สองวันผ่านไปอย่างเชื่องช้าสำหรับภาคินัย ความว้าวุ่นใจเกาะกุมจิตใจของเขาอย่างหนักหน่วงตั้งแต่ปลายฝันหลบหน้าไป เขาพยายามโทรหาเธอหลายครั้งแต่ก็ไม่ได้รับการตอบรับ แม้กระทั่งส่งข้อความไปหาเธอก็ไร้ซึ่งการอ่าน ไม่มีการติดต่อกลับใดๆ ทั้งสิ้น
ความเงียบของปลายฝันทำให้ภาคินัยยิ่งร้อนรน เขารู้สึกผิดหวังในตัวเองที่ไม่สามารถทำให้เธอเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นได้ ทั้งยังรู้สึกเจ็บปวดที่เธอไม่ยอมรับฟังคำอธิบายของเขาเลยแม้แต่น้อย เขานั่งอยู่ในห้องทำงานอย่างโดดเดี่ยว สายตาเหม่อลอยออกไปนอกหน้าต่างที่ฝนยังคงพรำๆ ราวกับจะสะท้อนความรู้สึกภายในใจของเขา
ขณะที่ภาคินัยกำลังจมดิ่งกับความคิดของตัวเอง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น “ท่านประธานคะ คุณธามมาขอพบค่ะ” เสียงเลขาของเขาเอ่ยขึ้น
“ให้เข้ามา” ภาคินัยตอบสั้นๆ
ธามเดินเข้ามาในห้องทำงานของภาคินัย ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความกังวลเมื่อเห็นเพื่อนสนิทอยู่ในสภาพที่ดูไม่ได้เลย ภาคินัยไม่ได้โกนหนวดเครา เสื้อเชิ้ตที่สวมใส่ก็ยับยู่ยี่ ดวงตาของเขาดูเหนื่อยล้าและแดงก่ำราวกับไม่ได้นอนมาหลายคืน
“เป็นอะไรมากไหมวะภีม” ธามถามด้วยน้ำเสียงที่เป็นห่วง
ภาคินัยส่ายหน้าช้าๆ “ฉันไม่เป็นอะไรหรอกธาม”
“โกหก!” ธามเอ่ยขึ้น “ฉันเห็นแกตั้งแต่เมื่อวานแล้วนะ หน้าตาเหมือนซอมบี้เลย”
ภาคินัยถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ฉันแค่...ไม่สบายใจนิดหน่อย”
“ไม่สบายใจอะไร” ธามเดินไปทรุดตัวนั่งลงบนโซฟาตรงข้ามกับภาคินัย “บอกฉันมาเถอะน่า แกมีอะไรปิดบังฉันอยู่ใช่ไหม”
ภาคินัยลังเลเล็กน้อย ก่อนจะตัดสินใจเล่าเรื่องทั้งหมดให้ธามฟัง ตั้งแต่เรื่องที่เขาเจอกับทิชาเมื่อคืนวันฝนตกหนัก และเรื่องที่ปลายฝันเข้าใจผิด รวมถึงการที่เขาพยายามอธิบายให้เธอฟังแต่เธอก็ไม่ยอมรับฟังอะไรเลย
“ฉันบอกรักเธอไปแล้วธาม” ภาคินัยเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด “แต่เธอไม่ยอมฟังฉันเลย เธอหลบหน้าฉัน เธอปฏิเสธฉัน”
ธามพยักหน้าช้าๆ “ฉันเข้าใจแกนะภีม”
“แล้วฉันควรจะทำยังไงดีวะ” ภาคินัยถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง “ฉันอยากให้เธอเข้าใจฉันนะ ฉันไม่อยากให้เธอเข้าใจผิดฉันไปแบบนี้”
ธามถอนหายใจเล็กน้อย “แกต้องใจเย็นๆ ก่อนนะภีม ตอนนี้ปลายฝันคงยังไม่พร้อมที่จะรับฟังอะไรหรอกนะ เธอคงรู้สึกสับสนมาก”
“แต่ฉันไม่อยากปล่อยให้เรื่องมันคาราคาซังแบบนี้นะ” ภาคินัยเอ่ยขึ้น “ฉันอยากให้เธอเข้าใจฉันให้เร็วที่สุด”
“ฉันรู้” ธามเอ่ยขึ้น “แต่การบีบคั้นให้เธอเข้าใจในตอนนี้ มันอาจจะยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลงไปอีกก็ได้นะ”
