บทที่ 01
บ้านสุรีย์ฉาย
13 ปีก่อน...
บ้านสุรีย์ฉาย เป็นคฤหาสน์ขนาดใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางพื้นที่เงียบสงบ รอบด้วยรั้วปูนสีขาวที่ตัดกับแนวต้นไม้ใหญ่ร่มครึ้มดูสง่างาม ซึ่งภายในรั้วเดียวกันนั้น อนงค์ สุรีย์ฉาย ผู้เป็นเจ้าของบ้าน ได้สร้างบ้านแยกไว้อีกสามหลัง มอบให้ลูกทั้งสามคนของเธอ โดยจัดวางตำแหน่งอย่างเป็นสัดส่วน โดยมีจุดศูนย์กลางคือเรือนใหญ่ที่เธออาศัยอยู่นั่นเอง
เสียงรถมอเตอร์ไซค์สามล้อมาหยุดที่บ้านสุรีย์ฉาย เด็กหญิงวัยสิบขวบก้าวลงจากรถตามหลังแม่ สองมือเล็ก ๆ กำชายกระโปรงตัวเองแน่น ดวงตากลมโตมองบ้านหลังใหญ่อย่างตื่นเต้น เกิดมาสิบปี นี่เป็นครั้งแรกที่มาลารินได้เห็นบ้านหลังใหญ่ขนาดนี้ด้วยตาของตัวเอง
“เราจะมาอยู่ที่นี่กันเหรอแม่?” เด็กหญิงเงยหน้าถามแม่
ขวัญเรือนพยักหน้า ดวงตาของหญิงสาวยังมีร่องรอยเศร้า เพราะเพิ่งจะสูญเสียแม่ไปไม่นาน สามีก็มาด่วนจากไปเพราะอุบัติเหตุ แต่ยังโชคดีที่เพื่อนเก่าของแม่ อย่างสมจิตรได้ชักชวนให้เธอมาทำงานเป็นแม่บ้านด้วยกันที่นี่
“จำไว้นะลาริน อย่าซน แม่บอกอะไรต้องเชื่อฟัง เข้าใจมั้ย” เสียงของแม่ที่ดังขึ้น ทำให้เด็กหญิงพยักหน้าอย่างเงียบ ๆ
ประตูรั้วลายวิจิตรเปิดออกช้า ๆ พร้อมกับเสียงฝีเท้าของหญิงวัยกลางคนในชุดแม่บ้านสีเรียบดูสะอาดสะอ้านเดินออกมา ท่าทางคล่องแคล่วและดูใจดี
“มากันแล้วเหรอ”
เสียงของสมจิตรดังขึ้น หล่อนเป็นแม่บ้านคนเก่าแก่ ทำงานที่บ้านหลังนี้มาตั้งแต่ผมสีดำ จนตอนนี้ผมกลายเป็นสองสีแล้ว
“สวัสดีจ้ะป้าจิตร” ขวัญเรือนยกมือไหว้อย่างสุภาพ
“ไหว้พระเถอะลูก” สมจิตรพูดอย่างใจดี มองเด็กหญิงที่อยู่ข้างกายขวัญเรือน “นี่ลูกสาวเอ็งใช่มั้ย ไม่เจอกันนาน โตขนาดนี้แล้ว ชื่ออะไรนะ ยายลืมซะแล้ว”
“สวัสดีค่ะยายจิตร “หนูชื่อลาริน อยู่ปอสี่ค่ะ” มาลารินยกมือไหว้อีกฝ่ายอย่างนอบน้อม แม้จะเจอสมจิตรเพียงไม่กี่ครั้งตอนอีกฝ่ายกลับไปเยี่ยมบ้านต่างจังหวัด แต่เธอก็จำอีกฝ่ายได้ขึ้นใจ
สมจิตรยิ้มให้เด็กหญิงอย่างเอ็นดู ก่อนจะพาสองแม่ลูกเข้าไปข้างใน เพื่อแนะนำตัวกับเจ้าของบ้าน ซึ่งก็คืออนงค์
ภายในห้องนั่งเล่นโปร่งโล่งด้วยเพดานสูงและหน้าต่างบานใหญ่ที่เปิดรับแสงธรรมชาติได้เต็มที่ หญิงสูงวัยในชุดผ้าไหมสีอ่อนนั่งอยู่บนโซฟา หันมามองแขกใหม่ด้วยสีหน้าราบเรียบ
“คุณท่านคะ นี่ขวัญเรือนกับลูกสาว คนที่ดิฉันเรียนเสนอไว้ให้มาทำงานค่ะ” สมจิตรกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพ
ขวัญเรือนยกมือไหว้อนงค์อย่างนอบน้อม
“สวัสดีค่ะคุณท่าน ดิฉันชื่อขวัญเรือน นี่ลูกสาวของดิฉัน ชื่อมาลารินค่ะ ต้องขอบพระคุณคุณท่านมากนะคะที่เมตตาให้โอกาส ลารินไหว้คุณท่านสิลูก” ขวัญเรือนสะกิดลูกสาวเบา ๆ
มาลารินรีบยกมือไหว้ ดวงตากลมใสสบกับสายตาลึกซึ้งของอนงค์แวบหนึ่งก่อนจะรีบหลบตาด้วยเพราะความเกรง
อนงค์ยิ้มบาง ๆ มองสองแม่ลูกอย่างพินิจ “ขวัญเรือน หน้าตาสะสวยดีนะ”
“ขอบพระคุณค่ะคุณท่าน” ขวัญเรือนยกมือไหว้ ก้มหน้าอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว
อนงค์พยักหน้าเบา ๆ แล้วหันมายิ้มให้เด็กหญิงอย่างเอ็นดู “ชื่อมาลารินใช่มั้ย?”
