แชร์

บทที่ 11

ผู้เขียน: กวนอวิ๋นเจี้ยน
หอคุมกฎเป็นสถานที่ที่ดูแลเรื่องกฎระเบียบและข้อห้ามของสำนัก โดยมีผู้อาวุโสหยวนซวีซึ่งเป็นยอดฝีมือระดับเทพจุติเป็นผู้ควบคุมดูแล

แต่เรื่องส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องให้ท่านผู้เฒ่าอย่างเขาออกหน้า เรื่องเล็ก ๆ อย่างลูกศิษย์ชั้นนอกขโมยของ ไม่ต้องถึงมือผู้ดูแลด้วยซ้ำ แค่ส่งลูกศิษย์ผู้คุมกฎธรรมดาสองคนมาก็เพียงพอแล้ว

ตอนที่ลูกศิษย์ผู้คุมกฎระดับสร้างฐานสองคนมาถึง อวี้หลานชิงกลับไปเก็บของที่ห้องพักเก่าเรียบร้อยแล้ว

ถุงเก็บของที่ทางสำนักแจกมีพื้นที่ไม่มากนัก ใส่ได้เพียงโอสถลูกกลอนไม่กี่ขวดกับหินวิญญาณบางส่วน ส่วนของที่ใส่ไม่ได้ โดยทั่วไปแล้วอวี้หลานชิงจะเก็บไว้ในตู้ไม้ตรงหัวเตียง

แต่ก็ไม่ได้ใส่อะไรมาก นอกจากเสื้อผ้าที่ใช้เปลี่ยนสี่ห้าชุด ก็มีเมล็ดพืชวิญญาณไม่กี่ถุง หยกดิบบางส่วน เครื่องมือแกะสลักหนึ่งชุด กับกระบี่หนึ่งเล่ม

เสื้อผ้ากับเมล็ดพืชยังอยู่ เครื่องมือแกะสลักหยกดิบก็ยังอยู่ แต่พวกหยกดิบที่นางใช้เวลาอยู่นานกว่าจะขัดเกลาและแกะสลักออกมา กลับหายไปพร้อมกับกระบี่

ชาติที่แล้วหยกดิบพวกนี้ก็หาไม่เจอเช่นกัน จางเม่าฉวนบอกว่าเขาไม่ได้เอาไป ลูกศิษย์ชั้นนอกคนอื่น ๆ ของยอดเขาหลิงเซียวก็ปฏิเสธเช่นกัน จี้ฝูเหยาเกลี้ยกล่อมนาง ไม่จำเป็นต้องทำให้เรื่องราวบานปลายเพียงเพราะหยกที่ไม่นับเป็นเครื่องรางด้วยซ้ำ จะทำให้ผู้คนหัวเราะเยาะยอดเขาหลิงเซียวเปล่า ๆ สุดท้ายเรื่องราวจึงจบลงเพียงเท่านี้

ครั้งนี้…

ไหน ๆ ก็เรียกคนของหอคุมกฎมาแล้ว ก็จัดการทั้งสองเรื่องพร้อมกันที่เดียวเสียเลย

พูดถึงการสืบคดี พวกเขาเป็นมืออาชีพอยู่แล้ว ร่องรอยที่จางเม่าฉวนแอบเปิดประตูกลอนของอวี้หลานชิงยังอยู่ ไม่อาจปฏิเสธได้ จึงถูกลูกศิษย์ผู้คุมกฎทั้งสองคุมตัวไปทันที

เมื่ออีกคนเห็นดังนี้ ก็รีบเอ่ยปากขอความเมตตา “ศิษย์พี่หญิงอวี้ ข้าเป็นคนเอาหยกของท่านไปเอง วันนั้นข้าเห็นศิษย์พี่จางเดินออกมาจากห้องของท่าน แต่ปิดประตูไม่สนิท ข้าก็เลยแอบเข้าไปดู”

“บนหยกพวกนั้นไม่มีพลังวิญญาณ ข้านึกว่าเป็นของที่ท่านไม่เอาแล้ว เลยคิดเอากลับไปเป็นของตกแต่งก็ยังดี…ท่านรอก่อน ข้าจะกลับห้องไปเอามาคืนท่านเดี๋ยวนี้”

