เรื่องข่าวฉาวแบบนี้ค่อนข้างเดินทางเร็ว เพียงไม่นานชาวบ้านก็ทยอยกันเดินมาดู ราวกับว่าเป็นละครโชว์อะไรสักอย่าง
แต่เรื่องแบบนี้ ถือว่าเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับคนที่นี่ ถึงแม้ว่าที่แห่งนี้จะอยู่ห่างไกล แต่ชาวบ้านถือว่านิสัยดีมาก เรื่องลักเล็กขโมยน้อยตัดทิ้งไปได้เลย แม้ว่าไม่มีกินก็ยอมอดจนตาย
"ไม่มีค่ะ แต่ฉันคิดว่าพอจะหาเบาะแสของคนร้ายได้" หลี่เล่อเยียนพูดออกมาอย่างมั่นใจ
" แล้วหล่อนสงสัยใครล่ะ ฉันไม่มีทางทำเรื่องต่ำช้าแบบนั้นแน่ " ฟ่านเหมยเหมยตอบออกไปอย่างหนักแน่น เหอะ ..หล่อนไม่มีทางทำเรื่องน่าอายแบบนั้นแน่นอน อีกอย่างกฎของหมู่บ้านเคร่งขนาดนั้นใครจะกล้า
" วันนี้เธอไปไหนมาบ้าง ทำไมออกไปนอกบ้านถึงไม่ล็อกประตู " หม่ายวี่ไท่เริ่มจับผิด เพราะถ้าถามเธอว่าสงสัยใครคงตอบไปแบบไม่ต้องคิดว่าเป็นฟ่านเหมยเหมยอย่างแน่นอน เพราะหล่อนไม่ค่อยถูกกับหลี่เล่อเยียน
" ฉันก็ไปหาข้าวกินนะสิ ข้าวฉันเอาลงกองกลางหมดไปแล้วเลยต้องไปขอยืมข้าวจากเพื่อนปัญญาชนบ้านอื่น " เหมยเหมยตอบออกไปด้วยเสียงเกรี้ยวกราด พวกหมาป่าตาขาวพวกนั้นหลอกเธอ อะแฮ่ม ...ให้เอาข้าวมาลงกองกลางจนหมด พอกินหมดแล้วกลับตัดหางปล่อยวัดเธอแล้วมาบอกแยกครัว น่าเจ็บใจนัก
" ฟู่หลินฮุ่ยล่ะ หายไปไหน " หม่ายวี่ไท่ยังคงซักถาม
" หล่อนบอกฉันว่าไม่ค่อยสบายขอนอนพักที่ห้อง ฉันเห็นว่ามีคนนอนอยู่ในบ้านเลยไม่ได้ล็อกประตู หล่อนคงจะนอนในห้องนั่นแหละ " ฟ่านเหมยเหมยตอบแบบขอไปที เรื่องอะไรกันมาซักถามเธอราวกับว่าเธอเป็นโจรไปแล้ว
" เอาล่ะๆ เรื่องนี้คงต้องเรียกคนในบ้านมาซักถามให้แน่ชัด เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ปล่อยไปไม่ได้ ถึงแม้ว่าจะเป็นข้าวสารเพียง 1 ชั่งก็ตาม " ผู้ใหญ่บ้านขณะที่พูดก็เหล่หางตามาทางหลี่เล่อเยียน
'พวกปัญญาชนงี่เง่าข้าวหายเพียงแค่ 1 ชั่งทำเป็นเรื่องใหญ่โตราวกับโดนยกเค้าทั้งหลัง'
" ไม่ใช่แค่ข้าว 1 ชั่ง แต่มันหมายถึงความปลอดภัยของพวกเรารวมทั้งคนในหมู่บ้านแห่งนี้ด้วย หากเรื่องนี้ทางหมู่บ้านไม่สามารถจับคนร้ายได้ เห็นทีฉันคงต้องไปขอความช่วยเหลือจากท่านนายอำเภอแล้วล่ะค่ะ " หลี่เล่อเยียนไม่คิดว่าจะได้ยินคำพูดนี้จากปากของคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้นำของหมู่บ้าน