มาลารินเงยหน้าขึ้นสบตากับอนงค์ เด็กหญิงยังรู้สึกเกร็ง ๆ
“คุณท่านถามก็ตอบสิลาริน” สมจิตรสะกิดบอกมาลาริน
“หนูชื่อมาลารินค่ะ” เด็กหญิงตอบเสียงแผ่วอย่างไม่มั่นใจ
“หน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มเชียว โตขึ้นคงจะสวยเหมือนแม่ อายุเท่าไหร่ล่ะ เรียนอยู่ชั้นอะไรแล้ว” อนงค์ถามเสียงนุ่มนวล
“สิบขวบค่ะ อยู่ปอสี่ กำลังจะขึ้นปอห้า”
อนงค์ยิ้มอย่างเอ็นดู เธอมีหลานสาวคนหนึ่ง ที่อายุเท่ากับมาลาริน คิดว่าคงจะเป็นเพื่อนเล่นกันได้
“เอาล่ะสมจิตร พาพวกเค้าไปดูห้องพัก แล้ววันพรุ่งนี้ก็เริ่มงานได้เลย”
ขวัญเรือนยิ้มออกมาด้วยความดีใจที่อนงค์รับเธอเข้าทำงาน เธอรีบก้มกราบขอบคุณอนงค์ทั้งน้ำตา มาลารินเห็นก็รีบทำตามแม่ของเธอ
สมจิตรพาสองแม่ลูกเดินออกมา แต่ยังไม่ทันพ้นมุมโถงกลางบ้าน เสียงสดใสของชลธิชา หลานสาวคนเล็กของบ้านสุรีย์ฉายที่เพิ่งกลับมาจากเรียนพิเศษก็ดังขึ้น
“กลับมาแล้วค่า”
ชลธิชาหยุดชะงัก มองคนแปลกหน้าทั้งสองคน แต่ก่อนที่เธอจะเอ่ยถามอะไร เสียงฝีเท้าของชวลิต เด็กหนุ่มวัยสิบห้า ผู้เป็นพี่ชายของเธอก็เดินมาข้างหลัง
“แม่บ้านคนใหม่เหรอครับป้าจิตร?” เด็กหนุ่มถามขึ้น ดวงตาคู่คมของเขามองสองแม่ลูก แล้วก็สบเข้ากับดวงตากลมโตของมาลารินที่มองมาที่เขาพอดี
“ใช่ค่ะคุณต้น” สมจิตรตอบ “นี่ขวัญเรือนกับลูกสาวค่ะ ชื่อมาลาริน พึ่งมาถึงวันนี้ค่ะ”
ขวัญเรือนยิ้มบาง ๆ ให้กับเด็กหนุ่มและเด็กหญิงวัยสิบขวบ ผู้เป็นเจ้านายของเธอทั้งสอง
ชลธิชายกแขนขึ้นกอดอก หรี่ตามองสองแม่ลูกอย่างระแวง เพราะแม่บ้านคนก่อนหน้านี้ถูกไล่ออกไปเพราะขโมยของ
“หวังว่าจะไม่ขี้ขโมยเหมือนป้าตุ๊กหรอกนะ ถ้าขโมยของแม่เรา เราจะแจ้งตำรวจจับให้หมดเลยคอยดู”
“เต้ย” ชวลิตปรามน้องสาวเบา ๆ
ขวัญเรือนได้แต่ยิ้มเจื่อน แต่มาลารินรู้สึกไม่พอใจ
“พวกเราไม่ใช่ขี้ขโมยสักหน่อย”
สายตาทุกคู่หันไปมองมาลาริน ไม่มีคาดคิดว่าเด็กหญิงท่าทางซื่อ ๆ จะกล้าพูดแบบนั้น
“ลาริน” ขวัญเรือนแตะแขนลูกสาวเบา ๆ เป็นเชิงปราม “ไม่เอาลูก”
“ถ้าไม่ใช่จะร้อนตัวทำไม!” ชลธิชาใช้เสียงที่ดังขึ้นข่ม “เธอสองคนเป็นพวกขี้ขโมยใช่มั้ย เราจะแจ้งจำตัวจับเข้าคุกให้เข็ดเลย!”