นั่นเป็นหยกสิบกว่าชิ้นที่มีขนาดใกล้เคียงกันหมด สองสีตัดสลับกัน ทุกชิ้นล้วนได้รับการจัดการอย่างประณีต ตรงส่วนที่เป็นสีน้ำตาลถูกแกะสลักเป็นลายเมฆมงคล

เมื่อนำทั้งสิบกว่าชิ้นมารวมกัน ก็กลายเป็นทะเลเมฆที่ทอดยาวติดต่อกัน

ความคิดละเอียดลออ แต่ฝีมือการแกะสลักธรรมดา ลูกศิษย์ผู้คุมกฎกวาดมองปราดหนึ่ง พบว่าไม่มีพลังวิญญาณจริง ๆ “สหายอวี้ เจ้าว่าคนผู้นี้?”

สิ่งของที่ไม่มีพลังวิญญาณเอาผิดค่อนข้างยาก เมื่อลูกศิษย์คนนั้นเห็นลูกศิษย์ผู้คุมกฎทั้งสอง ก็เหมือนจะมีท่าทีอยากให้ไกล่เกลี่ย เขาจึงรีบอ้อนวอนทันที “ศิษย์พี่อวี๋ ข้าผิดไปแล้ว!”

“โอสถเสริมพลังวิญญาณขวดนี้เป็นของชดเชยจากข้า ท่านอย่าได้ถือโทษโกรธข้าเลย ละเว้นข้าสักครั้งเถิด”

โอสถเสริมพลังวิญญาณหนึ่งขวด สามารถขายได้หินวิญญาณห้าสิบก้อนในท้องตลาด ในสายตาของคนนอก มันมีค่ากว่าก้อนหยกที่ไร้พลังวิญญาณเยอะมาก

อวี้หลานชิงรู้ดีว่า ต่อให้คุมตัวคนผู้นี้ไปที่หอคุมกฎ สุดท้ายแล้วก็ลงเอยด้วยการลงโทษทำนองนี้

“ตามนี้ก็แล้วกัน”

อวี้หลานชิงเก็บโอสถเสริมพลังวิญญาณ จากนั้นก็ตามลูกศิษย์ผู้คุมกฎทั้งสองไปยังหอคุมกฎบนยอดเขาหลักในฐานะ ‘เจ้าทุกข์’

ความผิดของจางเม่าฉวนร้ายแรงกว่าคนเมื่อครู่มาก จำเป็นต้องผ่านการพิจารณาโดยหอคุมกฎ

เมื่อมีหลักฐานและพยานครบ การพิจารณาจึงไม่ซับซ้อน ท้ายที่สุดจางเม่าฉวนถูกตัดสินให้ไปเป็นแรงงานที่เหมืองสิบปี เบี้ยเดือนในระหว่างนี้ จ่ายให้อวี้หลานชิงโดยตรงเพื่อเป็นค่าชดเชย จนกว่าเขาจะชดใช้หินวิญญาณหกร้อยก้อนที่ติดค้างจนครบ

ตามเบี้ยเดือนของลูกศิษย์ชั้นนอก…

ในสิบปีข้างหน้า เขาจะไม่ได้รับหินวิญญาณแม้แต่ก้อนเดียว!

“ศิษย์น้องหญิงอวี้ ต้องขอโทษด้วย ข้าไม่รู้ว่าลูกศิษย์ชั้นนอกพวกนั้นกล้าล่วงเกินเจ้าถึงเช่นนี้” เวินจิ่นจือที่สวมเครื่องแบบของหอคุมกฎวิ่งตามอวี้หลานชิงมาจนถึงหน้าประตู แล้วกล่าวขอโทษอย่างรู้สึกผิด

ในฐานะลูกศิษย์ของเจ้าสำนักอวิ๋นไห่ ปีนั้นเขานี่แหละที่เป็นคนพาอวี้หลานชิงไปจัดการเรื่องที่พักบนยอดเขาหลิงเซียว

แต่ว่าตอนนั้นเขาเพิ่งหลอมรวมแก่นปราณสำเร็จ จึงมัวแต่จดจ่ออยู่กับเรื่องการรวบรวมวัตถุดิบเพื่อสร้างกระบี่วิญญาณคู่กาย เลยไม่ได้แบ่งเวลามาให้ทางอวี้หลานชิง

