Share

บทที่ 12

Author: กวนอวิ๋นเจี้ยน
ตามหลักแล้ว ตอนนั้นที่หน้าประตูหอคุมกฎ นอกจากเวินจิ่นจือแล้ว ยังมีผู้ดูแลของหอคุมกฎอีกคนที่อยู่ในระดับแก่นปราณ

แต่ไม่มีใครสามารถลงมือขัดขวางได้ทันเวลา

เพราะใครจะไปคิดว่าอวี้หลานชิงที่เพิ่งบรรลุระดับสร้างฐานไปไม่ถึงสองวัน ก็สามารถปลดปล่อยปราณกระบี่สู่ภายนอกแล้ว

แม้แต่ผู้ฝึกตนที่บรรลุถึงระดับสร้างฐานขั้นสมบูรณ์หลายคนก็ยังทำไม่ได้เลย

ก็ยกตัวอย่างลูกศิษย์ชั้นนอกที่ถูกทำร้ายเมื่อครู่ เขาอยู่ในระดับสร้างฐานขั้นแปด ไม่ว่าจะด้วยระดับพลังยุทธ์หรืออายุ ล้วนสูงกว่าอวี้หลานชิงอยู่มากโข แต่กลับไม่สามารถหลบหลีกภายใต้ปราณกระบี่อันดุดันของอวี้หลานชิง จึงถูกทำร้ายจนกระอักเลือด

ตามที่คนของหอโอสถบอกกล่าว ปราณกระบี่นี้ได้ทำลายถึงอวัยวะภายใน ไม่พักฟื้นสักครึ่งปีเกรงว่ายากจะหายดี

ผู้ที่รับผิดชอบคดีนี้ ก็คือผู้ดูแลระดับแก่นปราณที่เห็นเหตุการณ์ อวี้หลานชิงทำร้ายคนที่หน้าประตูหอคุมกฎเมื่อครู่

เขาได้เข้าใจเรื่องราวความเป็นมาทั้งหมดแล้ว เขามองอวี้หลานชิงที่คุกเข่าอยู่ในห้องโถง พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “แม้ว่าเป็นตงเฉิงที่กล่าววาจาไม่เหมาะสมก่อน แต่เจ้าเป็นผู้ลงมือโจมตีเพื่อนร่วมสำนักก่อน จนทำให้เพื่อนร่วมสำนักต้องบาดเจ็บหนัก ย่อมไม่ถูกต้อง”

“อวี้หลานชิง เจ้ายอมรับผิดหรือไม่?”

อวี้หลานชิงคุกเข่าเหยียดหลังตรงอย่างเรียบร้อย เมื่อได้ยินก็เงยหน้าขึ้น สีหน้าเต็มไปด้วยความดื้อรั้น “ทำร้ายลูกศิษย์ร่วมสำนัก ข้ายอมรับบทลงโทษที่ควรจะได้รับทุกอย่าง”

“แต่เขาดูหมิ่นอาจารย์ของข้าก่อน ข้าทำร้ายเขา ไม่ได้ผิดอะไร!”

ยอมรับบทลงโทษแต่ไม่ยอมรับผิด ท่าทีของอวี้หลานชิงหนักแน่นเป็นพิเศษ

“แต่เจ้าละเมิดกฎของสำนัก!”

“เดิมทีเห็นแก่เหตุเกิดเพราะมีสาเหตุ หากเจ้ามีท่าทีสำนึกสักนิด ยังพอจะลดหย่อนโทษได้บ้าง แต่เจ้าดื้อดึงไม่สำนึกผิด บทลงโทษก็คงต้องเป็นไปตามกฎระเบียบแล้ว ทำร้ายศิษย์ร่วมสำนัก ต้องรับลงทัณฑ์ด้วยแส้เก้าครั้ง เจ้าคิดดีหรือยัง?”

