Share

บทที่ 11

Author: กวนอวิ๋นเจี้ยน
หอคุมกฎเป็นสถานที่ที่ดูแลเรื่องกฎระเบียบและข้อห้ามของสำนัก โดยมีผู้อาวุโสหยวนซวีซึ่งเป็นยอดฝีมือระดับเทพจุติเป็นผู้ควบคุมดูแล

แต่เรื่องส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องให้ท่านผู้เฒ่าอย่างเขาออกหน้า เรื่องเล็ก ๆ อย่างลูกศิษย์ชั้นนอกขโมยของ ไม่ต้องถึงมือผู้ดูแลด้วยซ้ำ แค่ส่งลูกศิษย์ผู้คุมกฎธรรมดาสองคนมาก็เพียงพอแล้ว

ตอนที่ลูกศิษย์ผู้คุมกฎระดับสร้างฐานสองคนมาถึง อวี้หลานชิงกลับไปเก็บของที่ห้องพักเก่าเรียบร้อยแล้ว

ถุงเก็บของที่ทางสำนักแจกมีพื้นที่ไม่มากนัก ใส่ได้เพียงโอสถลูกกลอนไม่กี่ขวดกับหินวิญญาณบางส่วน ส่วนของที่ใส่ไม่ได้ โดยทั่วไปแล้วอวี้หลานชิงจะเก็บไว้ในตู้ไม้ตรงหัวเตียง

แต่ก็ไม่ได้ใส่อะไรมาก นอกจากเสื้อผ้าที่ใช้เปลี่ยนสี่ห้าชุด ก็มีเมล็ดพืชวิญญาณไม่กี่ถุง หยกดิบบางส่วน เครื่องมือแกะสลักหนึ่งชุด กับกระบี่หนึ่งเล่ม

เสื้อผ้ากับเมล็ดพืชยังอยู่ เครื่องมือแกะสลักหยกดิบก็ยังอยู่ แต่พวกหยกดิบที่นางใช้เวลาอยู่นานกว่าจะขัดเกลาและแกะสลักออกมา กลับหายไปพร้อมกับกระบี่

ชาติที่แล้วหยกดิบพวกนี้ก็หาไม่เจอเช่นกัน จางเม่าฉวนบอกว่าเขาไม่ได้เอาไป ลูกศิษย์ชั้นนอกคนอื่น ๆ ของยอดเขาหลิงเซียวก็ปฏิเสธเช่นกัน จี้ฝูเหยาเกลี้ยกล่อมนาง ไม่จำเป็นต้องทำให้เรื่องราวบานปลายเพียงเพราะหยกที่ไม่นับเป็นเครื่องรางด้วยซ้ำ จะทำให้ผู้คนหัวเราะเยาะยอดเขาหลิงเซียวเปล่า ๆ สุดท้ายเรื่องราวจึงจบลงเพียงเท่านี้

ครั้งนี้…

ไหน ๆ ก็เรียกคนของหอคุมกฎมาแล้ว ก็จัดการทั้งสองเรื่องพร้อมกันที่เดียวเสียเลย

พูดถึงการสืบคดี พวกเขาเป็นมืออาชีพอยู่แล้ว ร่องรอยที่จางเม่าฉวนแอบเปิดประตูกลอนของอวี้หลานชิงยังอยู่ ไม่อาจปฏิเสธได้ จึงถูกลูกศิษย์ผู้คุมกฎทั้งสองคุมตัวไปทันที

เมื่ออีกคนเห็นดังนี้ ก็รีบเอ่ยปากขอความเมตตา “ศิษย์พี่หญิงอวี้ ข้าเป็นคนเอาหยกของท่านไปเอง วันนั้นข้าเห็นศิษย์พี่จางเดินออกมาจากห้องของท่าน แต่ปิดประตูไม่สนิท ข้าก็เลยแอบเข้าไปดู”

“บนหยกพวกนั้นไม่มีพลังวิญญาณ ข้านึกว่าเป็นของที่ท่านไม่เอาแล้ว เลยคิดเอากลับไปเป็นของตกแต่งก็ยังดี…ท่านรอก่อน ข้าจะกลับห้องไปเอามาคืนท่านเดี๋ยวนี้”