ในมุมมองของเขา อวี้หลานชิงเป็นลูกศิษย์สายตรงของปรมาจารย์กระบี่ฉางยวนที่ถูกกำหนดไว้แล้ว ลูกศิษย์สายตรงของประมุขยอดเขา ก็เกือบจะเป็นเจ้าของครึ่งหนึ่งของยอดเขาวิญญาณ ลูกศิษย์ชั้นนอกที่อาศัยอยู่ที่นั่น ประจบประแจงยังไม่ทันเลย จะไม่ดูแลนางอย่างเหมาะสมได้อย่างไร

แต่เขากลับมองข้ามความซับซ้อนของจิตใจมนุษย์ และยิ่งมองข้ามบททดสอบของเด็กที่เพิ่งอายุสิบขวบที่ต้องเผชิญ เมื่อไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย

“เรื่องนี้เป็นเพราะข้าขาดความรอบคอบจริง ๆ ศิษย์น้องอวี้ เพื่อเป็นการชดเชย ข้าเชิญเจ้าไปเลือกกระบี่เล่มใหม่หนึ่งเล่มที่ตลาดเชิงเขาก็แล้วกัน!”

สายตาเวินจิ่นจือมองไปยังกระบี่สีทองแดงในมือของอวี้หลานชิง อาวุธวิเศษขั้นกลางเพียงพอสำหรับผู้ใช้ในระดับหลอมปราณแล้ว แต่ยังห่างไกลสำหรับผู้ใช้ระดับสร้างฐานอยู่บ้าง เขาสามารถมอบอาวุธวิเศษขั้นสูงให้อวี้หลานชิงหนึ่งเล่ม ทำถึงขนาดนี้ เพียงพอที่จะแสดงถึงความจริงใจของเขาแล้ว

“ไม่จำเป็น ข้ายังไม่คิดจะเปลี่ยนกระบี่เล่มใหม่ตอนนี้” สำหรับกระบี่ที่จะใช้ในอนาคต อวี้หลานชิงได้คิดเอาไว้แล้ว

อีกทั้งนางก็ไม่คิดจะยอมรับคำขอโทษของเวินจิ่นจือ ไม่ใช่เพราะรู้สึกว่าเวินจิ่นจือติดค้างอะไรตนเอง แต่เพราะนางไม่เห็นถึงความจำเป็น ที่จะต้องยอมรับการชดเชยที่ไร้ความหมายเช่นนี้ เพียงเพื่อไม่ให้เวินจิ่นจือรู้สึกผิด

แต่ว่าตลาดเชิงเขาที่เวินจิ่นจือเพิ่งพูดถึง ตอนนี้ฟ้ายังไม่มืด นางสามารถแวะไปดูสักหน่อย

หยกดิบพวกนั้นที่นางขัดเกลาให้มีขนาดเท่ากัน แท้จริงแล้วตั้งใจจะทำเป็นสายคาดเอวหยก ตอนนี้มีหยกประดับแล้ว หากอยากทำเป็นสายคาดเอวหนึ่งเส้น ยังขาดหัวเข็มขัดหนึ่งชุด ในตลาดน่าจะมีของที่เหมาะสม

“ศิษย์พี่เวิน ข้ายังมีธุระ ขอตัวก่อน”

อวี้หลานชิงก้าวเท้ายาวออกไปข้างนอก

นางไม่อยากใช้หินวิญญาณชั้นเลิศของอาจารย์ซื้อหัวเข็มขัด จึงคิดว่าจะไปที่ข้าง ๆ เพื่อรับเบี้ยเดือนสองเดือนนี้ของตนเองก่อน

แต่ใครจะคิดว่าเพิ่งเดินออกจากประตูใหญ่ของหอคุมกฎ ก็ได้ยินลูกศิษย์ระดับสร้างฐานที่สวมเครื่องแบบลูกศิษย์ชั้นในคนหนึ่ง กำลังสรรเสริญยกยอปรมาจารย์กระบี่ฉางยวน ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ฝึกกระบี่อันดับหนึ่งแห่งตงโจวตรงหน้าประตู

ปัญหาอยู่ตรงที่ยกย่องปรมาจารย์กระบี่ฉางยวนก็ช่างเถิด แต่เขายังไม่ลืมที่จะเหยียบย่ำเสิ่นหวยจั๋วด้วย “หากไม่ใช่เพราะอาศัยชื่อเสียงกับสมบัติที่ปรมาจารย์กระบี่ชางหวนทิ้งไว้ อย่างเขานับเป็นตัวอะไรได้?”

