Home / โรแมนติก / เกลียดเธอที่สุด / บทที่ 01 บ้านสุรีย์ฉาย

Share

บทที่ 01 บ้านสุรีย์ฉาย

Author: ชารี
last update Last Updated: 2025-09-13 19:59:52

บทที่ 01

บ้านสุรีย์ฉาย

         13 ปีก่อน...

         บ้านสุรีย์ฉาย เป็นคฤหาสน์ขนาดใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางพื้นที่เงียบสงบ รอบด้วยรั้วปูนสีขาวที่ตัดกับแนวต้นไม้ใหญ่ร่มครึ้มดูสง่างาม ซึ่งภายในรั้วเดียวกันนั้น อนงค์ สุรีย์ฉาย ผู้เป็นเจ้าของบ้าน ได้สร้างบ้านแยกไว้อีกสามหลัง มอบให้ลูกทั้งสามคนของเธอ โดยจัดวางตำแหน่งอย่างเป็นสัดส่วน โดยมีจุดศูนย์กลางคือเรือนใหญ่ที่เธออาศัยอยู่นั่นเอง

         เสียงรถมอเตอร์ไซค์สามล้อมาหยุดที่บ้านสุรีย์ฉาย เด็กหญิงวัยสิบขวบก้าวลงจากรถตามหลังแม่ สองมือเล็ก ๆ กำชายกระโปรงตัวเองแน่น ดวงตากลมโตมองบ้านหลังใหญ่อย่างตื่นเต้น เกิดมาสิบปี นี่เป็นครั้งแรกที่มาลารินได้เห็นบ้านหลังใหญ่ขนาดนี้ด้วยตาของตัวเอง

         “เราจะมาอยู่ที่นี่กันเหรอแม่?” เด็กหญิงเงยหน้าถามแม่

         ขวัญเรือนพยักหน้า ดวงตาของหญิงสาวยังมีร่องรอยเศร้า เพราะเพิ่งจะสูญเสียแม่ไปไม่นาน สามีก็มาด่วนจากไปเพราะอุบัติเหตุ แต่ยังโชคดีที่เพื่อนเก่าของแม่ อย่างสมจิตรได้ชักชวนให้เธอมาทำงานเป็นแม่บ้านด้วยกันที่นี่

         “จำไว้นะลาริน อย่าซน แม่บอกอะไรต้องเชื่อฟัง เข้าใจมั้ย” เสียงของแม่ที่ดังขึ้น ทำให้เด็กหญิงพยักหน้าอย่างเงียบ ๆ

         ประตูรั้วลายวิจิตรเปิดออกช้า ๆ พร้อมกับเสียงฝีเท้าของหญิงวัยกลางคนในชุดแม่บ้านสีเรียบดูสะอาดสะอ้านเดินออกมา ท่าทางคล่องแคล่วและดูใจดี

         “มากันแล้วเหรอ”

         เสียงของสมจิตรดังขึ้น หล่อนเป็นแม่บ้านคนเก่าแก่ ทำงานที่บ้านหลังนี้มาตั้งแต่ผมสีดำ จนตอนนี้ผมกลายเป็นสองสีแล้ว

         “สวัสดีจ้ะป้าจิตร” ขวัญเรือนยกมือไหว้อย่างสุภาพ

         “ไหว้พระเถอะลูก” สมจิตรพูดอย่างใจดี มองเด็กหญิงที่อยู่ข้างกายขวัญเรือน “นี่ลูกสาวเอ็งใช่มั้ย ไม่เจอกันนาน โตขนาดนี้แล้ว ชื่ออะไรนะ ยายลืมซะแล้ว”

“สวัสดีค่ะยายจิตร “หนูชื่อลาริน อยู่ปอสี่ค่ะ” มาลารินยกมือไหว้อีกฝ่ายอย่างนอบน้อม แม้จะเจอสมจิตรเพียงไม่กี่ครั้งตอนอีกฝ่ายกลับไปเยี่ยมบ้านต่างจังหวัด แต่เธอก็จำอีกฝ่ายได้ขึ้นใจ