“แล้วฉันควรจะทำยังไงวะ” ภาคินัยถาม
ธามมองหน้าภาคินัยด้วยสายตาที่จริงจัง “แกรักปลายฝันมากแค่ไหน”
คำถามของธามทำให้ภาคินัยเงียบไป เขานึกถึงใบหน้าของปลายฝัน รอยยิ้มสดใส และแววตาที่เต็มไปด้วยความจริงใจของเธอ
“ฉันรักเธอมากธาม มากกว่าที่ฉันเคยรักใคร” ภาคินัยเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรู้สึกที่แท้จริง
“ถ้าแกรักเธอมากขนาดนั้น แกก็ต้องพิสูจน์ให้เธอเห็นสิ” ธามให้คำแนะนำ “ความรักมันไม่ใช่แค่การพูด แต่มันคือการกระทำ”
“ฉันรู้” ภาคินัยตอบ “แต่ฉันไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี”
“แกต้องใช้ความจริงใจเข้าหาเธอ” ธามเอ่ยขึ้น “และต้องแสดงให้เธอเห็นว่าแกพร้อมที่จะปกป้องเธอ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม”
ธามลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่าง มองออกไปข้างนอกที่ฝนยังคงตกปรอยๆ “ตอนนี้ปลายฝันคงกำลังรู้สึกเจ็บปวดมาก เธอคงรู้สึกว่าตัวเองถูกหลอก เธอคงไม่เชื่อใจใคร”
“แล้วฉันควรจะทำยังไงดีธาม” ภาคินัยถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
“แกต้องแสดงให้เธอเห็นว่าแกจริงจังกับเธอแค่ไหน” ธามเอ่ยขึ้น “และต้องทำให้เธอเชื่อใจแกให้ได้”
“ฉันจะพยายาม” ภาคินัยตอบรับ
ธามหันกลับมามองภาคินัย “ฉันจะช่วยแกนะภีม แต่แกก็ต้องช่วยตัวเองด้วย”
“ขอบใจมากนะธาม” ภาคินัยเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรู้สึกขอบคุณ “นายเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉันจริงๆ”
“ไม่เป็นไรหรอกน่า” ธามเอ่ยขึ้น “ตอนนี้แกไปพักผ่อนก่อนเถอะนะ ดูสภาพแกแล้วฉันเป็นห่วงว่ะ”
ภาคินัยพยักหน้าช้าๆ “โอเค”
หลังจากธามเดินจากไป ภาคินัยก็นั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง เขาครุ่นคิดถึงคำพูดของธาม และตัดสินใจแล้วว่าจะทำทุกวิถีทางเพื่อพิสูจน์ให้ปลายฝันเห็นว่าเขารักเธอมากแค่ไหน และจะทำให้เธอเข้าใจเขาให้เร็วที่สุด
ในขณะเดียวกัน ปลายฝันที่ลาป่วยมาสองวัน ก็ยังคงจมอยู่กับความเสียใจและความเข้าใจผิด เธอปิดโทรศัพท์มือถือ และไม่ยอมรับการติดต่อจากใครเลยแม้แต่น้อย
น้ำหวานเพื่อนสนิทของปลายฝัน โทรหาเธอหลายครั้งแต่ก็ไม่ได้รับการตอบรับ เธอจึงตัดสินใจที่จะไปหาปลายฝันที่บ้านด้วยตัวเอง
เมื่อมาถึงบ้านของปลายฝัน น้ำหวานก็กดกริ่งอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่มีใครมาเปิดประตู เธอจึงตัดสินใจโทรหาคุณแม่ของปลายฝัน
“คุณป้าคะ ปลายฝันอยู่บ้านหรือเปล่าคะ” น้ำหวานถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