นี่ไม่ใช่แส้ธรรมดา แต่เป็น ‘แส้ลงทัณฑ์จิต’

ทุกครั้งที่เฆี่ยนลงไป ไม่เพียงเจ็บปวดทางกาย ยังกระทบไปถึงจิตวิญญาณ อย่าว่าแต่ผู้ฝึกตนที่เพิ่งบรรลุระดับสร้างฐานเลย แม้แต่ผู้ฝึกตนระดับแก่นปราณโดนไปทีเดียวก็ยังทนไม่ไหว

ผู้ดูแลหอคุมกฎก้มมองอวี้หลานชิง รอนางยอมรับผิดอย่างรู้กาลเทศะ

อวี้หลานชิงกลับไม่ลังเลเลยสักนิด สีหน้ายังคงหนักแน่น “ศิษย์ยอมรับบทลงโทษ แต่ไม่ยอมรับความผิด”

“...” เวินจิ่นจือที่เฝ้าดูอยู่ข้าง ๆ มาโดยตลอด กะพริบตาถี่จนแทบล้าแล้ว แต่ก็ไม่สามารถเกลี้ยกล่อมให้อวี้หลานชิงเปลี่ยนใจได้

เมื่อเห็นดังนี้ จึงอดกล่าวไม่ได้ “ศิษย์น้องหญิงอวี้ เหตุใดเจ้าจึงดื้อดึงเช่นนี้!”

“ไม่ใช่ข้าดื้อดึง กฎก็คือกฎ ข้าทำร้ายคน ดังนั้นข้ายอมรับการเฆี่ยนด้วยแส้เก้าครั้งนี่”

“แต่เขาดูหมิ่นอาจารย์ของข้า เขาสมควรชดใช้ในความปากพล่อยของตนเอง”

อวี้หลานชิงไม่ใช่คนประเภทบุ่มบ่ามสิ้นคิด ก่อนลงมือก็นึกถึงผลที่จะตามมาแล้ว “อาจารย์อาจจะใจกว้าง ไม่ถือสาคำนินทาของผู้อื่น แต่ข้าในฐานะลูกศิษย์ ไม่สามารถทนฟังผู้อื่นดูหมิ่นอาจารย์ของข้าโดยที่ไม่ทำอะไร หากวันนี้ข้ายอมถอย ทุกคนก็จะรู้ว่า การนินทาอาจารย์ของข้าไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบใด ๆ ข้ายอมไม่ได้!”

“...” เวินจิ่นจืออยากเกลี้ยกล่อมอีกครั้ง แต่พูดอะไรไม่ออกแล้ว

เขาไม่เคยรับลูกศิษย์ ไม่รู้ว่าความรู้สึกที่ถูกลูกศิษย์ปกป้อง มันควรจะเป็นอย่างไร

แต่เขาก็พอจะจินตนาการออก หากเขาลุกขึ้นปกป้องเจ้าสำนักอวิ๋นไห่ที่เป็นอาจารย์ของตนเองได้ถึงขั้นนี้ เกรงว่าอาจารย์สามารถซาบซึ้งจนน้ำตาไหลได้เลย

นึกถึงผู้อาวุโสเสิ่นที่ปกติทำตัวเรื่อยเปื่อย ไม่เคยใส่ใจกับเรื่องอะไรเลย แล้วมองดูอวี้หลานชิงที่คุกเข่าอยู่ในห้องโถง

เขาอดตั้งคำถามไม่ได้ ผู้อาวุโสเสิ่นมีอะไรดี ถึงได้มีลูกศิษย์ที่ดีเพียงนี้!

อาจเพราะแสดงออกชัดเจนเกินไป อวี้หลานชิงอ่านสายตาของเวินจิ่นจือออก

“อาจารย์ดีกับข้ามาก ข้าแค่ทำสิ่งที่ตนเองสมควรทำ”

หรือว่ามรดกที่ปรมาจารย์กระบี่ชางหวนทิ้งไว้ให้ผู้อาวุโสเสิ่น จะมีเครื่องรางที่สามารถสะกดจิตใจคน ทำให้จงรักภักดีได้?

ในเมื่อผู้ถูกลงโทษเต็มใจรับ ก็ไม่มีอะไรน่าเกลี้ยกล่อมอีกแล้ว

“อัญเชิญแส้ลงทัณฑ์จิตเถิด!”

