Home / โรแมนติก / เกลียดเธอที่สุด / บทที่ 01 บ้านสุรีย์ฉาย

Share

บทที่ 01 บ้านสุรีย์ฉาย

Author: ชารี
last update Last Updated: 2025-09-13 19:59:52

บทที่ 01

บ้านสุรีย์ฉาย

         13 ปีก่อน...

         บ้านสุรีย์ฉาย เป็นคฤหาสน์ขนาดใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางพื้นที่เงียบสงบ รอบด้วยรั้วปูนสีขาวที่ตัดกับแนวต้นไม้ใหญ่ร่มครึ้มดูสง่างาม ซึ่งภายในรั้วเดียวกันนั้น อนงค์ สุรีย์ฉาย ผู้เป็นเจ้าของบ้าน ได้สร้างบ้านแยกไว้อีกสามหลัง มอบให้ลูกทั้งสามคนของเธอ โดยจัดวางตำแหน่งอย่างเป็นสัดส่วน โดยมีจุดศูนย์กลางคือเรือนใหญ่ที่เธออาศัยอยู่นั่นเอง

         เสียงรถมอเตอร์ไซค์สามล้อมาหยุดที่บ้านสุรีย์ฉาย เด็กหญิงวัยสิบขวบก้าวลงจากรถตามหลังแม่ สองมือเล็ก ๆ กำชายกระโปรงตัวเองแน่น ดวงตากลมโตมองบ้านหลังใหญ่อย่างตื่นเต้น เกิดมาสิบปี นี่เป็นครั้งแรกที่มาลารินได้เห็นบ้านหลังใหญ่ขนาดนี้ด้วยตาของตัวเอง

         “เราจะมาอยู่ที่นี่กันเหรอแม่?” เด็กหญิงเงยหน้าถามแม่

         ขวัญเรือนพยักหน้า ดวงตาของหญิงสาวยังมีร่องรอยเศร้า เพราะเพิ่งจะสูญเสียแม่ไปไม่นาน สามีก็มาด่วนจากไปเพราะอุบัติเหตุ แต่ยังโชคดีที่เพื่อนเก่าของแม่ อย่างสมจิตรได้ชักชวนให้เธอมาทำงานเป็นแม่บ้านด้วยกันที่นี่

         “จำไว้นะลาริน อย่าซน แม่บอกอะไรต้องเชื่อฟัง เข้าใจมั้ย” เสียงของแม่ที่ดังขึ้น ทำให้เด็กหญิงพยักหน้าอย่างเงียบ ๆ

         ประตูรั้วลายวิจิตรเปิดออกช้า ๆ พร้อมกับเสียงฝีเท้าของหญิงวัยกลางคนในชุดแม่บ้านสีเรียบดูสะอาดสะอ้านเดินออกมา ท่าทางคล่องแคล่วและดูใจดี

         “มากันแล้วเหรอ”

         เสียงของสมจิตรดังขึ้น หล่อนเป็นแม่บ้านคนเก่าแก่ ทำงานที่บ้านหลังนี้มาตั้งแต่ผมสีดำ จนตอนนี้ผมกลายเป็นสองสีแล้ว

         “สวัสดีจ้ะป้าจิตร” ขวัญเรือนยกมือไหว้อย่างสุภาพ

         “ไหว้พระเถอะลูก” สมจิตรพูดอย่างใจดี มองเด็กหญิงที่อยู่ข้างกายขวัญเรือน “นี่ลูกสาวเอ็งใช่มั้ย ไม่เจอกันนาน โตขนาดนี้แล้ว ชื่ออะไรนะ ยายลืมซะแล้ว”

“สวัสดีค่ะยายจิตร “หนูชื่อลาริน อยู่ปอสี่ค่ะ” มาลารินยกมือไหว้อีกฝ่ายอย่างนอบน้อม แม้จะเจอสมจิตรเพียงไม่กี่ครั้งตอนอีกฝ่ายกลับไปเยี่ยมบ้านต่างจังหวัด แต่เธอก็จำอีกฝ่ายได้ขึ้นใจ