สมจิตรยิ้มให้เด็กหญิงอย่างเอ็นดู ก่อนจะพาสองแม่ลูกเข้าไปข้างใน เพื่อแนะนำตัวกับเจ้าของบ้าน ซึ่งก็คืออนงค์

          ภายในห้องนั่งเล่นโปร่งโล่งด้วยเพดานสูงและหน้าต่างบานใหญ่ที่เปิดรับแสงธรรมชาติได้เต็มที่ หญิงสูงวัยในชุดผ้าไหมสีอ่อนนั่งอยู่บนโซฟา หันมามองแขกใหม่ด้วยสีหน้าราบเรียบ

         “คุณท่านคะ นี่ขวัญเรือนกับลูกสาว คนที่ดิฉันเรียนเสนอไว้ให้มาทำงานค่ะ” สมจิตรกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพ

         ขวัญเรือนยกมือไหว้อนงค์อย่างนอบน้อม

         “สวัสดีค่ะคุณท่าน ดิฉันชื่อขวัญเรือน นี่ลูกสาวของดิฉัน ชื่อมาลารินค่ะ ต้องขอบพระคุณคุณท่านมากนะคะที่เมตตาให้โอกาส ลารินไหว้คุณท่านสิลูก” ขวัญเรือนสะกิดลูกสาวเบา ๆ

         มาลารินรีบยกมือไหว้ ดวงตากลมใสสบกับสายตาลึกซึ้งของอนงค์แวบหนึ่งก่อนจะรีบหลบตาด้วยเพราะความเกรง

         อนงค์ยิ้มบาง ๆ มองสองแม่ลูกอย่างพินิจ “ขวัญเรือน หน้าตาสะสวยดีนะ”

         “ขอบพระคุณค่ะคุณท่าน” ขวัญเรือนยกมือไหว้ ก้มหน้าอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว

         อนงค์พยักหน้าเบา ๆ แล้วหันมายิ้มให้เด็กหญิงอย่างเอ็นดู “ชื่อมาลารินใช่มั้ย?”

         มาลารินเงยหน้าขึ้นสบตากับอนงค์ เด็กหญิงยังรู้สึกเกร็ง ๆ

         “คุณท่านถามก็ตอบสิลาริน” สมจิตรสะกิดบอกมาลาริน

         “หนูชื่อมาลารินค่ะ” เด็กหญิงตอบเสียงแผ่วอย่างไม่มั่นใจ

         “หน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มเชียว โตขึ้นคงจะสวยเหมือนแม่ อายุเท่าไหร่ล่ะ เรียนอยู่ชั้นอะไรแล้ว” อนงค์ถามเสียงนุ่มนวล

         “สิบขวบค่ะ อยู่ปอสี่ กำลังจะขึ้นปอห้า”

         อนงค์ยิ้มอย่างเอ็นดู เธอมีหลานสาวคนหนึ่ง ที่อายุเท่ากับมาลาริน คิดว่าคงจะเป็นเพื่อนเล่นกันได้

         “เอาล่ะสมจิตร พาพวกเค้าไปดูห้องพัก แล้ววันพรุ่งนี้ก็เริ่มงานได้เลย”

         ขวัญเรือนยิ้มออกมาด้วยความดีใจที่อนงค์รับเธอเข้าทำงาน เธอรีบก้มกราบขอบคุณอนงค์ทั้งน้ำตา มาลารินเห็นก็รีบทำตามแม่ของเธอ

         สมจิตรพาสองแม่ลูกเดินออกมา แต่ยังไม่ทันพ้นมุมโถงกลางบ้าน เสียงสดใสของชลธิชา หลานสาวคนเล็กของบ้านสุรีย์ฉายที่เพิ่งกลับมาจากเรียนพิเศษก็ดังขึ้น

         “กลับมาแล้วค่า”

         ชลธิชาหยุดชะงัก มองคนแปลกหน้าทั้งสองคน แต่ก่อนที่เธอจะเอ่ยถามอะไร เสียงฝีเท้าของชวลิต เด็กหนุ่มวัยสิบห้า ผู้เป็นพี่ชายของเธอก็เดินมาข้างหลัง

