หลังจากที่ปลายฝันได้รับจดหมายจากภาคินัยและปฏิเสธที่จะรับสายโทรศัพท์ของเขา เธอก็ตัดสินใจที่จะไม่ตอบสนองต่อการกระทำใดๆ ของเขาอีก เธอเลือกที่จะเก็บซ่อนความรู้สึกทั้งหมดไว้ภายใต้ใบหน้าที่เรียบเฉย และทุ่มเทตัวเองให้กับงานอย่างหนัก โดยเฉพาะโปรเจกต์สำคัญที่ภาคินัยมอบหมายให้เธอรับผิดชอบ นั่นคือการออกแบบพื้นที่ส่วนกลางของโครงการคอนโดมิเนียมหรูแห่งใหม่ "The Zenith"
ความเจ็บปวดจากความเข้าใจผิดยังคงกัดกินหัวใจของปลายฝัน แต่เธอกลับเปลี่ยนความรู้สึกเหล่านั้นให้เป็นแรงผลักดันในการทำงาน เธอมาถึงบริษัทตั้งแต่เช้าตรู่ และกลับบ้านดึกดื่นทุกวัน ทุกชั่วโมงที่เธอทุ่มเทให้กับแบบร่าง การเลือกวัสดุ และการนำเสนอความคิดสร้างสรรค์ คือการหลีกหนีจากความสับสนภายในจิตใจ เธอต้องการพิสูจน์ให้ตัวเองเห็นว่าเธอมีคุณค่ามากกว่าการเป็นเพียง "เด็กฝึกงานกระจอกๆ" หรือ "มือที่สาม" อย่างที่ทิชาเคยกล่าวหา และการพิสูจน์ตัวเองผ่านผลงานคือสิ่งเดียวที่เธอคิดได้ในตอนนี้
คุณชลดา หัวหน้าแผนกออกแบบ สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวปลายฝัน เธอเห็นแววตาที่มุ่งมั่นและพลังงานที่เปี่ยมล้นในการทำงานของเด็กฝึกงานคนนี้ ซึ่งแตกต่างจากเด็กฝึกงานคนอื่นๆ ที่มักจะมาเพื่อเรียนรู้แบบผ่านๆ เท่านั้น
“ปลายฝัน แกเป็นยังไงบ้าง” คุณชลดาเดินเข้ามาหาปลายฝันที่กำลังก้มหน้าอยู่กับคอมพิวเตอร์ในตอนเย็นวันหนึ่ง “เห็นแกกลับดึกทุกวันเลยนะ”
ปลายฝันเงยหน้าขึ้นพร้อมรอยยิ้มจางๆ “ปายอยากทำให้โปรเจกต์นี้ออกมาดีที่สุดค่ะคุณหัวหน้า”
“ฉันเห็นความตั้งใจของแกนะ” คุณชลดาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงชื่นชม “โปรเจกต์นี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ แต่แกก็ทำได้ดีมาก”
“ขอบคุณค่ะคุณหัวหน้า” ปลายฝันตอบด้วยความรู้สึกซาบซึ้งใจ
“มีอะไรให้ช่วยก็บอกนะ” คุณชลดากล่าวทิ้งท้ายก่อนจะเดินจากไป ปลายฝันพยักหน้ารับ และหันกลับไปจดจ่อกับงานของเธอต่อ
ในขณะเดียวกัน ภาคินัยก็ยังคงพยายามที่จะเข้าหาปลายฝัน เขาสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของเธออย่างชัดเจน เธอทำงานหนักขึ้นกว่าเดิมมาก ดูเหมือนจะหลีกเลี่ยงการพบเจอเขาในทุกวิถีทาง เขาพยายามเดินผ่านแผนกออกแบบบ่อยขึ้น หวังเพียงจะเจอเธอเพื่อพูดคุยและอธิบายเรื่องทั้งหมด แต่ปลายฝันมักจะปลีกตัวไปเข้าห้องประชุมบ้าง ไปสำรวจหน้างานบ้าง หรือแม้กระทั่งหลบไปทานข้าวคนเดียวในมุมที่ไม่มีใครสังเกตเห็น
