ยนก็แดงก่ำขึ้นมาทันที“พี่ชาย พี่อิน”เธอรีบวิ่งไปกอดหลินอินและฮั่วจิ่งเจ๋อไว้ น้ำตาไหลพราก ๆ เสียงสะอื้น“ขอโทษค่ะ ทั้งหมดเป็นความผิดของหนูเอง ถ้าไม่ใช่เพราะหนูอยากเจอพี่อิน พวกพี่ก็คงไม่เกิดเรื่องขึ้น ฮือ ๆ ทั้งหมดเป็นความผิดของหนูเอง...”ฮั่วเนี่ยนนึกตำหนิตนเองในใจอย่างรุนแรง ให้สาเหตุทั้งหมดเป็นความผิดของตัวเองพอเห็นผ้าพันแผลหนาเตอะบนมือของฮั่วจิ่งเจ๋อ น้ำตาเธอยิ่งไหลพรากขึ้นกว่าเดิม “พี่ชาย มือของพี่...”หนูน้อยควบคุมอารมณ์ไว้ไม่อยู่ น้ำตาไหลพราก ร้องไห้จนหายใจไม่ทันหลินอินและฮั่วจิ่งเจ๋อผลัดกันปลอบโยนอยู่นานเกือบชั่วโมง กว่าจะหยุดน้ำตาของหนูน้อยลงได้ฮั่วเนี่ยนร้องไห้จนท้ายที่สุดก็เหนื่อยล้า ฟุบอยู่ในอ้อมอกของหลินอินสะอึกสะอื้น ผล็อยหลับไปช้า ๆหลินอินเบาใจไปเปลาะหนึ่ง บนหว่างคิ้วปรา
เมื่อถูกปฏิเสธฮั่วจิ่งเจ๋อก็ไม่โกรธ เขายิ้มบาง ๆ “งั้นก็เลิกคุย อยากได้อิสระก็รอให้ฉันเบื่อซะก่อน”“แล้วคุณจะเบื่อเมื่อไหร่คะ?” หลินอินรู้สึกไม่สบายใจอยู่เสมอดวงตาดำขลับลุ่มลึกของฮั่วจิ่งเจ๋อกวาดตามองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างโจ่งแจ้งไม่ปิดบัง ตั้งแต่ใบหน้า ลำคอ เอวบาง…นิ้วมือของเขาลูบไล้ผิวกายของเธอ เลื่อนลงมาทีละน้อย กุมรอบลำคอที่เรียวบางไว้ “ยังไม่พอเลย แล้วแต่อารมณ์”ลำคอที่บอบบางถูกกุมไว้ เหมือนกับชะตากรรมของเธอ ที่ไร้อิสรภาพแล้วแต่อารมณ์…นั่นก็หมายความว่าอีกนานไม่มีกำหนดหลินอินกำมือแน่น ตัดสินใจแล้ว “ฉันตกลงตามเงื่อนไขของคุณค่ะ”การยอมอ่อนข้อของเธอเป็นไปตามที่ฮั่วจิ่งเจ๋อคาดไว้“งั้นก็ขอเก็บดอกเบี้ยสักหน่อยก่อน”ริมฝีปากของฮั่วจิ่งเจ๋อทาบลงมา หลินอินถูกเขากดไว้บนเตียงคนไข้เพื่อประทับรอยจูบเดิมทีเขาตั้งใจแค่จะลองชิมเพียงเล็กน้อย แต่พอได้สัมผัสหลินอิน ได้กลิ่นกายของเธอ ก็ไม่อาจควบคุมความปรารถนาตามสัญชาตญาณของผู้ชายได้หลินอินรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของเขาอย่างชัดเจน ใบหน้าน้อยร้อนผ่าวทันที อดดิ้นรนเล็กน้อยไม่ได้ ครางอู้อี้ไม่เป็นคำ “ทนายฮั่วคะ ที่นี่มันห้องพักผู้ป่ว
“คุณว่าอะไรนะ?” หลินอินหันกลับไป สีหน้าตกตะลึง นึกว่าตัวเองฟังผิดไปแล้วฮั่วจิ่งเจ๋อขยับริมฝีปากบาง เอ่ยอย่างไม่รีบร้อน “ฉันบอกว่า ยังอยากจะจ้างฉันเป็นทนายความสู้คดีให้หลินเจ๋ออยู่ไหม”หลินอินลุกพรวดขึ้นนั่ง คว้ามือเขาไว้อย่างตื่นเต้น “คุณยินดีที่จะเป็นทนายความสู้คดีให้พี่ชายฉันจริงเหรอคะ ไม่ได้หลอกฉันใช่ไหม?”ฮั่วจิ่งเจ๋อก้มหน้ามองมือของเขาที่เธอจับไว้แน่น สายตาทอดกลับไปยังใบหน้าน้อยที่ตกใจระคนดีใจของหญิงสาว“ถ้าเธอจ้างไหว ก็ได้อยู่แล้ว”หลินอินรีบถาม “ต้องใช้ค่าทนายความเท่าไหร่คะ?”ฮั่วจิ่งเจ๋อยิ้มราบเรียบ “ยี่สิบห้าล้าน”ม่านตาของหลินอินพลันเบิกกว้าง “ยี่สิบห้าล้าน แพงขนาดนี้เลยเหรอ!”เฮ่อไคที่อยู่ข้าง ๆ อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากว่า “คุณหลินครับ เวลาคนอื่นมาจ้างท่านทำคดีเริ่มต้นก็หลักสิบล้านกันหมด แถมยังต้องนัดหมายล่วงหน้าอีกด้วยนะ”ความหมายในคำพูดก็คือยี่สิบห้าล้านถือว่าน้อยมากแล้ว แถมยังไม่ต้องนัดหมายล่วงหน้าอีกต่างหาก มีไม่กี่คนที่ได้สิทธิพิเศษแบบนี้ดูเหมือนว่าเจ้านายจะค่อนข้างสนใจคุณหลินคนนี้มากทีเดียวหลินอินมีสีหน้าอึดอัดเล็กน้อย พูดเสียงเบา ๆ “ฉันไม่มีเงินมากมายขนาดนั้