มาลารินทำท่าจะเถียงกลับ แต่เห็นสายตาตำหนิของแม่เธอก็เงียบปากลงทันที
“ขอโทษคุณหนูเดี๋ยวนี้” ขวัญเรือนออกคำสั่งเสียงเข้ม ดันหลังลูกสาวไปตรงหน้าชลธิชา
มาลารินทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ แต่ขณะที่เธอกำลังจะยกมือไหว้ เสียงของชวลิตก็ดังขึ้น
“ไม่ต้องหรอก” เด็กหนุ่มเอ่ย ก่อนจะหันทางน้องสาว “เราน่ะ มานี่เลย ว่าคนอื่นได้ยังไง”
เด็กหนุ่มดึงหูกระเป๋าสะพายลากชลธิชาออกไป เธอหันมามองมาลารินอย่างคาดโทษ
“ทีหลังอย่าเป็นแบบนี้นะลาริน” ขวัญเรือนเอ่ยกับลูกสาวอย่างจริงจัง
มาลารินเม้มปากแน่น กระบอกตาร้อนผ่าวเหมือนจะร้องไห้ออกมา
“ลารินเอ๊ย ฟังยายนะ ทุกคนที่นี่คือเจ้านายของเรา จะเถียงไม่ได้ ถ้าเอ็งรักแม่ ไม่อยากให้แม่เอ็งไม่สบายใจ ต้องเชื่อฟังยายนะ” สมจิตรเอ่ยอย่างหวังดี เพราะอยากให้สองแม่ลูกอยู่ที่นี่ได้อย่างราบรื่น
มาลารินเหลือบมอง เธอเห็นร่องรอยความอ่อนล้าที่สะสม เธอก็พยักหน้าและรับปากกับแม่และสมจิตรว่าตนเองจะเป็นเด็กดี
สมจิตรพาสองแม่ลูกมายังบ้านหลังเล็กที่อยู่ด้านในสุด ตรงนี้ค่อนข้างเงียบสงบ เพราะแม่บ้านคนอื่น ๆ รวมถึงสมจิตรจะพักอยู่เรือนพักด้านหน้ากันหมด
“ทำไมเงียบจังล่ะป้า” ขวัญเรือนเอ่ยขึ้น
“คุณท่านเห็นว่าเอ็งมีลูกมาด้วย ก็เลยให้มาอยู่ที่นี่ เรือนข้างหน้าห้องมันแคบกว่า”
“คุณท่านเมตตาจริง ๆ” ขวัญเรือนเอ่ยอย่างซึ้งใจ
สมจิตรเปิดประตูไม้สีอ่อนที่มีรอยถลอกบาง ๆ ตรงขอบบาน กลิ่นสะอาดของผ้าปูที่นอนลอยแตะจมูก
“เข้ามาสิ เอ็งสองคนพักห้องนี้ ป้าทำความสะอดาไว้แล้ว เข้าอยู่ได้เลย”
ขวัญเรือนจูงมือลูกสาวเข้ามาในบ้านหลังเล็ก มีห้องน้ำในตัว มีเตียงกว้างวางชิดผนัง พร้อมกับตู้เสื้อผ้า โต๊ะหนังสือ ทั้งหมดถูกทำความสะอาดไว้อย่างเรียบร้อย
“เตียงนุ่มมากเลยแม่” มาลารินกระโดดขึ้นไปบนเตียงอย่างมีความสุข
“เอาเลยลูก ห้องนี้เป็นของเอ็งแล้ว” สมจิตรเอ่ยอย่างเอ็นดู แล้วหันมาหาขวัญเรือน “เอ็งกับลูกพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้จะได้เริ่มงาน ตั้งใจล่ะ อีกสามเดือนมาดูกันว่าคุณท่านจะให้เอ็งอยู่ยาวหรือเปล่า”
“จ้ะป้า ฉันจะตั้งใจทำงาน ทำหน้าที่ของตัวเอง จะไม่ให้เสียถึงป้าเลย”
เมื่อสมจิตรออกไป ขวัญเรือนก็หันมามทางลูกสาวของเธอเผลอหลับไปแล้ว เพราะเหนื่อยล้าจากการเดินทาง
หน้าต่างบานเล็กถูกเปิดออก ขวัญเรือนสูดหายใจลึก สายลมเย็นที่พัดผ่านเข้ามาทำให้เธอรู้สึกและมีกำลังใจ ราวกับว่ามันกำลังนำความหวังมาสู่ชีวิตของเธอกับลูก...