เมื่อผู้ดูแลหอคุมกฎออกคำสั่ง

แส้ยาวสีดำล้วนที่แผ่กลิ่นอายเย็นยะเยือก ถูกอัญเชิญออกมาจากหลังห้องโถง

หอคุมกฎขึ้นชื่อเรื่องความเที่ยงธรรมภายในสำนัก การลงโทษจึงย่อมไม่มีการออมมือ

เสียง “เพียะ เพียะ” ดังก้องไปทั่วทั้งหอคุมกฎ

แต่ละครั้งล้วนเฆี่ยนลงไปอย่างเต็มแรง

อวี้หลานชิงคุกเข่าอยู่บนพื้น กลับยังคงอยู่ในท่าเหยียดหลังตรงเหมือนก่อนหน้านี้

ทุกครั้งที่แส้เฆี่ยนลงบนร่างกายของนาง จะทำให้ร่างกายของนางโอนเอนเบา ๆ ทีหนึ่ง แต่เพียงครู่เดียว นางก็กลับมาคุกเข่าเหยียดหลังตรงดังเดิม

ตั้งแต่เริ่มจนจบ ไม่มีการร้อง ไม่มีการขอความ คำว่าเจ็บก็ไม่มีบ่นสักคำ

ผู้ที่มาดูการเฆี่ยน นอกจากลูกศิษย์ของหอคุมกฎแล้ว ยังมีลูกศิษย์ชั้นในที่ชื่อต่งเฉิงในฐานะเจ้าทุกข์

บาดแผลบนร่างกายของเขาถูกคนของหอโอสถช่วยทำแผล และได้กินโอสถลูกกลอนไปแล้ว

เดิมทีได้ยินอวี้หลานชิงตำหนิเขา ไม่ควรนินทาเสิ่นหวยจั๋ว ยังรู้สึกขุ่นเคืองในใจอยู่บ้าง แต่เวลานี้ เมื่อเห็นอวี้หลานชิงถูกแส้ลงทัณฑ์จิตเฆี่ยนตี ก็ยังสามารถกัดฟันอดกลั้นได้ ก็ถึงกับเหงื่อเย็นไหลท่วมตัว ไม่กล้ามีความคิดแก้แค้นอีก

นางเป็นคนใจเหี้ยม!

เขาล่วงเกินไม่ไหว

ผู้อาวุโสเสิ่นนี่ก็โชคดีเกินไปแล้วกระมัง ตอนแรกก็มีอาจารย์ดี สองร้อยปีให้หลัง ก็ได้รับลูกศิษย์ที่ดีอีกหนึ่งคน

……

“ศิษย์น้องหญิงอวี้ ไม่ต้องให้ข้าส่งเจ้ากลับยอดเขาชิงจู๋จริงหรือ?”

เวินจิ่นจือมองดูอวี้หลานชิงที่ยังเหลือเรี่ยวแรงใช้คาถาปัดฝุ่น ปัดเป่าเศษฝุ่นบนร่างกายตนเอง เขาอดทึ่งไม่ได้

ความสามารถของศิษย์น้องหญิงผู้นี้ แกร่งเหมือนนิสัยของนางจริง ๆ!

แต่ว่าในมุมมองของเขา นี่อาจจะเป็นการฝืน

เพราะต่อให้มีพรสวรรค์เลิศล้ำ และจิตใจที่หนักแน่น พลังยุทธ์ของศิษย์น้องหญิงอวี้ก็อยู่แค่ระดับสร้างฐาน

เมื่อเดือนที่แล้ว ในสำนักเพิ่งมีลูกศิษย์ระดับแก่นปราณคนหนึ่งรับการลงทัณฑ์ด้วยแส้ ตอนนั้นเขากรีดร้องในหอคุมกฎราวกับผีคร่ำครวญและสุนัขหอน จนทั่วทั้งยอดเขาหลักสามารถได้ยินเสียงโหยหวนของเขา

“ไม่ต้อง…” เมื่ออวี้หลานชิงเห็นเวินจิ่นจือหยิบอาวุธวิเศษเหาะเหินออกมา ก็เปลี่ยนใจทันที “หากศิษย์พี่เวินจะส่งให้ได้ เช่นนั้นก็ส่งข้าไปตลาดเชิงเขาเถิด”

“ฮะ?”