“แถมยังกล้าแย่งลูกศิษย์กับปรมาจารย์กระบี่ฉางยวน เขาคู่ควรด้วยหรือ?”

“ชิ ก็แค่มีศักดิ์ที่สูงกว่าเท่านั้นแหละ ไม่เช่นนั้นข้าว่าเขาไม่คู่ควรแม้แต่จะถือรองเท้าให้ปรมาจารย์กระบี่ฉางยวนด้วยซ้ำ!”

คนที่กำลังพูดด่าอย่างสนุกปาก โดยไม่ทันสังเกตเลยว่าสีหน้าของลูกศิษย์ร่วมสำนักที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามได้เปลี่ยนไปแล้ว

เมื่อสิ้นเสียงคำพูดสุดท้ายของเขา ก็ได้ยินเสียงลมดังมาจากข้างหลัง

พริบตาต่อมา ร่างกายของเขาเหมือนถูกตรึงจนขยับไม่ได้ ตามมาด้วยความรู้สึกเจ็บฉับพลันตรงแผนหลัง ก่อนจะกระอักเลือดสดออกมา!

……

อวี้หลานชิงเพิ่งเดินออกไปได้สิบก้าว ก็ต้องกลับมาที่หอคุมกฎอีกครั้ง

แต่ที่ต่างออกไปคือ ครั้งก่อนนางเป็นเจ้าทุกข์ ครั้งนี้กลายเป็นผู้ถูกลงโทษที่คุกเข่าอยู่ในห้องโถงแทน

“ศิษย์น้องหญิงอวี้ ลงมือกับลูกศิษย์ร่วมสำนักโดยพลการ นี่เจ้าละเมิดกฎของสำนักแล้ว!” เวินจิ่นจือกล่าวด้วยน้ำเสียงผิดหวัง

ฟันกับลิ้นยังมีวันที่กระทบกันได้เลย สำนักกระบี่เสวียนเทียนเป็นสำนักใหญ่ ลูกศิษย์ชั้นนอกและชั้นในรวมกันมีมากถึงหลายพันคน เป็นไปได้อย่างไรที่จะไม่มีเรื่องกระทบกระทั่งกันเลย?

ขอแค่ไม่เลยเถิดเกินไป โดยทั่วไปหอคุมกฎก็จะแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น

แต่ปัญหาคือ อวี้หลานชิงลงมือทำร้ายคนที่หน้าประตูใหญ่ของหอคุมกฎ ประตูใหญ่เปิดกว้าง ภายในมีลูกศิษย์ผู้คุมกฎยืนอยู่สิบกว่าคน และยังมีลูกศิษย์ร่วมสำนักหลายคนที่มาทำธุระที่หอคุมกฎ

อยากแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นก็ทำไม่ได้!
อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • เกิดใหม่ครานี้ ข้าขอถีบอาจารย์ผู้ลำเอียงทิ้ง   บทที่ 100

    บรรดาสำนักที่เมื่อครู่นี้ลอยเด่นอยู่กลางอากาศ เวลานี้ได้ยึดครองตำแหน่งที่ดีที่สุดบนอัฒจันทร์แล้ว ส่วนสำนักขนาดกลางและขนาดเล็กที่เหลือก็แทรกตัวเข้าไปในช่องว่างที่สำนักใหญ่เหลือไว้ อวี้หลานชิงนั่งอยู่บนที่นั่งของศิษย์สายตรงชั้นใน นางกวาดตามองไปรอบ ๆ ทอดสายตามองไปยังเบื้องล่างที่มีศีรษะผู้คนอยู่อย่างเนืองแน่นผู้ฝึกตนในงานชุมนุมใหญ่ของสำนักเซียนมีเกือบหนึ่งแสนคนเลยทีเดียวเมื่อรอให้ทุกคนนั่งประจำที่เรียบร้อยแล้ว แสงที่เปล่งออกมาจากเสาค้ำฟ้าโดยรอบก็รวมตัวเข้าด้วยกันชายชราผมขาวโพลนดุจหิมะคนหนึ่ง ถือไม้เท้าหัวมังกร ดูสง่างามดั่งเซียนมากกว่าอวี้ชิงจื่อจากสำนักอวี้ซวีก็ปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศทุกก้าวที่เดิน ร่างก็เข้ามาใกล้มากยิ่งขึ้นราวกับว่าเดินมาจากท่ามกลางความว่างเปล่า ท้ายที่สุดก็หยุดอยู่ตรงใจกลางสนามเมื่อเขาปรากฏตัว เจ้าสำนักต่าง ๆ ที่อยู่บนที่นั่งสูงสุดของอัฒจันทร์โดยรอบก็พากันลุกขึ้น ประสานมือคารวะชายชราผู้นั้นแล้วร้องเรียกว่า “ผู้อาวุโสเช่อ” “ผู้อาวุโสเช่อผู้นี้เป็นใครกัน?” จิตวิญญาณของอวี้หลานชิงอยู่แค่ระดับหลอมแก่นปราณเท่านั้น ไม่อาจมองทะลุระดับพลังยุทธ์ของชายชราได้ คนท