ภาคินัยรับรู้ถึงความเย็นชาและระยะห่างที่ปลายฝันสร้างขึ้น เขารู้สึกเจ็บปวดแต่ก็เข้าใจดีว่าเธอคงต้องใช้เวลา เขานึกถึงคำแนะนำของธามที่บอกให้เขาให้เวลาเธอ และต้องพิสูจน์ให้เธอเห็นถึงความจริงใจ แต่การที่เธอหลีกเลี่ยงเขาแบบนี้ก็ทำให้เขาแทบจะคลั่ง
วันหนึ่ง ภาคินัยเดินผ่านห้องประชุมที่กำลังมีการนำเสนอความคืบหน้าของโครงการ The Zenith เขาได้ยินเสียงของปลายฝันกำลังอธิบายแบบร่างด้วยความมั่นใจและฉะฉาน เขาหยุดยืนอยู่หน้าประตูห้องประชุม และมองเข้าไปด้านใน
ปลายฝันกำลังยืนอยู่หน้าจอโปรเจกเตอร์ ชี้แจงรายละเอียดการออกแบบพื้นที่ส่วนกลางอย่างคล่องแคล่ว เธออธิบายถึงแนวคิดในการสร้างสรรค์พื้นที่สีเขียวที่เชื่อมโยงกับพื้นที่ใช้สอยภายในอาคารได้อย่างน่าทึ่ง เธอเสนอนวัตกรรมใหม่ๆ ในการจัดสวนแนวตั้ง การใช้พลังงานหมุนเวียน และการสร้างสรรค์บรรยากาศที่ส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีของผู้อยู่อาศัย
ภาคินัยยืนมองเธอด้วยความชื่นชม แววตาของเขาเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ เขาเห็นถึงความสามารถและความตั้งใจของเธออย่างชัดเจน เธอไม่เพียงแต่เป็นคนที่มีพรสวรรค์ด้านการออกแบบเท่านั้น แต่เธอยังเป็นคนที่มีความมุ่งมั่นและจริงจังกับงานอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
“การออกแบบพื้นที่ส่วนกลางนี้” ปลายฝันอธิบายต่อด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “เราต้องการให้เป็นมากกว่าแค่พื้นที่พักผ่อน แต่ให้เป็นหัวใจสำคัญของโครงการ ที่จะเชื่อมโยงชีวิตของผู้คนเข้ากับธรรมชาติ และสร้างแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืนค่ะ”
เสียงปรบมือดังขึ้นหลังจากปลายฝันนำเสนอจบ ภาคินัยปรบมือตามไปด้วยความรู้สึกที่เอ่อล้นในอก เขาภูมิใจในตัวเธอมากจริงๆ เขาไม่เคยสงสัยในความสามารถของเธอเลย และตอนนี้เธอก็ได้พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นแล้ว
หลังจากที่การประชุมเสร็จสิ้น ภาคินัยตัดสินใจที่จะเข้าไปหาปลายฝันในห้องประชุม แต่เมื่อเขาเดินเข้าไป เธอก็เก็บของเสร็จเรียบร้อยแล้วและกำลังจะเดินออกจากห้อง
“คุณ” ภาคินัยเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนที่สุด
ปลายฝันชะงัก เธอหันมามองเขาเพียงครู่เดียว ก่อนจะก้มหน้าลง และเดินตรงไปที่ประตู
“คุณปลายฝันครับ ผมมีเรื่องอยากจะคุยกับคุณ” ภาคินัยพยายามพูด
“ปายไม่มีอะไรจะคุยกับคุณภีมค่ะ” ปลายฝันตอบด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา และเดินออกจากห้องไปทันที
ภาคินัยยืนนิ่งอยู่กลางห้องประชุม ความรู้สึกผิดหวังและเจ็บปวดถาโถมเข้ามาอีกครั้ง เขาทำอะไรไม่ได้นอกจากมองตามหลังเธอไป