เวินจิ่นจือมองหน้าอวี้หลานชิงด้วยความประหลาดใจ จึงรู้ว่านางไม่ได้ล้อเล่น “เช่นนั้น…ก็ได้ ศิษย์น้องอวี้ เจ้านั่งให้ดีล่ะ”

อาวุธวิเศษเหาะเหินของเวินจิ่นจือ เป็นเรือลำเล็กที่สามารถนั่งได้สี่คน

ความเร็วของมันเร็วกว่าการควบคุมกระบี่เยอะมาก

เดิมทีเส้นทางที่เหาะด้วยการควบคุมกระบี่ต้องใช้เวลาครึ่งชั่วยามกว่า กลับใช้เวลาเพียงครึ่งเดียว

หลังจากปฏิเสธเวินจิ่นจือเสนอจะอยู่เป็นเพื่อน อวี้หลานชิงก็เดินเข้าไปในตลาด

ที่จริงนางไม่ได้เจ็บปวดอย่างที่ผู้อื่นคิด

เหตุผลที่แส้ลงทัณฑ์จิตถูกเรียกว่าแส้ลงทัณฑ์จิต เป็นเพราะความเจ็บปวดที่มันสร้างนั้น มีผลต่อจิตวิญญาณมากกว่ากายเนื้อ

แต่ที่บังเอิญคือ ตอนนี้จิตวิญญาณของนางแข็งแกร่งกว่ากายเนื้อมาก

อาจเพราะการสั่งสมมาจากสองชาติ นางสามารถสัมผัสได้อย่างคลุมเครือว่าจิตวิญญาณของนางในปัจจุบัน เหนือกว่าก่อนตายในชาติที่แล้วพอสมควร ซึ่งเทียบเท่ากับผู้ฝึกตนในระดับแก่นปราณขั้นสมบูรณ์

นอกจากนี้นางยังเป็นคนที่มีความอดทนสูง ความเจ็บปวดแค่นี้สำหรับนาง มันนับอะไรไม่ได้เลยจริง ๆ

ย้อนกลับไปตอนนั้น ฉางยวนอ้างว่าไม่มีเวลาสอนวิชากระบี่ให้นางด้วยตนเอง ดังนั้นเพื่อทำความเข้าใจกับวิชากระบี่ นางจึงขอเข้าไปในค่ายกลกระบี่ อาศัยการต่อสู้จริงทำความเข้าใจกับเคล็ดวิชากระบี่ชั้นยอดที่ลึกล้ำนับไม่ถ้วนของสำนัก โดยผ่านปราณกระบี่ที่ไหลเวียนอยู่ในค่ายกลกระบี่

ตอนนั้นมีวันไหนที่นางไม่มีบาดแผลเต็มตัวและเลือดไหลไม่หยุดบ้าง?

ความเจ็บปวดของแส้ลงทัณฑ์จิต เมื่อเทียบกับบาดแผลพวกนั้น

ก็แค่เรื่องเล็กน้อย!
Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • เกิดใหม่ครานี้ ข้าขอถีบอาจารย์ผู้ลำเอียงทิ้ง   บทที่ 64

    “ศิษย์เอ๋ย จงหายใจเข้าออก ปล่อยวางความคิดฟุ้งซ่านเสีย”น้ำเสียงของเสิ่นหวยจั๋วอ่อนละมุน ระหว่างพูดก็เปิดค่ายกลควบรวมพลังวิญญาณในเรือวิเศษอวี้หลานชิงทำตามคำแนะนำของอาจารย์อย่างไม่รู้ตัว ทุกลมหายใจล้วนซาบซ่านไปด้วยพลังวิญญาณจิตใจที่ว้าวุ่นอยู่แต่เดิม ค่อย ๆ สงบลงในทุกครั้งที่หายใจเข้าออก เลือดลมที่ปั่นป่วนในกาย ก็กลับสู่ความสงบตามไปด้วยเสิ่นหวยจั๋วเห็นดังนั้นจึงกล่าวต่อ “เมื่อครู่จิตใจเจ้าว้าวุ่น จิตวิญญาณไม่มั่นคง มีเค้าลางว่าจะถูกจิตมารครอบงำ นี่ไม่ใช่สัญญาณที่ดี”อวี้หลานชิงได้ยินดังนั้นพลันตกใจ ก่อนจะได้สติขึ้นมาทันทีสถานการณ์ของนางเมื่อครู่ค่อนข้างอันตรายจริง ๆช่างลำบากท่านอาจารย์ที่ต้องเดินทางมาไกล นอกจากเป็นห่วงความปลอดภัยของนางแล้ว ยังต้องดูแลจิตใจที่ยังสั่นไหวไม่สงบของนางอีกด้วยบรรยากาศในเรือวิเศษเงียบสงบและผ่อนคลาย สายตาของท่านอาจารย์เต็มไปด้วยความห่วงใย เมื่อได้สัมผัสทุกสิ่งตรงหน้า อวี้หลานชิงก็ยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้น “ท่านอาจารย์ ต่อไปศิษย์จะระวังให้มากขึ้น จะไม่ทำผิดเช่นวันนี้อีก”“อาจารย์มิได้บอกว่าเจ้าผิด” น้ำเสียงของเสิ่นหวยจั๋วหนักแน่นผิดจากปกติเมื่อเห็นอวี