สมจิตรยิ้มให้เด็กหญิงอย่างเอ็นดู ก่อนจะพาสองแม่ลูกเข้าไปข้างใน เพื่อแนะนำตัวกับเจ้าของบ้าน ซึ่งก็คืออนงค์

          ภายในห้องนั่งเล่นโปร่งโล่งด้วยเพดานสูงและหน้าต่างบานใหญ่ที่เปิดรับแสงธรรมชาติได้เต็มที่ หญิงสูงวัยในชุดผ้าไหมสีอ่อนนั่งอยู่บนโซฟา หันมามองแขกใหม่ด้วยสีหน้าราบเรียบ

         “คุณท่านคะ นี่ขวัญเรือนกับลูกสาว คนที่ดิฉันเรียนเสนอไว้ให้มาทำงานค่ะ” สมจิตรกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพ

         ขวัญเรือนยกมือไหว้อนงค์อย่างนอบน้อม

         “สวัสดีค่ะคุณท่าน ดิฉันชื่อขวัญเรือน นี่ลูกสาวของดิฉัน ชื่อมาลารินค่ะ ต้องขอบพระคุณคุณท่านมากนะคะที่เมตตาให้โอกาส ลารินไหว้คุณท่านสิลูก” ขวัญเรือนสะกิดลูกสาวเบา ๆ

         มาลารินรีบยกมือไหว้ ดวงตากลมใสสบกับสายตาลึกซึ้งของอนงค์แวบหนึ่งก่อนจะรีบหลบตาด้วยเพราะความเกรง

         อนงค์ยิ้มบาง ๆ มองสองแม่ลูกอย่างพินิจ “ขวัญเรือน หน้าตาสะสวยดีนะ”

         “ขอบพระคุณค่ะคุณท่าน” ขวัญเรือนยกมือไหว้ ก้มหน้าอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว

         อนงค์พยักหน้าเบา ๆ แล้วหันมายิ้มให้เด็กหญิงอย่างเอ็นดู “ชื่อมาลารินใช่มั้ย?”

         มาลารินเงยหน้าขึ้นสบตากับอนงค์ เด็กหญิงยังรู้สึกเกร็ง ๆ

         “คุณท่านถามก็ตอบสิลาริน” สมจิตรสะกิดบอกมาลาริน

         “หนูชื่อมาลารินค่ะ” เด็กหญิงตอบเสียงแผ่วอย่างไม่มั่นใจ

         “หน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มเชียว โตขึ้นคงจะสวยเหมือนแม่ อายุเท่าไหร่ล่ะ เรียนอยู่ชั้นอะไรแล้ว” อนงค์ถามเสียงนุ่มนวล

         “สิบขวบค่ะ อยู่ปอสี่ กำลังจะขึ้นปอห้า”

         อนงค์ยิ้มอย่างเอ็นดู เธอมีหลานสาวคนหนึ่ง ที่อายุเท่ากับมาลาริน คิดว่าคงจะเป็นเพื่อนเล่นกันได้

         “เอาล่ะสมจิตร พาพวกเค้าไปดูห้องพัก แล้ววันพรุ่งนี้ก็เริ่มงานได้เลย”

         ขวัญเรือนยิ้มออกมาด้วยความดีใจที่อนงค์รับเธอเข้าทำงาน เธอรีบก้มกราบขอบคุณอนงค์ทั้งน้ำตา มาลารินเห็นก็รีบทำตามแม่ของเธอ

         สมจิตรพาสองแม่ลูกเดินออกมา แต่ยังไม่ทันพ้นมุมโถงกลางบ้าน เสียงสดใสของชลธิชา หลานสาวคนเล็กของบ้านสุรีย์ฉายที่เพิ่งกลับมาจากเรียนพิเศษก็ดังขึ้น

         “กลับมาแล้วค่า”