“เธอไม่ยอมฟังฉันเลยธาม” ภาคินัยพึมพำกับตัวเอง
ในขณะเดียวกัน ธามที่กำลังเดินผ่านหน้าห้องประชุมก็เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด เขาถอนหายใจเล็กน้อย และเดินเข้ามาในห้องทำงานของภาคินัย
“เป็นไงบ้างวะภีม” ธามถามขึ้นเมื่อเห็นใบหน้าของภาคินัยที่ดูหม่นหมอง
ภาคินัยส่ายหน้าช้าๆ “เธอไม่ยอมคุยกับฉันเลย”
“ฉันว่าแกต้องใจเย็นๆ กว่านี้นะภีม” ธามให้คำแนะนำ “ปลายฝันคงยังไม่พร้อมที่จะรับฟังอะไรหรอกนะ”
“แต่ฉันไม่อยากรอแล้วธาม” ภาคินัยเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกระวนกระวาย “ฉันอยากให้เธอเข้าใจฉันให้เร็วที่สุด”
“ฉันรู้ว่าแกเป็นห่วงเธอมากนะภีม” ธามเอ่ยขึ้น “แต่แกก็ต้องเข้าใจเธอด้วย”
ธามเดินไปตบไหล่ภาคินัยเบาๆ “ฉันเห็นแกพยายามมากนะภีม และฉันก็เชื่อว่าปลายฝันก็คงเห็นความพยายามของแกเหมือนกัน”
คำพูดของธามทำให้ภาคินัยรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย
“แล้วฉันควรจะทำยังไงดีวะธาม” ภาคินัยถาม “ฉันอยากจะง้อเธอ ฉันอยากจะทำให้เธอเข้าใจฉัน”
“แกต้องแสดงให้เธอเห็นว่าแกรักเธอมากแค่ไหน” ธามให้คำแนะนำ “และต้องทำให้เธอเชื่อใจแกให้ได้”
“ฉันจะพยายาม” ภาคินัยตอบรับ
ธามยิ้มเล็กน้อย “ฉันจะช่วยแกนะภีม แต่แกก็ต้องช่วยตัวเองด้วย”
“ขอบใจมากนะธาม” ภาคินัยเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรู้สึกขอบคุณ “นายเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉันจริงๆ”
หลังจากธามเดินจากไป ภาคินัยก็นั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง เขาครุ่นคิดถึงคำพูดของธาม และตัดสินใจแล้วว่าจะทำทุกวิถีทางเพื่อพิสูจน์ให้ปลายฝันเห็นว่าเขารักเธอมากแค่ไหน และจะทำให้เธอเข้าใจเขาให้เร็วที่สุด ไม่ว่ามันจะยากแค่ไหนก็ตาม
ในขณะที่ภาคินัยกำลังวางแผนการง้อปลายฝัน ปลายฝันก็กลับมาที่โต๊ะทำงานของเธอด้วยความรู้สึกสับสน เธอไม่รู้ว่าควรจะเชื่อคำพูดของภาคินัยในจดหมาย หรือจะเชื่อในสิ่งที่เธอเห็นด้วยตาตัวเอง
น้ำหวานเพื่อนสนิทของปลายฝัน เดินเข้ามาหาเธอด้วยสีหน้าเป็นห่วง
“แกเป็นอะไรหรือเปล่าปายฝัน” น้ำหวานถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
ปลายฝันส่ายหน้าช้าๆ “ฉันไม่รู้จะทำยังไงดีแก”
“เรื่องคุณภีมใช่ไหม” น้ำหวานถาม
ปลายฝันพยักหน้าช้าๆ “เขาพยายามจะอธิบายให้ฉันฟัง แต่ฉันไม่รู้ว่าจะเชื่อเขาดีไหม”
น้ำหวานถอนหายใจเล็กน้อย “ฉันว่าแกควรจะให้โอกาสเขาได้อธิบายนะปายฝัน”
“แต่ฉันกลัวแก” ปลายฝันเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ “ฉันกลัวว่าฉันจะเจ็บอีก”