" นังหนูหลี่ เรื่องนี้พวกเราจัดการกันเองได้ ไม่จำเป็นต้องไปรบกวนท่านนายอำเภอหรอก ไปเรียกอีกคนมาสอบถาม จัดห้องแยกกันสอบถามรวมถึงคนอื่น ๆ ด้วย" ผู้ใหญ่บ้านท่าทางดูขึงขังขึ้น เมื่อรู้ว่าหลี่เล่อเยียนดูท่าจะไม่ยอมความง่ายๆ
" นี่...เล่อเยียน ไหนเธอบอกว่าหาเบาะแสคนร้ายได้ไงทำไมถึงไม่พูดอะไรเลยล่ะ " เป็นฟ่านเหมยเหมยที่ดูแคลนความสามารถของเล่อเยียน นางจิ้งจอกที่ดีแต่สวยไปวันๆ อย่างเธอนะหรือจะมีปัญญาหาตัวคนร้ายได้
" ก่อนอื่นคงต้องรบกวน คณะกรรมการและเลขาธิการช่วยสอบถามคนในบ้าน รวมถึงบ้านพักใกล้ๆ กันด้วยค่ะ " เล่อเยียนขอความร่วมมือ
" กะ เกิดอะไรขึ้นหรือคะ ทำไมทุกคนถึงมาอยู่ที่นี่กันหมด " ฟู่หลินฮุ่ยเดินออกมาจากห้องนอนปีกขวาของตัวเอง
" นี่หล่อนนอนกินบ้านกินเมืองหรืออย่างไรกัน ถึงไม่รู้ว่าคนในบ้านเขาเกิดเรื่องกันขึ้น ดีที่โจรมันไม่จับหล่อนกระทำชำเราไปด้วย " ฟ่านเหมยเหมยพูดแซะคนป่วย
แต่ในขณะที่ฟู่หลินฮุ่ยเดินออกมา หลี่เล่อเยียนก็รู้ตัวคนร้ายทันที เพราะตัวของฟู่หลินฮุ่ยนั้น มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของยาสระผมที่หล่อนนำออกมาจากในมิติด้วย
ต้องบอกว่าเหนือความคาดหมายของเธอมาก เดิมทีเธอคิดว่าน่าจะเป็นฟ่านเหมยเหมย แต่พอได้เห็นท่าทีที่เจ้าหล่อนแสดงออกมาดูยังไงก็ไม่น่าจะใช่คนร้าย
ทางฝั่งของฟู่หลินฮุ่ยที่คงจะไม่ได้นอนหลับอย่างที่ทุกคนเข้าใจ แต่หล่อนน่าจะแอบฟังตั้งแต่แรกแล้ว พอเรื่องราวมีท่าทีจะไม่จบลงง่ายๆ อีกทั้งตัวหลี่เล่อเยียนเองก็ยังไม่ยอม แถมจะเอาเรื่องนี้ไปฟ้องท่านนายอำเภอ ตัวของฟู่หลินฮุ่ยคงจะอยู่เฉยไม่ได้แล้ว
" ฉะ ฉันไม่สบายปวดหัวกินยาเลยนอนหลับไปไม่รู้เรื่องอะไรเลยนะ แต่เพราะได้ยินเสียงคนคุยกันเสียงดังเลยทำให้ตื่น จึงออกมาดูนี่แหละ
แล้วเธอเป็นอะไรรึเปล่าเล่อเยียน มีของอะไรหายไปบ้าง " ฟู่หลินฮุ่ยรีบแสดงความเป็นห่วง แต่นั่นกลับทำให้เพิ่มความมั่นใจของหลี่เล่อเยียนจากเดิมที่มั่นใจเจ็ดส่วน แต่ตอนนี้เธอมั่นใจเต็มสิบส่วนไปแล้ว