นั่นเป็นหยกสิบกว่าชิ้นที่มีขนาดใกล้เคียงกันหมด สองสีตัดสลับกัน ทุกชิ้นล้วนได้รับการจัดการอย่างประณีต ตรงส่วนที่เป็นสีน้ำตาลถูกแกะสลักเป็นลายเมฆมงคล

เมื่อนำทั้งสิบกว่าชิ้นมารวมกัน ก็กลายเป็นทะเลเมฆที่ทอดยาวติดต่อกัน

ความคิดละเอียดลออ แต่ฝีมือการแกะสลักธรรมดา ลูกศิษย์ผู้คุมกฎกวาดมองปราดหนึ่ง พบว่าไม่มีพลังวิญญาณจริง ๆ “สหายอวี้ เจ้าว่าคนผู้นี้?”

สิ่งของที่ไม่มีพลังวิญญาณเอาผิดค่อนข้างยาก เมื่อลูกศิษย์คนนั้นเห็นลูกศิษย์ผู้คุมกฎทั้งสอง ก็เหมือนจะมีท่าทีอยากให้ไกล่เกลี่ย เขาจึงรีบอ้อนวอนทันที “ศิษย์พี่อวี๋ ข้าผิดไปแล้ว!”

“โอสถเสริมพลังวิญญาณขวดนี้เป็นของชดเชยจากข้า ท่านอย่าได้ถือโทษโกรธข้าเลย ละเว้นข้าสักครั้งเถิด”

โอสถเสริมพลังวิญญาณหนึ่งขวด สามารถขายได้หินวิญญาณห้าสิบก้อนในท้องตลาด ในสายตาของคนนอก มันมีค่ากว่าก้อนหยกที่ไร้พลังวิญญาณเยอะมาก

อวี้หลานชิงรู้ดีว่า ต่อให้คุมตัวคนผู้นี้ไปที่หอคุมกฎ สุดท้ายแล้วก็ลงเอยด้วยการลงโทษทำนองนี้

“ตามนี้ก็แล้วกัน”

อวี้หลานชิงเก็บโอสถเสริมพลังวิญญาณ จากนั้นก็ตามลูกศิษย์ผู้คุมกฎทั้งสองไปยังหอคุมกฎบนยอดเขาหลักในฐานะ ‘เจ้าทุกข์’

ความผิดของจางเม่าฉวนร้ายแรงกว่าคนเมื่อครู่มาก จำเป็นต้องผ่านการพิจารณาโดยหอคุมกฎ

เมื่อมีหลักฐานและพยานครบ การพิจารณาจึงไม่ซับซ้อน ท้ายที่สุดจางเม่าฉวนถูกตัดสินให้ไปเป็นแรงงานที่เหมืองสิบปี เบี้ยเดือนในระหว่างนี้ จ่ายให้อวี้หลานชิงโดยตรงเพื่อเป็นค่าชดเชย จนกว่าเขาจะชดใช้หินวิญญาณหกร้อยก้อนที่ติดค้างจนครบ

ตามเบี้ยเดือนของลูกศิษย์ชั้นนอก…

ในสิบปีข้างหน้า เขาจะไม่ได้รับหินวิญญาณแม้แต่ก้อนเดียว!

“ศิษย์น้องหญิงอวี้ ต้องขอโทษด้วย ข้าไม่รู้ว่าลูกศิษย์ชั้นนอกพวกนั้นกล้าล่วงเกินเจ้าถึงเช่นนี้” เวินจิ่นจือที่สวมเครื่องแบบของหอคุมกฎวิ่งตามอวี้หลานชิงมาจนถึงหน้าประตู แล้วกล่าวขอโทษอย่างรู้สึกผิด

ในฐานะลูกศิษย์ของเจ้าสำนักอวิ๋นไห่ ปีนั้นเขานี่แหละที่เป็นคนพาอวี้หลานชิงไปจัดการเรื่องที่พักบนยอดเขาหลิงเซียว

แต่ว่าตอนนั้นเขาเพิ่งหลอมรวมแก่นปราณสำเร็จ จึงมัวแต่จดจ่ออยู่กับเรื่องการรวบรวมวัตถุดิบเพื่อสร้างกระบี่วิญญาณคู่กาย เลยไม่ได้แบ่งเวลามาให้ทางอวี้หลานชิง