“ฉันเข้าใจแกนะปายฝัน” น้ำหวานเอ่ยขึ้น “แต่ถ้าแกไม่ลองฟังเขา แกก็จะไม่มีทางรู้ความจริงเลยนะ”
คำพูดของน้ำหวานทำให้ปลายฝันครุ่นคิดอย่างหนัก เธอรู้ดีว่าน้ำหวานพูดถูก เธอควรจะให้โอกาสภาคินัยได้อธิบายเรื่องทั้งหมดให้เธอฟัง
ในขณะที่ปลายฝันกำลังชั่งใจ ภาคินัยก็เริ่มแผนการง้อของเขา เขาเริ่มส่งของขวัญเล็กๆ น้อยๆ มาให้เธอที่โต๊ะทำงานทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นช่อดอกไม้สวยๆ ช็อกโกแลตอร่อยๆ หรือแม้กระทั่งโพสต์อิทรูปหัวใจที่มีข้อความสั้นๆ เขียนว่า "ผมขอโทษ"
ปลายฝันได้รับของขวัญเหล่านั้นทุกวัน เธอรู้สึกประหลาดใจและสับสนในเวลาเดียวกัน เธอไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงกับของขวัญเหล่านั้นดี
น้ำหวานที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ก็พยายามยุยงให้ปลายฝันยอมใจอ่อน
“แกดูสิปายฝัน ท่านประธานเขาพยายามง้อแกมากเลยนะ” น้ำหวานเอ่ยขึ้น “ฉันว่าแกควรจะให้โอกาสเขาหน่อยนะ”
“ฉันไม่รู้จะทำยังไงดีแก” ปลายฝันตอบด้วยน้ำเสียงที่สับสน
“แกก็ลองคุยกับเขาดูสิ” น้ำหวานให้คำแนะนำ “ถ้าแกไม่คุยกับเขา แกก็จะไม่มีทางเข้าใจกันเลยนะ”
คำพูดของน้ำหวานทำให้ปลายฝันเริ่มใจอ่อน เธอตัดสินใจแล้วว่าจะให้โอกาสภาคินัยได้อธิบายเรื่องทั้งหมดให้เธอฟัง แต่เธอจะยังคงรักษาระยะห่างไว้ก่อน
วันหนึ่ง ภาคินัยเดินเข้ามาที่แผนกออกแบบ พร้อมกับช่อดอกไม้ช่อใหญ่ในมือ เขาเดินตรงไปยังโต๊ะทำงานของปลายฝัน
พนักงานคนอื่นๆ ในแผนกต่างพากันหันมามองด้วยความสนใจ เสียงซุบซิบนินทาดังแผ่วเบาไปทั่วบริเวณ
“คุณครับ ผมมีเรื่องอยากจะคุยกับคุณจริงๆ นะ” ภาคินัยเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนที่สุด พร้อมกับยื่นช่อดอกไม้ให้ปลายฝัน
ปลายฝันเงยหน้าขึ้นมองภาคินัย เธอเห็นแววตาที่จริงจังและห่วงใยของเขา ทำให้หัวใจของเธอเต้นรัวอย่างควบคุมไม่ได้
“ปาย...ปายไม่มีอะไรจะคุยกับคุณภีมค่ะ” ปลายฝันตอบด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ
“ได้โปรดเถอะครับคุณ” ภาคินัยเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความอ้อนวอน “ให้โอกาสผมได้อธิบายให้คุณฟังอีกครั้งได้ไหมครับ”
ปลายฝันมองไปที่ช่อดอกไม้ในมือของภาคินัย และมองไปที่ใบหน้าของเขาที่เต็มไปด้วยความหวัง เธอถอนหายใจเล็กน้อย และตัดสินใจที่จะให้โอกาสเขาอีกครั้ง
“ก็ได้ค่ะ” ปลายฝันตอบรับ “แต่ปายขอเวลาคุณแค่สิบนาทีเท่านั้นนะคะ”
คำตอบของปลายฝันทำให้ภาคินัยยิ้มออกมาด้วยความดีใจ เขารู้สึกเหมือนได้รับโอกาสอีกครั้ง
“ขอบคุณครับ” ภาคินัยเอ่ยขึ้น “เราไปคุยกันที่ห้องประชุมเล็กนะครับ”