         “แม่บ้านคนใหม่เหรอครับป้าจิตร?” เด็กหนุ่มถามขึ้น ดวงตาคู่คมของเขามองสองแม่ลูก แล้วก็สบเข้ากับดวงตากลมโตของมาลารินที่มองมาที่เขาพอดี

         “ใช่ค่ะคุณต้น” สมจิตรตอบ “นี่ขวัญเรือนกับลูกสาวค่ะ ชื่อมาลาริน พึ่งมาถึงวันนี้ค่ะ”

         ขวัญเรือนยิ้มบาง ๆ ให้กับเด็กหนุ่มและเด็กหญิงวัยสิบขวบ ผู้เป็นเจ้านายของเธอทั้งสอง

         ชลธิชายกแขนขึ้นกอดอก หรี่ตามองสองแม่ลูกอย่างระแวง เพราะแม่บ้านคนก่อนหน้านี้ถูกไล่ออกไปเพราะขโมยของ

         “หวังว่าจะไม่ขี้ขโมยเหมือนป้าตุ๊กหรอกนะ ถ้าขโมยของแม่เรา เราจะแจ้งตำรวจจับให้หมดเลยคอยดู”

         “เต้ย” ชวลิตปรามน้องสาวเบา ๆ

         ขวัญเรือนได้แต่ยิ้มเจื่อน แต่มาลารินรู้สึกไม่พอใจ

         “พวกเราไม่ใช่ขี้ขโมยสักหน่อย”

         สายตาทุกคู่หันไปมองมาลาริน ไม่มีคาดคิดว่าเด็กหญิงท่าทางซื่อ ๆ จะกล้าพูดแบบนั้น

         “ลาริน” ขวัญเรือนแตะแขนลูกสาวเบา ๆ เป็นเชิงปราม “ไม่เอาลูก”

         “ถ้าไม่ใช่จะร้อนตัวทำไม!” ชลธิชาใช้เสียงที่ดังขึ้นข่ม “เธอสองคนเป็นพวกขี้ขโมยใช่มั้ย เราจะแจ้งจำตัวจับเข้าคุกให้เข็ดเลย!”

         มาลารินทำท่าจะเถียงกลับ แต่เห็นสายตาตำหนิของแม่เธอก็เงียบปากลงทันที

         “ขอโทษคุณหนูเดี๋ยวนี้” ขวัญเรือนออกคำสั่งเสียงเข้ม ดันหลังลูกสาวไปตรงหน้าชลธิชา

         มาลารินทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ แต่ขณะที่เธอกำลังจะยกมือไหว้ เสียงของชวลิตก็ดังขึ้น

         “ไม่ต้องหรอก” เด็กหนุ่มเอ่ย ก่อนจะหันทางน้องสาว “เราน่ะ มานี่เลย ว่าคนอื่นได้ยังไง”

         เด็กหนุ่มดึงหูกระเป๋าสะพายลากชลธิชาออกไป เธอหันมามองมาลารินอย่างคาดโทษ

         “ทีหลังอย่าเป็นแบบนี้นะลาริน” ขวัญเรือนเอ่ยกับลูกสาวอย่างจริงจัง

         มาลารินเม้มปากแน่น กระบอกตาร้อนผ่าวเหมือนจะร้องไห้ออกมา

         “ลารินเอ๊ย ฟังยายนะ ทุกคนที่นี่คือเจ้านายของเรา จะเถียงไม่ได้ ถ้าเอ็งรักแม่ ไม่อยากให้แม่เอ็งไม่สบายใจ ต้องเชื่อฟังยายนะ” สมจิตรเอ่ยอย่างหวังดี เพราะอยากให้สองแม่ลูกอยู่ที่นี่ได้อย่างราบรื่น

         มาลารินเหลือบมอง เธอเห็นร่องรอยความอ่อนล้าที่สะสม เธอก็พยักหน้าและรับปากกับแม่และสมจิตรว่าตนเองจะเป็นเด็กดี