ในมุมมองของเขา อวี้หลานชิงเป็นลูกศิษย์สายตรงของปรมาจารย์กระบี่ฉางยวนที่ถูกกำหนดไว้แล้ว ลูกศิษย์สายตรงของประมุขยอดเขา ก็เกือบจะเป็นเจ้าของครึ่งหนึ่งของยอดเขาวิญญาณ ลูกศิษย์ชั้นนอกที่อาศัยอยู่ที่นั่น ประจบประแจงยังไม่ทันเลย จะไม่ดูแลนางอย่างเหมาะสมได้อย่างไร

แต่เขากลับมองข้ามความซับซ้อนของจิตใจมนุษย์ และยิ่งมองข้ามบททดสอบของเด็กที่เพิ่งอายุสิบขวบที่ต้องเผชิญ เมื่อไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย

“เรื่องนี้เป็นเพราะข้าขาดความรอบคอบจริง ๆ ศิษย์น้องอวี้ เพื่อเป็นการชดเชย ข้าเชิญเจ้าไปเลือกกระบี่เล่มใหม่หนึ่งเล่มที่ตลาดเชิงเขาก็แล้วกัน!”

สายตาเวินจิ่นจือมองไปยังกระบี่สีทองแดงในมือของอวี้หลานชิง อาวุธวิเศษขั้นกลางเพียงพอสำหรับผู้ใช้ในระดับหลอมปราณแล้ว แต่ยังห่างไกลสำหรับผู้ใช้ระดับสร้างฐานอยู่บ้าง เขาสามารถมอบอาวุธวิเศษขั้นสูงให้อวี้หลานชิงหนึ่งเล่ม ทำถึงขนาดนี้ เพียงพอที่จะแสดงถึงความจริงใจของเขาแล้ว

“ไม่จำเป็น ข้ายังไม่คิดจะเปลี่ยนกระบี่เล่มใหม่ตอนนี้” สำหรับกระบี่ที่จะใช้ในอนาคต อวี้หลานชิงได้คิดเอาไว้แล้ว

อีกทั้งนางก็ไม่คิดจะยอมรับคำขอโทษของเวินจิ่นจือ ไม่ใช่เพราะรู้สึกว่าเวินจิ่นจือติดค้างอะไรตนเอง แต่เพราะนางไม่เห็นถึงความจำเป็น ที่จะต้องยอมรับการชดเชยที่ไร้ความหมายเช่นนี้ เพียงเพื่อไม่ให้เวินจิ่นจือรู้สึกผิด

แต่ว่าตลาดเชิงเขาที่เวินจิ่นจือเพิ่งพูดถึง ตอนนี้ฟ้ายังไม่มืด นางสามารถแวะไปดูสักหน่อย

หยกดิบพวกนั้นที่นางขัดเกลาให้มีขนาดเท่ากัน แท้จริงแล้วตั้งใจจะทำเป็นสายคาดเอวหยก ตอนนี้มีหยกประดับแล้ว หากอยากทำเป็นสายคาดเอวหนึ่งเส้น ยังขาดหัวเข็มขัดหนึ่งชุด ในตลาดน่าจะมีของที่เหมาะสม

“ศิษย์พี่เวิน ข้ายังมีธุระ ขอตัวก่อน”

อวี้หลานชิงก้าวเท้ายาวออกไปข้างนอก

นางไม่อยากใช้หินวิญญาณชั้นเลิศของอาจารย์ซื้อหัวเข็มขัด จึงคิดว่าจะไปที่ข้าง ๆ เพื่อรับเบี้ยเดือนสองเดือนนี้ของตนเองก่อน

แต่ใครจะคิดว่าเพิ่งเดินออกจากประตูใหญ่ของหอคุมกฎ ก็ได้ยินลูกศิษย์ระดับสร้างฐานที่สวมเครื่องแบบลูกศิษย์ชั้นในคนหนึ่ง กำลังสรรเสริญยกยอปรมาจารย์กระบี่ฉางยวน ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ฝึกกระบี่อันดับหนึ่งแห่งตงโจวตรงหน้าประตู

ปัญหาอยู่ตรงที่ยกย่องปรมาจารย์กระบี่ฉางยวนก็ช่างเถิด แต่เขายังไม่ลืมที่จะเหยียบย่ำเสิ่นหวยจั๋วด้วย “หากไม่ใช่เพราะอาศัยชื่อเสียงกับสมบัติที่ปรมาจารย์กระบี่ชางหวนทิ้งไว้ อย่างเขานับเป็นตัวอะไรได้?”