ภาคินัยและปลายฝันเดินเข้าไปในห้องประชุมเล็ก โดยมีสายตานับสิบคู่จ้องมองตามหลังไป
เมื่อเข้ามาในห้องประชุมเล็ก ภาคินัยก็ปิดประตูลงอย่างช้าๆ และหันมามองปลายฝันด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
“ผมขอโทษนะครับคุณ” ภาคินัยเอ่ยขึ้น “ผมขอโทษจริงๆ ที่ทำให้คุณต้องเข้าใจผิด”
ภาคินัยเริ่มอธิบายเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในคืนนั้นอย่างละเอียด ตั้งแต่เรื่องที่ทิชามาข่มขู่เขาเรื่องการยกเลิกงานแต่งงาน และการที่ธามเข้ามาช่วยเขาไว้ได้ทันเวลา เขาอธิบายถึงความรู้สึกของเขาที่มีต่อเธอ และความพยายามที่จะยุติความสัมพันธ์กับทิชา
“ผมรู้ว่าคุณอาจจะไม่เชื่อผมในตอนนี้” ภาคินัยเอ่ยขึ้น “แต่ผมอยากให้คุณรู้ว่าผมจริงจังกับคุณนะปลายฝัน ผมรักคุณนะ”
ปลายฝันเงียบไป เธอรับฟังคำอธิบายของภาคินัยอย่างตั้งใจ และเริ่มรู้สึกว่าความเข้าใจผิดของเธอกำลังคลี่คลายลง
“แต่คุณมีคู่หมั้นอยู่แล้วนะคะคุณภีม” ปลายฝันเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
“ผมกำลังจะยกเลิกงานแต่งงานกับเธอแล้วนะครับ” ภาคินัยเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “ผมจะไม่แต่งงานกับคนที่ไม่ใช่ผมรัก”
คำพูดของภาคินัยทำให้ปลายฝันรู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก เธอรู้สึกว่ากำแพงที่เธอก่อขึ้นในใจกำลังพังทลายลงช้าๆ
“ปาย...ปายไม่รู้จะพูดยังไงดีค่ะ” ปลายฝันเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ
“คุณไม่จำเป็นต้องพูดอะไรหรอกครับ” ภาคินัยเอ่ยขึ้น “ผมแค่อยากให้คุณเชื่อผม และให้โอกาสผมได้ดูแลคุณ”
ภาคินัยเดินเข้าไปใกล้ปลายฝันอีกก้าวหนึ่ง และยื่นมือไปจับมือของเธอเบาๆ
“ผมรักคุณนะปลายฝัน” ภาคินัยเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนและจริงใจ “ได้โปรดเชื่อผมนะ”
ปลายฝันมองไปที่มือของภาคินัยที่จับมือของเธอไว้ และมองไปที่ใบหน้าของเขาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกที่แท้จริง เธอรู้สึกถึงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านเข้ามาในหัวใจ
“ปาย...ปายจะลองเชื่อคุณนะคะ” ปลายฝันเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
คำตอบของปลายฝันทำให้ภาคินัยยิ้มออกมาด้วยความดีใจ เขารู้สึกเหมือนได้รับโอกาสอีกครั้ง และเขาจะไม่ยอมปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดมือไปเด็ดขาด
เรื่องราวความรักของพวกเขาที่เริ่มต้นจากความเข้าใจผิด กำลังจะก้าวไปสู่บทใหม่ที่เต็มไปด้วยความท้าทาย และความจริงบางอย่างที่ถูกปกปิดไว้ก็จะถูกเปิดเผยในไม่ช้าอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