"เรื่องนี้แล้วแต่น้องสามจะจัดการเถอะครับ ผมกับภรรยาได้บอกไปแล้ว ความตั้งใจแรกคือเพียงแค่อยากจะให้คนทำผิดยอมรับเท่านั้น และอยากจะถามหาเหตุผลว่าทำไมถึงทำกับเด็กที่ไม่รู้ประสีประสาอย่างนั้นได้ลงคอ แต่หล่อนก็ไม่ยอมรับผิด ซ้ำยังโบ้ยความผิดให้เลี่ยงจินว่าพูดปดมดเท็จขู่ให้เด็กกลัวจนตัวสั่นตัวน้องสามเองก็ควรจะมีภาวะความเป็นผู้นำ แต่งภรรยาเข้ามาแล้ว ก็ควรจะสั่งสอนภรรยาให้รัก และเคารพครอบครัวของสามีให้เหมือนครอบครัวของตนเอง ไม่ใช่คอยเฝ้าอิจฉาริษยาคนที่เขาได้ดีกว่า" คำพูดสุดท้ายหยางหมิงเฉิงปลายตามองสะใภ้ใหญ่ ซึ่งความอิจฉานั้นเขาไม่สามารถบอกได้ว่า ใครมีมากกว่าระหว่างสะใภ้ใหญ่และสะใภ้สาม“อืม…แต่ไหนแต่ไรมาน้องสามจิตใจอ่อนโยนขี้ใจอ่อน เป็นคนปากหนักไม่ค่อยพูดเท่าไหร่ ครั้งนี้เขาคงได้บทเรียนไปบ้างแล้วล่ะ” พี่ชายใหญ่พยักหน้าเข้าใจในคำพูดของน้องชายทันทีพี่ชายใหญ่เข้าใจผิดคิดว่าหยางหมิงเฉิงและภรรยา ต้องการให้ส่งสะใภ้สามและลูกกลับไปยังบ้านเดิม แต่แท้จริงแล้วเป็นความคิดของน้องชายสามเองที่ ไม่รู้ว่าจะลงโทษลูกเมียอย่างไรดีให้พี่รองของเขาพอใจ แต่เขากลับไม่ได้คิดว่าจะหาวิธีอบรมส
เสียงร้องไห้ของเด็กคนหนึ่ง ดังไกลมาถึงบ้านของสองสามีภรรยา หลี่เล่อเยียนสะดุ้งตื่นในอ้อมกอดของสามี หยางหมิงเฉิงกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น“นอนต่อเถอะครับ น้องสามน่าจะไปส่งลูกกับภรรยาของเขาแล้วล่ะ” หยางหมิงเฉิงไม่คิดที่จะเดินไปดูเพราะคนเป็นพ่อแม่สมควรที่จะให้บทเรียนแก่ลูกบ้าง“…..” หลี่เล่อเยียนทำเพียงถอนหายใจเท่านั้น ในฐานะที่ตนเองก็เป็นแม่คนรู้สึกสงสารหลานน้อยจับใจ เพราะได้ข่าวมาว่าบ้านเก่าสะใภ้สามไม่ค่อยจะเหมือนบ้านเท่าไหร่ แต่เธอก็ไม่สามารถที่จะรับคนอย่างหยางจินเยว่เข้ามาอยู่ภายในบ้านได้จริง ๆนอนไปสักพักก็ข่มตาหลับไม่ลง หลี่เล่อเยียนจึงลุกออกมาเตรียมอาหารเช้า หยางหมิงเฉิงก็ลุกขึ้นมาออกกำลังกายเป็นประจำทุกวัน วันนี้อาหารเช้าเธอตั้งใจจะทำโจ๊กปู เช้าๆยังไม่อยากกินอาหารรสจัดเท่าไหร่ ช่วงสายๆเธอตั้งใจจะห่อเกี๊ยวกุ้ง และจะเพิ่มซุปสาหร่ายให้ลูกชายด้วยพี่ชายใหญ่เดินมาหาน้องชาย พบว่าหยางหมิงเฉิงนั้นกำลังออกกำลังกายอยู่ที่หน้าบ้าน โดยมีสะใภ้ใหญ่ตามมาด้วย เนื่องจากเธอตั้งใจว่าจะมาขออาหารทะเลจากน้องรอง เธอไม่เชื่อเลยว่าสองคนนั้นจะไ