บทที่ 10ทั้งที่เอา...แต่พูดว่าเกลียด “ต้องการสิ ฉันจะไม่ต้องการเธอได้ยังไง...” มาลารินกลืนน้ำลายลงคอ เมื่อสบสายตาลึกซึ้งคู่นั้นของเขาก็เหมือนจะนำพาเธอสู่ห้วงอดีตที่เคยแนบชิดกันในยามค่ำคืน มือบางแตะที่ต้นขาเขาเบา ๆ สัมผัสนั้นทำเอาชายหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อย เขาลอบลอบน้ำลายลงคอ หัวใจเต้นรัวอย่างห้ามไม่อยู่ หญิงสาวค่อย ๆ ปลดตะขอกางเกงของเขา เธอไม่ได้รีบร้อน ตั้งใจสัมผัสเขาอย่างนุ่มนวล ทว่าแฝงไปด้วยปรารถนาซ่อนลึกอยู่ในจิตใจของเธอมานาน แท่งร้อนใหญ่คลายออกมาช้า ๆ มาลารินใช้ริมฝีปากนุ่มสัมผัสมันอย่างแผ่วเบา เสียงลมหายใจของเขาดังสะท้อนอยู่ในห้องเงียบ ๆ ชายกัดฟันแน่นเมื่อปลายลิ้นเล็ก ๆ ของเธอแตะตรงส่วนหัวหยักบานของเขา “อืม...” ชายหนุ่มครางตำอยู่ในลำคอ มือข้างหนึ่งเลื่อนไปกอบกุมช่อผมของเธอที่มันเป็นหางม้าสูง ขณะที่เธอค่อย ๆ กลืนกินตัวตนของเขาเข้าไปทีละน้อย จังหวะเนิบนาบ แต่แนบแน่น กล้ามเนื้อหน้าท้องเกร็งจ สายตาของเขาที่เคยมองเธออย่างชิงชัง บัดนี้กลับพร่าเลือนไปด้วยไฟแห่งราคะ แม้หญิงสาวจะห่างหายจากเรื่องอย่างว่ามานานนับปี ตั้งแต่เขาไม่มา
บทที่ 09ขวางหูขวางตา ผ่านมากกว่าสองสัปดาห์สำหรับชีวิตการฝึกงาน มาลารินกับกรกฏได้เรียนรู้งานต่าง ๆ ผ่านงานที่พวกเขาได้รับมอบหมาย มาลารินนั้นตั้งใจทำงานอย่างรอบคอบ เธอไม่ใช่คนพูดมากนัก ขณะที่กรกฏค่อนข้างร่าเริง พูดเก่ง และมักชวนมาลารินพูดคุยเสมอ ทำให้ทั้งสองสนิทกันอย่างรวดเร็ว จนทำให้พี่ ๆ ในแผนกแซวว่าพวกเขานั้นเข้ากันได้ดี มาลารินไม่ได้สนใจคำพูดพวกนั้นมากนัก เธอรู้ดีแก่ใจว่าตนกับกรกฏนั้นเป็นเพื่อนกันจริง ๆ ที่สำคัญ กรกฏนั้นมีแฟนอยู่แล้ว เธอกับเขาไม่มีทางเกินเลยกันไปมากกว่านี้แน่ ในช่วงที่ผ่านมานั้น มาลารินก็รู้สึกหายใจหายคอสะดวกขึ้น เพราะการฝึกงานของเธอนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับชวลิตโดยตรง แค่เป็นเด็กฝึกงานภายใต้โครงการที่เขาดูแลอยู่เท่านั้น ไม่ได้เจอเขาเลย แม้จะที่บ้านก็ตาม แต่กระทั่งวันหนึ่งที่มีประชุมใหญ่ เด็กฝึกงานอย่างพวกเธอก็ต้องเข้าร่วมประชุมเพื่อเรียนรู้งานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่อาจจะต้องพบเจอเขาในวันนี้ เสียงพูดคุยในห้องประชุมดังขึ้นอย่างไม่จริงจังนัก เพราะยังไม่ถึงเวลาเริ่ม บรรยากาศผ่อนคลายเมื่อพี่ ๆ ในทีมหันมาหยอกล้อเด็กฝึกงานสองคนที่นั่งอย