ตอนที่ 122 บทส่งท้ายกาลเวลาหมุนผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่ความทรงจำที่สวยงามยังคงถูกถักทอขึ้นอย่างต่อเนื่องในชีวิตของภาคินัย ปลายฝัน ธามและน้ำหวาน ทุกเส้นทางที่พวกเขาได้เดินผ่านมา ไม่ว่าจะสุข ทุกข์ หรือท้าทาย ล้วนหล่อหลอมให้พวกเขากลายเป็นคนที่สมบูรณ์ในวันนี้ บทสรุปของเรื่องราวนี้จึงเป็นการสะท้อนถึงชีวิตที่เต็มไปด้วยความสุข ความรักที่อบอุ่น และอนาคตที่สดใส ที่พวกเขาได้สร้างขึ้นด้วยกันวันหยุดสุดสัปดาห์ที่สดใสครอบครัวของภาคินัยและปลายฝัน รวมถึงธามและน้ำหวาน ได้วางแผนเดินทางไปเที่ยวทะเลด้วยกัน เป็นครั้งแรกที่เด็กๆ จะได้สัมผัสผืนทรายและน้ำทะเลด้วยตัวเองรถตู้คันใหญ่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและบทเพลงจากเด็กๆ น้องเมฆและน้องเมษาที่ตอนนี้เริ่มเดินได้คล่องแคล่ว ต่างตื่นเต้นกับวิวทิวทัศน์นอกหน้าต่างที่ไม่คุ้นเคย"คุณภีมคะ ดูสิคะน้องเมฆชี้ไปที่ทะเลใหญ่เลย" ปลายฝันยิ้มอย่างมีความสุข"เมษาก็ตื่นเต้นเหมือนกันค่ะคุณธาม" น้ำหวานเสริม พลางมองลูกสาวที่กำลังยิ้มกว้างเมื่อเดินทางถึงรีสอร์ตหรูริมทะเล ภาคินัยและธามต่างช่วยกันขนสัมภาระลงจากรถ ส่วนปลายฝันและน้ำหวานก็ดูแลเด็กๆ ที่วิ่งสำรวจไปทั่วบริเวณด้วยความกระตือ
ตอนที่ 121 บทสรุปของความรักชีวิตของภาคินัยและปลายฝันดำเนินมาถึงบทสรุปที่งดงาม พวกเขาได้ค้นพบความสุขที่แท้จริงในทุกมิติ ทั้งในด้านความรักที่มั่นคง ครอบครัวที่อบอุ่น และหน้าที่การงานที่รุ่งโรจน์ ความรักของพวกเขาสุกงอมและเบ่งบานอย่างเต็มที่ เช่นเดียวกับธามและน้ำหวาน ที่ต่างก็สร้างสรรค์ชีวิตในแบบของตัวเองได้อย่างลงตัว บทสรุปของความรักครั้งนี้จึงเป็นการเฉลิมฉลองให้กับชีวิตที่เต็มไปด้วยความสุข ความเข้าใจ และการเติมเต็มซึ่งกันและกันผ่านมาหลายปี นับตั้งแต่น้องเมฆลืมตาดูโลก ชีวิตของภาคินัยและปลายฝันดูเหมือนจะสมบูรณ์แบบในทุกด้าน พวกเขายังคงเป็นสามีภรรยาที่รักกันอย่างลึกซึ้ง ความผูกพันที่แน่นแฟ้นยิ่งทวีคูณขึ้นตามกาลเวลา แม้จะมีความรับผิดชอบมากมาย แต่พวกเขาก็ไม่เคยละเลยที่จะเติมเต็มความปรารถนาและความเร่าร้อนให้แก่กันและกันค่ำคืนหนึ่งหลังจากที่น้องเมฆหลับไปแล้ว แสงจันทร์สาดส่องเข้ามาในห้องนอนอย่างนุ่มนวล ภาคินัยโอบกอดปลายฝันจากด้านหลังอย่างแผ่วเบา สัมผัสที่คุ้นเคยทำให้ปลายฝันรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย เธอซบหน้ากับแผงอกที่คุ้นเคยของเขา"ปายครับ คุณสวยที่สุดเลยนะ" ภาคินัยกระซิบเสียงพร่า พลางจูบลงบนไหล