  • เกิดใหม่ครานี้ ข้าขอถีบอาจารย์ผู้ลำเอียงทิ้ง   บทที่ 63

    “ปรมาจารย์กระบี่ฉางยวนหรือ?” สำนักอู๋จี๋เตี้ยนมีต้นกำเนิดจากหนานโจว เพิ่งย้ายมาตั้งที่ตงโจวได้ไม่ถึงสิบปีเท่านั้นลั่วอู๋ซางไม่รู้จักเสิ่นหวยจั๋ว และไม่รู้จักปรมาจารย์กระบี่ฉางยวนเช่นกันทว่าจากวิชากระบี่อันเฉียบคม ก็สามารถตัดสินฐานะของอีกฝ่ายได้ ในใจพลันหนักอึ้งลงทันที“หรือว่าปรมาจารย์กระบี่คิดจะปล่อยปละและปกป้องศิษย์ของตนเอง?”ปรมาจารย์กระบี่ฉางยวนขมวดคิ้ว ก้าวไปยืนบังจี้ฝูเหยาไว้ด้านหลัง จากนั้นเอ่ยขึ้นว่า “สิ่งที่ผู้อาวุโสลั่วต้องการ ก็เพียงค้นหาสาเหตุที่ศิษย์ของท่านหายตัวไปเท่านั้น ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องกดดันฝูเหยาอีก”“หรือว่าปรมาจารย์กระบี่ยังมีวิธีอื่นอีกหรือ?” ลั่วอู๋ซางจ้องเขม็งมองปรมาจารย์กระบี่ฉางยวนอย่างไม่วางตา“ขอเจรจาเป็นการส่วนตัว” ปรมาจารย์กระบี่ฉางยวนยกมือสะบัด ปราณกระบี่ไร้รูปพลันห่อหุ้มคนทั้งสองเอาไว้ครู่หนึ่งให้หลังปราณกระบี่ก็สลายไป ลั่วอู๋ซางมีสีหน้าอึมครึม ก่อนจะพยักหน้าอย่างฝืนใจต่อมา ทุกคนก็เห็นปรมาจารย์กระบี่ฉางยวนเรียกลูกศิษย์ชั้นนอกจากยอดเขาหลิงเซียวคนหนึ่งซึ่งติดตามอยู่ข้างกายจี้ฝูเหยาให้ก้าวออกมาจากนั้นก็นำโอสถเม็ดหนึ่งออกมา ส่งเ