บทที่ 08เด็กฝึกงาน หลังจากกลับไทย ชวลิตใช้เวลาพักผ่อนถึงสองสัปดาห์เต็ม ก่อนที่จะเริ่มเข้ามารับตำแหน่งรองกรรมผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ ที่เขาจะเขามาช่วยดูแลโครงการใหม่ของบริษัท รถยุโรปคันสีดำแล่นเข้าไปในอาคารสำนักงานใหญ่ของบริษัทสุรีย์ฉาย ซึ่งเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ในเครือของครอบครัว พนักงานบางส่วนยืนรอต้อนรับด้านหน้า เมื่อร่างสูงกว่าร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตรในชุดสูทเรียหรูสีกรมท่าก้าวลงมา เขาก็ดูโดดเด่นได้โดยไม่ต้องพยายาม “ยินดีต้อนรับค่ะ เชิญที่ชั้น 21 ได้เลยค่ะ ดิฉันเตรียมห้องทำงานไว้เรียบร้อยแล้ว” วารี เลขาสาววัยสามสิบปีในชุดสูทสีดำยิ้มอย่างเปิดเผย หล่อนเป็นผู้ชายเขาตั้งแต่ดูแลสาขาที่ลอนดอน เมื่อเขากลับมาที่ไทย ชวลิตจึงให้เอกลับมาช่วยงานที่นี่ด้วย “ครับ” ชวลิตพยักหน้าเบา ๆ เท้าของเขาก้าวเข้าไปในตึกอย่างมั่นคง ภายในล็อบบี้ พนักงานต่างพากันเงยหน้า สายตามองเขาอย่างตื่นเต้น เขาหันมายิ้มให้ทุกคนอย่างเป็นมิตร เสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นในหมู่พนักงานหญิงที่ชื่นชมในความหล่อและดูดีในภาพลักษณ์ของเขา ซึ่งสร้างความประทับใจแก่ผู้พบเห็นได้ไม่ยาก
บทที่ 07ก็อาจจะเกลียดน้อยลง เมื่อสองปีก่อน... คืนนั้นลมหนาวพัดผ่านเงาไม้ของเรือนหลังใหญ่ กลิ่นหอมของใบไม้แห้งคลอเคล้ากับเสียงหัวเราะครื้นเครงของกลุ่มเพื่อนของชวลิตที่นั่งอยู่ในด้วยกันในงานปาร์ตี้เล็ก ๆ ริมสระว่ายน้ำ ตอนนั้นเป็นช่วงที่ชวลิตกลับมาเยี่ยมบ้าน คืนนั้นเขาจัดปาร์ตี้เล็ก ๆ เพื่อพบปะกับเพื่อนเก่าสมัยเรียนที่นัดรวมตัวกัน เครื่องดื่มหลายขวดถูกเปิดส่งต่อกันไม่ขาด เสียงดังคลอไปกับบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความสนุกสนาน คืนนั้นแม่บ้านหลายคนป่วย สมจิตรจึงให้มาลารินมาคอยช่วยงานในครัว โดยคืนนั้นมาธารินจึงไปนอนกับอนงค์ที่เรือนหลังเล็ก “ยกอาหารตรงนี้ไปเพิ่มหน่อยลาริน แล้วก็รีบกลับเข้ามาล่ะ อย่าอยู่เกะกะสายตาคุณต้น เสร็จแล้วก็กลับไปพัก พรุ่งนี้ค่อยมาเก็บล้างก็ได้” สมจิตรเอ่ยเสียงเรียบ “จ้ะยาย” แม้มาลารินจะปรากฏในงานเลี้ยงด้วยชุดเรียบ ๆ ผมมัดไว้อย่างลวก ๆ แต่ใบหน้าที่น่ารักจิ้มลิ้มของเธอก็ดูโดดเด่น เสียงแซวจากเพื่อนชายของชวลิตก็ดังขึ้น “โหต้น แม่บ้านที่น่ารักเกิ๊น” เพื่อนของเขาคนหนึ่งเอ่ยขึ้น แต่ชวลิตกลับดูไม่สนใจ