         สมจิตรพาสองแม่ลูกมายังบ้านหลังเล็กที่อยู่ด้านในสุด ตรงนี้ค่อนข้างเงียบสงบ เพราะแม่บ้านคนอื่น ๆ รวมถึงสมจิตรจะพักอยู่เรือนพักด้านหน้ากันหมด

         “ทำไมเงียบจังล่ะป้า” ขวัญเรือนเอ่ยขึ้น

         “คุณท่านเห็นว่าเอ็งมีลูกมาด้วย ก็เลยให้มาอยู่ที่นี่ เรือนข้างหน้าห้องมันแคบกว่า”

         “คุณท่านเมตตาจริง ๆ” ขวัญเรือนเอ่ยอย่างซึ้งใจ

สมจิตรเปิดประตูไม้สีอ่อนที่มีรอยถลอกบาง ๆ ตรงขอบบาน กลิ่นสะอาดของผ้าปูที่นอนลอยแตะจมูก

“เข้ามาสิ เอ็งสองคนพักห้องนี้ ป้าทำความสะอดาไว้แล้ว เข้าอยู่ได้เลย”

ขวัญเรือนจูงมือลูกสาวเข้ามาในบ้านหลังเล็ก มีห้องน้ำในตัว มีเตียงกว้างวางชิดผนัง พร้อมกับตู้เสื้อผ้า โต๊ะหนังสือ ทั้งหมดถูกทำความสะอาดไว้อย่างเรียบร้อย

“เตียงนุ่มมากเลยแม่” มาลารินกระโดดขึ้นไปบนเตียงอย่างมีความสุข

“เอาเลยลูก ห้องนี้เป็นของเอ็งแล้ว” สมจิตรเอ่ยอย่างเอ็นดู แล้วหันมาหาขวัญเรือน “เอ็งกับลูกพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้จะได้เริ่มงาน ตั้งใจล่ะ อีกสามเดือนมาดูกันว่าคุณท่านจะให้เอ็งอยู่ยาวหรือเปล่า”

“จ้ะป้า ฉันจะตั้งใจทำงาน ทำหน้าที่ของตัวเอง จะไม่ให้เสียถึงป้าเลย”

เมื่อสมจิตรออกไป ขวัญเรือนก็หันมามทางลูกสาวของเธอเผลอหลับไปแล้ว เพราะเหนื่อยล้าจากการเดินทาง

         หน้าต่างบานเล็กถูกเปิดออก ขวัญเรือนสูดหายใจลึก สายลมเย็นที่พัดผ่านเข้ามาทำให้เธอรู้สึกและมีกำลังใจ ราวกับว่ามันกำลังนำความหวังมาสู่ชีวิตของเธอกับลูก...

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • เกลียดเธอที่สุด   บทส่งท้าย NC

    บทส่งท้าย แสงยามเช้าอาบไล้เข้ามาในห้องนอนเล็ก ๆ ผ่านผ้าม่านสีขาวที่พลิ้วไหวตามแรงลม เสียงนกร้องเบา ๆ อยู่นอกหน้าต่าง ราวกับว่าพวกมันกำลังปลุกคนทั้งคู่ที่อิงแอบอยู่ในอ้อมกอดของกันและกันทั้งคืนให้ตื่นจากความฝัน มาลารินค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา เธอเห็นใบหน้าของชวลิตอยู่ใกล้แค่คืบ เขายังคงกอดเธอเอาไว้นแน่นหลังจากที่เมื่อคืนนอนคุยกันถึงเรื่องราวมากมายจนหลับไปในอ้อมแขนของเขา เขาเล่าให้เธอฟังว่าของเขาป่วยด้วยโรคร้ายอยู่หลายปี ก่อนจะจากไปเมื่อสองเดือนก่อน ตอนมาลารินได้ยินเรื่องนั้น เธอรู้สึกใจหายไม่น้อย แม้เวลาจะผ่านมานานแล้วก็ตาม แต่เธอยังคงจำใบหน้าและดวงตาของตรีอัปสรได้เป็นอย่างดี เธอหวังอยู่ในใจลึก ๆ ว่าในช่วงสุดท้ายของชีวิตตรีอัปสรนั้นจะจากไปด้วยใจที่ไม่ยึดถือสิ่งใดแล้ว “เสียใจด้วยนะคะ” ชวลิตยิ้มบาง ๆ นัยน์ตาแม้ยังหลงเหลือรอยเศร้าอยู่บ้าง ทว่าที่ผ่านมาเขาคิดว่าตัวเองทำได้ดีที่สุดแล้วเพื่อให้แม่ของเขามีความสุข หลังจากทุกอย่างจบลง ชวลิตเลือกที่จะหันหลังให้กับทุกอย่าง เขาออกจากบ้านสุรีย์ฉายเพื่อมาหามาลารินที่นี่ เมื่อเทียบกับการที่จะได้อยู่กับเธอแล้ว ไ