  • เกิดใหม่ครานี้ ข้าขอถีบอาจารย์ผู้ลำเอียงทิ้ง   บทที่ 62

    สายตาของผู้คนล้วนติดตามผีเสื้อที่กลายร่างจากแสงวิญญาณ ไปหยุดอยู่ที่อวี้หลานชิงลั่วอู๋ซางพลันนึกขึ้นได้ว่า ก่อนที่ตนจะลงมือเป็นครั้งที่สอง ศิษย์หญิงผู้นี้เองที่แอบ “ปลดปล่อย” ศิษย์สำนักกระบี่หลายคนซึ่งถูกแรงกดดันกดทับไว้ต่อหน้าต่อตาเขาก็จริงอยู่ เมื่อเทียบกับผู้ฝึกตนหญิงกระโปรงชมพูที่อาจเกี่ยวพันกับการตายของศิษย์ตน เอะอะก็ตาแดง แสร้งทำเป็นน่าสงสาร นางยังชวนให้พึงใจยิ่งกว่า“เอาเถิด ข้าจะเห็นแก่สำนักกระบี่เสวียนเทียน คนที่ไม่เกี่ยวข้องทั้งหลายถอยออกไปได้”มือที่ลั่วอู๋ซางยกขึ้นยังคงชี้ไปที่จี้ฝูเหยา น้ำเสียงเย็นชาไร้ปรานี “ข้าจะไต่สวนเพียงนางผู้เดียว”ร่างของจี้ฝูเหยาสั่นเทาเล็กน้อย มองไปรอบ ๆ อย่างไร้ที่พึ่งศิษย์ร่วมสำนักที่นางมองไปหา ต่างพากันหลบสายตาแม้แต่เจินเหรินระดับแก่นปราณหลายคนที่ก่อนหน้านี้ยังคอยปกป้องนาง เวลานี้กลับพากันนิ่งเงียบ ไม่มีผู้ใดลุกขึ้นมาพูดแทนนางอีกจี้ฝูเหยากำฝ่ามือแน่น ตัดใจเด็ดขาดหันไปทางเสิ่นหวยจั๋ว “ผู้อาวุโสเสิ่น อาจารย์ปู่…ท่านอาจารย์ของศิษย์ยังมาไม่ถึง ท่านจะทอดทิ้งศิษย์มิได้!”เสิ่นหวยจั๋วชิงชังที่สุดในชีวิตก็คือการมีผู้ใดมาข่มขู่ตนเองสายตาท

  • เกิดใหม่ครานี้ ข้าขอถีบอาจารย์ผู้ลำเอียงทิ้ง   บทที่ 61

    ต่อหน้าธารกำนัล เขานั่งลงบนเก้าอี้เมฆาตัวหนึ่งในนั้นอย่างไม่ลังเลจากนั้นก็ผลักเก้าอี้อีกตัวไปข้างหน้า โอบล้อมด้วยสายลมบริสุทธิ์ ส่งตรงไปยังด้านหลังของลั่วอู๋ซางศิษย์จากสี่สำนักที่อยู่ด้านล่าง ต่างก็มองจนตะลึงงันผู้อาวุโสแห่งสำนักกระบี่เสวียนเทียนท่านนี้ กำลังคิดจะทำสิ่งใดกัน?นี่มันยามใดแล้ว ยังจะมีกะจิตกะใจนั่งลงสนทนากันอีก!เหล่าศิษย์สำนักกระบี่เสวียนเทียน ยิ่งร้อนใจหนัก พวกเขาไม่อาจเข้าใจได้เลยว่าผู้อาวุโสเสิ่นคิดจะงัดกลอุบายอันใดออกมาเกรงว่าการกระทำของผู้อาวุโสเสิ่นอาจยิ่งยั่วโทสะลั่วอู๋ซาง ทำให้ทุกคนต้องพลอยรับเคราะห์หนักหนาสาหัสกว่าเดิมท่ามกลางแววตาสงสัยของผู้คนมากมาย เสิ่นหวยจั๋วเลิกคิ้วเล็กน้อย แล้วกล่าวกับลั่วอู๋ซางว่า “สหายโปรดนั่ง เรื่องราวในวันนี้ ข้าพอจะเข้าใจคร่าว ๆ แล้ว ข้ามิได้โน้มน้าวให้ท่านคลายโทสะ เพียงแต่อยากพูดคุยด้วยเหตุผลกับท่านเท่านั้น”เขาไม่เคยคิดจะประมือกับลั่วอู๋ซางเลยสักครั้ง เสิ่นหวยจั๋วผู้นี้ เป็นคนที่ยึดถือเหตุผลเสมอมาเป็นครั้งแรกที่ลั่วอู๋ซางต้องเผชิญกับคนที่เล่นนอกกติกาเช่นนี้อย่างไรเสียสองสำนักก็ยังคงมีความสัมพันธ์อันดีงามอยู่ อีกทั้ง