         ชลธิชาหยุดชะงัก มองคนแปลกหน้าทั้งสองคน แต่ก่อนที่เธอจะเอ่ยถามอะไร เสียงฝีเท้าของชวลิต เด็กหนุ่มวัยสิบห้า ผู้เป็นพี่ชายของเธอก็เดินมาข้างหลัง

         “แม่บ้านคนใหม่เหรอครับป้าจิตร?” เด็กหนุ่มถามขึ้น ดวงตาคู่คมของเขามองสองแม่ลูก แล้วก็สบเข้ากับดวงตากลมโตของมาลารินที่มองมาที่เขาพอดี

         “ใช่ค่ะคุณต้น” สมจิตรตอบ “นี่ขวัญเรือนกับลูกสาวค่ะ ชื่อมาลาริน พึ่งมาถึงวันนี้ค่ะ”

         ขวัญเรือนยิ้มบาง ๆ ให้กับเด็กหนุ่มและเด็กหญิงวัยสิบขวบ ผู้เป็นเจ้านายของเธอทั้งสอง

         ชลธิชายกแขนขึ้นกอดอก หรี่ตามองสองแม่ลูกอย่างระแวง เพราะแม่บ้านคนก่อนหน้านี้ถูกไล่ออกไปเพราะขโมยของ

         “หวังว่าจะไม่ขี้ขโมยเหมือนป้าตุ๊กหรอกนะ ถ้าขโมยของแม่เรา เราจะแจ้งตำรวจจับให้หมดเลยคอยดู”

         “เต้ย” ชวลิตปรามน้องสาวเบา ๆ

         ขวัญเรือนได้แต่ยิ้มเจื่อน แต่มาลารินรู้สึกไม่พอใจ

         “พวกเราไม่ใช่ขี้ขโมยสักหน่อย”

         สายตาทุกคู่หันไปมองมาลาริน ไม่มีคาดคิดว่าเด็กหญิงท่าทางซื่อ ๆ จะกล้าพูดแบบนั้น

         “ลาริน” ขวัญเรือนแตะแขนลูกสาวเบา ๆ เป็นเชิงปราม “ไม่เอาลูก”

         “ถ้าไม่ใช่จะร้อนตัวทำไม!” ชลธิชาใช้เสียงที่ดังขึ้นข่ม “เธอสองคนเป็นพวกขี้ขโมยใช่มั้ย เราจะแจ้งจำตัวจับเข้าคุกให้เข็ดเลย!”

         มาลารินทำท่าจะเถียงกลับ แต่เห็นสายตาตำหนิของแม่เธอก็เงียบปากลงทันที

         “ขอโทษคุณหนูเดี๋ยวนี้” ขวัญเรือนออกคำสั่งเสียงเข้ม ดันหลังลูกสาวไปตรงหน้าชลธิชา

         มาลารินทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ แต่ขณะที่เธอกำลังจะยกมือไหว้ เสียงของชวลิตก็ดังขึ้น

         “ไม่ต้องหรอก” เด็กหนุ่มเอ่ย ก่อนจะหันทางน้องสาว “เราน่ะ มานี่เลย ว่าคนอื่นได้ยังไง”

         เด็กหนุ่มดึงหูกระเป๋าสะพายลากชลธิชาออกไป เธอหันมามองมาลารินอย่างคาดโทษ

         “ทีหลังอย่าเป็นแบบนี้นะลาริน” ขวัญเรือนเอ่ยกับลูกสาวอย่างจริงจัง

         มาลารินเม้มปากแน่น กระบอกตาร้อนผ่าวเหมือนจะร้องไห้ออกมา

         “ลารินเอ๊ย ฟังยายนะ ทุกคนที่นี่คือเจ้านายของเรา จะเถียงไม่ได้ ถ้าเอ็งรักแม่ ไม่อยากให้แม่เอ็งไม่สบายใจ ต้องเชื่อฟังยายนะ” สมจิตรเอ่ยอย่างหวังดี เพราะอยากให้สองแม่ลูกอยู่ที่นี่ได้อย่างราบรื่น