“อ๋อ น้องปลายฝันเขาไม่ค่อยสบายเลยลาพักผ่อนที่บ้านน่ะค่ะ” คุณแม่ของปลายฝันตอบ “มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“เปล่าค่ะคุณป้า น้ำหวานแค่เป็นห่วงน่ะค่ะ” น้ำหวานตอบ “เดี๋ยวน้ำหวานจะลองแวะไปเยี่ยมปลายฝันที่บ้านนะคะ”
“ได้เลยจ้ะ เข้ามาได้เลยนะ”
หลังจากวางสาย น้ำหวานก็เดินเข้ามาในบ้านของปลายฝัน และพบว่าประตูไม่ได้ล็อค เธอเดินตรงไปยังห้องนอนของปลายฝัน และพบว่าเธอนอนขดตัวอยู่บนเตียง ใบหน้าของเธอซีดเผือด และดวงตาของเธอแดงก่ำ
“ปายฝัน แกเป็นอะไร!” น้ำหวานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ตกใจ
ปลายฝันเงยหน้าขึ้นมองน้ำหวาน น้ำตาของเธอไหลอาบแก้ม “ฉันไม่สบายใจเลยแก”
น้ำหวานเดินเข้าไปนั่งลงข้างๆ ปลายฝัน และลูบหัวเธอเบาๆ “ฉันรู้ แกไม่ต้องพูดอะไรแล้วนะ”
“ฉันไม่รู้จะทำยังไงดีแก” ปลายฝันเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง “ฉันไม่อยากเจอหน้าคุณภีมอีกแล้ว”
“แต่ท่านประธานเขาก็พยายามจะอธิบายให้แกฟังนะปายฝัน” น้ำหวานเอ่ยขึ้น “ฉันว่าแกควรจะลองฟังเขาหน่อยนะ”
“ฉันไม่อยากฟังอะไรทั้งนั้นแล้วแก” ปลายฝันเอ่ยขึ้น “ฉันไม่อยากเป็นมือที่สาม”
“แกไม่ใช่คนผิดนะปายฝัน” น้ำหวานเอ่ยขึ้น “คุณทิชาต่างหากที่เป็นคนผิด”
“แต่ฉันก็รู้สึกไม่สบายใจเลยแก” ปลายฝันเอ่ยขึ้น “ฉันไม่อยากทำงานที่นั่นแล้ว”
คำพูดของปลายฝันทำให้น้ำหวานรู้สึกเป็นห่วงอย่างมาก เธอรู้ดีว่าปลายฝันกำลังรู้สึกเจ็บปวดมากแค่ไหน
“แกใจเย็นๆ ก่อนนะปายฝัน” น้ำหวานเอ่ยขึ้น “แกพักผ่อนก่อนนะ เดี๋ยวน้ำหวานจะอยู่เป็นเพื่อนแกเอง”
ในขณะเดียวกัน ภาคินัยก็ยังคงไม่ยอมแพ้ เขาตัดสินใจที่จะไปหาปลายฝันที่บ้านด้วยตัวเอง เขาขับรถฝ่าสายฝนที่ยังคงตกปรอยๆ ไปยังบ้านของปลายฝัน
เมื่อมาถึงบ้านของปลายฝัน ภาคินัยก็กดกริ่งอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่มีใครมาเปิดประตู เขาจึงตัดสินใจโทรหาธาม
“ธาม นายรู้ไหมว่าปลายฝันอยู่บ้านหรือเปล่า” ภาคินัยถามด้วยน้ำเสียงที่ร้อนรน
“ฉันเพิ่งโทรไปหาน้ำหวานมา” ธามตอบ “ปลายฝันเขาอยู่บ้านนะ แต่น้ำหวานอยู่เป็นเพื่อนเธอด้วย”
“แล้วฉันควรจะทำยังไงดีวะ” ภาคินัยถาม
“แกควรจะรอหน่อยนะภีม” ธามให้คำแนะนำ “ตอนนี้เธอคงยังไม่พร้อมที่จะเจอแกหรอกนะ”
“แต่ฉันไม่อยากรอแล้วธาม” ภาคินัยเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกระวนกระวาย “ฉันอยากให้เธอเข้าใจฉันให้เร็วที่สุด”
ภาคินัยตัดสินใจที่จะเขียนจดหมายถึงปลายฝัน เขาหยิบกระดาษและปากกาออกมาจากรถ และเริ่มเขียนจดหมายด้วยลายมือที่สั่นเทา เขาเขียนทุกอย่างที่เขาต้องการจะบอกเธอ ความรู้สึกของเขาที่มีต่อเธอ ความจริงที่เกิดขึ้น และความพยายามที่จะอธิบายให้เธอเข้าใจ