  • เกิดใหม่ครานี้ ข้าขอถีบอาจารย์ผู้ลำเอียงทิ้ง   บทที่ 99

    เวลานี้เอง ฉากที่อยู่ด้านนอกเสาค้ำฟ้าแทบจะเป็นภาพจำลองของโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรทั้งหมด เมืองที่รองรับผู้คนได้หลายแสนคนแห่งนี้ ทุกคนในเมืองล้วนเฝ้าติดตามสถานการณ์ของทางเสาค้ำฟ้าตรงใจกลางเมือง ศิษย์สำนักใหญ่ที่นำโดยอาจารย์จากสำนัก ต่างก็ยืนอยู่บนอาวุธวิเศษเหาะเหินขนาดใหญ่ที่เปล่งแสงแวววาวของสำนักต่าง ๆ ส่วนลูกศิษย์ของสำนักขนาดกลางและขนาดเล็กก็ยืนอยู่บนพื้นดิน รออยู่รอบ ๆ เสาค้ำฟ้าอย่างเงียบเชียบถัดออกไปด้านนอก ยังมีผู้ฝึกตนอิสระนับไม่ถ้วนที่ไม่มีสิทธิ์เข้างานชุมนุมใหญ่ของสำนักเซียนกำลังชะเง้อคอมองสถานการณ์ในนี้ แววตาแฝงไปด้วยความชื่นชมและความหลงใหลใฝ่ฝันอย่างไม่มีที่สิ้นสุดก่อนที่หมอกจาง ๆ ที่ปกคลุมเสาค้ำฟ้าจะสลายหายไป สายตาของทุกคนล้วนจับจ้องไปยังบรรดาเจ้าสำนักและผู้อาวุโสของสำนักใหญ่ที่กำลังลอยอยู่กลางอากาศอัดฉีดพลังวิญญาณเข้าไปในเสาค้ำฟ้า ผู้ที่ยืนตระหง่านกลางอากาศปลดปล่อยพลังอันมหาศาลเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ฝึกตนผู้ยิ่งใหญ่ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียร ส่วนมากก้าวเข้าสู่ระดับทารกวิญญาณช่วงปลายแล้ว ยังมีบางส่วนที่ครอบครองพลังของระดับเทพจุติด้วยผู้ทรงพลังที่มีคว