         มาลารินเหลือบมอง เธอเห็นร่องรอยความอ่อนล้าที่สะสม เธอก็พยักหน้าและรับปากกับแม่และสมจิตรว่าตนเองจะเป็นเด็กดี

         สมจิตรพาสองแม่ลูกมายังบ้านหลังเล็กที่อยู่ด้านในสุด ตรงนี้ค่อนข้างเงียบสงบ เพราะแม่บ้านคนอื่น ๆ รวมถึงสมจิตรจะพักอยู่เรือนพักด้านหน้ากันหมด

         “ทำไมเงียบจังล่ะป้า” ขวัญเรือนเอ่ยขึ้น

         “คุณท่านเห็นว่าเอ็งมีลูกมาด้วย ก็เลยให้มาอยู่ที่นี่ เรือนข้างหน้าห้องมันแคบกว่า”

         “คุณท่านเมตตาจริง ๆ” ขวัญเรือนเอ่ยอย่างซึ้งใจ

สมจิตรเปิดประตูไม้สีอ่อนที่มีรอยถลอกบาง ๆ ตรงขอบบาน กลิ่นสะอาดของผ้าปูที่นอนลอยแตะจมูก

“เข้ามาสิ เอ็งสองคนพักห้องนี้ ป้าทำความสะอดาไว้แล้ว เข้าอยู่ได้เลย”

ขวัญเรือนจูงมือลูกสาวเข้ามาในบ้านหลังเล็ก มีห้องน้ำในตัว มีเตียงกว้างวางชิดผนัง พร้อมกับตู้เสื้อผ้า โต๊ะหนังสือ ทั้งหมดถูกทำความสะอาดไว้อย่างเรียบร้อย

“เตียงนุ่มมากเลยแม่” มาลารินกระโดดขึ้นไปบนเตียงอย่างมีความสุข

“เอาเลยลูก ห้องนี้เป็นของเอ็งแล้ว” สมจิตรเอ่ยอย่างเอ็นดู แล้วหันมาหาขวัญเรือน “เอ็งกับลูกพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้จะได้เริ่มงาน ตั้งใจล่ะ อีกสามเดือนมาดูกันว่าคุณท่านจะให้เอ็งอยู่ยาวหรือเปล่า”

“จ้ะป้า ฉันจะตั้งใจทำงาน ทำหน้าที่ของตัวเอง จะไม่ให้เสียถึงป้าเลย”

เมื่อสมจิตรออกไป ขวัญเรือนก็หันมามทางลูกสาวของเธอเผลอหลับไปแล้ว เพราะเหนื่อยล้าจากการเดินทาง

         หน้าต่างบานเล็กถูกเปิดออก ขวัญเรือนสูดหายใจลึก สายลมเย็นที่พัดผ่านเข้ามาทำให้เธอรู้สึกและมีกำลังใจ ราวกับว่ามันกำลังนำความหวังมาสู่ชีวิตของเธอกับลูก...

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • เกลียดเธอที่สุด   บทที่ 34 ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย?