“แถมยังกล้าแย่งลูกศิษย์กับปรมาจารย์กระบี่ฉางยวน เขาคู่ควรด้วยหรือ?”

“ชิ ก็แค่มีศักดิ์ที่สูงกว่าเท่านั้นแหละ ไม่เช่นนั้นข้าว่าเขาไม่คู่ควรแม้แต่จะถือรองเท้าให้ปรมาจารย์กระบี่ฉางยวนด้วยซ้ำ!”

คนที่กำลังพูดด่าอย่างสนุกปาก โดยไม่ทันสังเกตเลยว่าสีหน้าของลูกศิษย์ร่วมสำนักที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามได้เปลี่ยนไปแล้ว

เมื่อสิ้นเสียงคำพูดสุดท้ายของเขา ก็ได้ยินเสียงลมดังมาจากข้างหลัง

พริบตาต่อมา ร่างกายของเขาเหมือนถูกตรึงจนขยับไม่ได้ ตามมาด้วยความรู้สึกเจ็บฉับพลันตรงแผนหลัง ก่อนจะกระอักเลือดสดออกมา!

……

อวี้หลานชิงเพิ่งเดินออกไปได้สิบก้าว ก็ต้องกลับมาที่หอคุมกฎอีกครั้ง

แต่ที่ต่างออกไปคือ ครั้งก่อนนางเป็นเจ้าทุกข์ ครั้งนี้กลายเป็นผู้ถูกลงโทษที่คุกเข่าอยู่ในห้องโถงแทน

“ศิษย์น้องหญิงอวี้ ลงมือกับลูกศิษย์ร่วมสำนักโดยพลการ นี่เจ้าละเมิดกฎของสำนักแล้ว!” เวินจิ่นจือกล่าวด้วยน้ำเสียงผิดหวัง

ฟันกับลิ้นยังมีวันที่กระทบกันได้เลย สำนักกระบี่เสวียนเทียนเป็นสำนักใหญ่ ลูกศิษย์ชั้นนอกและชั้นในรวมกันมีมากถึงหลายพันคน เป็นไปได้อย่างไรที่จะไม่มีเรื่องกระทบกระทั่งกันเลย?

ขอแค่ไม่เลยเถิดเกินไป โดยทั่วไปหอคุมกฎก็จะแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น

แต่ปัญหาคือ อวี้หลานชิงลงมือทำร้ายคนที่หน้าประตูใหญ่ของหอคุมกฎ ประตูใหญ่เปิดกว้าง ภายในมีลูกศิษย์ผู้คุมกฎยืนอยู่สิบกว่าคน และยังมีลูกศิษย์ร่วมสำนักหลายคนที่มาทำธุระที่หอคุมกฎ

อยากแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นก็ทำไม่ได้!
Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • เกิดใหม่ครานี้ ข้าขอถีบอาจารย์ผู้ลำเอียงทิ้ง   บทที่ 64

    “ศิษย์เอ๋ย จงหายใจเข้าออก ปล่อยวางความคิดฟุ้งซ่านเสีย”น้ำเสียงของเสิ่นหวยจั๋วอ่อนละมุน ระหว่างพูดก็เปิดค่ายกลควบรวมพลังวิญญาณในเรือวิเศษอวี้หลานชิงทำตามคำแนะนำของอาจารย์อย่างไม่รู้ตัว ทุกลมหายใจล้วนซาบซ่านไปด้วยพลังวิญญาณจิตใจที่ว้าวุ่นอยู่แต่เดิม ค่อย ๆ สงบลงในทุกครั้งที่หายใจเข้าออก เลือดลมที่ปั่นป่วนในกาย ก็กลับสู่ความสงบตามไปด้วยเสิ่นหวยจั๋วเห็นดังนั้นจึงกล่าวต่อ “เมื่อครู่จิตใจเจ้าว้าวุ่น จิตวิญญาณไม่มั่นคง มีเค้าลางว่าจะถูกจิตมารครอบงำ นี่ไม่ใช่สัญญาณที่ดี”อวี้หลานชิงได้ยินดังนั้นพลันตกใจ ก่อนจะได้สติขึ้นมาทันทีสถานการณ์ของนางเมื่อครู่ค่อนข้างอันตรายจริง ๆช่างลำบากท่านอาจารย์ที่ต้องเดินทางมาไกล นอกจากเป็นห่วงความปลอดภัยของนางแล้ว ยังต้องดูแลจิตใจที่ยังสั่นไหวไม่สงบของนางอีกด้วยบรรยากาศในเรือวิเศษเงียบสงบและผ่อนคลาย สายตาของท่านอาจารย์เต็มไปด้วยความห่วงใย เมื่อได้สัมผัสทุกสิ่งตรงหน้า อวี้หลานชิงก็ยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้น “ท่านอาจารย์ ต่อไปศิษย์จะระวังให้มากขึ้น จะไม่ทำผิดเช่นวันนี้อีก”“อาจารย์มิได้บอกว่าเจ้าผิด” น้ำเสียงของเสิ่นหวยจั๋วหนักแน่นผิดจากปกติเมื่อเห็นอวี