เมื่อเขียนจดหมายเสร็จ ภาคินัยก็เดินไปที่หน้าบ้านของปลายฝัน และสอดจดหมายเข้าไปใต้ประตูบ้านด้วยความหวังว่าเธอจะได้รับมัน และอ่านมัน
ในขณะที่ภาคินัยกำลังรอคอยคำตอบจากปลายฝันอย่างใจจดใจจ่อ ปลายฝันก็ยังคงจมอยู่กับความเสียใจและความเข้าใจผิด
เช้าวันรุ่งขึ้น ปลายฝันตื่นขึ้นมาด้วยอาการปวดหัวตุบๆ เธอเดินลงมาที่ชั้นล่าง และเดินตรงไปยังประตูบ้าน เพื่อเปิดประตูรับลมเย็นๆ ที่พัดเข้ามา
ทันทีที่เธอเปิดประตู เธอก็เหลือบไปเห็นจดหมายฉบับหนึ่งที่สอดอยู่ใต้ประตูบ้าน เธอหยิบจดหมายขึ้นมาด้วยความสงสัย และเมื่อเห็นชื่อผู้ส่งว่า ภาคินัย หัวใจของเธอก็เต้นรัวอย่างควบคุมไม่ได้
ปลายฝันตัดสินใจที่จะอ่านจดหมายฉบับนั้น เธอเดินกลับเข้ามาในบ้าน และนั่งลงบนโซฟาอย่างช้าๆ มือของเธอสั่นเทาขณะที่เธอกำลังเปิดซองจดหมายออก
ภายในซองจดหมายมีกระดาษแผ่นหนึ่งที่เขียนด้วยลายมือของภาคินัย
ปลายฝันที่รัก,
ผมรู้ว่าตอนนี้คุณคงกำลังโกรธและเสียใจมาก ผมขอโทษจริงๆ ที่ทำให้คุณต้องรู้สึกแบบนี้
ผมอยากจะอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนให้คุณฟังจริงๆ นะครับ คุณทิชาแค่มาข่มขู่ผมเรื่องการยกเลิกงานแต่งงาน และผมก็ไม่ได้มีอะไรกับเธอเลยจริงๆ
ผมรู้ว่าคุณอาจจะไม่เชื่อผมในตอนนี้ แต่ผมอยากให้คุณรู้ว่าผมรักคุณนะปลายฝัน รักมานานแล้ว และผมก็ไม่ได้คิดที่จะแต่งงานกับคุณทิชาเลยจริงๆ
ผมรู้ว่าผมอาจจะดูไม่ดีในสายตาคุณ แต่ผมอยากจะบอกคุณว่าผมจริงจังกับคุณนะปลายฝัน ผมอยากจะดูแลคุณไปตลอดชีวิต
ได้โปรดให้โอกาสผมได้อธิบายให้คุณฟังอีกครั้งได้ไหมครับ ได้โปรดเชื่อผมนะ
ผมรักคุณนะปลายฝัน ภีม
น้ำตาของปลายฝันไหลอาบแก้มขณะที่เธอกำลังอ่านจดหมายฉบับนั้น เธอรู้สึกสับสนและเจ็บปวด เธอไม่รู้ว่าควรจะเชื่อใครดี ระหว่างภาพที่เธอเห็นกับคำพูดในจดหมายฉบับนี้
ในขณะที่ปลายฝันกำลังอ่านจดหมายของภาคินัย เสียงโทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้น เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู และเห็นชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอคือ ภาคินัย
ปลายฝันลังเลเล็กน้อย เธอไม่รู้ว่าจะรับสายดีหรือไม่ แต่สุดท้ายเธอก็ตัดสินใจที่จะไม่รับสาย ปล่อยให้เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งมันหยุดไปเอง
ภาคินัยที่รอคอยการตอบกลับจากปลายฝันอย่างใจจดใจจ่อ รู้สึกผิดหวังอีกครั้งเมื่อเธอไม่รับสาย เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ และมองออกไปนอกหน้าต่างที่ฝนยังคงตกปรอยๆ ราวกับจะสะท้อนความรู้สึกภายในใจของเขา
“ฉันต้องทำให้เธอเข้าใจฉันให้ได้” ภาคินัยพึมพำกับตัวเองอย่างมุ่งมั่น “ไม่ว่ายังไงก็ตาม”