  • เกิดใหม่ครานี้ ข้าขอถีบอาจารย์ผู้ลำเอียงทิ้ง   บทที่ 60

    “ปรมาจารย์กระบี่ฉางยวนห่วงใยความปลอดภัยของศิษย์น้องหญิงจี้จริงดังคาด เพิ่งจะผ่านมาได้ไม่นาน ก็รีบมาด้วยตัวเองแล้ว”ส่วนลั่วอู๋ซางแห่งสำนักอู๋จี๋เตี้ยน มาเร็วก็จริง แต่ก็เป็นเพียงร่างแยกเท่านั้นแต่ดูจากแสงสีขาววาบเดียวเมื่อครู่นั้น เพียงกระบวนท่าเดียวก็ทำลายแรงกดดันของลั่วอู๋ซางได้ พลังนั้นชัดเจนว่าย่อมมีได้เมื่อร่างจริงมาถึงเท่านั้นต่างเป็นระดับเทพจุติเหมือนกัน ฝ่ายหนึ่งเป็นเพียงร่างแยก ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งปรากฏกายมาด้วยร่างจริง...ใครแพ้ใครชนะ มองปราดเดียวก็รู้แล้วเหล่าศิษย์สำนักกระบี่เสวียนเทียนต่างถอนหายใจโล่งอกในที่สุดเหล่าเจินเหรินที่เมื่อครู่ยังรู้สึกไม่พอใจที่จี้ฝูเหยายั่วโมโหลั่วอู๋ซาง บัดนี้ต่างก็สงบความขุ่นเคืองใจลงแล้วอย่างไรเสีย จี้ฝูเหยาก็เป็นศิษย์สายตรงของปรมาจารย์กระบี่ ไม่เห็นหรือว่าแค่นางเกิดปัญหาเล็กน้อย ปรมาจารย์กระบี่ก็รีบรุดมาด้วยตัวเอง?เพียงเท่านี้ ก็มากพอให้นางมีทุนที่จะเอาแต่ใจแล้วเช่นเดียวกับทุกคน จี้ฝูเหยาก็กำลังแหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าตามทิศทางที่แสงสีขาวพุ่งมา บนหมู่เมฆที่ขอบฟ้าอันไกลโพ้น ปรากฏร่างหนึ่งยืนอยู่จี้ฝูเหยากำยันต์หยกไว้ในฝ่ามื

  • เกิดใหม่ครานี้ ข้าขอถีบอาจารย์ผู้ลำเอียงทิ้ง   บทที่ 59

    ทั้งสองคนนี้อวี้หลานชิงไม่รู้จักเลย พียงเลือกคนที่อยู่ใกล้ตัวที่สุดเท่านั้นขณะที่นางยื่นมือช่วยเหลือศิษย์ร่วมสำนักใกล้ตัวต้านแรงกดดัน ทางด้านนั้น ลั่วอู๋ซางก็ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าพวกจี้ฝูเหยาทั้งสี่แล้วมองปราดเดียวก็รู้ว่า จี้ฝูเหยาต่างหากที่เป็นผู้ตัดสินใจได้ในบรรดาทั้งสี่คนและไม่สนใจว่าคนอื่นจะกล่าวว่าเขารังแกคนอ่อนแอกว่า สายตาจ้องเขม็งไปที่จี้ฝูเหยา มองจากที่สูงลงมาอย่างดูถูก ก่อนเอ่ยด้วยเสียงเย็นชา “พูดมา หลังจากเจ้าพบเฉินถงแล้วไปที่ไหน แยกจากกันเมื่อใด หลังจากนั้นเจ้าพบเขาอีกหรือไม่?”ใบหน้าจี้ฝูเหยาซีดเผือดภายใต้สายตาอำมหิตของยอดฝีมือระดับเทพจุติ นางตัวสั่นระริก จนไม่อาจเอ่ยวาจาใดออกมาแต่หาใช่เพราะแรงกดดันไม่ นางมีของวิเศษที่ท่านอาจารย์มอบไว้ติดตัว จึงไม่รู้สึกถึงแรงกดดันของลั่วอู๋ซางที่ปกคลุมเหนือหัวของเหล่าศิษย์สำนักกระบี่เสวียนเทียนเพียงแต่นางมีระดับพลังยุทธ์เพียงขั้นหลอมปราณช่วงกลางเท่านั้น การถูกยอดฝีมือระดับเทพจุติจ้องด้วยสายตาอำมหิต ความกดดันเช่นนี้เพียงพอจะทำลายแนวป้องกันในจิตใจของนางได้นางหลับตาลงเบา ๆ กำยันต์หยกที่ท่านอาจารย์มอบให้ตนเอง สัมผัสถึงความอบอุ่นจา

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status