บทที่ 06หน้าด้านหน้าทน แสงไฟอบอุ่นจากโคมระย้าสาดส่องไปทั่วห้องโถงใหญ่ บรรยากาศในงานเลี้ยงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และเสียงพูดคุยของแขกที่มาเยือน ทั้งญาติผู้ใหญ่ คนในครอบครัว และเพื่อนพี่น้องของชวลิตที่ต่างมาร่วมกันสังสรรค์ต้อนรับการกลับมาอย่างเป็นทางการของเขา เมื่อหลายปีก่อน ชวลิตไปเรียนต่อด้านธุรกิจและด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ หลังเรียนจบเขาก็ได้รับหน้าที่ดูแลสาขาย่อยของบริษัทใหญ่ในต่างแดน และตอนนี้บริษัทที่ไทยนั้นมีโปรเจคใหญ่ เขาจึงกลับมาช่วยงานที่นี่ ชวลิตในวัยยี่สิบแปดย่างยี่สิบเก้า บุคลิกสุขุม สง่า ท่าทางเป็นผู้ใหญ่ของเขาเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ ชายหนุ่มดึงดูดความสนใจของผู้คนได้โดยไม่ต้องพยายาม ในขณะที่เขายืนโดดเด่นอยู่ในแสงไฟ ท่ามกลางผู้คนรุมล้อม มาลารินกลับซ่อนตัวอยู่ในมุมเงียบ ๆ ตรงหลังม่านสีขาว เธอไม่ได้ตั้งใจจะเข้ามาในงาน แต่แค่อยากจะมาเห็นเขาสักครั้ง แค่นิดเดียวก็ยังดี... “นี่แกเข้ามาได้ยังไง!” มาลารินหันกลับไปด้วยความตกใจเมื่อเห็นนวล หญิงรับใช้คนสนิทของตรีอัปสรที่กำลังจ้องเธอด้วยสายตาถมึงทึง “คุณท่านให้มาช่วยงา
บทที่ 05มืดมน เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างอิฐกับตรีอัปสรลุกลามใหญ่โต พวกเขาทะเลาะกันอย่างหนักเป็นครั้งแรก จนในที่สุดอิฐเอ่ยปากขอหย่ากับเธอ ทำให้ตรีอัปสรกรีดร้องลั่นราวกับคนเสียสติ ชลธิชาตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เธอไม่เคยเห็นพ่อกับแม่ทะเลาะกันมาก่อน เธอร้องไห้ด้วยความกลัวและเสียใจ โดยมีชวลิตคอยปลอบโยน “พี่ต้น ฮือ ๆๆ เต้ยเกลียดพวกมันสองคน ฮือ ๆๆ” ในใจของชวลิตก็เจ็บปวดและเสียใจไปไม่น้อยกว่าชลธิชาเลย แต่เขาก็ต้องเข้มแข็งแล้วกอดน้องสาวเอาไว้ “คุณเป็นคนผิดนะอิฐ! ทำไมถึงพูดแบบนี้” เสียงของตรีอัปสรดังลั่นไปทั่วบ้าน อิฐก้มหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ย “ผมผิดจริง ๆ ตรี...” “ฉันจะคุยกับคุณแม่เรื่องนี้” ตรีอัปสรยกมือขึ้นปาดน้ำตา “คุณแม่ไม่เอาพวกมันไว้แน่” ตรีอัปสรหันหลังออกจากบ้าน วิ่งไปที่เรือนใหญ่ เธอจะไปคุยกับอนงค์ เพื่อจัดการเรื่องนี้ให้จบสิ้นเสียที “คุณแม่ต้องจัดการเรื่องนี้ให้ตรีนะคะ” ตรีอัปสรเอ่ยทั้งน้ำตา อนงค์นั่งนิ่งอยู่ภายในห้องนอนของเธอ หลังจากรับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นเธอก็เป็นลมล้มไปทันที ไม่คิดว่าลูกชายที่เ