เขาตัดสินใจแล้วว่าจะทำทุกวิถีทางเพื่อพิสูจน์ให้ปลายฝันเห็นว่าเขารักเธอมากแค่ไหน และจะทำให้เธอเข้าใจเขาให้เร็วที่สุด
เรื่องราวทั้งหมดกำลังจะนำพาพวกเขาเข้าสู่บททดสอบครั้งใหญ่ และความจริงบางอย่างที่ถูกปกปิดไว้ก็จะถูกเปิดเผยในไม่ช้าอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
ตอนที่ 122 บทส่งท้ายกาลเวลาหมุนผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่ความทรงจำที่สวยงามยังคงถูกถักทอขึ้นอย่างต่อเนื่องในชีวิตของภาคินัย ปลายฝัน ธามและน้ำหวาน ทุกเส้นทางที่พวกเขาได้เดินผ่านมา ไม่ว่าจะสุข ทุกข์ หรือท้าทาย ล้วนหล่อหลอมให้พวกเขากลายเป็นคนที่สมบูรณ์ในวันนี้ บทสรุปของเรื่องราวนี้จึงเป็นการสะท้อนถึงชีวิตที่เต็มไปด้วยความสุข ความรักที่อบอุ่น และอนาคตที่สดใส ที่พวกเขาได้สร้างขึ้นด้วยกันวันหยุดสุดสัปดาห์ที่สดใสครอบครัวของภาคินัยและปลายฝัน รวมถึงธามและน้ำหวาน ได้วางแผนเดินทางไปเที่ยวทะเลด้วยกัน เป็นครั้งแรกที่เด็กๆ จะได้สัมผัสผืนทรายและน้ำทะเลด้วยตัวเองรถตู้คันใหญ่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและบทเพลงจากเด็กๆ น้องเมฆและน้องเมษาที่ตอนนี้เริ่มเดินได้คล่องแคล่ว ต่างตื่นเต้นกับวิวทิวทัศน์นอกหน้าต่างที่ไม่คุ้นเคย"คุณภีมคะ ดูสิคะน้องเมฆชี้ไปที่ทะเลใหญ่เลย" ปลายฝันยิ้มอย่างมีความสุข"เมษาก็ตื่นเต้นเหมือนกันค่ะคุณธาม" น้ำหวานเสริม พลางมองลูกสาวที่กำลังยิ้มกว้างเมื่อเดินทางถึงรีสอร์ตหรูริมทะเล ภาคินัยและธามต่างช่วยกันขนสัมภาระลงจากรถ ส่วนปลายฝันและน้ำหวานก็ดูแลเด็กๆ ที่วิ่งสำรวจไปทั่วบริเวณด้วยความกระตือ
ตอนที่ 121 บทสรุปของความรักชีวิตของภาคินัยและปลายฝันดำเนินมาถึงบทสรุปที่งดงาม พวกเขาได้ค้นพบความสุขที่แท้จริงในทุกมิติ ทั้งในด้านความรักที่มั่นคง ครอบครัวที่อบอุ่น และหน้าที่การงานที่รุ่งโรจน์ ความรักของพวกเขาสุกงอมและเบ่งบานอย่างเต็มที่ เช่นเดียวกับธามและน้ำหวาน ที่ต่างก็สร้างสรรค์ชีวิตในแบบของตัวเองได้อย่างลงตัว บทสรุปของความรักครั้งนี้จึงเป็นการเฉลิมฉลองให้กับชีวิตที่เต็มไปด้วยความสุข ความเข้าใจ และการเติมเต็มซึ่งกันและกันผ่านมาหลายปี นับตั้งแต่น้องเมฆลืมตาดูโลก ชีวิตของภาคินัยและปลายฝันดูเหมือนจะสมบูรณ์แบบในทุกด้าน พวกเขายังคงเป็นสามีภรรยาที่รักกันอย่างลึกซึ้ง ความผูกพันที่แน่นแฟ้นยิ่งทวีคูณขึ้นตามกาลเวลา แม้จะมีความรับผิดชอบมากมาย แต่พวกเขาก็ไม่เคยละเลยที่จะเติมเต็มความปรารถนาและความเร่าร้อนให้แก่กันและกันค่ำคืนหนึ่งหลังจากที่น้องเมฆหลับไปแล้ว แสงจันทร์สาดส่องเข้ามาในห้องนอนอย่างนุ่มนวล ภาคินัยโอบกอดปลายฝันจากด้านหลังอย่างแผ่วเบา สัมผัสที่คุ้นเคยทำให้ปลายฝันรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย เธอซบหน้ากับแผงอกที่คุ้นเคยของเขา"ปายครับ คุณสวยที่สุดเลยนะ" ภาคินัยกระซิบเสียงพร่า พลางจูบลงบนไหล