  • เกิดใหม่ครานี้ ข้าขอถีบอาจารย์ผู้ลำเอียงทิ้ง   บทที่ 63

    “ปรมาจารย์กระบี่ฉางยวนหรือ?” สำนักอู๋จี๋เตี้ยนมีต้นกำเนิดจากหนานโจว เพิ่งย้ายมาตั้งที่ตงโจวได้ไม่ถึงสิบปีเท่านั้นลั่วอู๋ซางไม่รู้จักเสิ่นหวยจั๋ว และไม่รู้จักปรมาจารย์กระบี่ฉางยวนเช่นกันทว่าจากวิชากระบี่อันเฉียบคม ก็สามารถตัดสินฐานะของอีกฝ่ายได้ ในใจพลันหนักอึ้งลงทันที“หรือว่าปรมาจารย์กระบี่คิดจะปล่อยปละและปกป้องศิษย์ของตนเอง?”ปรมาจารย์กระบี่ฉางยวนขมวดคิ้ว ก้าวไปยืนบังจี้ฝูเหยาไว้ด้านหลัง จากนั้นเอ่ยขึ้นว่า “สิ่งที่ผู้อาวุโสลั่วต้องการ ก็เพียงค้นหาสาเหตุที่ศิษย์ของท่านหายตัวไปเท่านั้น ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องกดดันฝูเหยาอีก”“หรือว่าปรมาจารย์กระบี่ยังมีวิธีอื่นอีกหรือ?” ลั่วอู๋ซางจ้องเขม็งมองปรมาจารย์กระบี่ฉางยวนอย่างไม่วางตา“ขอเจรจาเป็นการส่วนตัว” ปรมาจารย์กระบี่ฉางยวนยกมือสะบัด ปราณกระบี่ไร้รูปพลันห่อหุ้มคนทั้งสองเอาไว้ครู่หนึ่งให้หลังปราณกระบี่ก็สลายไป ลั่วอู๋ซางมีสีหน้าอึมครึม ก่อนจะพยักหน้าอย่างฝืนใจต่อมา ทุกคนก็เห็นปรมาจารย์กระบี่ฉางยวนเรียกลูกศิษย์ชั้นนอกจากยอดเขาหลิงเซียวคนหนึ่งซึ่งติดตามอยู่ข้างกายจี้ฝูเหยาให้ก้าวออกมาจากนั้นก็นำโอสถเม็ดหนึ่งออกมา ส่งเ