ตอนที่ 120 ความสุขหลังจากผ่านเรื่องราวมากมาย ทั้งความรัก ความสุข ความท้าทาย และการเติบโตในบทบาทใหม่ ทุกคู่ต่างค้นพบความสุขในแบบของตัวเอง ภาคินัยกับปลายฝัน และธามกับน้ำหวาน ต่างได้ใช้ชีวิตในแบบที่พวกเขาปรารถนา เติมเต็มความหมายของคำว่า "ความสุขที่แท้จริง" ในแบบฉบับของตัวเองชีวิตของภาคินัยและปลายฝันตอนนี้เปรียบเสมือนภาพวาดที่สมบูรณ์แบบ ทุกองค์ประกอบต่างถูกเติมเต็มอย่างลงตัว ด้วยความรักที่เปี่ยมล้นจากน้องเมฆ และความสำเร็จในหน้าที่การงานที่รุ่งโรจน์ภาคินัยยังคงทุ่มเทให้กับการบริหารภาคินัย กรุ๊ปอย่างเต็มที่ แต่เขาก็เรียนรู้ที่จะจัดสรรเวลาให้สมดุลระหว่างงานและครอบครัว เขามักจะตื่นเช้าขึ้นมาเล่นกับน้องเมฆก่อนไปทำงาน และพยายามกลับบ้านให้เร็วที่สุดเพื่อใช้เวลาช่วงเย็นกับภรรยาและลูกชาย การเห็นน้องเมฆเติบโตขึ้นในทุกๆ วัน คือพลังขับเคลื่อนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขา"วันนี้น้องเมฆเรียก 'ป๊า' ชัดขึ้นเยอะเลยนะครับปาย" ภาคินัยเล่าด้วยรอยยิ้มกว้างในมื้อเย็นปลายฝันยังคงเป็นกำลังสำคัญอยู่เบื้องหลังความสำเร็จของภาคินัย เธอทำหน้าที่ภรรยาและคุณแม่ได้อย่างไม่มีที่ติ ดูแลบ้านให้เป็นระเบียบเรียบร้อย อบอุ่
ตอนที่ 119 มิตรภาพที่ยั่งยืนท่ามกลางความวุ่นวายของชีวิตในบทบาทใหม่ ทั้งการเป็นพ่อแม่และการบริหารธุรกิจที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง มิตรภาพที่ถักทอขึ้นระหว่างภาคินัยและธาม รวมถึงปลายฝันและน้ำหวาน กลับยิ่งแข็งแกร่งและหยั่งรากลึก พวกเขาพิสูจน์ให้เห็นว่ามิตรภาพที่แท้จริงไม่เคยจางหายไปตามกาลเวลา แต่กลับยิ่งเปล่งประกายและเป็นพลังใจให้แก่กันเสมอครั้งหนึ่ง ภาคินัยและธามเคยเป็นคู่แข่งทางธุรกิจที่ขับเคี่ยวกันอย่างดุเดือดในสนามแข่งขัน แต่ด้วยความจริงใจและความเข้าใจซึ่งกันและกัน พวกเขาก็ได้ก้าวข้ามกำแพงแห่งการแข่งขันและแปรเปลี่ยนเป็นมิตรภาพที่แข็งแกร่ง การมีลูกในเวลาใกล้เคียงกัน ยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นบ่ายวันหนึ่ง ภาคินัยโทรหาธามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าแกมขบขัน "เฮ้ยธาม! วันนี้น้องเมฆงอแงไม่ยอมนอนเลยว่ะ ฉันแทบไม่ได้ทำงานเลย"ธามหัวเราะจากปลายสาย "ฉันก็เหมือนกันภีม! น้องเมษาวันนี้เล่นไม่หยุดเลย พลังเยอะจริงๆ เด็กสมัยนี้"บทสนทนาของพวกเขาไม่ใช่เรื่องธุรกิจอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องราวของผ้าอ้อม นมผง และการนอนไม่พอ การแลกเปลี่ยนประสบการณ์การเป็นคุณพ่อมือใหม่กลายเ