  • เกิดใหม่ครานี้ ข้าขอถีบอาจารย์ผู้ลำเอียงทิ้ง   บทที่ 98

    บางทีอาจเป็นเพราะตอนนี้จี้ฝูเหยายังเยาว์วัย ยังไม่เข้าใจการเก็บงำอารมณ์โดยสมบูรณ์ หรืออาจเป็นเพราะประสบการณ์ที่สั่งสมมาสองชาติ ทำให้อวี้หลานชิงเข้าใจนางดีเกินไป เมื่อจิตสัมผัสรู้สึกได้ถึงสายตาของจี้ฝูเหยาที่มองตามหลังอีกฝ่ายไป อวี้หลานชิงก็คาดเดาการกระทำต่อไปของนางได้แล้ว นางทำเช่นนี้เป็นประจำใช้ท่าทางบริสุทธิ์ไร้เดียงสา คำนึงถึงผู้อื่นมาดึงดูดทุกคนที่มีประโยชน์ต่อนาง ชาติที่แล้ว หากไม่ใช่เพราะกระบี่ที่ทะลวงหัวใจในตอนสุดท้าย อวี้หลานชิงก็คงถูกรูปลักษณ์ภายนอกของนางหลอกไปแล้ว ในฐานะผู้หญิงเหมือนกัน อวี้หลานชิงไม่อยากใช้คำพูดที่ร้ายกาจมาบรรยายจี้ฝูเหยา แต่เห็นได้ชัดว่านางไม่ได้สมบูรณ์แบบเหมือนที่แสดงออกมาเลย สายตาของปรมาจารย์กระบี่ฉางยวนน่าเป็นห่วงยิ่งนักความคิดนี้เพิ่งจะผุดขึ้นมาในใจ อวี้หลานชิงก็อดไม่ได้ที่จะ “ถุย” อีกครั้ง ปรมาจารย์กระบี่ฉางยวนก็ไม่ใช่คนดีอะไรเหมือนกัน ศิษย์อาจารย์คู่นั้นชอบพอกันและกัน มีความรักต้องห้าม เรียกได้ว่าเหมือนเต่ามองถั่วเขียว รับสืบทอดสายตาที่ย่ำแย่มา“ไปกันเถิด” อวี้หลานชิงหันหน้ากลับมามอง เจ้าของแผงลอยที่ยังกำถุงเก็บของไว้แน่นเพราะกล

  • เกิดใหม่ครานี้ ข้าขอถีบอาจารย์ผู้ลำเอียงทิ้ง   บทที่ 97

    อวี้หลานชิงไม่ได้สนใจสายตาของผู้คนรอบข้าง และไม่อยากอธิบายอะไร เดิมทีนางก็ไม่ได้คิดจะสังหารสัตว์วิญญาณตัวนี้เลย ในเมื่อจี้ฝูเหยายินดีเข้ามายุ่งเรื่องผู้อื่น ก็ปล่อยให้นางดูแลต่อไปก็พอ “ศิษย์หลานกล่าวมีเหตุผล เช่นนั้นหน้าที่สำคัญอย่างตามหาเจ้าของสัตว์วิญญาณตัวนี้ก็ยกให้ศิษย์หลานจัดการแล้วกัน” “แต่ว่าสัตว์วิญญาณตัวนี้มีนิสัยซุกซน ศิษย์หลานต้องคอยจับตาดูหน่อย อย่าให้มันทำร้ายผู้คนอีกเป็นอันขาด” อวี้หลานชิงพูดจบก็เก็บกระบี่ยาว เจ้าของแผงลอยที่อาศัยช่วงเวลาชุลมุนเก็บกล่องบรรจุหญ้าเย็นกระจ่างกลับคืนสู่อ้อมอกอีกครั้ง ก็ฉวยโอกาสที่จี้ฝูเหยาพูดเมื่อครู่นี้เก็บข้าวของบนแผงลอยจนเสร็จเรียบร้อยนานแล้วอวี้หลานชิงส่งสายตา เขาก็เดินตามหลังนางออกจากฝูงชนทันทีจิ้งจอกแดงเพลิงที่ก่อความวุ่นวายไปครึ่งถนนตัวนั้น เมื่อครู่กำลังทำตากลมสุกใสนิ่งอยู่กับที่ มองอวี้หลานชิงกับจี้ฝูเหยาเหมือนชมละครสนุก ๆ ก็ไม่ปานปากยังคงเคี้ยว “หนวดหัวไชเท้า” ที่มันโยนทิ้งไว้บนพื้นลวก ๆ ก่อนหน้านี้อย่างไม่เร่งรีบเมื่อเห็นอวี้หลานชิงและเจ้าของแผงลอยนำสมุนไพรวิญญาณที่มันหมายตาจากไป มันก็อดร้อนใจไม่ได้มันคายหนวดหัว