    บทที่ 34ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย?มาลารินมองมือของชวลิตที่จับมือของเธอไว้แน่น ทุกย่างก้าวที่เขานำพาเธอไป หัวใจก็เต้นแรงขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อมาถึงรถเขาเปิดประตูฝั่งผู้โดยสาร ดันเธอเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว ส่วนเขาอ้อมไปฝั่งคนขับ ติดเครื่องยนต์แล้วขับรถออกไปโดยไม่รอรีบรรยากาศภายในรถเงียบงันจนมาลารินรู้สึกอึดอัด เหลือบสายตามองคนที่อยู่ข้าง ๆ เห็นเลือดสีแดงเป็นรอยยาวจากหางคิ้วจนถึงขมับ ความทรงจำเมื่อครู่ย้อนกลับเข้ามา มาลารินไม่เข้าใจเลยว่าทำไมคนที่เอาแต่พร่ำบอกว่าเกลียดเธอถึงพุ่งเข้ามากอดเธอไว้อย่างนั้น ดวงตาคู่คมจ้องมองไปยังท้องถนนเบื้องหน้า แววตาของเขาเรียบนิ่งยากจะคาดเดา และหางตาของเขาก็รับรู้ถึงสายตาของคนข้างกายที่เอาแต่จับจ้องเขาอยู่ “มองอะไร?” เขาเหลือบมองเธอเล็กน้อย มาลารินยกมือขึ้นแตะเบา ๆ ที่หางคิ้วของตัวเองเป็นสัญญาณบอกเขา ชวลิตเหลือบมองตัวเองผ่านกระจกมองหลัง เห็นเลือดไหลเป็นทางยาว เขาใช้มือเช็ดมันลวก ๆ อย่างไม่ใส่ใจ “คุณต้องทำแผลนะ” “ช่างมัน...” มาลารินไม่พูดอะไรอีก เธอมองออกไปด้านนอก สองข้างทางเริ่มเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เธอไม่รู

  • เกลียดเธอที่สุด   บทที่ 33 สัญชาตญาณ

    บทที่ 33สัญชาตญาณ ในช่วงบ่าย ณ วัดหลวงเก่าแก่กลางเมือง แม้ว่าแดดจะแผดเผาสักเพียงใด ทว่าผู้คนยังหลั่งไหลเข้ามาในงานศพอย่างต่อเนื่อง ทั้งคนในเครื่องแบบ ข้าราชการ นักการเมือง รวมถึงกลุ่มนักธุรกิจต่าง ๆ นั้นก็ร่วมส่งอนงค์เป็นครั้งสุดท้าย ท่ามกลางคนมากมายนั้น มาลารินยืนปะปนอยู่กับผู้คน เธอสวมเดรสสีดำเรียบสนิท ใบหน้าราบเรียบ ทว่าดวงตานั้นมีร่องรอยความเศร้าชัดเจน “นั่นลารินหรือเปล่า” เสียงหนึ่งดึงขึ้นจากกลุ่มคนรับใช้ที่บ้านสุรีย์ฉายที่รวมตัวกันอยู่บริเวณหนึ่ง สมจิตรหันไปตามสายตาของพวกหล่อน เมื่อเห็นมาลารินเธอก็ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ ตั้งแต่สมจิตรส่งข้อความบอกมาลารินเรื่องอนงค์ไป หลายคืนที่ผ่านมาเธอก็ไม่เคยเห็นมาลารินปรากฏตัวที่งานศพสักคืน จนกระทั่งวันสุดท้ายนี้ เธอรอลุ้นทุกวินาทีให้มาลารินมา และมาลารินก็มาจริง ๆ มือของมาลารินกำดอกไม้จันทน์ไว้แน่น เธอก้าวขึ้นบันได้เมรุจนมาถึงหน้าโลงศพที่วางบนแท่น เธอยกขึ้นไหว้ช้า ๆ ก่อนโน้มตัววางดอกไม้จันทน์หน้าเตาเผา หลับตาพูดในใจ “เดินทางปลอดภัยนะคะคุณท่าน...” เธอลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง นัย