  • เกิดใหม่ครานี้ ข้าขอถีบอาจารย์ผู้ลำเอียงทิ้ง   บทที่ 62

    สายตาของผู้คนล้วนติดตามผีเสื้อที่กลายร่างจากแสงวิญญาณ ไปหยุดอยู่ที่อวี้หลานชิงลั่วอู๋ซางพลันนึกขึ้นได้ว่า ก่อนที่ตนจะลงมือเป็นครั้งที่สอง ศิษย์หญิงผู้นี้เองที่แอบ “ปลดปล่อย” ศิษย์สำนักกระบี่หลายคนซึ่งถูกแรงกดดันกดทับไว้ต่อหน้าต่อตาเขาก็จริงอยู่ เมื่อเทียบกับผู้ฝึกตนหญิงกระโปรงชมพูที่อาจเกี่ยวพันกับการตายของศิษย์ตน เอะอะก็ตาแดง แสร้งทำเป็นน่าสงสาร นางยังชวนให้พึงใจยิ่งกว่า“เอาเถิด ข้าจะเห็นแก่สำนักกระบี่เสวียนเทียน คนที่ไม่เกี่ยวข้องทั้งหลายถอยออกไปได้”มือที่ลั่วอู๋ซางยกขึ้นยังคงชี้ไปที่จี้ฝูเหยา น้ำเสียงเย็นชาไร้ปรานี “ข้าจะไต่สวนเพียงนางผู้เดียว”ร่างของจี้ฝูเหยาสั่นเทาเล็กน้อย มองไปรอบ ๆ อย่างไร้ที่พึ่งศิษย์ร่วมสำนักที่นางมองไปหา ต่างพากันหลบสายตาแม้แต่เจินเหรินระดับแก่นปราณหลายคนที่ก่อนหน้านี้ยังคอยปกป้องนาง เวลานี้กลับพากันนิ่งเงียบ ไม่มีผู้ใดลุกขึ้นมาพูดแทนนางอีกจี้ฝูเหยากำฝ่ามือแน่น ตัดใจเด็ดขาดหันไปทางเสิ่นหวยจั๋ว “ผู้อาวุโสเสิ่น อาจารย์ปู่…ท่านอาจารย์ของศิษย์ยังมาไม่ถึง ท่านจะทอดทิ้งศิษย์มิได้!”เสิ่นหวยจั๋วชิงชังที่สุดในชีวิตก็คือการมีผู้ใดมาข่มขู่ตนเองสายตาท

  • เกิดใหม่ครานี้ ข้าขอถีบอาจารย์ผู้ลำเอียงทิ้ง   บทที่ 61

    ต่อหน้าธารกำนัล เขานั่งลงบนเก้าอี้เมฆาตัวหนึ่งในนั้นอย่างไม่ลังเลจากนั้นก็ผลักเก้าอี้อีกตัวไปข้างหน้า โอบล้อมด้วยสายลมบริสุทธิ์ ส่งตรงไปยังด้านหลังของลั่วอู๋ซางศิษย์จากสี่สำนักที่อยู่ด้านล่าง ต่างก็มองจนตะลึงงันผู้อาวุโสแห่งสำนักกระบี่เสวียนเทียนท่านนี้ กำลังคิดจะทำสิ่งใดกัน?นี่มันยามใดแล้ว ยังจะมีกะจิตกะใจนั่งลงสนทนากันอีก!เหล่าศิษย์สำนักกระบี่เสวียนเทียน ยิ่งร้อนใจหนัก พวกเขาไม่อาจเข้าใจได้เลยว่าผู้อาวุโสเสิ่นคิดจะงัดกลอุบายอันใดออกมาเกรงว่าการกระทำของผู้อาวุโสเสิ่นอาจยิ่งยั่วโทสะลั่วอู๋ซาง ทำให้ทุกคนต้องพลอยรับเคราะห์หนักหนาสาหัสกว่าเดิมท่ามกลางแววตาสงสัยของผู้คนมากมาย เสิ่นหวยจั๋วเลิกคิ้วเล็กน้อย แล้วกล่าวกับลั่วอู๋ซางว่า “สหายโปรดนั่ง เรื่องราวในวันนี้ ข้าพอจะเข้าใจคร่าว ๆ แล้ว ข้ามิได้โน้มน้าวให้ท่านคลายโทสะ เพียงแต่อยากพูดคุยด้วยเหตุผลกับท่านเท่านั้น”เขาไม่เคยคิดจะประมือกับลั่วอู๋ซางเลยสักครั้ง เสิ่นหวยจั๋วผู้นี้ เป็นคนที่ยึดถือเหตุผลเสมอมาเป็นครั้งแรกที่ลั่วอู๋ซางต้องเผชิญกับคนที่เล่นนอกกติกาเช่นนี้อย่างไรเสียสองสำนักก็ยังคงมีความสัมพันธ์อันดีงามอยู่ อีกทั้ง