“แม่ต้องขอโทษลูกชายของแม่ด้วย ที่ปล่อยให้ลูกโดนคนใจร้ายรังแก” หลี่เล่อเยียนพูดคุยกับลูกชายสองคนในห้องน้ำ ยิ่งเห็นสภาพของลูกชายเต็มๆเธอยิ่งปวดใจ ส่วนลูกชายนั้นอือ ออ ไปกับแม่ของเขา ราวกับจะฟ้องว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับเขาบ้างหลังจากที่อาบน้ำและทายาให้กับลูกชายแล้ว หลี่เล่อเยียนก็ให้เจ้าถั่วเขียวอยู่กับพ่อของเขา ส่วนเธอตอนนี้นั้นไปทำข้าวต้มกุ้งทรงเครื่องให้กับลูกชาย พร้อมทั้งใส่สาหร่ายบดละเอียดลงไปด้วยหลี่เล่อเยียนนำกุ้งออกมาจากในมิติ จากนั้นก็ทำการแกะเปลือกกุ้ง แล้วนำมาผัดในน้ำมัน ปรุงรสด้วยซอสปรุงรส ส่งกลิ่นหอมไปทั่วทั้งคุ้งบ้านบริเวณนั้น ไม่เว้นแม้แต่บ้านใหญ่ ที่ตอนนี้พวกเขากินข้าวกันภายใต้ความกดดัน ทุกคนสูดดมกลิ่นหอมแปลกใหม่ที่ไม่เคยได้กลิ่นมาก่อน ซึ่งไม่ต้องเดาทิศทางของกลิ่นหอมนี้เสียให้ยากว่ามาจากบ้านหลังไหน“หอมมากเลยครับ” หยางหมิงเฉิงเอ่ยชมเนื่องจากว่าตัวเองก็ไม่เคยกินข้าวต้มกุ้งมาก่อนในชีวิต“รีบกินเถอะค่ะ กินตอนร้อนๆจะได้อร่อย” พรุ่งนี้หลี่เล่อเยียนคิดเมนูอาหารทะเลไว้เต็มหัวพร้อมทั้งพริกหม่าล่าในมิติ เธอจะทำซอสผัดกุ้งแดงหม่าล่า พร้อมทั้งปูนิ่งจ
“ผมขอโทษนะครับ ที่พาคุณกับลูกมาเจอเรื่องแย่ๆแบบนี้” หยางหมิงเฉิงรู้สึกเสียใจมากกับเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น เขาไม่น่าพาลูกและภรรยามาเจอเรื่องแบบนี้เลย“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คุณไม่ได้รู้ล่วงหน้านิคะว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น” หลี่เล่อเยียนไม่คิดที่จะโทษสามีเลยสักนิด หากคนที่จะผิดในเรื่องนี้จริง ๆ แล้วก็ควรที่จะเป็นเธอเอง ที่ไม่ควรจะไปตั้งตัวพร้อมเป็นศัตรูกับเหล่าบรรดาสะใภ้ หรือไม่ควรที่อยากจะไปทะเลเลยด้วยซ้ำ“ลูกเป็นไงบ้างครับ” หยางหมิงเฉิงจับที่แขนและขาของลูกชายแผ่วเบาเพราะกลัวว่าเขาจะเจ็บ“น่าจะโดนกัดได้ 2-3 วันแล้วล่ะค่ะ แผลเริ่มยุบลงบ้างแล้ว แต่ลูกผิวขาวก็เลยเห็นได้ชัด สะใภ้สี่ก็น่าจะหายามาทาให้เขาบ้างมันถึงได้แห้งเร็วขนาดนี้” หลี่เล่อเยียนสังเกตอาการลูกชาย ตอนนี้แผลที่โดนกัดของเขานั้นเรียกได้ว่าเป็นปกติดีแล้ว เพียงแค่นึกถึงภาพที่ลูกชายโดนมดรุมกัดเธอก็น้ำตาคลอขึ้นมาให้ได้เห็น ก๊อก ก๊อก ก๊อก“ลูกรอง ขอแม่เข้าไปได้หรือไม่” หยางหมิงเฉิงม