  • เกลียดเธอที่สุด   บทที่ 44 หวนคืน (จบ)

    บทที่ 44หวนคืน 10 ปีผ่านไป...ยามบ่ายแก่ ๆ ณ วัดหลวงแห่งหนึ่งใจกลางเมือง ที่ลานด้านหน้าเมรุคลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่แต่งกายด้วยชุดสีดำ ฟ้าที่เคยโปร่งใสบัดนี้มีเมฆสีเทาเคลื่อนตัวมาบดบังแสงแดดจ้าให้หม่นลงปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า คล้ายว่ากำลังร่วมไว้อาลัยให้แก่ผู้วายชนม์อย่างตรีอัปสรเมื่อหลายปีก่อนนั้น เธอป่วยด้วยโรคร้ายรักษาไม่หาย แต่ยังคงมีชีวิตอยู่ได้หลายปีด้วยกำลังใจของคนในครอบครัว ทว่าเวลาผ่านไปร่างกายของเธอก็ทรุดโทรมลงเรื่อย ๆ ในที่สุดก็ถึงเวลาที่เธอต้องลาจากโลกนี้ไปท่ามกลางความเสียใจของทุกคนท่ามกลางผู้คนมากมายนั้น ชวลิตยืนเงียบ ๆ ข้างชลธิชาและญาติสนิทที่ยืนเรียงกัน เวลาล่วงเลยผ่านมานานนับสิบปี ตอนนี้อายุของเขาก้าวล่วงมาถึงวัยสามสิบแปดแล้ว เขายังคงดูโด่น แม้เส้นผมที่เคยดำขลับจะมีสีขาวขึ้นแซมที่ขมับทั้งสองข้าง ร่องลึกบนใบหน้าเผยให้เห็นถึงกาลเวลาที่ล่วงไป แต่นัยน์ตาคู่คมนั้นยังคงเหมือนคนที่แบกบางสิ่งไว้ตลอดเวลาเสียงประกาศให้ผู้คนทอยขึ้นเมรุเพื่อวางดอกไม้จันทน์ ขบวนของผู้คนค่อย ๆ เคลื่อนย้ายไปช้ายังด้านบนของเมรุ กลีบดอกไม้สีเหลืองนวลในมือของแต่ละคนค่อย ๆ วางลงหน้าโลงที่ประดับด้วยด