  • เกิดใหม่ครานี้ ข้าขอถีบอาจารย์ผู้ลำเอียงทิ้ง   บทที่ 60

    “ปรมาจารย์กระบี่ฉางยวนห่วงใยความปลอดภัยของศิษย์น้องหญิงจี้จริงดังคาด เพิ่งจะผ่านมาได้ไม่นาน ก็รีบมาด้วยตัวเองแล้ว”ส่วนลั่วอู๋ซางแห่งสำนักอู๋จี๋เตี้ยน มาเร็วก็จริง แต่ก็เป็นเพียงร่างแยกเท่านั้นแต่ดูจากแสงสีขาววาบเดียวเมื่อครู่นั้น เพียงกระบวนท่าเดียวก็ทำลายแรงกดดันของลั่วอู๋ซางได้ พลังนั้นชัดเจนว่าย่อมมีได้เมื่อร่างจริงมาถึงเท่านั้นต่างเป็นระดับเทพจุติเหมือนกัน ฝ่ายหนึ่งเป็นเพียงร่างแยก ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งปรากฏกายมาด้วยร่างจริง...ใครแพ้ใครชนะ มองปราดเดียวก็รู้แล้วเหล่าศิษย์สำนักกระบี่เสวียนเทียนต่างถอนหายใจโล่งอกในที่สุดเหล่าเจินเหรินที่เมื่อครู่ยังรู้สึกไม่พอใจที่จี้ฝูเหยายั่วโมโหลั่วอู๋ซาง บัดนี้ต่างก็สงบความขุ่นเคืองใจลงแล้วอย่างไรเสีย จี้ฝูเหยาก็เป็นศิษย์สายตรงของปรมาจารย์กระบี่ ไม่เห็นหรือว่าแค่นางเกิดปัญหาเล็กน้อย ปรมาจารย์กระบี่ก็รีบรุดมาด้วยตัวเอง?เพียงเท่านี้ ก็มากพอให้นางมีทุนที่จะเอาแต่ใจแล้วเช่นเดียวกับทุกคน จี้ฝูเหยาก็กำลังแหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าตามทิศทางที่แสงสีขาวพุ่งมา บนหมู่เมฆที่ขอบฟ้าอันไกลโพ้น ปรากฏร่างหนึ่งยืนอยู่จี้ฝูเหยากำยันต์หยกไว้ในฝ่ามื

  • เกิดใหม่ครานี้ ข้าขอถีบอาจารย์ผู้ลำเอียงทิ้ง   บทที่ 59

    ทั้งสองคนนี้อวี้หลานชิงไม่รู้จักเลย พียงเลือกคนที่อยู่ใกล้ตัวที่สุดเท่านั้นขณะที่นางยื่นมือช่วยเหลือศิษย์ร่วมสำนักใกล้ตัวต้านแรงกดดัน ทางด้านนั้น ลั่วอู๋ซางก็ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าพวกจี้ฝูเหยาทั้งสี่แล้วมองปราดเดียวก็รู้ว่า จี้ฝูเหยาต่างหากที่เป็นผู้ตัดสินใจได้ในบรรดาทั้งสี่คนและไม่สนใจว่าคนอื่นจะกล่าวว่าเขารังแกคนอ่อนแอกว่า สายตาจ้องเขม็งไปที่จี้ฝูเหยา มองจากที่สูงลงมาอย่างดูถูก ก่อนเอ่ยด้วยเสียงเย็นชา “พูดมา หลังจากเจ้าพบเฉินถงแล้วไปที่ไหน แยกจากกันเมื่อใด หลังจากนั้นเจ้าพบเขาอีกหรือไม่?”ใบหน้าจี้ฝูเหยาซีดเผือดภายใต้สายตาอำมหิตของยอดฝีมือระดับเทพจุติ นางตัวสั่นระริก จนไม่อาจเอ่ยวาจาใดออกมาแต่หาใช่เพราะแรงกดดันไม่ นางมีของวิเศษที่ท่านอาจารย์มอบไว้ติดตัว จึงไม่รู้สึกถึงแรงกดดันของลั่วอู๋ซางที่ปกคลุมเหนือหัวของเหล่าศิษย์สำนักกระบี่เสวียนเทียนเพียงแต่นางมีระดับพลังยุทธ์เพียงขั้นหลอมปราณช่วงกลางเท่านั้น การถูกยอดฝีมือระดับเทพจุติจ้องด้วยสายตาอำมหิต ความกดดันเช่นนี้เพียงพอจะทำลายแนวป้องกันในจิตใจของนางได้นางหลับตาลงเบา ๆ กำยันต์หยกที่ท่านอาจารย์มอบให้ตนเอง สัมผัสถึงความอบอุ่นจา

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status