  • เกลียดเธอที่สุด   บทที่ ความจริงอันเจ็บปวด

    บทที่ 32ความจริงอันเจ็บปวดบรรยากาศในเรือนกระจกเงียบลง ๆ ลมอ่อนจากช่องระบายอากาศพัดเอากลิ่นหอมของดอกไม้ลอยวนอยู่ในอากาศ คล้ายกับมวลความรู้สึกบางอย่างนั้นก่อตัวขึ้นมาในใจของพวกเขาอย่างไม่อาจควบคุม สายตาคู่คมของชวลิตจ้องมองไปยังใบหน้าสวยหวานของเธอ ผมยาวสลวยพลิ้วไหวเบา ๆ คลอเคลียข้างแก้มใส ทำให้เธอดูอ่อนโยนงดงามราวกับภาพวาดจนเขาไม่อาจละสายตา ดวงตาที่สะท้อนภาพของมาลารินนั้นเปล่งประกาย ชวลิตรู้สึกว่าหญิงสาวดูดีขึ้นมาก ๆ ร่างกายที่เคยผอมบางของเธอนั้นดูมีน้ำมีนวลขึ้นกว่าเมื่อก่อน ผิวพรรณก็ดูสดใส นัยน์ตาคู่สวยก็ดูสุกสกาวกว่าเมื่อก่อน การได้เห็นเธอเป็น ๆ มากกว่ามองดูผ่านรูปถ่าย มันรู้สึกดีมากจริง ๆ และตอนนี้มันมีคำถามเกิดขึ้นในใจของเขา อยากถามว่าเธอสบายดีไหม เธอเป็นอย่างไรบ้าง และมีเรื่องอยากจะถามอีกมากมาย ทว่าเขาเพียงแค่ยืนนิ่ง ไม่มีสักคำพูดใดที่จะเอื้อนเอ่ยออกมาจากริมฝีปากของเขา เธอเองก็ไม่ได้พูดอะไร ไม่ได้คาดหวังว่าเจอเขา พอได้เจอดวงตาคู่นี้ก็สั่นไหวอยู่ไม่น้อย แต่เธอก็พยายามเก็บมันเอาไว้ให้ลึกสุดใจ ขณะที่เธอสังเกตว่าเขานั้นเปลี่ยนไป ใบหน้าของชว

  • เกลียดเธอที่สุด   บทที่ 31 ที่ที่ไม่อยากกลับไปที่สุด

    บทที่ 31ที่ที่ไม่อยากกลับไปที่สุด รถแท็กซี่คันหนึ่งเคลื่อนตัวมาจอดบริเวณด้านหลังของบ้านหลังใหญ่ที่รอบล้อมด้วยรั้วปูนสีขาว หญิงสาวก้าวลงมาจากรถพร้อมกับน้องชายวัยสิบขวบ ประตูเหล็กบานเล็กที่อยู่ตรงหน้า หวนให้เธอนึกถึงเรื่องราวที่อยู่อีกฝั่งของบานประตูนั้น สถานที่ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวมากมาย ทำให้วันที่เดินจากมา เธอก็ไม่คิดที่อยากจะหวนกลับมาอีก หลายเดือนมานี้ นับตั้งแต่ออกมาจากบ้านสุรีย์ฉาย มาลารินไม่เคยได้รับโทรศัพท์จากสมจิตรอีกเลย กระทั่งเมื่อวานที่อีกฝ่ายโทรมาหาเธอ คำพูดคำจาแปลก ๆ เกี่ยวกับอนงค์ทำให้เธอไม่อาจวางใจลงได้ เธอเป็นห่วงอนงค์อย่างสุดซึ้ง จึงตัดสินใจลางาน และมาธารินหยุดเรียนเพื่อจะมาเยี่ยมอนงค์สักครั้ง ประตูเหล็กบานเล็กเปิดออก สมจิตรยืนรออยู่ เมื่อได้เห็นสองพี่น้องหญิงชราก็ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ “เอ็งสบายดีจริง ๆ สินะลาริน” สมจิตรลูบศีรษะมาลารินเบา ๆ เมื่อได้เห็นแววตาที่สว่างไสวกว่าเมื่อก่อนก็ทำให้เธอเบาใจ สิ่งที่สมจิตรปรารถนามีเพียงให้สองพี่น้องประสบพบกับความสุขเท่านั้น “ไม่เจอนาน เอ็งสูงขึ้นแล้วนะธาริน” “ใช่ครับย