  • เกลียดเธอที่สุด   บทที่ 43 คำขอสุดท้าย

    บทที่ 43คำขอสุดท้ายบนท้องถนนที่คลาคล่ำไปด้วยรถยนต์ รถคันหรูของชวลิตเคลื่อนตัวด้วยความเร็วคงที่ผ่านแสงไฟริมถนนที่ทอดยาวเป็นเส้นสีเหลืองสลับกับเงามืดของต้นไม้ข้างทาง ระหว่างทางนั้น มาลารินได้รับสายจากกรฏที่โทรมา เมื่อกดรับสายได้ กรกฏก็คลายความกังวลและความเป็นห่วงลงมาเล็กน้อย ชวลิตหันมายิ้มให้กับมาลาริน เขาดีใจที่หญิงสาวมีเพื่อนที่ดีคนหนึ่งคอยอยู่เคียงข้าง ความคิดของเขาที่เคยมีต่อกรกฏในเมื่อก่อน ต่างจากตอนนี้โดยสิ้นเชิง ตลอดระยะเวลาที่รถเคลื่อนตัวไปนั้น ชวลิตรู้สึกว่ามาลารินมองเขาอยู่เป็นระยะ แม้เธอหลบสายตาทุกครั้งที่เขาหันไป แต่เขากลับรู้สึกว่าเธอได้ทิ้งร่องรอยบางอย่างเอาไว้ในใจของเขา “มีอะไรหรือเปล่า?” เสียงทุ้มเอ่ยถามบางเบา เขายกมือข้างหนึ่งลูบศีรษะของเธออย่างเอ็นดู นัยน์ตาของมาลารินที่เหลือบมองเขา มีแววครุ่นคิดบางอย่างที่คล้ายกับว่าเธอยังวางมันไม่ลง ดูเหมือนจะรบกวนจิตใจของเธอมาโดยตลอด “ฉันมีเรื่องอยากคุยกับคุณน่ะค่ะ” แววตาของชวลิตเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขารู้สึกได้ถึงน้ำเสียงและแววตาที่จริงจังของหญิงสาว จึงค่อย ๆ ตบไฟเลี้ยวจอดรถลงที่

  • เกลียดเธอที่สุด   บทที่ 42 ไม่อยากให้ดวงตะวันลับฟ้า

    บทที่ 42ไม่อยากให้ดวงตะวันลับฟ้า ผ้าม่านปลิวไหวเบา ๆ ไปกับสายลม ขณะที่แสงอ่อน ๆ ยามเช้าลอดผ่านเข้ามา สาดลงบนเรือนผมยุ่ง ๆ ของมาลาริน ร่างบางเปลือยเปล่าซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนา ที่มีอ้อมแขนอันอบอุ่นของเขาโอบล้อมเธอไว้อีกชั้นหนึ่ง มาลารินกระพริบตาช้า ๆ แผ่นหลังบอบบางที่นอนอยู่กับอกเปลือยเปล่าของชายหนุ่ม ทำให้เธอรู้สึกถึงลมหายใจของเขาที่ยังคงเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ หัวใจของเธอเต้นเป็นจังหวะ เมื่อความทรงจำอันเร่าร้อนในค่ำคืนยังแผ่ซ่านไปทั่วทุกอณูของเธอ กลิ่นของอากาศสดชื่นลอยมากับสายลมอ่อนยามเช้า เสียงของใบไม้ไหวตามแรงลม บรรดาเจ้านกส่งเสียงเจื้อยแจ้วพูดคุยกันจนเซ็งแซ่ ทว่าหัวใจของเธอกลับสงบลงเพราะยังคงรู้สึกถึงอ้อมแขนอันอบอุ่นที่โอบกอดเธอไว้ตลอดทั้งคืนเพียงครู่หนึ่ง เปลือยตาของเขาก็ค่อย ๆ เปิดออก เผยให้เห็นแววตาอันบอุ่นที่ยังตื่นไม่เต็มที่นัก เขาชะโงกหน้าขึ้นมามองเธอเล็กน้อย“ตื่นเช้าจัง...” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยเบา ๆ พร้อมกระชับวงแขนรอบเอวเธอแน่นขึ้น “ไม่เหนื่อยเหรอ”มาลารินหันมายิ้มให้กับเขา มองใบหน้าหล่อเหลาที่ผมยุ่งฟูดูเป็นธรรมชาติ เธอรู้สึกว่าเช้าวันนี้แสนพิเศษเพ