ตอนที่ 120 ความสุขหลังจากผ่านเรื่องราวมากมาย ทั้งความรัก ความสุข ความท้าทาย และการเติบโตในบทบาทใหม่ ทุกคู่ต่างค้นพบความสุขในแบบของตัวเอง ภาคินัยกับปลายฝัน และธามกับน้ำหวาน ต่างได้ใช้ชีวิตในแบบที่พวกเขาปรารถนา เติมเต็มความหมายของคำว่า "ความสุขที่แท้จริง" ในแบบฉบับของตัวเองชีวิตของภาคินัยและปลายฝันตอนนี้เปรียบเสมือนภาพวาดที่สมบูรณ์แบบ ทุกองค์ประกอบต่างถูกเติมเต็มอย่างลงตัว ด้วยความรักที่เปี่ยมล้นจากน้องเมฆ และความสำเร็จในหน้าที่การงานที่รุ่งโรจน์ภาคินัยยังคงทุ่มเทให้กับการบริหารภาคินัย กรุ๊ปอย่างเต็มที่ แต่เขาก็เรียนรู้ที่จะจัดสรรเวลาให้สมดุลระหว่างงานและครอบครัว เขามักจะตื่นเช้าขึ้นมาเล่นกับน้องเมฆก่อนไปทำงาน และพยายามกลับบ้านให้เร็วที่สุดเพื่อใช้เวลาช่วงเย็นกับภรรยาและลูกชาย การเห็นน้องเมฆเติบโตขึ้นในทุกๆ วัน คือพลังขับเคลื่อนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขา"วันนี้น้องเมฆเรียก 'ป๊า' ชัดขึ้นเยอะเลยนะครับปาย" ภาคินัยเล่าด้วยรอยยิ้มกว้างในมื้อเย็นปลายฝันยังคงเป็นกำลังสำคัญอยู่เบื้องหลังความสำเร็จของภาคินัย เธอทำหน้าที่ภรรยาและคุณแม่ได้อย่างไม่มีที่ติ ดูแลบ้านให้เป็นระเบียบเรียบร้อย อบอุ่
ตอนที่ 119 มิตรภาพที่ยั่งยืนท่ามกลางความวุ่นวายของชีวิตในบทบาทใหม่ ทั้งการเป็นพ่อแม่และการบริหารธุรกิจที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง มิตรภาพที่ถักทอขึ้นระหว่างภาคินัยและธาม รวมถึงปลายฝันและน้ำหวาน กลับยิ่งแข็งแกร่งและหยั่งรากลึก พวกเขาพิสูจน์ให้เห็นว่ามิตรภาพที่แท้จริงไม่เคยจางหายไปตามกาลเวลา แต่กลับยิ่งเปล่งประกายและเป็นพลังใจให้แก่กันเสมอครั้งหนึ่ง ภาคินัยและธามเคยเป็นคู่แข่งทางธุรกิจที่ขับเคี่ยวกันอย่างดุเดือดในสนามแข่งขัน แต่ด้วยความจริงใจและความเข้าใจซึ่งกันและกัน พวกเขาก็ได้ก้าวข้ามกำแพงแห่งการแข่งขันและแปรเปลี่ยนเป็นมิตรภาพที่แข็งแกร่ง การมีลูกในเวลาใกล้เคียงกัน ยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นบ่ายวันหนึ่ง ภาคินัยโทรหาธามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าแกมขบขัน "เฮ้ยธาม! วันนี้น้องเมฆงอแงไม่ยอมนอนเลยว่ะ ฉันแทบไม่ได้ทำงานเลย"ธามหัวเราะจากปลายสาย "ฉันก็เหมือนกันภีม! น้องเมษาวันนี้เล่นไม่หยุดเลย พลังเยอะจริงๆ เด็กสมัยนี้"บทสนทนาของพวกเขาไม่ใช่เรื่องธุรกิจอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องราวของผ้าอ้อม นมผง และการนอนไม่พอ การแลกเปลี่ยนประสบการณ์การเป็นคุณพ่อมือใหม่กลายเ