  • เกลียดเธอที่สุด   บทที่ 30 สังหรณ์ใจ

    บทที่ 30สังหรณ์ใจ ผ่านมากว่าสองสัปดาห์สำหรับการเรียนรู้งานจากมาลาริน วันนี้เป็นครั้งแรกที่มาลารินจะให้พีรพลฝึกรับสายจากลูกค้าจริง “ทำใจให้สบายนะคะ” มาลารินเอ่ยกับเขายิ้ม ๆ “ทำใจให้สบายนี่ ฟังดูแปลก ๆ นะคุณ” พีรพลเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ เขาหยิบหูฟังแบบครอบหูขึ้นมาสวมใส่ ท่าทางมั่นใจเต็มร้อย “แต่ผมสบาย ๆ อยู่แล้ว” “โอเค” มาลารินพยักหน้าเบา ๆ เธอกดปุ่มเริ่มระบบการทำงานให้กับเขา และสายแรกดังเข้ามาทันที “สวัสดีครับ บริษัท...พีรพลรับสาย ยินดีให้บริการครับ” น้ำเสียงที่ชัดเจนฟังดูมั่นใจของพีรพลดังไปตามสาย “จ่ายตังค์ค่าเน็ตไปแล้ว ทำไมยังใช้งานไม่ได้วะ!” น้ำเสียงห้วนจัดของลูกค้าดังตอบกลับมาอย่างไม่สบอารมณ์ ทำให้พีรพลสะดุ้งเล็กน้อย แต่เขายังเก็บอาการ “ไม่ทราบว่าผมเรียนสายกับคุณผู้ชายอะไรครับ” พีรพลถามกลับไปอย่างสุภาพ “มึงไม่แหกตาดูเลยหรือไง กูโทรไปชื่อกูก็ต้องขึ้นดิ!” ลูกค้าที่อยู่ปลายสายเริ่มหยาบคาย พีรพลหันมาสบตามาลารินอย่างขอความช่วยเหลือ แน่นอนว่าเธอฟังสายไปพร้อมกับเขา เธอหยิบหูฟังขึ้นมาแล้วกดโอนสายของลูกค้ามาที่

  • เกลียดเธอที่สุด   บทที่ 29 ฝันร้าย

    บทที่ 29ฝันร้าย สุขภาพของอนงค์ย่ำแย่ลงไปทุกวัน เธอเบื่ออาหาร ทั้งยังนอนหลับไม่สนิท เหม่อลอยอยู่บ่อย ๆ พูดน้อยลงและมักถอนหายใจบ่อยครั้งเวลาอยู่คนเดียว เธอผ่ายผอมจนหนังแทบหุ้มกระดูก และแม้ว่าหมอจะบอกว่าเธอไม่ได้เป็นโรคร้าย แต่อาการอ่อนแรงของอนงค์กลับไม่ทุเลาลงเลย ร่างผอมเกร็งนอนอยู่บนเตียงกว้าง เธอมองเพดานสีขาวนวล อนงค์รู้สึกว่ารอบกายของเธอนั้นเงียบเกินไป กระทั่งเธอได้ยินเสียงประตูห้องค่อย ๆ เปิดออก เสียงฝีเท้านุ่ม ๆ ดังบนพื้นพรม อนงค์ผินหน้าหันไปมองทางประตู ขวัญเรือนเดินเข้ามา หญิงสาวอยู่ในชุดแม่บ้าน สะอาดสะอ้าน ท่าทางของเธอเรียบร้อยและแสดงความอ่อนน้อมต่ออนงค์ “คุณท่านอยากได้อะไรหรือเปล่าคะ?” ขวัญเรือนเดินเข้ามาใกล้ ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ดวงตาเปล่งประกาย อนงค์นิ่งงันไปครู่หนึ่ง ดวงตาของเธอค่อย ๆ เบิกกว้างเมื่อได้เห็นใบหน้าของขวัญเรือนชัด ๆ ใจเธอสั่นรัว มือเย็นเฉียบลงโดยไม่รู้ตัว “ขวัญเรือน” ริมฝีปากแห้งผากของอนงค์เรียกชื่อของอีกฝ่ายเบา ๆ ดวงตาสะท้อนความหวาดกลัวออกมา “นะ...นี่เธอ” ขวัญเรือนยิ้ม เธอเดินผ่านหน้าอนงค์ออกไปยัง

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status