  • เกิดใหม่ครานี้ ข้าขอถีบอาจารย์ผู้ลำเอียงทิ้ง   บทที่ 96

    วิญญาณร้ายยังไม่สลายไปสักที ในสมองของอวี้หลานชิงผุดขึ้นมาแปดคำทันที จี้ฝูเหยาที่อยู่ตรงหน้าถือกระบี่ใบหลิวที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ปลายกระบี่เรียวเล็ก ตรงด้ามกระบี่เคลือบทอง บนนั้นยังฝังอำพันที่ส่องประกายแวววาวสามก้อนตอนที่กระบี่ทั้งสองปะทะกันเมื่อครู่นี้ อวี้หลานชิงรู้สึกได้ถึงพลังวิญญาณธาตุไฟที่บริสุทธิ์สายหนึ่งปรากฏขึ้นบนตัวกระบี่เล่มนั้น เป็นลมปราณสายนี้เองที่ต้านทานปราณกระบี่ของนาง ดูเหมือนว่านี่จะเป็นกระบี่เล่มใหม่ที่ปรมาจารย์กระบี่ฉางยวนมอบให้จี้ฝูเหยา แม้จะเทียบไม่ได้กับกระบี่ที่หล่อหลอมปราณกระบี่ของปรมาจารย์กระบี่เยวี่ยหวาเล่มนั้นในชาติก่อน ซึ่งเข้ากับวิชาที่จี้ฝูเหยาฝึกฝนแต่ก็เป็นกระบี่ดีที่หาได้ยากเล่มหนึ่งจริง ๆ อย่างน้อยในแง่ของระดับก็ถือว่าหายากมากนี่ไม่ใช่อาวุธวิเศษ แต่เป็นอาวุธวิญญาณ แตกต่างกันเพียงคำเดียว แต่ราคาและความล้ำค่าระหว่างทั้งสองนั้นแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว อาวุธวิญญาณทั่วไปมีราคาแค่หินวิญญาณไม่กี่ร้อยก้อน แพงอีกแค่ไหนก็แค่พันกว่า แต่อาวุธวิญญาณเป็นสิ่งที่มีราคาแต่ไม่มีในตลาดมาโดยตลอด อย่าว่าแต่ผู้ฝึกตนระดับหลอมปราณเลย ตลอดชีวิตของผู้ฝึกตนระดับห

  • เกิดใหม่ครานี้ ข้าขอถีบอาจารย์ผู้ลำเอียงทิ้ง   บทที่ 95

    เจ้าของแผลลอยกล่าวจบก็แอบเชยตามองปฏิกิริยาของอวี้หลานชิง จากนั้นก็เห็นนางทำสีหน้าเคร่งขรึม ไม่เอ่ยสักคำเดียวในใจอด “กระตุก” ขึ้นมาไม่ได้ผู้ฝึกตนหญิงผู้นี้คงไม่ให้เขาคืนหินวิญญาณหรอกนะ?ศิษย์ของสำนักใหญ่ ปกติแล้วจะไม่ยอมเสียหน้ากระมัง?แต่ว่าไม่มีเรื่องอะไรที่แน่นอน เขาตัดสินใจแล้วว่าหากผู้ฝึกตนหญิงตรงหน้าให้เขาคืนหินวิญญาณละก็ เขาจะเก็บแผงหนีไปทันที จากนั้นก็เปลี่ยนที่แล้วค่อยตั้งแผงใหม่ เจ้าของแผงลอยถึงค่อยเอ่ยปากพูดอย่างระมัดระวังว่า “สหายน้อย?” สิ่งที่อวี้หลานชิงคิดไม่ใช่เรื่องขอหินวิญญาณคืน “เมื่อครู่ท่านบอกว่าสมุนไพรวิญญาณที่ใช้ระงับพิษเพลิงชื่อว่าอะไรนะ?”“หญ้าเย็นกระจ่าง สมุนไพรวิญญาณชั้นสูง หนึ่งต้นสามารถระงับพิษเพลิงได้สามเดือน” ความคิดที่จะหนีไปของเจ้าของแผงลอยถูกโยนทิ้งไว้ที่ด้านหลังสมองทันที ก่อนจะถามด้วยแววตาที่แฝงไปด้วยความตื่นเต้นว่า “สหายน้อยถามถึงสมุนไพรนี้ แสดงว่า?”“ข้ามีอยู่ต้นหนึ่ง” อวี้หลานชิงก็เพิ่งนึกขึ้นได้เช่นกันว่ามีสมุนไพรวิญญาณเช่นนี้อยู่ในแหวนเก็บของของตนเป็นของที่ผู้อาวุโสจวีหยางจากสำนักมอบให้ในพิธีกราบอาจารย์ก่อนหน้านี้ สมุนไพรวิญญาณที่

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status