  • เกลียดเธอที่สุด   บทที่ 41 ใต้แสงจันทร์ NC

    บทที่ 41ใต้แสงจันทร์ แสงสุดท้ายยามพระอาทิตย์อัสดงลอดผ่านผ้าม่านที่ปลิวไสวไปกับสายลมยามเย็นที่พัดผ่านเข้ามาภายในห้องนอนที่เงียบสงบ ภายใต้ผ้าห่มผืนหนา ร่างกายเปลือยเปล่าของมาลารินขยับกายเพียงเล็กน้อย สัมผัสของผ้าปูที่นอนยังอุ่นเหมือนช่วงเวลาที่เร่าร้อนเพิ่งจะผ่านพ้นไปได้ไม่นาน หญิงสาวค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาภายในห้องที่แสงสีส้มสาดส่องเข้ามาในความมืดที่สลัวลง เมื่อขยับกายลุกขึ้นนั่ง สายตานั้นก็เลื่อนผ่านบานประตูกระจกใสที่เปิดแง้มไว้สู่ระเบียงกว้างที่ทอดยาวออกไปกลางสวนร่มรื่น แสงไฟสีอุ่นจากโคมบนระเบียงทอดลงบนร่างสูงของชวลิตที่กำลังก้มตัวจัดจานบนโต๊ะกลมไม้สัก มีเสียงเพลงสากลที่เขาเปิดทิ้งไว้คลอเคล้าอยู่ในบรรยากาศ ดวงหน้าของเขาภายใต้แสงไฟนั้นดูอบอุ่นและอ่อนโยน หญิงสาวจับจ้องเขาอยู่สักพัก ราวกับต้องการเก็บภาพนั้นตรึงไว้ในความทรงจำให้นานแสนนาน ความมืดค่อย ๆ โรยตัวลงมา แสงสุดท้ายของวันเลือนหายไป มาลารินอาบน้ำเปลี่ยนชุดใหม่ก้าวออกมาด้านนอก ดวงตาคู่สวยมองขึ้นไปบนท้องฟ้า เห็นดวงจันทร์เด่นตระหง่านคู่กับดวงดาวที่พร่างพราวระยิบระยับ ท้องฟ้าในคืนนี้งดงามมากจริง ๆ

  • เกลียดเธอที่สุด   บทที่ 40 ช่วงเวลาของเรา NC

    บทที่ 40ช่วงเวลาของเราช่วงบ่ายวันหนึ่ง อากาศค่อนข้างร้อนอบอ้าว ทว่าเมื่อรถคันหรูเคลื่อนตัวเข้ามาจอดบริเวณหน้าบ้านพักสีขาวสองชั้นที่ห้อมล้อมไปด้วยสวนดอกไม้ และร่มไม้ใหญ่เขียวขจี บรรยากาศโดยรอบนั้นก็ต่างจากข้างนอกโดยสิ้นเชิงชวลิตจูงมือมาลารินเข้ามาในบ้านพัก ซึ่งครั้งหนึ่งเขาเคยพาเธอมาที่นี่ ทว่าครั้งนี้ความรู้สึกนั้นต่างไปจากครั้งก่อน เขากระชับมือบางแน่น หันมายิ้มให้กับเธอ ช่างเป็นรอยยิ้มที่เธอสดใส แต่กลับซ่อนความหม่นเศร้าไว้ในแววตาบรรยากาศภายในบ้านเต็มไปด้วยความอบอุ่นบางอย่าง ทว่ามันก็คละเคล้าไปกับความเศร้าหมองที่อาจไม่บรรยาย แม้จะอยากอยู่กับปัจจุบันมากเพียงใด แต่เมื่อคิดว่าเวลาที่นับถอยหลังลงเรื่อย ๆ และอาจจะไม่พบเจอกันอีก ก็ทำให้เขาพวกเขาหม่นใจ“ตอนแรกก้องไม่อยากให้ฉันมาเลย” มาลารินเอ่ยขึ้นเบา ๆชวลิตเข้ามาสวมกอดมาลารินจากทางด้านหลัง เขากระชับอ้อมแขนแน่น เกยคางกับบ่าเล็ก ความอบอุ่นแล่นเข้ามาในหัวใจ เขานั้นอยากจะกอดเธอแบบนี้มาตั้งนานแล้ว“ทำไมล่ะ?” เสียงทุ้มเอ่ยถามเบา ๆ“ที่คุณบอกว่าอยากเจอฉันครั้งสุดท้าย ฟังดูน่ากลัวมาก ๆ เค้าคิดว่าคุณอาจจะทำร้ายฉันน่ะค่ะ”“ฉันคงดูเป็นคนใจร้ายมาก

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status