ตอนที่ 118 การเติบโตของภาคินัย กรุ๊ปหลังจากที่น้องเมฆเข้ามาเติมเต็มชีวิตครอบครัวของภาคินัยและปลายฝัน แรงบันดาลใจและความมุ่งมั่นของทั้งคู่ก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้น ไม่เพียงแต่ในเรื่องส่วนตัวเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อการบริหารงานของภาคินัย กรุ๊ปอย่างเห็นได้ชัด ภายใต้การนำของภาคินัย และการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากปลายฝัน บริษัทก็ได้ก้าวเข้าสู่ยุคแห่งความเจริญรุ่งเรืองที่โดดเด่นยิ่งกว่าเดิมเช้าวันหนึ่งที่สดใสในเดือนมิถุนายน ภาคินัยเดินนำปลายฝันและน้องเมฆที่อยู่ในรถเข็นเด็ก เข้าสู่ล็อบบี้สุดหรูของภาคินัย ทาวเวอร์ อาคารสำนักงานใหญ่ใจกลางกรุงเทพฯ ภาคินัยในชุดสูทสีเข้มดูภูมิฐานและสง่างามกว่าเคย ส่วนปลายฝันในชุดเดรสสีอ่อนสบายตาดูสวยสดใสในมาดคุณแม่ลูกหนึ่ง น้องเมฆตัวน้อยในรถเข็นมองซ้ายมองขวาด้วยแววตาอยากรู้อยากเห็น ใบหน้าจิ้มลิ้มมีรอยยิ้มอ้อแอ้ตลอดเวลา"วันนี้ลูกชายมาเยี่ยมบริษัทป๊าครั้งแรกนะลูก" ภาคินัยกระซิบกับน้องเมฆพลางยิ้มอบอุ่นปลายฝันหัวเราะเบาๆ "สงสัยจะชอบบรรยากาศนะคะเนี่ย"พนักงานในล็อบบี้ที่กำลังสัญจรไปมา ต่างหยุดชะงักเมื่อเห็นภาพครอบครัวที่ดูอบอุ่นและสมบูรณ์แบบนี้ หลายคนส่งยิ้มและโค้งคำนับให้ผ
ตอนที่ 117 คุณปู่กับทายาทเมื่อน้องเมฆเติบโตขึ้นในแต่ละวัน ไม่เพียงแต่ภาคินัยและปลายฝันเท่านั้นที่ภาคภูมิใจ แต่ยังมีคุณปู่ของภาคินัย ผู้เป็นรากฐานของอาณาจักรภาคินัย กรุ๊ป ที่เปี่ยมด้วยความสุขอย่างยิ่งที่ได้เห็นทายาทคนใหม่ การมาถึงของน้องเมฆไม่เพียงแต่เติมเต็มความหมายของคำว่าครอบครัวให้สมบูรณ์ แต่ยังเป็นการยืนยันว่าธุรกิจที่สร้างมาด้วยหยาดเหงื่อแรงกาย จะมีผู้สืบทอดต่อไปอย่างมั่นคงคุณปู่ของภาคินัย แม้จะอยู่ในวัยชรา แต่ดวงตาท่านยังคงเปล่งประกายด้วยความสุขและความเฉียบแหลม การมาถึงของน้องเมฆ เหลนชายและทายาทของเหลนคนเดียวของตระกูล ทำให้หัวใจของคุณปู่เต็มตื้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนท่านเฝ้ารอวันนี้มานานแสนนาน วันที่จะได้เห็นสายเลือดของตระกูลยังคงดำเนินต่อไปคุณปู่ก็เดินทางมาเยี่ยมเหลนชายที่บ้านทันที ท่านนั่งลงข้างเปลนอนของน้องเมฆ มองเหลนชายตัวน้อยด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรักและความเอ็นดู"ตาหนูเมฆของปู่ ในที่สุดเจ้าก็มา" คุณปู่กระซิบเสียงแผ่ว พลางเอื้อมมือที่เหี่ยวย่นลูบไล้แก้มยุ้ยของน้องเมฆอย่างอ่อนโยนภาคินัยและปลายฝันยืนมองภาพนั้นด้วยความซาบซึ้ง พวกเขารับรู้ได้ถึงความรักอันลึกซึ้งที่คุณ