“ตารองใจเย็นๆก่อน ไม่มีใครทำอาหลงทั้งนั้นแหละ แค่มดกัดเท่านั้น อย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่เลยนะ” แม่เฒ่าหยางมาจับแขนลูกชายให้เขาใจเย็นลงก่อน เพราะตอนนี้สะใภ้สามหน้าซีดกับคำขู่ของพี่ชายสามี"ไปตามสามีของเธอมา เดี๋ยวจะหาว่าฉันรังแกเธอตอนที่เขาไม่อยู่ เลี่ยงจินอารองรับปากด้วยเกียรติของอารองเอง ว่าจะไม่มีใครกล้าแตะต้องหนูแม้แต่ปลายเล็บ หากว่าหนูยืนยันคำพูด ว่าที่หนูพูดทั้งหมดคือเรื่องจริง เรื่องนี้อารองจะเป็นคนตัดสินเองว่าใครพูดจริงใครพูดโกหกถ้าไม่มีใครยอมรับผิด อารองจับได้ทีหลังจะจับคนนั้นไปตัดมือ ตัดลิ้น ให้มันไม่กล้ามาทำความเดือดร้อนให้กับคนอื่นอีก" สองแม่ลูกที่ได้ยินคำขู่ของหยางหมิงเฉิงก็กลัวจนตัวสั่น“เลี่ยงจินพูดความจริงทุกอย่างค่ะอารอง” หยางเลี่ยงจินเมื่อรู้สึกตัวว่าตนเองได้รับความปลอดภัยและมีคนปกป้อง จึงกล้าพูดความจริงทั้งหมด“หมายความว่าอย่างไรหรือ ที่หลานบอกว่าพูดความจริง” แม่เฒ่าหยางไม่ได้คิดว่าจะมีใครมากลั่นแกล้งหลานชายของเธอ เพราะทุกคนล้วนแต่เอ็นดูถั่วเขียวน้อยกันทั้
5 มกราคม 1958หลี่เล่อเยียนและสามีเดินทางมาถึงไห่หนาน เล่อเยียนให้สามีพาไปยังตลาดมืดเพื่อทำการระบายของ เพราะเธอไม่ค่อยอยากจะเดินทางเข้ามาในเมืองบ่อยนักเนื่องจากไม่อยากห่างลูกบ่อย ๆ ช่วงบ่ายของวันสองสามีภรรยาช่วยกันระบายของที่ตลาดมืด ผู้คนต่างทึ่งในความสดของกุ้งและปูที่ได้เห็น บางคนไม่เคยเห็นหน้าตามันเลยด้วยซ้ำ แต่เพราะเคยได้ยินชื่อเสียงมันมาบ้างว่ามีรสชาติที่อร่อยจึงอยากจะเอาไปลอง เธอใช้เวลาจนถึงประมาณ 15.00 น.ในการระบายสินค้า โดยขายกุ้งลายเสือไปทั้งหมด 100 ชั่ง ขายในราคาชั่งละ 5 หยวนเป็นเงินทั้งหมด 500 หยวนกุ้งแชบ๊วย 100 ชั่ง ขายไปในราคาชั่งละ4 หยวนเนื่องจากมีขนาดเล็กกว่ากุ้งลายเสือ ได้เงินมา 400 หยวนปูทะเล 100 ชั่ง ขายไปในราคาชั่งละ 5 หยวน เป็นเงินทั้งหมด 500 หยวนหลังจากที่เหยียบแผ่นดินของไห่หนาน สองสามีภรรยาทำเงินได้ไปทั้งหมดในวันนี้ 1400 หยวน รวมกับที่แวะขายในเมืองก่อนหน้านั้นได้เงินมาทั้งหมด 6500 หยวน เดิมทีเงินในมิติก่อนที่จะมาไห่หนานมีทั้งหมด 15500 หยวน แต่หลังจากที่มาที่ไห่หนานแล้วนั