ตอนที่ 118 การเติบโตของภาคินัย กรุ๊ปหลังจากที่น้องเมฆเข้ามาเติมเต็มชีวิตครอบครัวของภาคินัยและปลายฝัน แรงบันดาลใจและความมุ่งมั่นของทั้งคู่ก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้น ไม่เพียงแต่ในเรื่องส่วนตัวเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อการบริหารงานของภาคินัย กรุ๊ปอย่างเห็นได้ชัด ภายใต้การนำของภาคินัย และการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากปลายฝัน บริษัทก็ได้ก้าวเข้าสู่ยุคแห่งความเจริญรุ่งเรืองที่โดดเด่นยิ่งกว่าเดิมเช้าวันหนึ่งที่สดใสในเดือนมิถุนายน ภาคินัยเดินนำปลายฝันและน้องเมฆที่อยู่ในรถเข็นเด็ก เข้าสู่ล็อบบี้สุดหรูของภาคินัย ทาวเวอร์ อาคารสำนักงานใหญ่ใจกลางกรุงเทพฯ ภาคินัยในชุดสูทสีเข้มดูภูมิฐานและสง่างามกว่าเคย ส่วนปลายฝันในชุดเดรสสีอ่อนสบายตาดูสวยสดใสในมาดคุณแม่ลูกหนึ่ง น้องเมฆตัวน้อยในรถเข็นมองซ้ายมองขวาด้วยแววตาอยากรู้อยากเห็น ใบหน้าจิ้มลิ้มมีรอยยิ้มอ้อแอ้ตลอดเวลา"วันนี้ลูกชายมาเยี่ยมบริษัทป๊าครั้งแรกนะลูก" ภาคินัยกระซิบกับน้องเมฆพลางยิ้มอบอุ่นปลายฝันหัวเราะเบาๆ "สงสัยจะชอบบรรยากาศนะคะเนี่ย"พนักงานในล็อบบี้ที่กำลังสัญจรไปมา ต่างหยุดชะงักเมื่อเห็นภาพครอบครัวที่ดูอบอุ่นและสมบูรณ์แบบนี้ หลายคนส่งยิ้มและโค้งคำนับให้ผ
ตอนที่ 117 คุณปู่กับทายาทเมื่อน้องเมฆเติบโตขึ้นในแต่ละวัน ไม่เพียงแต่ภาคินัยและปลายฝันเท่านั้นที่ภาคภูมิใจ แต่ยังมีคุณปู่ของภาคินัย ผู้เป็นรากฐานของอาณาจักรภาคินัย กรุ๊ป ที่เปี่ยมด้วยความสุขอย่างยิ่งที่ได้เห็นทายาทคนใหม่ การมาถึงของน้องเมฆไม่เพียงแต่เติมเต็มความหมายของคำว่าครอบครัวให้สมบูรณ์ แต่ยังเป็นการยืนยันว่าธุรกิจที่สร้างมาด้วยหยาดเหงื่อแรงกาย จะมีผู้สืบทอดต่อไปอย่างมั่นคงคุณปู่ของภาคินัย แม้จะอยู่ในวัยชรา แต่ดวงตาท่านยังคงเปล่งประกายด้วยความสุขและความเฉียบแหลม การมาถึงของน้องเมฆ เหลนชายและทายาทของเหลนคนเดียวของตระกูล ทำให้หัวใจของคุณปู่เต็มตื้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนท่านเฝ้ารอวันนี้มานานแสนนาน วันที่จะได้เห็นสายเลือดของตระกูลยังคงดำเนินต่อไปคุณปู่ก็เดินทางมาเยี่ยมเหลนชายที่บ้านทันที ท่านนั่งลงข้างเปลนอนของน้องเมฆ มองเหลนชายตัวน้อยด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรักและความเอ็นดู"ตาหนูเมฆของปู่ ในที่สุดเจ้าก็มา" คุณปู่กระซิบเสียงแผ่ว พลางเอื้อมมือที่เหี่ยวย่นลูบไล้แก้มยุ้ยของน้องเมฆอย่างอ่อนโยนภาคินัยและปลายฝันยืนมองภาพนั้นด้วยความซาบซึ้ง พวกเขารับรู้ได้ถึงความรักอันลึกซึ้งที่คุณ